Wednesday 2: เมื่อความเข้มข้นกลายเป็นบททดสอบแฟนคลับ กับหมัดเด็ดที่มาตอนท้าย

Wednesday 2: เมื่อความเข้มข้นกลายเป็นบททดสอบแฟนคลับ กับหมัดเด็ดที่มาตอนท้าย

รีวิว ‘Wednesday’ ซีซั่น 2 กับความลึกลับที่เพิ่มขึ้นและเสน่ห์เย็นเฉียบของน้องวันพุธ ที่ทำให้แฟน ๆ ต้องจับตารอคำตอบในพาร์ทต่อไป

KEY

POINTS

เป็นอีกครั้งที่การหั่นหนังออกเพื่อฉายทีละครึ่ง อาจเป็นได้ทั้ง ‘ยาหอม’ และ ‘ยาขม’ มันอาจไม่ใช่กลยุทธ์สร้างสรรค์เสมอไป ในแง่หนึ่งอาจมีส่วนช่วยสร้างแรงรอคอยได้บ้าง กระตุ้นให้ผู้ชมเก็บความคาดหวังไว้ลุ้นในพาร์ทต่อไป แต่หากครึ่งแรกไม่ทรงพลังมากพอ ก็เสี่ยงอย่างยิ่งที่จะเปลี่ยนเป็นจุดอ่อน จนทำให้ผู้ชมบางส่วนหมดแรงอยากตามต่อไปครึ่งหลัง แม้ช่วงรอยต่อเพียงหนึ่งเดือนจะดูไม่นานเท่าใด แต่ในยุคที่คอนเทนต์หลั่งไหลและคู่แข่งมีมากมาย การเว้นช่วงสั้น ๆ อาจกลายเป็น ‘ดาบสองคม’ ได้ ยังไม่นับว่าบางคนเลือกจะรอดูรวดเดียว เพื่อไม่ให้เสียอรรถรส ขณะที่บางคนนั้น หากพาร์ทแรกไม่เปรี้ยงพอ ก็อาจตัดสินใจเลิกดูไปเลย และนี่คือหน้าที่ของ ‘พลังการเล่าเรื่อง’ ในครึ่งแรกที่ต้องแข็งแรงมากจริง ๆ ถึงจะรั้งใจคนดูเอาไว้ได้

เนื้อหา ‘Wednesday’ ซีซั่นสองพาร์ทแรกนี้ยังคงผสมโทนแฟนตาซีตลกร้ายเข้ากับโครงเรื่องสืบสวนลึกลับเหมือนเดิม อัดแน่นไปด้วยปริศนาที่ค่อย ๆ เผยและพลิกผันตามสไตล์เดิม แต่ความต่างอยู่ตรงที่ไดนามิกและเสน่ห์รายล้อมที่เคยช่วยพยุงให้ซีรีส์กลมกล่อมได้หายไป 

ในภาคแรกนั้น ความสัมพันธ์ของ ‘เวนส์เดย์’ กับคนรอบข้าง ทั้งกับชายหนุ่มสองคนที่สร้างแรงดึงดูดในเรื่องของรักสามเส้า และกับ ‘อีนีด’ สาวน้อยรูมเมตแสนดีที่คอยมอบมิตรภาพอบอุ่นให้ เหล่านี้ช่วยเพิ่มสีสันและบาลานซ์ความดาร์กของเรื่องให้พอดี ทว่าในซีซั่นนี้ อีนีดเองกลับมีเส้นเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ เป็นของตัวเอง ทำให้บทบาทผู้ประคับประคองต่อเวนส์เดย์จืดจางลง ส่งผลให้โทนโดยรวมกลับเข้มข้นขึ้น กลายเป็นลดมิติของความอบอุ่นน่ารักแบบที่เคยมีไป

ซีซั่นก่อน เราได้กลิ่นอายโรงเรียนเวทมนตร์ที่แม้จะมืดหม่น แต่กลับซ่อนสีสันลูกกวาดของชีวิตวัยรุ่นเอาไว้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ขับให้โทรดาร์กของเรื่องดูมีชั้นเชิงมากขึ้น ขณะที่แม้ซีซั่นใหม่นี้จะยังเต็มไปด้วยตัวละครวัยรุ่นอยู่เช่นเดิม แต่เนื้อหากลับซับซ้อนขึ้นอย่างชัดเจน เต็มไปด้วยปริศนามากมายและบทสนทนาที่หนาแน่น ซึ่งในแง่หนึ่งคือการขยายฐานแฟนที่ชอบงานสืบสวนเชิงลึก ทว่าอีกแง่หนึ่งก็เสี่ยงทำให้ผู้ชมที่ต้องการความกระชับและฉับไวรู้สึกหนืดเนือยไปหน่อย จนกลายเป็นชวนง่วง (แถมผู้ชมในส่วนนี้ยังเป็นส่วนใหญ่เสียด้วย) เนื่องจากจังหวะตื่นเต้นดันไปถูกเก็บไว้ใช้ที่ช่วงท้ายพาร์ทแรกเท่านั้น

