11 มิ.ย. 2568 | 16:41 น.
KEY
POINTS
“มันคือแจ๊ส แค่ฟังไม่เหมือนแจ๊สเท่านั้นเอง”
คำกล่าวสั้น ๆ ของ ‘ออซ นอย’ (Oz Noy) เปรียบเสมือนกุญแจที่ไขเข้าไปสู่โลกดนตรีของเขา โลกที่ไม่แบ่งแยกด้วยเส้นตรงของแนวเพลง (Genre) แต่หลอมรวมหลากวัฒนธรรมเสียงเข้าไว้ในเนื้อเดียวกัน แม้จะมีพื้นฐานจากแจ๊ส แต่ดนตรีของเขากลับฉีกออกจากกรอบเดิม ๆ ทั้งในด้านสำเนียง จังหวะ และโครงสร้างของดนตรี
ออซ นอย ไม่เพียงแค่ ‘เล่น’ แจ๊ส แต่เป็นผู้ที่ตั้งคำถามกับคำว่า ‘แจ๊ส’ ผ่านเสียงกีตาร์ไฟฟ้าที่แปรเปลี่ยนได้ดั่งจินตนาการ เขาหล่อหลอม bebop, funk, blues, rock และ psychedelia ไว้ได้อย่างแนบเนียน เพราะเชื่อว่าดนตรีคือพื้นที่ที่ไม่มีพรมแดน
หนึ่งในตัวอย่างสำคัญของวิธีคิดนี้ ปรากฏในหลายเพลง เช่น ‘Snapdragon’ ซึ่ง นอย แต่งขึ้น โดยได้แรงบันดาลใจจาก ‘Black Narcissus’ ของ ‘โจ เฮนเดอร์สัน’ (Joe Henderson 1937-2001) นักเทเนอร์แซ็กโซโฟนระดับตำนาน เขาดึงโครงสร้างและอารมณ์ของต้นฉบับมาขยับขยาย สร้างทำนองใหม่ที่ท้าทายกรอบเดิม แต่ยังสื่อสารถึงรากเหง้าของแจ๊สได้อย่างลึกซึ้ง
ในอัลบั้ม Twisted Blues Vol. 1 และ Ha! ออซ นอย พาผู้ฟังไปสัมผัสกรู้ฟหนัก ๆ ที่พุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล ท่อนโซโลของเขาเต็มไปด้วยการเล่นวลีที่แตกแถว (outside phrasing), การใช้คอร์ดซับซ้อน (chord voicings) และการวางไดนามิกที่ควบคุมได้อย่างแม่นยำ
นี่ไม่ใช่แจ๊สแบบเบา ๆ ชวนฝัน แต่คือแจ๊สแบบที่ปลุกสัญชาตญาณให้ขยับตาม
การจะเข้าใจ ออซ นอย จึงไม่ใช่การแยกแยะว่าเขาเล่นแนวไหน แต่เป็นการเข้าใจว่า เขา ‘รวม’ ทุกแนวเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างไร ท่ามกลางลูกเล่นและเทคนิคแพรวพราว ออซ นอย เริ่มต้นจากความตั้งใจที่จะสร้าง ‘กรู้ฟ’ ให้คนฟังโยกหัวตามได้โดยไม่รู้ตัว เพราะ “กรู้ฟคือหัวใจของทุกอย่าง”
ก่อนที่ชื่อของ ออซ นอย จะถูกพูดถึงในฐานะมือกีตาร์ฟิวชัน ผู้สร้างภาษาดนตรีที่ไม่แบ่งแยกแนว เขาคือเด็กชายชาวอิสราเอลที่เริ่มเล่นกีตาร์ตอนอายุ 10 ขวบ และเข้าสู่วงการดนตรีอาชีพตั้งแต่ยังไม่จบมัธยม
เมื่ออายุเพียง 13 ปี เขาก็ได้งานในวงการโทรทัศน์ของอิสราเอล ทั้งในฐานะนักดนตรีประกอบรายการวาไรตี้และวงดนตรีประกอบรายการข่าว ภายในไม่กี่ปี นอย กลายเป็นหนึ่งในนักดนตรีรับจ้างที่ฮ้อตที่สุดของวงการบันเทิงอิสราเอล มีทั้งรายการวิทยุ ทีวี และคอนเสิร์ตเรียกใช้งานไม่ขาดสาย
“ผมมีชีวิตที่มั่นคงดีอยู่แล้ว แต่ผมรู้ว่า... ผมยังไม่ได้เริ่มต้นในแบบที่อยากทำจริง ๆ” เขาย้อนเล่า
