นอร์ดิกที่ไม่นอร์มอล : ว่าด้วยความเท่าเทียมทางเพศ ในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา

นอร์ดิกที่ไม่นอร์มอล : ว่าด้วยความเท่าเทียมทางเพศ ในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา

The Hidden Dilemma Special กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา ว่าด้วยรากฐานความเท่าเทียมทางเพศในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย จาก ‘ไวกิ้ง’ ถึง ‘รัฐสวัสดิการ’

 

หากจะเข้าใจสแกนดิเนเวีย
ทั้งเรื่องสวัสดิการหรือความเท่าเทียมทางเพศ
เราต้องย้อนกลับไปดูสังคมไวกิ้ง”

 

เมื่อกล่าวถึงบรรดาประเทศที่มีรัฐสวัสดิการถูกยกเป็นต้นแบบและตัวอย่าง ตั้งแต่นโยบายด้านเศรษฐกิจ การทำงาน การศึกษา ไปจนถึงความเท่าเทียมทางเพศ ยากจะปฏิเสธว่าบรรดาประเทศแถวสแกนดิเนเวียไม่ว่าจะเป็นฟินแลนด์ เดนมาร์ก นอร์เวย์ หรือสวีเดน ก็ล้วนเป็นกรณีศึกษาที่หลายประเทศมักกล่าวถึง

ด้วยเหตุนั้นจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่จะหาคำตอบว่าเพราะเหตุใดที่ ‘ความเท่าเทียม’ ในประเทศแถบสแกนดิโนเวียถึงได้เบ่งบานอย่างมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ 

ย้อนกลับไปในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ถึง 16 ดินแดนอย่างฮัมบูร์ก เดนมาร์ก สวีเดน และนอร์เวย์ ถือว่า ‘ซุปเปอร์บ้านนอก’ เป็นพื้นที่ชายขอบ ไม่ใช่ศูนย์กลางอำนาจ ศูนย์กลางจริงของยุโรปอยู่ที่โรมและปารีส ไม่ใช่ที่สตอกโฮล์ม ความเป็นพื้นที่ชายขอบทำให้สังคมไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจควบคุมจากศูนย์กลางแบบเข้มข้นเหมือนยุโรปตอนกลาง

ใน The Hidden Dilemma ฉบับพิเศษตอนนี้ อาจารย์ธเนศ วงศ์ยานนาวา จะชวนผู้อ่านย้อนกลับไปเข้าใจความเป็นมาของครรลองความเป็นมาของความเท่าเทียมของบรรดาประเทศนอร์ดิกตั้งแต่ในยุคของไวกิ้ง ไปจนถึงช่วงเวลาที่คริสต์ศาสนาคืบคลานเข้ามาในดินแดนดังกล่าว จนคริสต์ศาสนานิกายลูเทอแรนได้กลายเป็นนิกายหลักในสแกนดิเนเวีย สามารถอ่านเรื่องรางทั้งหมดได้ที่บทความนี้

 

- ลำดับต่อไปคือถ้อยคำของอาจารย์ ธเนศ วงศ์ยานนาวา -

 

เมื่อเราพูดถึงความเท่าเทียมทางเพศกับบทบาทของพ่อและแม่ในสังคมปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้เชื่อมโยงกับสถานภาพของผู้หญิงโดยตรง อย่างที่กล่าวกันมาตั้งแต่ต้นว่า หากพูดถึง ‘พ่อ’ ก็ต้องพูดถึง ‘แม่’ ด้วย คำถามของคุณโยงไปสู่เรื่องพลังอำนาจของผู้หญิง ซึ่งในโลกตะวันตกมีวิธีคิดแบบนับสายเลือดทางฝั่งพ่อเป็นหลัก ผู้หญิงจึงถูกมองเป็นเพียงอวัยวะเพื่อสืบพันธุ์ คือมีลูกและเลี้ยงลูกเท่านั้น ในสังคมที่นับสายเลือดผ่านแม่ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่โดยรวมแล้วผู้หญิงมักไม่มีอำนาจมากนัก

เมื่อพูดถึงสังคมที่ผู้หญิงมีอำนาจและมีบทบาท เราต้องมองถึงกระบวนการต่อสู้ของผู้หญิงด้วย ซึ่งในโลกตะวันตก พื้นที่ที่เห็นภาพชัดที่สุดคือสวีเดนและประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย

หากจะเข้าใจสแกนดิเนเวีย ทั้งเรื่องสวัสดิการหรือความเท่าเทียมทางเพศ เราต้องย้อนกลับไปดูสังคมไวกิ้ง ในสังคมไวกิ้ง ชนชั้นมีความสำคัญมาก แม้ผู้ชายยังคงเป็นผู้นำ แต่ผู้หญิงไวกิ้งมีอำนาจมากกว่าผู้หญิงยุโรปทั่วไปอย่างชัดเจน ผู้หญิงไวกิ้งสามารถหย่าร้างได้ เป็นเจ้าของทรัพย์สินได้ และการเป็นเจ้าของทรัพย์สินถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก ระบบสายเลือดของไวกิ้งนับทั้งฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่ ทำให้ผู้หญิงได้รับมรดกสองทาง แตกต่างจากยุโรปส่วนใหญ่ที่ทรัพย์สินผ่านมือผู้ชายเป็นหลัก นอกจากนี้โครงสร้างครอบครัวในยุโรปทั่วไปมีการแบ่งพี่น้องอย่างไม่เท่าเทียม แต่ในสังคมไวกิ้งพี่น้องได้รับทรัพย์สินเท่ากัน

สแกนดิเนเวียยังเป็นภูมิภาคที่รับคริสต์ศาสนาช้าที่สุด ประมาณศตวรรษที่ 9 ถึง 11 เทพเจ้านอร์ดิกที่เราเห็นในปัจจุบัน เช่น ธอร์ ที่ไปอยู่ในจักรวาลมาร์เวล ไม่ได้ถูกเรียกว่าเป็นศาสนาแล้ว แต่กลายเป็นเทพปกรณัมอย่างเดียว คล้ายกับตัวละครอย่างแกนดัล์ฟ (Gandalf) ในเรื่อง The Lord of the Rings

 

นอร์ดิกที่ไม่นอร์มอล : ว่าด้วยความเท่าเทียมทางเพศ ในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา

ธอร์ (Thor)
(Photo : Johannes Gehrts)

การปฏิรูปศาสนาในศตวรรษที่ 16 ทำให้ดินแดนนอร์ดิกรับศาสนาโปรเตสแตนต์พร้อมเยอรมนี หากมองย้อนกลับไปในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ถึง 16 ดินแดนอย่างฮัมบูร์ก เดนมาร์ก สวีเดน และนอร์เวย์ ถือว่า ‘ซุปเปอร์บ้านนอก’ เป็นพื้นที่ชายขอบ ไม่ใช่ศูนย์กลางอำนาจ ศูนย์กลางจริงของยุโรปอยู่ที่โรมและปารีส ไม่ใช่ที่สตอกโฮล์ม ความเป็นพื้นที่ชายขอบทำให้สังคมไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจควบคุมจากศูนย์กลางแบบเข้มข้นเหมือนยุโรปตอนกลาง

อีกอย่างหนึ่งที่ต้องเข้าใจคือ สวีเดนเคยเป็นอาณาจักรนักรบ สวีเดนไม่ได้รักสันติภาพอะไรทั้งนั้น พวกเขามีบทบาทสำคัญมากในสงครามสามสิบปีในศตวรรษที่ 17 ซึ่งจบลงด้วยสนธิสัญญาสันติภาพเวสต์ฟาเลียในปี 1648 ก่อนที่สวีเดนจะกลายเป็นประเทศรักสงบในยุคใหม่ สวีเดนเคยเป็นจักรวรรดิที่ทำสงครามอย่างจริงจัง เหตุผลที่กลายเป็นชาติรักสงบในภายหลังก็เพราะพวกเขาแพ้รัสเซียอย่างหนักในศตวรรษที่ 18

การทำสงครามในอดีตทำให้ผู้ชายตายเป็นจำนวนมากเหมือนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง สัดส่วนผู้ชายผู้หญิงจึงไม่สมดุลมาตั้งแต่ตอนนั้น

