12 มิ.ย. 2568 | 15:17 น.
KEY
POINTS
เมื่อเสียงขู่ฟ่อของ ‘สติทช์’ แทรกซึมเข้าไปในหัวใจผู้คน หรือเมื่อสายตาสีเขียวของ ‘เขี้ยวกุด’ บ่งบอกถึงความรักโดยไม่ต้องใช้คำพูด นั่นคือพลังแห่งการเล่าเรื่องของชายผู้หนึ่ง… ‘คริสโตเฟอร์ ไมเคิล แซนเดอร์ส’
คริส แซนเดอร์ส ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 1962 ณ โคโลราโดสปริงส์ รัฐโคโลราโด ท่ามกลางภูเขาหิมะและอากาศที่บริสุทธิ์
ที่บ้านของเขา ศิลปะไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ พ่อของเขาชอบร่างภาพนามธรรมและยานอวกาศแบบ Buck Rogers ทุกคืนวันศุกร์ ทั้งครอบครัวจะนั่งล้อมวงกันวาดภาพ คริสเป็นลูกคนกลางในสามพี่น้อง และเป็นเพียงคนเดียวที่หลงใหลในกล้อง Super 8 ของพ่อ
ยามว่างจากการวาดภาพ เขาจะใช้เครื่องพิมพ์ดีด Underwood เขียนเรื่องสั้น ๆ ที่มักจบด้วยความโชคร้าย ความทุกข์ และหายนะ
แม้จะมองว่าแอนิเมชันเป็นเรื่องที่ไกลตัว แต่เมื่อคุณยายของเขาแนะนำให้เขาไปเรียนด้านนี้ เขาก็เดินหน้าเข้าสู่ California Institute of the Arts (CalArts) ที่ซึ่งเขาไม่ได้แค่เรียนรู้เทคนิคการวาด แต่ได้เรียนรู้วิธีเปลี่ยน ‘ความรู้สึก’ เป็น ‘รูปร่าง’ ซึ่งได้กลายเป็นลายเซ็นในผลงานของเขาตลอดชีวิต
หลังจบการศึกษา เขาเริ่มต้นอาชีพด้วยการออกแบบตัวละครให้กับ ‘Muppet Babies’ ต่อมาในปี 1987 จึงเริ่มต้นการทำงานกับ ‘Walt Disney Company’ ในแผนกพัฒนาภาพ งานแรกที่ทำให้เขาโดดเด่นคือการทำ storyboard ให้กับ ‘The Rescuers Down Under’ ซึ่งเปิดประตูสู่การทำงานกับผลงานระดับตำนานของดิสนีย์
ในฐานะ story artist เขามีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ Beauty and the Beast, Aladdin, และ The Lion King ซึ่งนับเป็นภาพยนตร์ที่กำหนดมาตรฐานแอนิเมชันยุค 90 เขาไม่ได้เป็นเพียงผู้วาดในเงา แต่เป็นผู้ที่ช่วยกำหนดจิตวิญญาณของเรื่องราวเหล่านี้ด้วย
สิ่งที่น้อยคนรู้คือตัวละคร ‘สติทช์’ เกิดขึ้นก่อนหนัง ‘Lilo & Stitch’ ถึง 17 ปี โดยในปี 1985 แซนเดอร์สพยายามเขียนหนังสือเด็กเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดป่าตัวหนึ่งที่ถูกสังคมรังเกียจและไม่รู้ที่มาที่ไปของตัวเอง แต่เขาไม่สามารถบีบเรื่องราวนี้ให้อยู่ในรูปแบบหนังสือสั้นได้
เมื่อ ‘ทอม ชูมาเคอร์’ (Tom Schumacher) หัวหน้าแผนกแอนิเมชันของดิสนีย์ถามว่าเขามีอะไรอยากพัฒนาบ้าง แซนเดอร์สจึงนำเรื่องนี้มาเล่า แล้วก็เป็นชูมาเคอร์ที่แนะนำให้เขาย้ายเรื่องราวของสัตว์ประหลาดตัวนี้ไปสู่โลกมนุษย์ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้าง Lilo & Stitch
ความพิเศษของ Lilo & Stitch อยู่ที่การเล่าเรื่องของ ‘ครอบครัวที่เลือกเอง’ และความโดดเดี่ยวในสังคมสมัยใหม่ แซนเดอร์สไม่ได้แค่กำกับ เขาเป็นคนวาดเอง เขียนบทเอง และให้เสียงพากย์สติทช์เอง เพราะไม่มีใครเข้าใจความซนของตัวละครนี้ได้เท่าผู้ที่สร้างมันขึ้นมา
แต่ความสำเร็จมาพร้อมกับความขัดแย้ง เมื่อบริษัทเริ่มบีบให้เขาเลือกระหว่างอิสระทางศิลปะกับความมั่นคงทางอาชีพ ในปี 2006 เขาถูกถอดจากตำแหน่งผู้กำกับ ‘American Dog’ ซึ่งต่อมากลายเป็น ‘Bolt’ ภายใต้การกำกับใหม่
