รางวัลแด่ความว่างเปล่า : หรือการศึกษาคือระบบที่ผลิตซ้ำความว่างเปล่าอย่างมีประสิทธิภาพ?

รางวัลแด่ความว่างเปล่า : หรือการศึกษาคือระบบที่ผลิตซ้ำความว่างเปล่าอย่างมีประสิทธิภาพ?

‘รางวัลแด่ความว่างเปล่า’ โดย ‘ฐนพงศ์ ลือขจรชัย’ จากสำนักพิมพ์ ‘Illuminatons Editons’ คือหนังที่ว่าด้วยระบบการศึกษาไทยกับปัญหาที่ทำให้นักศึกษาและอาจารย์เหลือเพียงควาว่างเปล่า

 

การศึกษาคืออะไร?

 

การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ถือเป็นรากฐานสำคัญของพัฒนาการทางสังคม โดยเฉพาะในยุคสมัยที่กลไกและการทำงานอาศัยหลักการ ความซับซ้อน และความเชี่ยวชาญในหลากหลายแขนงมาบูรณาการเผื่อขับเคลื่อนสังคมไปข้างหน้า รวมไปถึงการตั้งคำถามใหม่ ๆ เพื่อได้มาซึ่งคำตอบที่ไม่เพียงนำไปสู่เส้นทางที่ไม่เคยเดินมาก่อน แต่ยังอาจหักล้างความเชื่อเก่า ๆ ที่เราต่างก็คิดว่าถูกอีกด้วย

หรือถ้าจะต้องนิยามให้เรียบง่ายไปมากกว่านั้น การศึกษา ในบางแง่มุม โดยเฉพาะกับการศึกษาระดับภาคบังคับ ก็เปรียบเสมือนกับการ ‘รีแค็ป’ (Recap) เรื่องราวและความรู้บนโลกให้กับเยาวชนที่เกิดขึ้นมาใหม่ เพื่อเตรียมเครื่องมือเอาชีวิตรอดพื้นฐานให้เขาเหล่านั้นสามารถเผชิญหน้ากับโลกใบนี้ได้ หรือถ้าจะเป็นไปได้ การศึกษาคือเส้นทางที่พาให้เขาเหล่านั้น ‘ค้นพบ’ ตัวตนของตัวเอง

ทว่าในขณะเดียวกันและในหลาย ๆ ครั้ง การศึกษาเองก็ถูกมองเป็นปัญหาเสียมากกว่า เพราะแทนที่จะสนับสนุนให้มนุษย์แต่ละคนสามารถเดินไปตามเส้นทางของตนเองได้ มันกลับกักขังให้เขาเหล่านั้นในเส้นทางที่กำหนดไว้ หรือแม้แต่ทุบทำลายความสร้างสรรค์ให้เหลือเพียงระเบียบวินัยและความรู้ที่ถูกจัดเรียงเอาไว้ ราวกับเป็นโรงงานอุตสาหกรรม หรือหากอ้างอิงตามบทเพลงหนึ่งที่วิพากษ์เสียดสีระบบการศึกษาเอาไว้เกือบห้าสิบปีที่แล้วว่า การศึกษาเปลี่ยนนักเรียนให้เป็น ‘อิฐ’ อีกก้อนหนึ่งในกำแพง ในบทเพลง Another Brick in the Wall, Part 2 จากอัลบั้ม The Wall (1979) โดย Pink Floyd

ปัญหาของระบบการศึกษาถูกพูดถึงมาตลอด โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีให้เห็นและได้ยินอยู่มาอย่งช้านาน ไม่ว่าจะในมิติของคุณภาพหลักสูตรการศึกษาหรือแม้แต่แนวคิดอำนาจนิยมที่ถูกสอดแทรกมาในคราบระเบียบกฎเกณฑ์ก็ล้วนชวนผู้คนตั้งคำถามถึงการศึกษาไทยจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน

ไม่นานมานี้ก็มีอีกหนึ่งเสียงสะท้อนจากระบบการศึกษาที่ออกมาในรูปแบบของหนังสือ ‘รางวัลแด่ความว่างเปล่า’ โดยอาจารย์มหาวิทยาลัย ‘ฐนพงศ์ ลือขจรชัย’ จากสำนักพิมพ์ ‘Illuminatons Editons’ ที่ได้กล่าวถึงปัญหาของระบบการศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยว่าเบื้องหลังกลไกควบคุมคุณภาพอย่าง ‘ระบบการศึกษาแบบเน้นผลลัพธ์’ หรือ ‘OBE’ (Outcome-Based Education) ที่มุ่งหวังจะทำให้การศึกษาและพัฒนาคุณภาพของนักศึกษาสัมฤทธิ์ผลมากที่สุด กลับมีเพียง ‘ความว่างเปล่า’ ของทั้งอาจารย์และนักศึกษาเฝ้าคอยอยู่ปลายอุโมงค์

หนังสือเล่มทำหน้าที่เป็นอีกหนึ่งสุ้มเสียงของการตั้งคำถามและหาคำตอบว่า ‘การศึกษาคืออะไรกันแน่?’ และสังคมของเราคาดหวังให้คำตอบของคำถามดังกล่าวมีหน้าตาเป็นแบบไหน

 

เราอยู่ในโครงสร้างที่ให้รางวัล
กับความว่างเปล่าและเชิดชูอย่างภาคภูมิใจ

 

ย้อนกลับไปที่คำถามที่เรากล่าวถึงในตอนแรก “การศึกษาคืออะไร?” ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำตอบในสักแง่มุมหนึ่งก็คือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และผลักดันให้คนในสังคมมีความรู้พื้นฐานเพื่อที่ตัดสินใจอย่างเป็นประโยชน์ต่อตัวเองและสังคม แต่คำถามที่น่าสนใจลำดับต่อมาคือ ทำอย่างไรถึงจะทำอย่างนั้นได้?

ในโลกยุคปัจจุบันที่มองหาทั้งความเป็นระบบและความแม่นยำ ตามมาซึ่งสารพันกลไกที่จะเข้ามาช่วงสนับสนุนการสร้างคนผ่านการศึกษานี้ แน่นอนว่าแนวคิดอย่าง OBE ก็มีจุดมุ่งหมายที่จะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างเป็นระบบและสามารถวัดผลได้ เพื่อให้การเรียนการสอนนั้นมีประสิทธิภาพสูงสุด นี่คือหนึ่งในการพยายามออกแบบระบบและกระบวนการที่จะการันตีคุณภาพและผลลัพธ์ของระบบการศึกษา

อย่างไรก็ตาม ‘โรงเรียน’ นั้นไม่ใช่ ‘อุตสาหกรรม’ เฉกเช่นเดียวกับที่ ‘นักเรียน-นักศึกษา’ ไม่ใช่ ‘สินค้า’ แม้ว่าแนวคิดแบบเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมจะเชื่อว่ามนุษย์นั้น ‘ไม่สมเหตุสมผล’ แต่ก็สามารถคาดเดาได้อย่างเป็นระบบว่าเขาเหล่านั้นไม่สมเหตุสมผลอย่างไร แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าระบบวัดคุณภาพแบบใดแบบหนึ่งจะเข้าได้กับมนุษย์ทุกคนอย่างสมบูรณ์แบบราวกับเป็นเสื้อยืด one-size-fits-all

 

OBE พยายามทำให้การเรียนรู้เป็นระบบ
แต่มันลืมไปว่าความรู้ไม่ใช่สายพานผลิตสินค้า

 

ปัญหาที่เกิดขึ้นคือระบบการศึกษาที่ถูกออกแบบมาด้วยความหวังที่จะให้กระบวนการสัมฤทธิ์ผลสูงสุดนั้น ไม่ได้เข้ากับหรือสามารถผลักดันนักเรียนและนักศึกษาได้ทุกคนจนทำให้บางคนรู้สึกกลายเป็น ‘คนนอก’ ในมาตรวัดที่ระบบการศึกษากำหนดขึ้นมา นอกจากนั้น สำหรับบางคนที่สามารถปรับตัวให้สอดรับกับมาตรวัดเหล่านั้นได้แล้ว พวกเขาอาจค้นพบ ‘ความว่างเปล่า’ ในภายหลัง เพราะสิ่งที่ถูกสถาปนาโดยระบบการศึกษานั้น ไม่ได้สัมพันธ์กับความต้องการที่แท้จริงของตัวเขาเลย