ปี 1996 เขาตัดสินใจหอบกีตาร์บินลัดฟ้าสู่มหานครนิวยอร์ก โดยตั้งใจ “เริ่มต้นใหม่ทั้งหมด” แทนที่จะรีบเร่งไปโชว์ตัวหรือเข้าไปแจมในคลับใหญ่ ๆ นอย กลับเลือกทำสิ่งตรงข้าม นั่นคือ “การไปนั่งฟัง” และ “เรียนรู้จากข้างเวที”
คลับอย่าง Smalls, 55 Bar และโดยเฉพาะ The Bitter End กลายเป็นโรงเรียน หรือ ‘แล็บ’ ที่เขาได้เห็นนักดนตรีแจ๊สรุ่นใหญ่ในนิวยอร์ก “บรรเลงบนเวที” สด ๆ ทุกคืน ในเวลาเดียวกันนั้น ออซ นอย ค่อย ๆ พัฒนาเสียงของตัวเอง เริ่มฝึกควบคุมแป้นเหยียบเอฟเฟกต์หลากชนิด ด้วยเท้าและสมาธิที่เชื่อมโยงกับจังหวะมือ
เขากล่าวภายหลังว่านี่คือ “ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิต” เพราะทำให้เขามองเห็นตัวเองในฐานะนักดนตรีที่มีภาษาเฉพาะตัว
ออซ นอย ไม่เคยมองกีตาร์เป็นเพียง ‘เครื่องดนตรี’ หากแต่เป็น ‘วัสดุทางศิลปะ’ ที่สามารถผสม ปั้น ตัด หรือขยายให้เกิด พื้นผิว (texture) ใหม่ ๆ ได้ทุกครั้งที่เขาเล่น
เขาใช้เอฟเฟกต์เพื่อเติม ‘เสียง’ ให้กลายเป็น ‘สี’ เสียงสะท้อนกลายเป็นมิติ และความเงียบเป็นจังหวะ เขาเปรียบเทียบ pedalboard ที่ใช้ เหมือน ‘จานสี’ ของจิตรกร โดยเลือกจังหวะจะโคนของการแต่งเติมแต่ละส่วนอย่างรอบคอบ
ทุกครั้งที่เล่น นอย จะคิดล่วงหน้าเสมอว่า คอร์ดใดควรจะใช้ Leslie, part ไหนควรใส่ delay หรือจะใช้ loop อย่างไรเพื่อซ้อนโครงสร้างของทำนองและจังหวะเข้าด้วยกัน
นี่คือวิธีคิดเชิง “วาดภาพด้วยเสียง” โดยเฉพาะการออกแบบเสียงกีตาร์ให้มีบุคลิกไม่เหมือนกัน เป็นการจัดวางเสียงอย่างเป็นระบบและมีเป้าหมายล่วงหน้า
ตัวอย่างคือ Leslie speaker ซึ่งเดิมทีถูกออกแบบมาให้ใช้กับ ‘แฮมมอนด์ ออร์แกน’ เพื่อสร้างเอฟเฟกต์เสียงหมุน (rotary speaker) ซึ่งให้มิติการเคลื่อนไหวของเสียงแบบพิเศษ โดยเฉพาะในย่านความถี่สูง เสียงจะมีลักษณะหมุนวน ให้ความรู้สึกเหมือนเสียงกำลังเคลื่อนที่อยู่ในอากาศ โดย ออซ นอย ได้นำ Leslie มาใช้กับเสียงกีตาร์ ด้วยการวางแผนอย่างชัดเจนล่วงหน้าว่า “คอร์ดนี้ต้องการให้รู้สึกเหมือนลอยอยู่กลางอากาศ” หรือ “ท่อนนี้อยากให้เสียงหมุน ๆ เพื่อสร้างความลื่นไหลต่อเนื่องจากคอร์ดก่อนหน้า”
ทั้งหมดนี้ทำให้การเล่นสดของเขา ไม่ใช่แค่การ ‘เล่นโน้ต’ แต่เป็นการควบคุม soundscape อย่างมีชั้นเชิง
“คุณต้องคิดล่วงหน้า ไม่ใช่แค่เล่นไปแล้วค่อยเหยียบเอฟเฟกต์ ต้องรู้ว่าอะไรจะตามมา อะไรจำเป็นต้องใช้ และ Leslie น่ะ… มันต้องเข้าตอนที่ใช่จริง ๆ เท่านั้น”
