‘แมรี เชลลีย์’ สาววัย 18 ผู้ให้กำเนิด ‘แฟรงเกนสไตน์’ ท้าทายปิตาธิปไตย

‘แมรี เชลลีย์’ สาววัย 18 ผู้ให้กำเนิด ‘แฟรงเกนสไตน์’ ท้าทายปิตาธิปไตย

‘Frankenstein’ (2025) ของ ‘กีเยร์โม เดล โตโร’ พาเราย้อนกลับไปยังคำถามดั้งเดิมที่คมกริบกว่าใบมีดผ่าตัด มนุษย์มีสิทธิ์แค่ไหนที่จะให้กำเนิดสิ่งมีชีวิต และที่สำคัญกว่า เราจะรับผิดชอบมันได้จริงหรือไม่

KEY

POINTS

ตั้งแต่โลกได้รู้จักกับเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตจากซากศพที่ฟื้นคืนชีพได้ กว่าสองร้อยปีผ่านไป ‘แฟรงเกนสไตน์’ (Frankenstein) ก็ยังไม่เคยตายไปจากวัฒนธรรมโลก และในปี 2025 นี้ ผู้กำกับดีกรีออสการ์อย่าง ‘กีเยร์โม เดล โตโร’ (ผู้เคยสร้างผลงานน่าจดจำมากมาย อย่าง Pan's Labyrinth, Crimson Peak และ The Shape of water) ก็ได้คืนชีพตำนานนี้อีกครั้งบน Netflix นำแสดงโดย ‘ออสการ์ ไอแซ็ค’ ในบท ‘วิคเตอร์ แฟรงเกนสไตน์’ นักวิทยาศาสตร์ผู้ทะเยอทะยานในการคืนชีพสิ่งไม่มีชีวิต, ‘เจคอบ เอลอร์ดี’ รับบท ‘เจ้าสิ่งมีชีวิต’ จากซากศพอันน่าสะพรึงกลัว และ ‘มีอา ก๊อธ’ ในบท ‘เอลิซาเบธ ฮาร์แลนเดอร์’ หญิงสาวผู้เป็นดั่งจิตวิญญาณที่เติมเต็มชีวิตให้กับทั้งกับวิคเตอร์และกับเจ้าสิ่งมีชีวิตนั้นด้วย ร่วมด้วย นักแสดงสองรางวัลออสการ์อย่าง ‘คริสทอฟ วอลท์ซ’ ในบทลุงของเอลิซาเบธ ผู้สนับสนุนหลักทางการเงินของโปรเจ็กการสร้างอมนุษย์ของแฟรงเกนสไตน์ในครั้งนี้

การมาของเวอร์ชันนี้ทำให้ผู้ชมกลับมาทบทวนคำถามเดิมที่โลกยังตอบไม่ได้ นั่นคือ มนุษย์มีสิทธิ์แค่ไหนที่จะสวมบทพระเจ้า? แต่สิ่งที่ เดล โตโร พาเราไปไกลกว่าทุกเวอร์ชัน (และเป็นความใกล้เคียงหนังสือนิยายต้นฉบับมากที่สุด) นั่นคือการชี้ให้เห็นว่า แฟรงเกนสไตน์ไม่ได้เพียงอยากเป็นพระเจ้าเท่านั้น แต่เขาไม่อยากเป็น ‘พ่อ’ อีกด้วย

อสูรกายจากปลายปากกาของเด็กสาววัย 18

หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า ‘แฟรงเกนสไตน์’ ที่โด่งดังมาตลอดสองศตวรรษ หาใช่ชื่อของเจ้าปีศาจอสูรกายในเรื่องแต่อย่างใด หากแต่เป็นชื่อของ วิคเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ ผู้ที่สร้างมันขึ้นมากับมือต่างหาก และที่น่าตะลึงกว่านั้น เรื่องราวสยองขวัญนี้ถูกเขียนขึ้นโดย เด็กสาววัยเพียง 18 ปี ที่ชื่อ ‘แมรี เชลลีย์’ (Mary Shelley) ผู้ที่กลายมาเป็นนักประพันธ์อันโด่งดังในเวลาต่อมา

