04 ก.ย. 2568 | 14:56 น.
KEY
POINTS
ปี พ.ศ. 2548 วงดนตรีซูเปอร์เบเกอร์ (Superbaker) ปล่อยบทเพลงชื่อ ‘บ้านของหัวใจ’ เป็นเพลงรักอบอุ่นที่มีทำนองละมุนและมีเนื้อร้องที่ไม่ซับซ้อนเพื่อบอกเล่าความปรารถนาที่จะมอบทุกวันให้เป็นวันที่แสนพิเศษกับใครสักคนที่รักที่สุด เนื้อเพลงเปี่ยมด้วยถ้อยคำว่าอยากเป็นคนที่ดีที่สุด อยากกอดใครสักคนหนึ่งในทุกเช้า อยากให้ใครคนนั้นเป็นบ้านของหัวใจ ที่อยู่เคียงข้างกันเนิ่นนานไม่เปลี่ยนไป ความหมายของเพลงนี้จึงไม่ใช่เพียงการรักใครแต่คือการดูแลใครสักคนอย่างมั่นคงทางกายใจ และทำให้เขารู้สึกว่ามีที่พึ่ง มีที่ปลอดภัย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
แน่นอนว่าบรรยากาศของเพลงเต็มไปด้วยภาพครอบครัวในอุดมคติหรือภาพฝันที่อาจจินตนาการว่า การมีครอบครัวไม่ว่าจะแต่งงานหรือไม่แต่งงานจะมีโต๊ะอาหารยามเช้าที่มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ มีอ้อมกอดที่พร้อมซัพพอร์ตเราหรือแม้แต่ซับน้ำตา และมีความมั่นใจว่าทั้งชีวิตนี้จะมีเพียงกันและกันตลอดไป เพลงนี้ไม่ใช่แค่บอกให้รักกัน แต่ยังสื่อว่าความรักที่แท้ว่าคือการสร้างบ้านที่หัวใจสามารถพักได้โดยไม่ต้องกลัวอะไร
“หากว่าคุณมีคนที่รักที่สุด
บอกกับเขาทุกวันว่ารักที่สุด
บอกกับเขาทุกเช้าที่ตื่นได้ไหม
อยากให้เขาเป็นบ้านของหัวใจที่มีความหมาย
รักและคอยห่วงใยอยู่ตรงนี้ และตลอดไป”
-เนื้อท่อนหนึ่งของเพลง ‘บ้านของหัวใจ’ วง Superbaker-
สำหรับฉัน…เพลงนี้เคยเป็นเหมือนภาพฝันของคำว่า ‘บ้าน’ ที่ที่มีความรัก ที่ที่มีความเข้าใจ และที่ที่มีการปกป้อง แต่เมื่อชีวิตดำเนินต่อไปในวันที่ทำนายอนาคตตัวเองไม่ได้ จนถึงคราวของคำว่ารักถึงทางที่ต้องจบลงด้วยการแต่งงาน และต้องเดินต่อไปในเส้นที่ความสัมพันธ์ขยับขึ้นไปมากกว่าคำว่าแฟนหรือคนรักที่มีสถานะทางกฎหมาย ฉันได้รู้ว่าความจริงของบางครอบครัวว่า ครอบครัวอาจไม่อบอุ่นเสมอไป และ ‘สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่าครอบครัว’ บางครั้งกลับถูกบดบังด้วยเงาของความรุนแรง จากความเชื่อที่ว่าบ้านคือที่ปลอดภัยที่สุด ที่ที่เราสามารถเป็นตัวเองได้โดยไม่ต้องหวาดกลัว ตอนนั้นฉันกลับได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงว่า เมื่อความรุนแรงก้าวข้ามประตูเข้ามาในบ้าน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร บ้านอาจกลายเป็นสมรภูมิของความไม่ปลอดภัย และหัวใจอาจไม่มีที่ให้พักพิงแม้เราจะบอกตัวเองว่าอดทนและเข้มแข็งได้มาแค่ไหนก็ตาม จนทำให้มีสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่าครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบ ได้เริ่มต้นขึ้น….