ในอัลบั้ม Twisted Blues ทั้งสองวอลุ่ม เพลงอย่าง ‘Steroids’ และ ‘Rhumba Geek’ คือหลักฐานว่า เขาไม่ได้แค่เล่นกีตาร์ แต่กำลังสร้าง ‘ภาพเสียง’ ที่เคลื่อนไหวอย่างมีชีวิต บางครั้งดนตรีของเขาเริ่มต้นจากเสียง loop ที่ไม่เป็นทำนองเลยด้วยซ้ำ แต่เป็นเสียงจังหวะ แรงกระแทก หรือเสียงเอื้อน ที่นำมาขยายจนเกิดเป็นภาษาของเพลงใหม่
บนเวทีแสดงสด ภาพนั้นชัดยิ่งกว่า เขายืนอยู่หน้าชุด pedalboard ที่เต็มไปด้วยแป้นเหยียบและสายไฟ แต่ไม่เคยทำให้ดนตรีของเขาเกินควบคุม เขาคิดแบบนักแต่งเพลง เล่นแบบนักทดลอง และคุมโครงสร้างแบบสถาปนิกเสียง
ผู้คนที่เคยชมการแสดงสดของ ออซ นอย มักบรรยายประสบการณ์ว่า เหมือนได้เห็น “การทำงานร่วมกันของร่างกาย สมอง และสัญชาตญาณ” ในแบบที่ไม่สามารถจำแนกได้ว่า อะไรคือสิ่งที่เขาวางแผนไว้ และอะไรคือสิ่งที่เขากำลัง improvising สด ๆ บนเวที
หากถาม ออซ นอย ว่าเขาเป็นนักดนตรีแนวไหน คำตอบของเขามักทำให้คนสัมภาษณ์ชะงักไปชั่วครู่ เพราะเขาไม่เคยเชื่อว่าการจัดหมวดหมู่มีความจำเป็นในโลกดนตรี
เติบโตมากับเพลงของ เดอะ บีเทิลส์ (The Beatles) และ ‘แวน ฮาเลน’ (Van Halen) ดนตรีที่ให้พลังและจินตนาการแบบเด็ก แต่เมื่อโตขึ้น เขาหันมาหลงใหลมือกีตาร์แจ๊ส อย่าง ‘เวส มอนต์โกเมอรี’ (Wes Montgomery) หรือนักเปียโน ‘ธีโลเนียส มังค์’ (Thelonious Monk) และสุ้มเสียงของแจ๊สแบบ bebop ช่วงกลางศตวรรษที่ยี่สิบ
“ผมไม่เคยคิดเรื่องแนวดนตรีเลย สำหรับผม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเพลงล้วน ๆ”
ออซ นอย มองว่าเพลงที่ดี คือเพลงที่เปิดพื้นที่ให้กับการเล่นไอเดีย ไม่ว่าจะเป็นแนวไหนก็ตาม เพลง อย่าง ‘Bemsha Swing’ ของ มังค์ ที่เขานำมาเรียบเรียงใหม่ในแบบของตนเอง คือการต่อบทสนทนาทางดนตรีกับอดีต ด้วยเสียงสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วย loop ที่หมุนวน, การ reverse ของเสียง และการเติมดิสทอร์ชันเข้าไปอย่างแนบเนียน
เขาได้รับอิทธิพลจากนักกีตาร์ที่หลากหลาย ตั้งแต่ สตีวี เรย์ วอห์น (Stevie Ray Vaughan) ที่เขายอมรับว่า “เปลี่ยนชีวิต” ของเขา ในแง่การสร้างโทน วลีเพลง และพลังการบรรเลง ไปจนถึง สก็อตต์ เฮนเดอร์สัน (Scott Henderson) และ เวย์น แครนท์ซ (Wayne Krantz) ที่เป็นเหมือนครูและเพื่อนร่วมทางในโลกของฟิวชั่น
แม้เพลงของ ออซ นอย ไม่เคยอยู่ในกรอบ แต่ทุกเพลงมี ‘สายเลือด’ เดียวกัน นั่นคือการเปิดพื้นที่ให้ improvisation, groove และเสียงที่ไม่เหมือนเดิมในแต่ละรอบของการเล่นสด เขาสามารถเล่นโซโลกีตาร์บนจังหวะฟังกี้ให้เหมือนแจ๊ส และวางคอร์ดสลับซับซ้อนลงบนจังหวะชัฟเฟิลแบบบลูส์ได้โดยไม่รู้สึกขัดแย้ง