ในปี 1818 ที่สภาพสังคมทั่วทุกมุมโลกยังหมุนอยู่ใต้ร่มเงาของปิตาธิปไตยอย่างเข้มข้น เด็กสาวคนหนึ่งแทบไม่มีสิทธิ์จะพูดถึงวิทยาศาสตร์ ศาสนา หรือศีลธรรมด้วยน้ำเสียงของคนธรรมดา ไม่ต้องเอ่ยถึงการใช้น้ำเสียงแบบผู้รู้ด้วยซ้ำ แต่แมรีกลับใช้จินตนาการของเธอในการตั้งคำถามกับอำนาจสูงสุดในจักรวาลอย่างเรื่อง ‘การให้กำเนิด’ เธอไม่ได้เขียนด้วยความกล้าแบบนักเคลื่อนไหวทั่วไป หากแต่เขียนด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ถ่ายทอดผ่านงานประพันธ์แบบ ‘ผู้สังเกต’ แมรีมองเห็นความต้องการอยากมีพลังแบบพระเจ้า แต่ไม่อยากมีความรับผิดชอบแบบผู้ให้กำเนิดของผู้ชาย 

นี่อาจเป็นสิ่งที่ทำให้ แฟรงเกนสไตน์ กลายเป็นวรรณกรรมที่ไม่มีวันเก่าเลยจนแม้แต่ปัจจุบัน

การที่หญิงสาวอายุไม่ถึงยี่สิบปีคนหนึ่งได้ตั้งคำถามเชิงศีลธรรม ในยุคที่ระบบชายเป็นใหญ่ยังครองอำนาจแผ่ไปไพศาลนั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดา หากมองด้วยสายตาอันน่าทึ่งของคนในยุคนี้ แต่กับเมื่อสองร้อยปีก่อนนั้นต่างไป แฟรงเกนสไตน์จึงถูกพิมพ์ออกมาครั้งแรกในลักษณะของ ‘ผู้แต่งนิรนาม’ จนกระทั่งในการพิมพ์ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 ที่ชื่อของแมรีเริ่มปรากฏที่ปกหนังสือนิยาย ภายหลังที่โลกได้รู้จักแฟรงเกนสไตน์ไปแล้วถึง 3 ปีเต็ม

หญิงสาวที่ถูกกลบชื่อจากปกหนังสือ ได้เขียนเรื่องของสิ่งมีชีวิตที่ถูกปฏิเสธจากผู้สร้าง นี่อาจจะไม่ต่างจากสิ่งที่เธอรู้สึกต่อสังคมยุคนั้นเลย

ผู้ชายที่สร้างชีวิต… แต่ไม่คิดอยากดูแลชีวิตนั้น

แฟรงเกนสไตน์ ต้นฉบับเล่าเรื่องราวของ วิคเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ นักวิทยาศาสตร์หนุ่มชาวสวิสผู้หมกมุ่นจะ ‘สร้างชีวิต’ ขึ้นจากเหล่าซากศพไร้วิญญาณที่ถูกนำมาเชื่อมต่อเข้ากันเป็นร่างใหม่ แต่แล้วเมื่อวิคเตอร์ทำสำเร็จ เจ้าซากศพที่เขาสร้างขึ้นมานั้นเกิดมีชีวิตขึ้นมาได้จริง วิคเตอร์กลับตกใจ เขาเริ่มกลัว เริ่มเกลียด และทอดทิ้งมันทันที สิ่งมีชีวิตนั้นถูกทิ้งร้างจากผู้สร้าง มันทั้งโดดเดี่ยวและเคว้งคว้าง เท่านั้นยังไม่พอ ด้วยความอัปลักษณ์ของการเป็นซากศพเดินได้ มันยังโดนสังคมขับไล่ ทำร้ายทุบตี มันอ้อนวอน ร้องขอและถูกหักหลัง ถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนท้ายที่สุด ด้วยใจที่แตกสลาย มันเลือกจะไม่เป็นมิตรกับมนุษย์อีกต่อไป แต่เลือกที่จะแก้แค้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับคนที่สร้างมันขึ้นมากับมืออย่าง วิคเตอร์

วิคเตอร์ คือ ตัวแทนของชายหนุ่มผู้ให้ชีวิตแต่ไม่คิดอยากเป็นพ่อ แม้วิคเตอร์จะทุ่มเทกำลังและความตั้งใจไปกับการสร้างอมุนษย์ขนาดไหนก็ตาม แต่เมื่องานของเขาสัมฤทธิ์ผล ก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิตขึ้นมาแล้ว มันกลับไม่เปนดั่งใจเขา วิคเตอร์เลือกที่จะทอดทิ้งสิ่งนั้นไป ราวกับพ่อที่ทิ้งลูกทารกน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลก ไม่ประสากับสิ่งใด ไว้ตามลำพัง เขาคือชายผู้อยากรับบทพระเจ้าในการควบคุมการกำเนิดของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ควรมีชีวิต แล้วกลับไม่อยากทำหน้าที่ดูแลเอาใจใส่สิ่งนั้น