ครั้งหนึ่ง ฉันเคยมองความรักเหมือนฉากจบของนิทานหรือซีรีส์รักที่ชอบดูให้ผ่อนคลาย บางฉากอาจมีแสงแดดยามเช้าสาดผ่านหน้าต่าง กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นลอยอบอวลในครัว เสียงหัวเราะรอบตัวแม้กระทั่งบนโต๊ะอาหาร และมีอ้อมกอดที่โอบเราไว้ในวันที่หัวใจสั่นไหวหรือยินดียินงามกับความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ
ฉันเคยเชื่อว่าบ้านเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่สุด บ้านเป็นที่พักของหัวใจ บ้านเป็นพื้นที่ที่เราได้เป็นตัวเองโดยไม่ต้องกลัวอะไร แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ภาพเหล่านั้นค่อย ๆ เลือนหาย รอยร้าวเล็ก ๆ ซ่อนตัวอยู่ตามผนังของความสัมพันธ์และวันเวลา เสียงหัวเราะถูกแทนด้วยเสียงเงียบ…เงียบเสียจนเหมือนความรู้สึกถูกกดทับไว้ใต้ฝาแรงดัน
บางครั้งความรู้สึกได้ปะทุขึ้นมาเป็นเสียงตะคอก เสียงตะโกนที่บาดลึกยิ่งกว่ามีด คำพูดที่เคยใจเย็น อบอุ่น ปลอดภัย กลับร้อนเป็นไฟ และความตึงเครียดค่อย ๆ ขยับอุณหภูมิสะสมมากขึ้น บางคืน บางวัน สิ่งเหล่านั้นล้นทะลักออกมาในรูปแบบที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นในบ้าน บ้านที่เคยเป็นพื้นที่ปลอดภัยและหัวใจของเรา
จากบ้านที่เคยเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจและโอบล้อมไปด้วยความรัก บ้านหลังนั้นมีสิ่งใหม่เข้ามาแทนที่ นั่นคือ ‘ความรุนแรง’ ทั้งในถ้อยคำและร่างกาย บางครั้งตั้งใจ บางครั้งไม่รู้ตัว แต่ทุกครั้งความรุนแรงได้ทิ้งร่องรอยลึกในหัวใจและร่างกาย แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อย แต่เมื่อเกิดทุกครั้ง ฉันมักตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ความรุนแรงในครอบครัวแบบนี้ยังนิยามหรือเรียกมันว่าความรักได้อีกหรือ แม้เราจะผ่านจังหวะชีวิตทั้งดีและร้ายด้วยกันมากมายแล้วก็ตาม”
ฉันเคยคิดว่าหรือเราจะเป็นคนที่ Perfectionist มากเกินไป เลยมองว่าเรื่องนี้ไม่ปกติ ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงทางกายและใจ รวมถึงชีวิตคู่ที่อาจจะมีกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ท้ายที่สุดได้คำตอบที่ปรึกษากับหัวใจและสมองของตัวเองว่า “ความรุนแรงไม่ใช่คำตอบของความรัก และชีวิตคู่อาจไม่ต้องอดทน กล้ำกลืนในสิ่งที่บาดเจ็บทางใจอีกต่อไป”