การออกจากดิสนีย์นำเขาไปสู่ ‘DreamWorks’ ที่เขาได้พบกับโอกาสในการกำกับ ‘How to Train Your Dragon’ ร่วมกับ ‘ดีน เดอบลัวส์’ (Dean DeBlois) หุ้นส่วนคู่ใจจาก Lilo & Stitch เขาออกแบบเขี้ยวกุดให้เป็น ‘มังกรที่น่ากอด’ เพราะเชื่อว่าแม้แต่สิ่งที่เรากลัวก็มีด้านที่ต้องการความรัก
ความพิเศษของ How to Train Your Dragon อยู่ที่ฉาก ‘Forbidden Friendship’ ที่ไม่มีบทสนทนาเลย มีแค่ฮิคคัพกับเขี้ยวกุด และเสียงดนตรีเท่านั้น แซนเดอร์สเคยเล่าถึงเบื้องหลังฉากนี้ว่า “เราไม่สามารถสร้างบทสนทนาให้ฉากนี้ได้ ไม่ว่าจะใส่คำพูดอะไรลงไป มันดูจะเก้งก้างและน่าอึดอัดไปหมด จนถึงจุดที่ ‘อลาน ซิลเวสตรี’ (Alan Silvestri) นักประพันธ์ของทีม พูดขึ้นมาว่า ให้ผมพูดแทนเถอะ”
การค้นพบนี้เปลี่ยนทุกอย่างสำหรับทั้งคู่ พวกเขาตระหนักว่าดนตรีคือเสียง ๆ หนึ่ง ไม่ใช่แค่เบื้องหลัง และนั่นทำให้ ‘Forbidden Friendship’ กลายเป็นหนึ่งในฉากที่โดดเด่นที่สุดในภาพยนตร์แอนิเมชัน
ต่อมาเขาร่วมกับ ‘เคิร์ก เดมิคโค’ สร้าง ‘The Croods’ ซึ่งเป็นการตั้งคำถามว่า “เราจะเติบโตไปพร้อมกันได้อย่างไรในโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็วกว่าใจ” ในทุกผลงานของเขา เขาไม่เคยหยุดสำรวจธีมของการเป็นคนนอกกลุ่ม การยอมรับ และการเรียนรู้ที่จะรัก
ในปี 2020 เขาก้าวออกจากโลกแอนิเมชันเป็นครั้งแรกเพื่อกำกับภาพยนตร์คนแสดง ‘The Call of the Wild’ ซึ่งเป็นความท้าทายใหม่ในอาชีพของเขา ก่อนจะหวนกลับสู่รากเหง้าด้วย ‘The Wild Robot’ ในปี 2024
The Wild Robot เป็นผลงานแรกที่เขากำกับคนเดียวอย่างสมบูรณ์ ความกังวลของเขาไปถึงขนาดที่ไม่ยอมย้ายเข้าห้องทำงานใหม่ตลอดสามปีของการผลิต “…ผมพร้อมที่จะถูกไล่ออกเสมอเพราะผมไม่มั่นใจ”
สิ่งที่ดึงดูดเขาสู่ The Wild Robot คือ ‘อารมณ์’ ของเรื่อง “ผมมองหาการเล่าเรื่องที่อัดแน่นไปด้วยอารมณ์ นั่นแหละคือแรงดึงดูดของผม ฉันอ่าน The Wild Robot แล้วชอบอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ในนั้นจริง ๆ”
เขาไม่ต้องการให้ ‘รอซ’ ตัวละครหลักเป็นแค่หุ่นยนต์ที่กลายเป็นมนุษย์ในแบบธรรมดา “นั่นเป็นเส้นทางที่ถูกใช้มามากแล้ว แต่สำหรับเธอ (รอซ) เธอมีความละเอียดอ่อนในการพัฒนา และไม่เคยตกอยู่ในจุดที่เรียบง่ายเกินไป”
กระบวนการสร้าง The Wild Robot เป็นการปฏิวัติทางเทคนิค เพราะไม่มีรูปทรงเรขาคณิตใต้สิ่งใด ๆ เลยยกเว้นตัวละคร ทุกอย่างถูกวาดด้วยมือ หนังทั้งเรื่องจึงดูเหมือนภาพเขียนที่เคลื่อนไหว
เขาได้รับแรงบันดาลใจจากภาพไผ่น้ำของ ‘ไทรัส วอง’ (Tyrus Wong) ใน ‘Bambi’ และผลงานของ ‘ฮายาโอะ มิยาซากิ’ (Hayao Miyazaki) โดยเฉพาะ ‘My Neighbor Totoro’ “มันเป็นหนึ่งในสภาพแวดล้อมที่ดึงดูดที่สุดที่ผมเคยเห็น และแสดงให้เห็นว่ามนุษย์สามารถทำอะไรได้เมื่อพวกเขาวาดสภาพแวดล้อม”
ตลอดอาชีพของเขา แซนเดอร์สไม่เคยสร้างหนังให้เด็ก เขาสร้าง ‘ภาษาที่ปลอบประโลมผู้ใหญ่’ โดยไม่ต้องพูดคำว่า ‘เข้มแข็ง’ ตัวละครของเขามักไม่พูดเก่ง แต่การกระทำของพวกมันมักกรีดลงในหัวใจเรา
เขาเชื่อในพลังของแอนิเมชัน “แอนิเมชันมีความตรงไปตรงมา มันมีความสามารถในการเข้าถึงหัวใจของบางสิ่งได้อย่างรวดเร็วมาก มันอยู่ที่วิธีที่เราใช้กับภาพวาด ซึ่งแตกต่างจากภาพถ่าย”