รางวัลแด่ความว่างเปล่าชี้ให้เห็นว่าแนวคิด OBE สร้างมุมมองต่อการศึกษาราวกับเป็นเครื่องจักรในการผลิตนักศึกษาโดยคาดหวังผลิตผลสูงที่สุด ในขณะเดียวกันอาจารย์ก็หน้าที่ ‘ควบคุมการผลิต’ สิ่งนี้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างนักศึกษากับอาจารย์ขยับจาก ‘ผู้แสวงหาความรู้’ กับ ‘ผู้เปิดทาง’ เป็น ‘ผู้รับบริการ’ และ ‘ผู้ส่งมอบเนื้อหา

 

เราสร้างมนุษย์ที่คิดเป็น
หรือแค่ฝึกให้เขาเป็นแรงงานที่พูดเก่งกันแน่

 

ณ จุดนี้ได้สะท้อนให้เห็นว่าความเป็นอุตสาหกรรมของระบบการศึกษาได้ทำให้คุณค่าและความสำเร็จถูกกำหนดค่าโดยเกณฑ์บางอย่างที่ไม่สามารถสันทัดกับมนุษย์ทุกคนได้ ท้ายที่สุดสิ่งที่หลงเหลืออยู่ที่ปลายสายพานของระบบการศึกษาอาจเป็นชุดความรู้บางอย่างที่สอดรับกับการประเมินค่าตามระบบ แต่อาจเป็นความว่างเปล่าในตัวของนักศึกษา

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ระบบการศึกษาไม่ได้ทำให้เขา ‘รู้จักตัวเอง’ หรือ ‘คิดได้อย่างอิสระ’ มากขึ้นเลย นอกเสียจากความพร้อในตัวนักศึกษาที่ถูกต้องตามระบบและสามารถป้อนเข้าสู่ระบบได้ในทันทีแล้ว ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาถูกวางเอาไว้ที่ใดในสมการนี้?

ผมเคยเห็นนักศึกษาหลายคนมีแววตาแห่งความอยากรู้ตอนเข้าเรียนใหม่ ๆ แต่พอผ่านไปไม่ถึงปี พวกเขาเข้าใจอย่างรวดเร็วว่า “อย่าคิดลึกเพราะจะทำให้เหนื่อย” พวกเขาเริ่มเลียนแบบวิธีเรียนที่ได้คะแนนดีโดยไม่ต้องเข้าใจ และสุดท้ายก็กลายเป็น “ผลิตภัณฑ์” คุณภาพสูงของระบบที่ผลิตซ้ำความว่างเปล่าอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากผลกระทบของแนวคิดที่มองการศึกษาเป็นโรงงานอุตสาหกรรมสายพานแล้ว หนังสือเล่มนี้ก็ยังชวนผู้อ่านตั้งคำถามต่อถึงสภาพแวดล้อมของระบบที่มีแนวโน้มจะเชิดชูชื่นชม ‘ความเชื่อง’ หรือ ‘ฟังคำสั่งได้ดี’ และมองการตั้งคำถามว่าเป็น ‘ตัวปัญหา’ ไม่ว่าจะอาจารย์หรือนักศึกษา ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้การศึกษาไทยขยับจากจุดเดิมยาก

 

ไม่มีใครถามว่า ‘หลักสูตรยังคงตอบโจทย์โลกใบนี้อยู่หรือเปล่า’
ไม่มีใครทบทวนว่า ‘สิ่งที่เราสอนอยู่เป็นสิ่งที่โลกต้องการอีกไหม’

 

ในด้านของอาจรย์นั้น หนังสือสะท้อนว่าระบบการศึกษาให้คุณค่ากับคนที่ฟังคำสั่งได้ดีและ ‘ไม่ดื้อ’ มากกว่าคนที่ตั้งคำถามกับสิ่งที่เป็นอยู่ กฎเกณฑ์ทำนองนี้ทำหน้าที่เป็นเหมือน ‘กติกา’ (Rules of the Game) ที่ส่งผลถึงแรงจูงใจในระบบที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นยาก เพราะจะมีแรงเสียดทานตามมาเสมอ ดังที่หนังสือระบุเอาไว้ว่า “ความน่ากลัวคือ ระบบไม่เพียงปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้น แต่กลับให้รางวัลกับมัน