ในเชิงโครงสร้าง นี่คือความท้าทายของการเลือกจะเล่าเรื่องที่ทับซ้อนประเด็นหลายชั้น ทั้งการสืบสวนคดีฆาตกรรม ปมตัวละครเก่า และการปูพื้นตัวละครใหม่ โดยไม่ปล่อยให้คนดูได้พักด้วยฉากเบรกที่มีพลังดึงดูดทางอารมณ์แบบในภาคแรก ซึ่งเคยมีบางฉากที่ให้เราได้เห็นด้านเปราะบางของเวนส์เดย์หรือความสัมพันธ์น่ารักมุ้งมิ้งกับอีนีดอย่างเป็นธรรมชาติ

ส่วนประเด็นความสัมพันธ์เชิงโรแมนซ์ระหว่างเวนส์เดย์กับอีนีดนั้น ยังคงเป็น Talk of the Town ของแฟน ๆ หลายคนที่คาดหวังจะเห็นความรักนอกเหนือจากมิตรภาพ แต่ผู้สร้างกลับยืนยันอย่างแข็งขันว่าทั้งคู่เป็นเพียง ‘เพื่อนสนิท’ เหมือนจะตั้งใจรักษาโทนเรื่องให้ห่างจากความเป็นโรแมนติกแบบยูริ ซึ่งในมุมหนึ่งก็เป็นการคงวิสัยทัศน์เดิม แต่ในอีกมุมก็อาจพลาดโอกาสสร้างแรงดึงดูดกับฐานแฟนบางกลุ่มที่รอเส้นเรื่องนี้อยู่

แล้วมีอะไรน่าสนใจในซีซั่นนี้? 

ไม่ใช่ทุกปมจะถูกคลี่คลาย สาวน้อยสมองไวจึงกลับมา

“ฉันไม่ใช่ฮีโร่ ฉันเล่นสกปรกทุกครั้ง ไม่เคยสู้แบบแฟร์ ๆ” บทพูดจากซีซั่นล่าสุด อันเป็นเสมือนลายเซ็นของเด็กสาวที่โลกทั้งใบจดจำได้ในชื่อ ‘เวนส์เดย์ แอดดัมส์’ ลายเซ็นอันเป็นเอกลักษณ์และเลียนแบบได้ยาก

ราวสามปีก่อน โลกได้ทำความรู้จักกับ ‘Wednesday’ เวอร์ชั่น Netflix ตัวละครในจักรวาล ‘The Addams Family’ ที่หยิบเอาลูกสาวของครอบครัวนี้มาตีความและสร้างเรื่องราวใหม่ เป็นตัวละครแอนตี้ฮีโร่ที่หยิบเอากลิ่นอายป๊อปคัลเจอร์มาผสมกับความหม่นแบบโกธิกได้อย่างมีเสน่ห์ ตัวตนของเธอคือส่วนผสมระหว่างความเฉยชาที่เย็นเยือกกับไหวพริบคมกริบที่พร้อมเฉือนคู่สนทนาให้เลือดซิบ ตั้งแต่วินาทีแรกที่ปรากฏตัวบนจอ เธอไม่ได้ตั้งใจมาเพื่อให้ใครรัก แต่กลับทำให้ผู้ชมทั้งโลกตกหลุมรักในความไม่แคร์โลกของเธอ

‘น้องวันพุธ’ รับบทโดยนักแสดงสาวดาวรุ่งอย่าง ‘เจนน่า ออร์เทก้า’ ซีรีส์เปิดตัวครั้งแรกในปี 2022 และแทบจะกลายเป็นกระแสฟีเวอร์ในชั่วข้ามคืน ทั้งชาเลนจ์เต้นไวรัลบนโซเชียลมีเดีย คลิปตัดต่อใบหน้าขรึมของเธอ และการแต่งคอสเพลย์ที่โผล่ในทุกมุมโลก Wednesday กลายเป็นไอคอนร่วมสมัยที่ทั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่พูดถึงอย่างไม่ขาดปาก อย่างที่เราเห็น ๆ กันมาแล้ว