ในจักรวาลของ ออซ นอย ไม่มี “แผนที่ดนตรี” แบบที่เรารู้จัก มีแต่การเดินทางที่เปลี่ยนทิศทางได้ทุกวินาที ด้วยเข็มทิศที่ชื่อว่า “สัญชาตญาณและประสบการณ์”
หากมีสิ่งหนึ่งที่สะท้อนพัฒนาการของเขาได้อย่างเด่นชัด นั่นคือ อัลบั้มทริโอ ที่เขาทำต่อเนื่องกันมาหลายปี ซึ่งแต่ละชุดเป็นเหมือน snapshot ของช่วงเวลาที่วงกำลัง “ได้ฟอร์ม” ที่สุด โดยหนึ่งในตัวอย่างที่ดี คืออัลบั้ม Triple Play (2023) ที่เขาบันทึกเสียงการแสดงทันที (หลังกลับจากทัวร์ยุโรป) ที่ The Stages Music Arts ในแมรีแลนด์ เมื่อ 29-30 ธันวาคม 2022 เพราะรู้สึกว่าวงทริโอ ณ ตอนนั้น ‘ไฟติด’ และควรจะเก็บโมเมนตัมนี้ไว้ไม่ให้สูญหาย
“คุณไม่มีทางสร้างความรู้สึกแบบนั้นในสตูดิโอได้เลย เว้นแต่จะรีบจับมันไว้ทันที หลังจากเพิ่งลงจากเวทีทัวร์”
ถ้าดนตรีคือห้องทดลองที่ไม่เคยหยุดเดินเครื่อง ออซ นอย คือผู้ไม่ยอมถูกจำกัดด้วยคำนิยาม เขาใช้ความคิดผ่านกีตาร์ ใช้เสียงแทนพู่กัน และใช้ความนิ่งของกรู้ฟเป็นแกนกลางให้การทดลองทั้งมวลเกิดขึ้นได้จริง
เสียงดนตรีของ ออซ นอย ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ‘ความไม่มีกรอบ’ ไม่ได้หมายถึงความสับสน แต่คือการมีสายตาที่มองเห็นโครงสร้างซับซ้อนซ่อนอยู่ในอิสรภาพ และกล้าที่จะปรับเปลี่ยนอย่างมีชั้นเชิง
หมายเหตุส่งท้าย: คนรักดนตรีในประเทศไทยจะได้พบกับ ออซ นอย ใน Oz Noy, Dave Weckl & Brian Charette Live in Bangkok 2025 คอนเสิร์ตสุดเข้มข้นจากสามสุดยอดนักดนตรีระดับโลก ที่จะพาผู้ชมเดินทางข้ามแนวดนตรีไปสู่โลกในจินตนาการี ในวันพุธที่ 23 กรกฎาคม 2025 ณ M Theatre ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ บัตรมีจำหน่ายที่ Thai Ticket Major
เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์
ที่มา:
- Guitar Player. “Oz Noy Interview: ‘It’s Jazz. It Just Doesn’t Sound like It.’” Guitar Player, 1 Apr. 2024, www.guitarplayer.com/players/oz-noy-it-s-jazz-it-just-doesnt-sound-like-it.
- Muse on Muse. “Oz Noy Interview – ‘Snapdragon’ and the Roots of Improv.” Muse on Muse, 15 Mar. 2021, www.museonmuse.jp/?p=11739.
- Blues.gr. “Oz Noy: Interview with the Eclectic Jazz Guitarist.” Blues.gr, 22 Sept. 2020, www.blues.gr/m/blogpostid=1982923%3ABlogPost%3A503220.
- Noy, Oz. Official Website of Oz Noy. www.oznoy.com.