หนึ่งในภาพที่ยังฝังลึกแม้เวลาผ่านไปหลายปี คืนหนึ่งที่สายยางจากถังแก๊สกำลังจะถูกหมุนออกจากถัง เสียงเหล็กกระทบพื้นดังสะท้อนในครัว มือที่เคยกอดกันในยามทุกข์และสุข กลับกลายเป็นมือที่ยกถังแก๊สขึ้นมาพร้อมคำพูดที่อารมณ์มาก่อนเหตุผล ตอนนั้นหัวใจฉันเต้นแรงแข่งกับความเงียบในบ้านที่เต็มไปด้วยความกังวลและความกลัว ตอนนั้นร่างกายสั่งให้วิ่งออกจากบ้านโดยไม่ทันใส่รองเท้า ฉันจำได้ว่าขับรถวนไปบนถนนที่มืดในคืนนั้น รู้เพียงว่าถ้าคืนนั้นชีวิตอยู่ต่อไปในบ้าน…อาจไม่มีชีวิตถึงวันพรุ่งนี้หรืออาจเกิดอะไรสักอย่างในชีวิต จนอาจจะไม่มีโอกาสได้มาเขียนเรื่องราวเหล่านี้
และนั่นไม่ใช่เพียงครั้งเดียวที่ความรุนแรงแทรกซึมเข้ามาในบ้าน ครั้งหนึ่ง…มือที่เคยจับและประคองชีวิตคู่ กลับกลายเป็นมือที่ยื่นเข้ามาทำร้ายกันด้วยการจับลงไปที่คอของฉัน แม้มือจะมาจับที่คอเพียงไม่กี่เสี้ยววินาที แต่มือที่จับ ณ เวลานั้น ยาวนานพอให้รู้ว่าลมหายใจของฉันอาจถูกพรากไปได้ง่ายเพียงใด สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากฤทธิ์ของความโกรธหรือความไม่เข้าใจกันเพียงอย่างเดียว แต่ฉันมองในมุมส่วนตัวว่า สิ่งที่ทำให้บ้านของหัวใจกลายเป็นบ้านที่ไม่ปลอดภัย อาจเกิดจากฤทธิ์ของน้ำเมา และคิดอีกว่าส่วนหนึ่งอาจเกิดจากตัวฉันเองที่ไม่ใจเย็นและยอมรับในความเป็นตัวตนของเขาที่ค่อย ๆ เผยออกมาให้เห็นหลังชีวิตการแต่งงานมากพอ
หลังผ่านเหตุการณ์ที่เป็นเหมือนฝันร้ายและเรื่องราวคลี่คลายลง ฉันสนใจเรื่องความรุนแรงในครอบครัวมากขึ้น จากคนที่เคยมองว่าชีวิตรัก ชีวิตคู่มีแต่คำว่าโลกสวย จบแบบ Happy Ending กลับกลายเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ไปค้นอ่านงานวิจัยต่างประเทศจนพบว่า ความรุนแรงในบ้านที่เกิดการบีบคอกันเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนร้ายแรงที่สุดของความรุนแรงในครอบครัว คนจำนวนมากที่เสียชีวิตเคยผ่านเหตุการณ์นี้มาก่อน และการบีบคอสามารถทำให้หมดสติในเวลาเพียงไม่กี่วินาที หากไม่ได้รับการช่วยเหลือทันที และอาจจบลงด้วยความตาย เหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่ใช่ข้ออ้างของคำว่า ‘อารมณ์ชั่ววูบหรือไร้สติ’ แต่คือการล้ำเส้นที่ไม่ควรเกิดขึ้นแม้แต่ครั้งเดียวในทุกความสัมพันธ์ นับตั้งแต่เกิดเหตุการและหลุดพ้นออกมาได้ ฉันจึงเข้าใจในมุมส่วนตัวเองมาจนทุกวันนี้ว่า
“ความรุนแรงไม่ใช่เรื่องปกติ ต่อให้ความรุนแรงเกิดแค่ครั้งเดียวในครอบครัว ต่อให้มีคำขอโทษที่จริงใจแค่ไหนหลังทุกอย่างสงบลง ต่อให้จะเป็นบ้านที่สมบูรณ์แบบหรือไม่สมบูรณ์แบบ ไม่ควรมีความกลัวที่เกิดจากความรุนแรงมาเป็นสมาชิกในครอบครัว และคำว่าครอบครัวไม่ควรถูกใช้เป็นข้ออ้างในการทำร้ายกัน”