ซึ่งกับภาคใหม่นี้ ที่ยังไม่มีสิ่งที่ทดแทนเทียมเท่ากันได้ พลังปากต่อปากแบบซีซั่นแรกของเวนส์เดย์เสื่อมคลายลงตามครรลองของหนังภาคต่ออย่างน่าเสียดาย

ในภาคก่อน เราเห็นเธอเผชิญกับคดีฆาตกรรมลึกลับในโรงเรียน Nevermore Academy สาวน้อยใช้ทั้งสติปัญญาและความกล้า (แบบไม่สนกติกาใด ๆ) ไล่สืบจนคลี่คลายปริศนาได้ ความจริงอันโหดร้ายถูกเปิดโปง นี่ไม่เพียงสร้างความตื่นเต้นให้ผู้ชมเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำภาพลักษณ์ว่าเธอไม่ใช่สาวน้อยที่รอคอยความช่วยเหลือ หากแต่เป็นนักล่าที่พร้อมลงมือด้วยตัวเองอย่างเงียบ ๆ

ความสำเร็จที่เกินความคาดหมายทำให้ Netflix ไม่รอช้า รีบประกาศสร้างซีซั่น 2 ออกมาเกือบจะในทันทีที่จบซีซั่นแรก เพราะทุกคนรู้ดีว่าเวนส์เดย์ในเวอร์ชั่นนี้ คือหัวใจหลักของซีรีส์ ทั้งจากการออกแบบคาแรกเตอร์ที่เฉียบขาด และการแสดงที่ดึงดูดจนคนดูแทบละสายตาไม่ได้ของเจนน่า ออร์เทกา

เรื่องราวในซีซั่นสองเริ่มขึ้นหลังจากเหตุการณ์สัตว์ประหลาดออกอาละวาดถูกยุติ เวนส์เดย์ แอดดัมส์ ยังคงหมกมุ่นอยู่กับการค้นคว้าและลงมือเขียนนิยายสยองขวัญของตัวเอง ควบคู่ไปกับการฝึกควบคุมพลังจิตที่เธอเพิ่งเริ่มเข้าใจและใช้งานได้ หนังแสดงให้เห็นการรับมือกับความโดดเด่นการแบกรับความสำเร็จจากภารกิจในภาคก่อนจนกลายเป็นภาระทางจิตใจของเวนส์เดย์ หญิงสาวไม่สบายใจกับการถูกยกย่องชื่นชม หรือแม้แต่มีด้อมเป็นของตัวเอง ไหนจะความรู้สึกกดดันต่อการฝึกฝนพลังจิตที่ค่อนข้างไม่ก้าวหน้า หลักฐานในเรื่องนี้คือน้ำตาสีดำที่ไหลออกมาเป็นทางให้ต้องรีบเช็ดออกเพราะไม่ต้องการให้ใครเห็นความเปราะบางของพลังที่เธอมี

โรงเรียน Nevermore Academy ได้ต้อนรับครูใหญ่คนใหม่ที่มาสืบทอดตำแหน่งต่อจากคนก่อน อันทำให้บรรยากาศในโรงเรียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่สำหรับเวนส์เดย์ ชีวิตประจำวันยังคงดำเนินไปอย่างไร้ความตื่นเต้นใด ๆ จนกระทั่งเธอได้พบเหตุฆาตกรรมในป่าใกล้โรงเรียน เรื่องนี้กลายเป็นชนวนเหตุให้เวนส์เดย์ต้องก้าวเข้าสู่การสืบสวนครั้งใหม่ เพื่อตามล่าหาตัวฆาตกรที่อยู่เบื้องหลังในเหตุการณ์หลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่อง และค่อย ๆ พบความจริงที่ชวนตะลึงในท้ายที่สุด

นอกจากนี้เธอยังมีความขัดแย้งเล็ก ๆ กับ ‘มอร์ทิเซีย’ แม่ของเธอ ต้นเหตุจาก ‘คัมภีร์เวทมนตร์ของกู๊ดดี้’ มรดกล้ำค่าของตระกูลที่เวนส์เดย์กำลังค้นหาความเชื่อมโยงของตัวเองกับพลังลี้ลับที่สืบทอดกันมาเป็นเวลานาน