ในวัย 63 ปี เขายังคงมีความหลงใหลในการเล่าเรื่องไม่เปลี่ยนแปลง “เมื่อผมมุ่งมั่นกับแนวคิดหนึ่ง ผมก็จะก้าวไปข้างหน้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นั่นคือสิ่งที่ผมทำเสมอในงานศิลปะของผม ผมค่อนข้างดื้อในแง่นั้น แม้ว่าจะใช้เวลาทั้งชีวิต ในที่สุดผมก็จะสร้างสิ่งนั้นให้ได้”
ปัจจุบันเขารู้สึกอิสระในฐานะศิลปิน “ผมไม่รู้สึกว่าต้องพิสูจน์อะไร ผมสามารถไปในทิศทางใดก็ได้ ผมสามารถสำรวจและโอบกอดสิ่งที่ผมต้องการ”
คำแนะนำที่เขาให้กับศิลปินรุ่นใหม่มาจาก ‘เจฟฟรีย์ แค็ทเซนเบอร์ก’ (Jeffrey Katzenberg) อดีตประธานของ Walt Disney Studios ที่กล่าวว่า “อย่าไล่ตามฝัน จงไล่ตามความสามารถ” แต่เขาเพิ่มมุมมองของตัวเองว่า “ผมเชื่อว่ามันเป็นการผสมผสานของทั้งสอง แต่หากคุณวาดได้แย่ storyboard คงไม่ใช่อนาคตของคุณ”
The Wild Robot ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar สาขา Best Animated Feature รวมกับรางวัลอื่น ๆ มากมาย แต่สำหรับเขาแล้ว ความสำเร็จที่แท้จริงอยู่ที่การเห็นผู้คนเชื่อมโยงสิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
ในยุคที่อัลกอริทึมเลือกหนังให้เรา และแพลตฟอร์มสอนเราว่าความสำเร็จต้องเร็วและง่าย ผลงานของคริส แซนเดอร์ส คือบททวนกระแส เขาไม่ได้แค่สร้างตัวละคร เขาสร้าง ‘พื้นที่’ ให้ความรู้สึก ‘แปลกแยก’ เขาไม่เพียงให้ ‘ชีวิต’ กับสิ่งมีชีวิตในจินตนาการ แต่ให้ ‘ถ้อยคำ’ กับสิ่งที่มนุษย์บางคนไม่เคยกล้าพูดออกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
จึงไม่แปลกที่เราจะรู้สึกผูกพันกับตัวละครของเขาในแบบที่ผูกพันกับ ‘ด้านหนึ่งของตัวเอง’ ด้านที่โลกมองว่าแปลก ด้านที่เคยถูกรังเกียจ หรือแค่ด้านที่ไม่เคยถูกกอดมากพอ และนั่นคือพลังแห่งการเล่าเรื่องที่คริส แซนเดอร์ส มอบให้โลก
เรื่อง: พาฝัน ศรีเริงหล้า
ภาพ: Getty Images
อ้างอิง:
"Chris Sanders." IMDb, IMDb.com, https://www.imdb.com/name/nm0761498/. Accessed 12 June 2025.
"Bio." Chris Sanders Art, https://www.chrissandersart.com/pages/bio. Accessed 12 June 2025.
Milligan, Mercedes. "‘The Wild Robot’ Filmmakers Discuss the Nuts and Bolts of DreamWorks’ Mech Adventure." Animation Magazine, 8 Aug. 2024, https://www.animationmagazine.net/2024/08/the-wild-robot-filmmakers-discuss-the-nuts-and-bolts-of-dreamworks-mech-adventure/. Accessed 12 June 2025.
McDonald, Heidi. "Lilo & Stitch: Disney Animation’s Outcasts Created a Family Classic." Polygon, 16 Sept. 2021, https://www.polygon.com/features/22675483/lilo-and-stitch-disney-animation-chris-sanders-dean-Deblois. Accessed 12 June 2025.
"Chris Sanders." Disney Wiki, Fandom, https://disney.fandom.com/wiki/Chris_Sanders. Accessed 12 June 2025.
"Chris Sanders." Empire Online, https://www.empireonline.com/people/chris-sanders/. Accessed 12 June 2025.
"Chris Sanders Facts for Kids." Kiddle Encyclopedia, https://kids.kiddle.co/Chris_Sanders. Accessed 12 June 2025.