วินาทีที่ฉันก้าวออกมาจากความรุนแรง ไม่ใช่การตัดสินใจที่ง่ายเท่าไหร่นัก “ความรุนแรงไม่ใช่คำตอบของครอบครัว” คือประโยคที่ฉันท่องอยู่ในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกลายเป็นแรงผลักสำคัญ แม้ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราจะเคยมีทั้งความรัก ความห่วงใย และความใส่ใจ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกัน แต่เมื่อความรุนแรงค่อย ๆ ขยับขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับฉัน คนที่เคยเป็น Perfectionist เกือบตลอดชีวิต นี่คือการยอมรับว่าฉัน ‘ล้มเหลว’ ในความสัมพันธ์
ช่วงขวบปีแรกหลังจากออกมาจากความสัมพันธ์ คือบททดสอบที่โหดร้ายที่สุดในชีวิต แต่ละวัน แต่ละคืน คือความทรมานในชีวิตฉัน จนกระทั่งวันหนึ่งตกผลึกได้ว่า อย่างน้อยฉันยังมีป๊าและแม่ที่รักฉันอย่างไม่มีเงื่อนไข พร้อมจะอยู่เคียงข้างแม้ในวันที่ฉันไม่เหลืออะไรเลย คำว่าครอบครัวในความหมายนี้เองที่พาฉันกลับมาตั้งต้นชีวิตได้อีกครั้ง
การเริ่มต้นใหม่ไม่เคยราบรื่นเสมอไป ทุกวันนี้ฉันยังมีวันที่ตกอยู่ในกับดักของความรู้สึกล้มเหลว บางวันเหมือนร่วงกลับไปในหลุมดำของความทรงจำ แต่ฉันรู้แล้วว่าตัวเองไปต่อได้ แม้บางครั้งจะเรียกมันว่า “ความฉิบหายในชีวิตช่วงหนึ่ง” ฉันเติบโตมาในครอบครัวที่ไม่ได้มีฐานะ ไม่ได้อยู่บ้านใหญ่สบายอะไรมากนัก แต่แม้จะเจออุปสรรคมากแค่ไหน บ้านของเราไม่เคยมีความรุนแรงทางกายให้เห็น อาจมีกระทบกระทั่งกันด้วยคำพูดบ้าง แต่หัวใจของฉันได้รับการถนอมเสมอ อาจเพราะเป็นลูกสาวคนเดียว หรือเพราะป๊ากับแม่ตั้งใจปกป้องฉันจากสิ่งเหล่านั้นมาตลอด
กว่า 30 ปีของการมีลมหายใจ ฉันได้เห็นความลำบากของป๊ากับแม่ จากห้องเช่าเล็ก ๆ ริมคลองแถวรามคำแหง จนถึงทุกวันนี้ที่ก่อร่างสร้างตัวกันขึ้นมาได้ ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาเคยทะเลาะกันหนักขนาดไหน แต่มั่นใจว่าบ้านเราไม่เคยใช้ความรุนแรงทางกาย และนั่นทำให้ฉันรู้ว่าการเลือกช่วยชีวิตตัวเองให้ออกมาจากสถานการณ์ที่บั่นทอนคุณค่าและความหมายของตัวเองคือการตัดสินใจที่ดีและสำคัญที่สุดในเวลานั้น และเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันยังยืนอยู่ตรงนี้ได้ในวันนี้
“บ้านของเราไม่ได้ร่ำรวยอะไรเลย เคยอยู่ห้องเช่าเล็ก ๆ ริมคลองแถวรามคำแหง กว่าจะมีทุกวันนี้ได้รับรู้ว่าป๊ากับแม่ลำบากลำบนกันมามาก ไม่รู้ว่าเคยทะเลาะกันแรงขนาดไหน แต่มั่นใจว่าบ้านเราไม่เคยใช้ความรุนแรงทางกายกัน ส่วนทางใจที่เกิดจากคำพูดก็อาจจะมีบ้าง ชีวิตคู่คงไม่มีอะไรราบรื่นตลอดหรอก”
แม้เวลาผ่านไปหลายปี แต่ร่างกายบางวันยังจำทุกวินาทีของความรุนแรงได้อย่างแม่นยำ ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ หากความทรงจำหมุนเวียนกลับมาในปฏิทินหัวใจที่ฉันยังพอจะจำเหตุการณ์ได้ เมื่อก่อนทุกครั้งที่เดินผ่านแล้วเห็นถังแก๊สในครัวหรือตามร้านอาหาร ถ้าเลือกได้จะไม่เข้าไปในร้านนั้น เพราะร่างกายของฉันจะมีปฏิกิริยาทางกล้ามเนื้อที่เกร็งขึ้นเองโดยไม่ทันตั้งตัว บางครั้งมีอาการเหมือนจะหายใจไม่ออก อาจดูเกินจริงแต่สำหรับฉันในตอนนั้นเรื่องแค่นี้ เพียงพอให้หัวใจเต้นถี่และฝ่ามือเย็นเฉียบจนเหมือนชีวิตไปต่อไม่ไหวชั่วขณะ