Wednesday 2: เมื่อความเข้มข้นกลายเป็นบททดสอบแฟนคลับ กับหมัดเด็ดที่มาตอนท้าย

อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ซีซั่นนี้แตกต่างจากเดิม คือบทบาทที่เพิ่มขึ้นของครอบครัวแอดดัมส์ จากเดิมที่โผล่มาเพียงช่วงต้นและท้ายเรื่อง คราวนี้ทั้งครอบครัวย้ายมาอยู่ใกล้โรงเรียนในบ้านพักชายป่า ตัว ‘พักส์ลี่ย์’ น้องชายยังได้เข้ามาเรียนที่ Nevermore ในปีนี้อีกด้วย นอกจากเราจะได้เห็นความตึงเครียดระหว่างเวนส์เดย์กับแม่แล้ว เรายังได้เห็นความเครียดที่ถูกส่งต่อมาจากแม่และคุณยายของเวนส์เดย์ ‘ลุงเฟสเตอร์’ จอมเพี้ยนก็มีบทบาทสำคัญในการช่วยเวนส์เดย์สืบคดีลึกลับที่เกี่ยวพันกับโรงพยาบาลวิลโลว์ ฮิลล์ และแน่นอน ‘ธิง’ มือขวาที่ไม่เคยทิ้งกัน ก็ยังคงทำหน้าที่เป็นคู่หูรับคำสั่งในการปฏิบัติภารกิจเสี่ยงตายต่าง ๆ ให้กับเวนส์เดย์อยู่เสมอ

การผจญภัยในเส้นเรื่องของภาคก่อน แทบจะเรียกได้ว่าเวนส์เดย์นั้นห่างไกลจากความรับรู้ของคนในครอบครัวโดยสิ้นเชิง (ไม่นับธิงที่เสมือนเป็นคนในครอบครัว) ทั้งแม่ทั้งพ่อมีบทบาทเพียงแค่ส่งให้เวนส์เดย์ดูเป็นคนมีความคิดเห็นที่หลุดกรอบจากที่ครอบครัวหวังไว้เท่านั้น ในมุมหนึ่งการเพิ่มบทบาทของครอบครัวในภาคนี้ก็ช่วยส่งเสริมมิติตัวตนของเวนส์เดย์ให้ได้มีหลากหลายมุมมองขึ้น แต่เหนือสิ่งอื่นใด การเพิ่มความขัดแย้งของแม่กับเธอเข้ามา ก็เพื่อจะนำไปสู่อีกแนราทีฟของเรื่องที่อาจจะมีบทบาทมากขึ้นในพาร์ทสอง รวมถึงเรื่องราวความลับของ ‘โอฟีเลีย’ ผู้มีศักดิ์เป็นน้า น้องสาวผู้ลึกลับของมารดาเธอด้วย

*** หลังจากนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเนื้อเรื่อง

ตอนจบของพาร์ทแรกนี้เผยความจริงสุดช็อกว่า ‘LOIS’ (Long-Term Outcast Integration Study) ที่ลุงเฟสเตอร์กับเวนส์เดย์เข้าใจไปเองว่าหมายถึงชื่อบุคคล แท้จริงคือโครงการลับที่จับ ‘Outcast’ หรือ ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ มาทดลองเพื่อถ่ายโอนพลังเหนือธรรมชาติเหล่านั้นไปให้กับ ‘Normies’ หรือ ‘คนธรรมดา’ ให้แปรเปลี่ยนเป็นผู้มีพลังเหนือมนุษย์ 

LOIS คือการทดลองที่ผิดศีลธรรมและกฎหมาย (ละเมิด หน่วงเหนี่ยวอิสรภาพ และขโมย) และเราอาจได้เห็นมันถูกขยายประเด็นให้ลึกขึ้นหรือมีบทบาทในฐานะโครงการสำคัญต่อเรื่องราวในพาร์ทหน้า มากไปกว่าการเป็นแค่ฉากหลังของเรื่องราวที่เวนส์เดย์กำลังตามติดในพาร์ทนี้เท่านั้น

หนังจบพาร์ทแบบ cliff-hanger ในแบบที่มั่นใจว่าอย่างไรเสีย แฟน ๆ ที่รักในตัวซีรีส์หรือแม้แต่ผู้ที่เป็น ‘ด้อม’ นอกจอตัวจริงของน้องวันพุธ ก็ต้องตั้งตารอดูตอนต่อไปให้จงได้

ซีซั่นนี้ยังเต็มไปด้วยนักแสดงใหม่ที่เป็นดารารุ่นเก๋า ถูกเพิ่มมาเพื่อดึงดูดกลุ่มผู้ชมผู้ใหญ่โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น สตีฟ บุสเซมิ ในบท แบร์รี่ ดอร์ท ครูใหญ่คนใหม่ผู้ยกย่องเวนส์เดย์เป็นฮีโร่, บิลลี่ ไพเพอร์ ในบทหัวหน้าภาควิชาดนตรี, แทนดี้ นิวตัน ในบท ดร.แฟร์เบิร์น หัวหน้าภาควิชาจิตเวช, คริสโตเฟอร์ ลอยด์ (จาก Back to the Future ในตำนาน) ในบทอาจารย์อาวุโสที่เหลือเพียงศีรษะดองอยู่ในโหลแก้ว รวมถึง ฮาร์ลี่ โจเอล ออสเมนท์ อดีตดาราเด็กตัวตึงของวงการ รับเชิญในบทฆาตกรต่อเนื่องแห่งแคนซัสซิตี้ บทเล็ก ๆ ตอนต้นเรื่อง 

นอกจากนี้ตัวละครจากซีซั่นแรกก็กลับมากันแทบครบ ยกเว้นก็แต่ ‘เพอร์ซี่ ไฮนส์ ไวท์’ (จากบทซาเวียร์) ที่ถูกถอดออกจากซีรีส์เพราะคดีฉาวในอดีต และถูกเขียนให้ย้ายไปเรียนที่ Reichenbach Academy ในสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมจดหมายอำลาลึกลับแทน

และในพาร์ทหลังแฟน ๆ จะได้เห็น ‘Lady Gaga’ ในบท ‘โรซาลีน ร็อตวูด’ ตัวละครปริศนาที่อาจเป็นทั้งคีย์แมนผู้กุมความลับ หรืออาจเป็นวายร้ายตัวฉกาจก็เป็นได้ นี่คืออีกหนึ่งหมัดเด็ดที่ทำให้ใคร ๆ ต่างตั้งตารอชมพาร์ทสอง ที่จะออนแอร์ในวันที่ 3 กันยายนที่จะถึงนี้

เมื่อ Wednesday สะดุดจังหวะ แต่ยังตรึงใจคนได้อยู่

เพราะไดนามิคของเรื่องที่ไม่ค่อยทรงพลังเท่าซีซั่นแรก เพราะเนื้อหาที่เข้มข้นกว่ากลายเป็นเข้มข้นจนเกินไป เป็นรสชาติที่ไม่อร่อยกลมกล่อมเท่าเดิม ไม่แปลกที่บางคนจะยอมแพ้ กดออกหรือเลิกดูไปก่อน หรือแม้กระทั่งหลับกลางเรื่อง แต่เมื่อมันเดินทางมาถึงตอนสุดท้ายของพาร์ทแรก อยู่ ๆ คนดู (ที่ไม่ได้หลับ) ก็เหมือนถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ยาวนาน หลังจากผ่านความเนิบช้าชวนหลุดโฟกัสไปบ้าง ความเข้มข้นก็กลับมาพุ่งหาใส่ผู้ชมอีกครั้งในโค้งสุดท้าย ปริศนาหลาย ๆ ชั้นที่ทับซับซ้อนกันมาเริ่มเผยเค้าลางคำตอบที่สั่นคลอนและชวนสงสัยกว่าเดิม น่าตื่นเต้นกว่าเดิม สิ่งนี้ทำให้ผู้ชมรู้สึกได้รับรางวัลตอบแทนจากการไม่เผลอหลับและอดทนดูมาตลอด เวลาและความตั้งใจที่เสียไปไม่สูญเปล่า และยังทิ้งหมัดเด็ดที่ทำให้เราอยากรอดูพาร์ทต่อไปอย่างใจจ่ออีกด้วย

สุดท้าย แม้การเล่าเรื่องในพาร์ทแรกของซีซั่นนี้จะมีจังหวะดร็อปไปบ้าง มึนในความลึกลับ และการคลี่คลายปม แถมโครงเรื่องยังซับซ้อนชวนให้รู้สึกว่าพลังดึงดูดมันหดลงไปดังที่กล่าว ทว่าสิ่งหนึ่งที่ยังคงเสมอต้นเสมอปลาย คือเสน่ห์ของ Wednesday ฉบับเจนน่า ออร์เทก้า ที่แม้เรื่องราวรอบตัวจะเป็นเช่นไรก็ตาม เธอก็ยังคงทำให้เวนส์เดย์ฉบับของเธอนั้นดึงดูดความสนใจผู้ชมเสมอ ใบหน้าเรียบตึง ดวงตาเบิกกว้าง คำพูดเหน็บให้เจ็บจี๊ดยังคงทำให้เราอมยิ้มและหัวเราะได้ตลอด นี่อาจเป็นส่วนสำคัญที่สุด ที่ทำให้ผู้ชมยังตามดูต่อจนจบ และยังคงติดตามดูตอนต่อไปเลยก็ว่าได้