ด้วยคุณลักษณะแบบนี้จึงทำให้ระบบการศึกษามีแนวโน้มที่จะยึดติดอยู่กับทางเดินเดิม (Path Dependency) และมองว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นความยุ่งยาก หรือแม้แต่ไม่สมควรเกิดขึ้นหากไม่ได้รับคำสั่งมาจากต้นทางเสียก่อน ณ จุดนี้อาจเป็นสิ่งที่ทำให้คำถามที่ดี คำถามที่จะช่วยยกระดับและพัฒนาการศึกษาในภาพรวมถูกผลักให้กลายเป็นเสียงแมงหวี่แมงวันที่ดูจะเป็น ‘ปัญหา’ เสียมากกว่า เพราะ “อาจารย์ที่ดี คือคนที่ไม่พูดมาก

 

ระบบได้สอนให้พวกเขา (นักเรียน)
เลิกศรัทธาในสิ่งที่ลึกกว่าหลักสูตร

 

สิ่งที่สำคัญที่สุดของระบบการศึกษาอาจไม่ใช่การติดชุดความรู้ข้อมูลหนึ่งไปกับตัวนักศึกษาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการติดตั้งกลไกที่ทำให้เขาเหล่านั้นสามารถ ‘คิด’ เองได้ในอนาคต เพื่อที่จะนำไปสู่การตั้งคำถามและหาคำตอบใหม่ในอนาคต ทว่าภายใต้ระบบการวัดผลแบบปัจจุบันอาจทำให้นักศึกษามุ่งสนใจ ‘ผลคะแนน’ มากกว่า ‘ความคิด

ไม่ใช่ว่าผลคะแนนเป็นปัจจัยที่ไม่มีควาสำคัญ ทว่าผลข้างเคียงของการให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ที่ถูกกำหนดขึ้นผ่านกรอบบางกรอบนั้นอ่านเป็นการละเลยกลไกบางอย่างของการศึกษาไป เพราะแทนที่นักเรียนจะสามารถคิดวิเคราะห์ถึงประเด็นปัญหาผ่านกรอบ ควารู้ และมุมมองของตน การศึกษาบางแบบอาจทำให้เขาสนใจเพียงรูปแบบการตอบที่จะนำมาซึ่งคะแนนสูงสุด

นักศึกษาเองก็เรียนรู้อย่างรวดเร็วเช่นกันว่า “เรียนอย่างไรให้ผ่าน” โดยไม่สนใจว่าตัวเองเข้าใจหรือไม่ พวกเขาจะฝึกการเขียนสะท้อนความคิดโดยไม่มีความคิดสะท้อนอยู่ในนั้นจริง ๆ เพียงแค่ฝึกตอบแบบฝึกหัดให้ได้คะแนน และเมื่อผ่านทุกผลลัพธ์แล้ว พวกเขาก็กลายเป็น ‘ฟันเฟืองที่สมบูรณ์’

เมื่อระบบพุ่งเป้าเพียงการวัดผลจากเกณฑ์บางกรอบหรือไม่ คำถามที่น่าสนใจที่หนังสือได้ตั้งเอาไว้ก็คือ “แล้วความเป็นมนุษย์ของพวกเขายังอยู่ไหม?” หรือมันอยู่ตรงไหนของสมการนี้ หรือว่าันจะถูกกลืนหายไประหว่างทางจนหลงเหลือเพียงฟันเฟืองที่พร้อมใช้งานในคราบของนักศึกษาที่รู้สึกว่างเปล่ากับทางเดินของตัวเอง

ท้ายที่สุด ท่ามกลางแนวคิดและมุมมองการศึกษาแบบนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือหวนกลับมาพินิจพิเคราะห์ว่าคำว่า ‘การศึกษา’ คืออะไรกันแน่ และผลลัพธ์ที่สังคต้องการมีหน้าตาเป็นแบบไหน แต่รางวัลแด่ความว่างเปล่า ก็ได้สะท้อนอีกมุมมองให้เห็นว่าบางทีการศึกษาอาจไม่ใช่การมุ่งมั่นเอาชนะการทดสอบหรือท่องจำชุดควารู้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่เป็นการติดตั้งสัญชาติญานและความกระหายที่จะรู้และคิดต่อไปของนักศึกษาทุกคนที่ผ่านเข้ามา

ส่งมอบเขาออกนอกรั้วด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมไปด้วยการจะรู้และคิดต่อ 

แล้วสำหรับคุณ การศึกษาคืออะไร?