แมรีเขียนให้เราเห็นว่า ความรุนแรงไม่ได้มีจุดเริ่มตรงที่เลือดสาด แต่มันเริ่มจากตรงที่การโดนทอดทิ้งและปฏิเสธความรัก การไม่รับผิดชอบต่อชีวิตที่ตนสร้างคือ ‘บาปต้นทาง’ ของทุกโศกนาฏกรรม

แฟรงเกนสไตน์เป็นสัญลักษณ์ของชายที่อยากมีอำนาจในการให้กำเนิดโดยไม่ต้องผ่านเพศหญิง คือไม่ต้องอุ้ม ไม่ต้องเลี้ยงดู ไม่ต้องดูแลรับผิดชอบใด ๆ เขาอยากรับบทเป็นพระเจ้าแต่กลับปฏิเสธความเป็นพ่อ และนี่คือเส้นเลือดใหญ่ของแนวคิด ‘เฟมินิสต์’ ในงานของแมรี เชลลีย์ การตั้งคำถามต่อสังคมที่ยกย่องผู้ชายที่ ‘สร้าง’ แต่ไม่ต้องการที่จะ ‘ดูแล’

ความร่วมสมัยอย่างหนึ่งของแฟรงเกนสไตน์ อาจเป็นการเตือนนักวิทยาศาสตร์ นักสร้างสรรค์ ศิลปิน หรือแม้แต่ระบบเศรษฐกิจทั้งหลายว่า เราอาจกำลังสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเราเอง แต่ถ้าเราทอดทิ้งมันโดยไม่รับผิดชอบ สิ่งนั้นก็จะกลับมาทำลายเราในที่สุด ทั้ง AI, เทคโนโลยีชีวภาพ หรือแม้แต่โครงสร้างทางสังคม ก็ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตแบบใหม่ที่กำลังมองเราด้วยสายตาแบบเดียวกับที่ ‘เจ้าสิ่งมีชีวิต’ มองวิคเตอร์

สัตว์ประหลาดที่อยากเป็นมนุษย์

หรือมนุษย์ที่ติดอยู่ในร่างของสัตว์ประหลาด

ป๊อปคัลเจอร์ผูกโยงสำนึกของผู้คนเกี่ยวกับแฟรงเกนสไตน์เข้ากับการเป็นอสูรกายชิ้นส่วนศพผู้มีใบหน้าไร้อารมณ์ ในร่างสูงใหญ่ราวกับยักษ์ ที่ป่าเถื่อนและไร้หัวใจ เจ้าปีศาจตนนี้เป็นเพียงชิ้นเนื้อเดินได้โง่ ๆ ตัวนึงที่เที่ยวหลอกหลอนทำร้ายผู้คน จนกลายเป็นไอคอนอันโด่งดังในวันฮาโลวีน แต่ในต้นฉบับนั้น เจ้าสิ่งมีชีวิตกลับมีความคิดอันซับซ้อน มันเจ็บปวด และฉลาดอย่างน่าตกใจ มันพูดได้หลายภาษา อ่านหนังสือเป็น และมีจิตใจที่อ่อนไหว มันไม่ได้อยากทำร้ายใคร มันเพียงอยากถูกยอมรับว่าเป็นมนุษย์สักครั้ง และในเวอร์ชันของ เดล โตโร สิ่งนี้ได้รับการคืนชีพอย่างงดงาม เขาเลือกไม่ romanticize ความโกธิคหรือภาพความหลอนเกินจริง แต่ถ่ายทอดความโดดเดี่ยวและการแสวงหาความรักของสิ่งมีชีวิตที่ถูกปฏิเสธตั้งแต่วันแรกที่ลืมตา

Frankenstein (2025) จึงไม่ใช่หนังสยองขวัญ แต่คือหนังเศร้าของเด็กที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งตั้งแต่เกิด เพียงแต่เด็กคนนั้นสูงสองเมตรและถูกเย็บด้วยด้ายเหล็กเท่านั้นเอง

ปีศาจไม่ได้เกิดจากซากศพ แต่จากความรักที่ขาดหาย

‘เจ้าสิ่งมีชีวิต’ ในเรื่องไม่ได้เกิดมาโหดร้าย แต่การถูกขับไล่ ถูกทำร้าย ถูกหักหลัง และถูกมองว่าไม่ใช่มนุษย์ต่างหากที่บ่มเพาะความแค้นในใจมัน แมรีเขียนสิ่งนี้ไว้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ก่อนที่โลกจะมีจิตวิทยาเชิงสังคม เธอเข้าใจแล้วว่า ‘การทอดทิ้ง’ คือรากของความรุนแรง และในขณะเดียวกัน เธอก็เขียน ‘จรรยาบรรณของนักวิทยาศาสตร์’ ก่อนที่โลกจะรู้จักคำว่า ‘bioethics’ ถึง 160 ปี 