ช่วงชีวิตตอนนั้น ฉันไปเจอคุณหมอราวกับญาติคนหนึ่ง เขาบอกว่านี่คือสิ่งที่หมอเรียกว่า Trauma (ทรอมา) เหตุการณ์ที่อาจไม่จางหายเพียงเพราะเราก้าวออกมาแล้วจากบ้านที่เคยเป็นหัวใจของเราหลังนั้น แต่จะค่อย ๆ คลี่คลายเมื่อเราได้อยู่ในพื้นที่ที่รู้สึกและสัมผัสว่าปลอดภัย หมอบอกว่าการเยียวยาไม่ได้เกิดจากการทำสิ่ง ๆ เดียวเสมอไป แต่มาจากหลายมือ หลายหัวใจ ที่ผสมผสานร่วมกัน รวมถึงตัวเราเองด้วย ในตอนนั้นฉันโชคดีที่มีครอบครัว เพื่อน และมิตรสหายรับฟังอย่างตั้งใจ จำได้ว่าป๊ากับแม่ไม่ถามซ้ำว่า ‘เกิดอะไรขึ้น’ แต่รอเวลาให้ฉันพร้อมที่จะเล่าให้ฟังเองโดยสมัครใจ ส่วนเพื่อนหรือมิตรสหายที่เป็นห่วงฉันอย่างบริสุทธิ์ใจ รู้กระทั่งว่าขณะที่ฉันยิ้มและหัวเราะมาก ๆ นั่นอาจเป็นช่วงเวลาที่ฉันเครียดมากที่สุด และกำลังร้องไห้อยู่ภายในใจ เพราะรู้สึกถึงความไม่มั่นคงและล้มเหลวในชีวิต หลายคนต่างรู้ว่า ฉันเคยเป็น Perfectionist แบบขั้นสุด
และในบรรดาบ้านของหัวใจที่มีไม่มากในชีวิต แต่เต็มไปด้วยคุณภาพที่โอบอุ้มฉันเอาไว้ในวันนี้ จังหวะชีวิตที่กำลังดำเนินต่อไปในทุกวินาที ฉันได้พบกับใครคนหนึ่งที่เป็นเหมือนสะพานเชื่อมหัวจิตหัวใจ ให้ฉันกลับมาหาชีวิตตัวเองอีกครั้ง เขาคนนั้นไม่ได้พูดยาวเป็นหน้ากระดาษ แต่เพียงประโยคเดียวที่กลายเป็นอีกลมหายใจใหม่ที่เข้ามาในชีวิต นั่นคือ…“อย่าให้อดีตมาทำร้ายปัจจุบันของเรา ทุกคนเคยผิดพลาดได้ ไม่มีใครรู้อนาคตอย่าจมอยู่กับตรงนั้น” นี่อาจเป็นประโยคเล็กน้อยและหาฟังจากในละคร ซีรีส์ หรือใคร ๆ ได้ แต่สำหรับช่วงเวลาในหลุมดำ คำ ๆ นี้เพียงไม่กี่ประโยค เติมใจให้ฉันได้ไปต่อได้ในวันที่ทุกอย่างดูจะสีเทาและไปทางสีดำมืดสนิท
ฉันได้แต่ภาวนาให้ทุกคนที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในชีวิตฉันตอนนี้พบเจอแต่วันดี ๆ “ขอบคุณมาก ๆ นะ บ้านของหัวใจฉันทุกคน” เรื่องราวของฉันอาจฟังดูเฉพาะตัว หรือกล่าวหาในเรื่องความรุนแรงในครอบครัว แต่จริง ๆ แล้ว ความรุนแรงในครอบครัว คือส่วนหนึ่งของปัญหาที่แพร่หลายไปทั่วสังคมไทยและโลก
จากรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ประเมินว่าผู้หญิง 1 ใน 3 ทั่วโลก เคยประสบความรุนแรงจากคู่ครองหรือคนใกล้ชิดในช่วงชีวิต และความรุนแรงในครอบครัวมักเกิดขึ้นในที่ลับตานั่นคือในบ้าน ซึ่งควรเป็นสถานที่ที่ควรปลอดภัยที่สุด