เรื่องอัตราการอ่านออกเขียนได้ก็สำคัญเช่นกัน เมื่อดินแดนเหล่านี้ยึดหลักว่า พระคัมภีร์คือสิ่งสำคัญที่สุด หรือที่เรียกว่า sola scriptura ก็ต้องอ่านพระคัมภีร์ให้ได้ ไม่ใช่ฟังคำเทศน์จากนักบวชแบบคาทอลิก เมื่อเน้นให้ประชาชนอ่านพระคัมภีร์ การอ่านออกเขียนได้จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ ผนวกเข้ากับสถานะของผู้หญิงในนอร์ดิกที่ดีกว่าหลายพื้นที่ ทำให้ผู้หญิงมีอัตราการอ่านออกเขียนได้สูงกว่าเขตอื่นในยุโรป

แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดในหมู่ชนชั้นสูงก่อน ส่วนชาวบ้านทั่วไปกว่าจะเข้าถึงการศึกษาได้จริงก็ต้องรอการศึกษาภาคบังคับ ซึ่งมาถึงในยุคของรัฐประชาชาติช่วงศตวรรษที่ 19 ถึง 20 แต่ภาพรวมก็บอกได้ว่าผู้หญิงสวีเดนมีบทบาทสำคัญมากกว่าหลายพื้นที่ในยุโรป

อย่างไรก็ตาม โปรเตสแตนต์เป็นศาสนาที่มีวิธีคิดแบบผู้ชาย และนอร์ดิกก็นับถือนิกายโปรเตสแตนต์ นี่ทำให้เกิดความซับซ้อนบางประการที่ทำให้ผู้หญิงนอร์ดิกไม่เหมือนผู้หญิงในอิตาลี ผู้หญิงในยุโรปตอนกลาง หรือแม้แต่ผู้หญิงในเยอรมนี เมื่อนิกายลูเทอแรนเข้ามาแทน คาทอลิกก็ถูกทิ้งทั้งหมด ลูเทอแรนกลายเป็นนิกายหลักในสแกนดิเนเวีย และเป็นศาสนาประจำรัฐของสวีเดนจนถึงปี ค.ศ. 2000 หลังจากนั้นจึงมีการแยกศาสนจักรออกจากรัฐ หรือพูดอีกแบบหนึ่งคือการเลิกระบบศาสนาประจำชาตินั่นเอง

นิกายลูเทอแรนในสวีเดนถือว่าใหญ่ที่สุดในยุโรป ประมาณหนึ่งในสามของคนที่นับถือลูเทอแรนทั้งหมดอยู่ในสแกนดิเนเวีย เพราะศาสนาคริสต์ไม่เคยเป็นเอกภาพอยู่แล้ว เพราะจะมีนิกายต่าง ๆ เต็มไปหมด ความนอกรีตมันมีมาตลอด ศาสนาก็ไม่เคยแฮปปี้กับความนอกรีต แต่คุณห้ามคนไม่ได้ ดังที่ผมบอกว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะเชื่อ ‘พระบิดา’ หรอก หนักข้อคือบางคนยังมี Oedipus Complex คือฆ่าพ่อด้วยซ้ำ [ สามารถอ่านประเด็นนี้ต่อได้ใน ‘ทำไมพระเจ้าอยู่บนฟ้า? ว่าด้วยบทบาทของเพศในศาสนาและอำนาจของผู้ชายในพระเจ้า กับ ธเนศ วงศ์ยานนาวา ]

เพราะฉะนั้นมันก็ไม่มีทางจะทำให้ศาสนาเป็นเอกภาพได้ สมมุติคุณอ่านพระคัมภีร์คนเดียว คุณก็ตีความไปต่าง ๆ นานา นี่ยิ่งทำให้นิกายแตกออกไปเรื่อย ๆ อาจจะไม่ได้แรงขนาดนั้นในทุกกรณี แต่ก็แนวเดียวกัน คือฉันตีความแบบนี้ มันก็เกิดความหลากหลายขึ้นมาเรื่อย ๆ กว่าที่ดินแดนพวกนี้จะยอมรับความแตกต่างทางศาสนา ความคิดทางศาสนาที่หลากหลาย มันก็ปาเข้าไปศตวรรษที่ 19

อย่างที่ผมบอกตั้งแต่แรกว่า การปฏิรูปศาสนาและศาสนาลูเทอแรนมันเป็นเนื้อเดียวกันเลย รัฐกับศาสนจักรในดินแดนเหล่านี้ไม่ได้ขัดแย้งกันแบบคาทอลิก เพียงแต่ว่าในฟินแลนด์กับสวีเดน ศาสนจักรอาจจะมีความเป็นอิสระมากกว่าในเดนมาร์กและนอร์เวย์ ผมย้ำตลอดนะว่าแต่ละที่มันไม่เหมือนกันจริง ๆ

ในอดีต โบสถ์ประจำหมู่บ้านหรือประจำตำบลทำหน้าที่ดูแลผู้คน พอเกิดการปฏิรูปศาสนาฝ่ายโปรเตสแตนต์ (Protestant Reformation) อำนาจรัฐก็เริ่มเพิ่มขึ้น และเข้ามาทับพื้นที่อำนาจของคริสตจักร รัฐจึงค่อย ๆ กลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการดูแลจัดการชีวิตของผู้คนแทน

เมื่อก่อนคุณป่วยหรือมีปัญหา ก็ต้องไปพึ่งโบสถ์ แต่หลังการปฏิรูปศาสนา ที่ต้องการผลักคาทอลิกออกไป รัฐก็เข้าไปซ้อนทับพื้นที่นั้น และรัฐกับศาสนจักรก็เริ่มทำหน้าที่ร่วมกันในการจัดระเบียบชีวิตผู้คน ดังนั้นเราจึงเห็นว่ารัฐโปรเตสแตนต์เป็นรัฐที่ผู้คนมีระเบียบวินัยมากกว่า ถ้าไปอิตาลี จะเห็นเลยว่ามันดูไม่มีระเบียบตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ อย่างการจอดรถด้วยซ้ำ เพราะในยุโรปเหนือ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16–17 รัฐต้องเข้ามาจัดระเบียบเพื่อทำให้ประชาชนเป็น ‘โปรเตสแตนต์ที่ดี’ หรือเป็น ‘คาทอลิกที่ดี’ จึงเกิดระบบสร้างวินัยในชีวิตคนมานานกว่า 500 ปี และสิ่งนี้ก็เป็นส่วนสำคัญของกระบวนการสร้างรัฐยุโรป

พอมาถึงศตวรรษที่ 18 ก็จะเกิดความคิดเรื่องทรัพยากรมนุษย์ขึ้นมา รัฐต้องทำให้คุณเป็นประชาชนที่มีคุณภาพ เพราะคุณไม่สามารถย้ายไปอยู่ในดินแดนคนอื่นที่เป็นคาทอลิกได้ คุณก็ต้องอยู่ตรงนี้ รัฐจึงต้องสร้างระเบียบวินัย ทำให้คุณทำงานหนัก ถ้าขี้เกียจก็เป็นคนบาป

พอมาถึงศตวรรษที่ 19 ก็มีการเคลื่อนไหวของกรรมกร มีแนวคิดสังคมนิยม และหนักที่สุดคือคอมมิวนิสต์ ความหวาดกลัวต่อกระแสคอมมิวนิสต์ก็หลอกหลอนยุโรปยาวมาจนถึงสงครามเย็น รวมทั้งประเทศไทยด้วย

ท้ายที่สุด การประนีประนอมความขัดแย้งทั้งหมดก็ลงเอยด้วยระบบรัฐสวัสดิการ ซึ่งถ้าย้อนกลับไปในต้นศตวรรษที่ 16 เราจะเห็นรากของมันในกฎหมายอย่าง Poor Law ของอังกฤษ ที่เริ่มมีการดูแลคนจนตั้งแต่ตอนนั้น

สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของคริสต์ศาสนาคือ ต้องเข้าใจว่าพระเยซูมาจากชนชั้นล่าง ไม่ใช่ชนชั้นสูง คริสต์ศาสนาจึงยืนข้างคนจนเป็นหลัก ยกเว้นตอนที่โรมันคาทอลิกกลายเป็นวาติกันอันโอ่อ่าอลังการ แต่รากของคริสต์ศาสนาคือการยืนอยู่ข้างคนจน ดังที่บอกว่า

 

โอกาสที่คนรวยจะลอดเข้าสวรรค์นั้น
ให้อูฐลอดรูเข็มยังง่ายกว่า

 

ด้วยเหตุผลทั้งทางการเมืองและทางศาสนา จึงต้องโอบอุ้มดูแลคนจนตลอดมา