มันน่าทึ่งที่เด็กสาววัยไม่ถึงยี่สิบ มองเห็นขอบเขตของอำนาจมนุษย์ได้ลึกกว่าผู้ใหญ่ทั้งโลก ซึ่งความเข้าใจเรื่องพลังและความรับผิดชอบอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เนื่องจากแม่ของแมรี เชลลีย์ คือ ‘แมรี โวลสโตนคราฟต์’ (Mary Wollstonecraft) นักคิดและนักเขียนผู้บุกเบิกแนวคิดสิทธิสตรีในอังกฤษ เจ้าของงานคลาสสิก ‘A Vindication of the Rights of Woman’

‘แมรี เชลลีย์’ สาววัย 18 ผู้ให้กำเนิด ‘แฟรงเกนสไตน์’ ท้าทายปิตาธิปไตย

ลูกสาวของนักสตรีนิยม จึงใช้ปากกาเขียนคำถามต่ออำนาจของชายในรูปแบบที่ลึกและเฉียบกว่า เธอไม่ต่อว่า ไม่กล่าวโทษ แต่เลือกสร้างตำนานที่ทำให้ผู้ชายต้องตั้งคำถามกับตนเองไปอีกหลายศตวรรษ

เมื่อเรื่องสยองกลายเป็นเรื่องรัก

แม้ แฟรงเกนสไตน์ จะถูกจัดอยู่ในหมวดสยองขวัญ แต่แก่นแท้แล้วมันคือเรื่องของ ‘ความรัก’ ทั้งความรักที่ไม่ถูกมอบให้ ทั้งความรักที่ถูกปฏิเสธ และความรักที่อยากมีแต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน หลายความเห็นยังโต้แย้งกันอยู่ว่า แฟรงเกนสไตน์ ควรถูกจัดอยู่ในหมวดหนังสือ ‘โรแมนติก’ ด้วยซ้ำ เพราะมันพูดถึงความปรารถนาในการเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ในระดับที่ลึกกว่ารักโรแมนติกทั่วไป

ในหนังของ เดล โตโร เอลิซาเบธกลายเป็นตัวแทนของแสงอ่อน ๆ ที่ฉายเข้ามาในโลกมืดของวิคเตอร์และเจ้าสิ่งมีชีวิต เธอคือสัญลักษณ์ของความอบอุ่น ความเมตตา และการยอมรับที่ทั้งสองฝ่ายไม่เคยได้สัมผัส

Frankenstein ไม่ใช่เรื่องของปีศาจ แต่คือเรื่องของการกลายเป็นปีศาจ

สิ่งที่ เดล โตโร ทำได้อย่างน่าชื่นชม คือการนำเรื่องราวกลับไปยังรากที่แมรีตั้งใจไว้ เขาไม่ทำให้ ‘เจ้าสิ่งมีชีวิต’ เป็นเพียงอสูรกายที่ไร้ความคิด แต่เป็นกระจกสะท้อนความกลัว ความผิด และความรักที่หายไปในตัวมนุษย์ เราไม่ได้กลัวสิ่งที่แฟรงเกนสไตน์สร้าง เราแค่กลัวจะต้องเห็นตัวเองในนั้น เพราะสุดท้าย มนุษย์ทุกคนต่างมีด้านที่เป็น ‘ผู้สร้าง’ และ ‘ผู้ทอดทิ้ง’ อยู่ในเวลาเดียวกัน

Frankenstein ไม่ใช่เรื่องของปีศาจ แต่เป็นเรื่องของความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เราสร้างขึ้น แมรี เชลลีย์ เขียนเตือนมนุษย์ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ว่าพลังของผู้สร้างจะกลายเป็นภัยหากไร้ความรักนำทาง วิคเตอร์ แฟรงเกนสไตน์คือชายที่อยากมีอำนาจเหนือชีวิต แต่ไม่อยากมีความผูกพันกับชีวิตนั้น เขาอยากเป็นพระเจ้า แต่ไม่อยากเป็นพ่อ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ Frankenstein เป็นเรื่องที่ยัง ‘มีชีวิต’ มาจนทุกวันนี้ เพราะมันถามคำถามที่ไม่มีวันตายว่า….

เมื่อเราสร้างบางสิ่งขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นชีวิต งาน หรือความสัมพันธ์ เราจะเลือก ‘ดูแล’ มัน หรือจะทิ้งมันไว้ให้กลายเป็น ‘ปีศาจ’ ในคืนที่เราไม่อยู่ดูมันเติบโต

 

เรื่อง: poonpun

ภาพ: Getty Images และ Netflix