ในประเทศไทยเองสำนักงานตำรวจแห่งชาติเคยมีรายงานว่า แต่ละปีมีคดีความรุนแรงในครอบครัวนับพันคดี และยังมีจำนวนมากที่ไม่ถูกรายงานเพราะเหยื่อกลัวอับอายหรือถูกตำหนิในสังคม อีกทั้งยังพบว่าบางคดีเกิดการเจรจาให้ยอมความหรือไม่รับแจ้งความ เพราะมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ทั้งที่ความรุนแรงไม่ควรเป็นเรื่องส่วนตัว แม้จะเกิดขึ้นในบ้านที่เป็นพื้นที่ส่วนตัว อีกสาเหตุที่เหยื่อไม่แจ้งความมาจากความสัมพันธ์ทางครอบครัว เศรษฐกิจ และการเลี้ยงดูลูกที่เมื่อก่อนจะต้องมีทั้งพ่อกับแม่ ทั้งที่ครอบครัวทุกวันนี้อาจมีแค่แม่กับแม่ หรือพ่อกับพ่อก็ได้ในโลกตอนนี้ หากการมีอยู่กันพร้อมหน้า ไม่ได้นำมาซึ่งความสุขที่แท้จริง
สิ่งที่ฉันเรียกว่า ‘บ้านของหัวใจ’ เป็นบ้านที่ไม่จำเป็นต้องมีหลังคาและผนังเพียงอย่างเดียว แต่สร้างขึ้นจากความรู้สึกปลอดภัยและความรักที่ไม่ทำร้ายใคร บ้านที่ประกอบจากรอยยิ้มของป๊ากับแม่ เสียงหัวเราะของเพื่อนและมิตรสหาย ข้อความถามไถ่จากใครบางคนที่เป็นพื้นที่ปลอดภัย หรือแม้แต่ประโยคสั้น ๆ ที่ช่วยเปลี่ยนเส้นทางชีวิตได้ วันนี้แม้ครอบครัวของฉันในวันนั้น จะเหลือเพียงร่องรอยของความทรงจำ และติดอยู่ในช่วงเวลาเหมือนเนื้อเพลงชื่อว่า ‘ความทรงจำ’ ของวงดนตรี Musketeer แต่ฉันหวังว่าเราต่างคนต่างจะได้พบสิ่งดี ๆ ในชีวิต ได้มีครอบครัวที่ไม่มีคำว่าความรุนแรงเหมือนที่เราทั้งคู่เคยเจอ เพราะครอบครัวที่ดีอาจไม่ต้องสมบูรณ์แบบในทุกด้าน แต่ครอบครัวอาจทำให้สัมผัสถึง ‘บ้านของหัวใจ’ เหมือนในเนื้อเพลงวงดนตรี Superbaker
ฉันได้เรียนรู้ว่า ความรักหรือครอบครัวไม่ได้วัดจากความสมบูรณ์แบบ แต่ถูกวัดจาก ‘ความรู้สึกปลอดภัย’ ที่เรามีต่อกัน บ้านอาจต้องมีโครงสร้าง หลังคา ผนัง และเสาเข็มที่มั่นคง และมีพื้นที่ที่หัวใจได้พักกายใจโดยปราศจากความกลัว
บ้านคือที่ที่ไม่มีถ้อยคำหรือการกระทำใดทิ้งร่องรอยของความรุนแรงไว้ สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่าครอบครัว สำหรับฉันจึงเป็นทั้งที่พึ่งทางกายและใจได้ ที่ที่ทำให้เราสามารถกลับมาได้เสมอเมื่อโลกภายนอกโหดร้าย ที่ที่ความรักไม่ใช่เพียงคำพูด แต่คือที่ที่มีการดูแลกันอย่างมั่นคงและอ่อนโยน เหมือนท่วงทำนองและถ้อยคำในเพลง บ้านของหัวใจ ที่ยังคงอยู่ในความทรงจำและปัจจุบันของฉัน
สุดท้าย…ฉันขอเป็นกำลังให้ผู้หญิงที่คนที่เจอกับความรุนแรงในครอบครัว หากวันนี้คุณยังออกมาจากวังวนนั้นไม่ได้ไม่เป็นไร เพราะฉันเคยติดอยู่แบบนั้นมานานแสนนานเหมือนกัน แต่เชื่อว่าวันหนึ่งหากคุณรักตัวเองมากพอ สิ่งเล็ก ๆ ที่รักตัวเอง จะทำให้คุณก้าวข้ามออกมาได้…เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะ