20 ต.ค. 2568 | 10:58 น.
KEY
POINTS
ณ ห้องอาหารบริโอ (Brio) โรงแรมอนันตรา ริเวอร์ไซด์ ค่ำคืนที่ผู้หลงใหลในไวน์มารวมตัวกัน ไม่ได้เริ่มต้นด้วยพิธีการ แต่ด้วยบรรยากาศที่แฝงไว้ด้วยความเชื่อมโยงที่มองไม่เห็น ท่ามกลางบทสนทนาที่ไหลรินไม่ต่างจากไวน์รสเลิศ ทุกสายตาจับจ้องไปที่ชายคนหนึ่ง ผู้เดินทางข้ามทวีปมาในฐานะ ‘นักเล่าเรื่องด้วยตนเอง’
‘มาร์ค เวอร์สแตรท’ (Marc Verstraete) เจ้าของอาณาจักรไวน์ ‘Castigno’ เลือกที่จะทลายกำแพงทั้งหมดลงในทันทีที่เขาเริ่มต้นพูด น้ำเสียงของเขาไม่ใช่เจ้าของธุรกิจที่มาเยือน แต่คือมิตรเก่าที่กลับมาพร้อมกับเรื่องราวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความจริงใจ
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาอยู่ที่นี่... การได้เดินทางมาพบปะและพูดคุยกับทุกท่านนั้นคุ้มค่ากับการเดินทางโดยเครื่องบินจริง ๆ... ผมรักประเทศไทย ผมรักอาหาร และผมรักผู้คน และผมหวังว่าผู้คน (ที่นี่) จะรักไวน์ของผมเช่นกัน”
คำกล่าวที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังนี้ คือกุญแจที่ไขสู่โลกภายในของเขา ตอกย้ำว่าการเดินทางมาครั้งนี้มีความหมายลึกซึ้งกว่าเรื่องของผลกำไร แต่คือภารกิจส่วนตัวที่ขับเคลื่อนด้วยความหลงใหลและความตั้งใจที่จะนำเรื่องราวและจิตวิญญาณจากผืนดินที่เขาได้ทุ่มเทมาวางไว้บนโต๊ะอาหารเบื้องหน้า เพื่อเชื้อเชิญให้เราได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนั้น ที่มีชื่อว่า ‘คาสติญโญ’ (Castigno)
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นในปี 2007 ณ ดินแดนที่ได้รับการขนานนามว่า เป็นจุดเริ่มต้นของการปลูกองุ่นในฝรั่งเศสมาตั้งแต่ยุคโรมัน ที่นี่เองที่ ‘มาร์ค เวอร์สแตรท’ อดีตนักอุตสาหกรรมชาวเบลเยียมผู้กำลังมองหาความหมายบทใหม่ของชีวิต ได้พบกับ ‘รักแรกพบ’ ของเขา ไม่ใช่สตรีรูปงาม แต่คือซากปรักหักพังของปราสาทเก่าแก่แห่งอัศวินมอลตา ที่ตั้งตระหง่านอย่างเดียวดายบนเนินเขากลางหุบเขาอัสซินญ็อง รายล้อมด้วยไร่องุ่นโบราณและป่าโอ๊กที่ยังคงความบริสุทธิ์ของธรรมชาติไว้อย่างสมบูรณ์
สำหรับคนทั่วไป ที่นี่อาจเป็นเพียงร่องรอยแห่งอดีตที่รอวันเลือนหาย แต่สำหรับมาร์ค ที่แห่งนี้ คือ ‘บทกวีแห่งภูมิทัศน์’ คือผืนผ้าใบที่รอการแต่งแต้ม คือดินแดนในฝันที่เขารู้ในทันทีว่าจะทุ่มเทชีวิตเพื่อมัน
จากวันนั้น วิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่กว่าแค่การทำไวน์ ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น เขาไม่ได้ต้องการเพียงฟื้นคืนไร่องุ่น แต่ต้องการปลุกชีพจรของทั้งหมู่บ้านให้กลับมาเต้นอีกครั้ง ด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า 50 ล้านยูโร มาร์ค เริ่มต้นภารกิจที่หลายคนมองว่าเป็นไปไม่ได้ นั่นคือการเปลี่ยนหมู่บ้านร้าง ให้กลายเป็น ‘Village Castigno’ ยูโทเปียสำหรับยุคสมัยที่หมุนเร็ว จนผู้คนหลงลืมที่จะใช้ชีวิต เขาจินตนาการถึงสถานที่ ซึ่งผู้มาเยือนจะได้ “ชะลอจังหวะ ปลดปล่อยความเร่งรีบ และเชื่อมโยงกับธรรมชาติ” อย่างแท้จริง
นับเป็นการมองการณ์ไกลที่น่าทึ่ง เมื่อพิจารณาว่านี่คือแนวคิดที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน
ความกล้าที่จะแตกต่าง คือลายเซ็นของมาร์ค เขาเลือกที่จะฉีกทุกกฎเกณฑ์เดิม ๆ อาคารเก่าแก่ในหมู่บ้านถูกทาบทับด้วยสีสันจัดจ้านราวกับงานศิลปะสมัยใหม่ ที่พักถูกออกแบบมาเพื่อการ ‘Digital Detox’ อย่างสมบูรณ์แบบ ที่นี่ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ มีเพียงความเงียบสงบ เสียงของธรรมชาติ และโอกาสให้คุณได้สนทนากับตัวเองและคนรอบข้างอย่างแท้จริง
ที่นี่ไม่ใช่แค่รีสอร์ท แต่คือวิหารแห่งการพักผ่อน เป็นการประกาศเจตนารมณ์อันแรงกล้าว่า Castigno คือสถานที่ที่จิตวิญญาณจะได้หยุดพักและฟื้นคืนพลังอีกครั้ง
หาก ‘Village Castigno’ คือร่างกายที่มองเห็นได้จากภายนอก หัวใจที่สูบฉีดชีวิตให้แก่ทุกสรรพสิ่งในอาณาจักรแห่งนี้ก็คือปรัชญาที่หยั่งรากลึกลงไปในผืนดิน มาร์ค เวอร์สแตรท เชื่อมั่นอย่างสุดหัวใจว่า มนุษย์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของธรรมชาติ หน้าที่ของเรา คือ “การรับใช้ผืนดิน ไม่ใช่แค่การใช้ประโยชน์จากมัน”
ปรัชญานี้ไม่ใช่แค่คำคมสวยหรู แต่คือแนวปฏิบัติที่เข้มข้นในทุกตารางนิ้วของไร่องุ่น และเป็นที่มาของการทำเกษตรแบบ ‘ไบโอไดนามิก’ (Biodynamic) อย่างเต็มรูปแบบ
ที่คาสติญโญ เถาองุ่นไม่ได้เติบโตตามตำราเคมี แต่เติบโตภายใต้ ‘เสียงกระซิบจากดวงจันทร์’ และอิทธิพลของจักรวาล ตามแนวคิดของ ‘รูดอล์ฟ สไตเนอร์’ (Rudolf Steiner) บิดาแห่งเกษตรชีวพลวัต ทุกกระบวนการตั้งแต่การพรวนดิน, การเพาะปลูก ไปจนถึงการเก็บเกี่ยว ล้วนดำเนินไปตามปฏิทินจันทรคติ ที่เชื่อว่าพลังของธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ จะส่งผลต่อส่วนต่าง ๆ ของพืชในแต่ละวันแตกต่างกันไป การเก็บองุ่นใน ‘วันผลไม้’ (Fruit Days) จะช่วยให้ไวน์ที่ได้ มีชีวิตชีวาและเปี่ยมด้วยพลังชีวิตสูงสุด
และเมื่อคุณเดินเข้าไปในไร่ของคาสติญโญ คุณจะไม่ได้ยินเสียงเครื่องจักรกลหนักที่บดอัดทำลายโครงสร้างของดิน แต่จะได้พบกับ ‘อูโดลีน’ (Udoline) และ ‘แพร็งเซส’ (Princesse) ม้าสองตัวผู้เป็นแรงงานหลัก พวกมันคือสัญลักษณ์ที่มีชีวิตของการปฏิเสธทางลัด และการเลือกที่จะทำงานร่วมกับธรรมชาติอย่างอ่อนโยน เคารพซึ่งกันและกัน ทุกอย่างทำด้วยมือ ทุกตารางนิ้วได้รับการดูแลด้วยความรัก
ความมุ่งมั่นอันแรงกล้านี้ได้รับการยืนยันผ่านตรารับรองมาตรฐานออร์แกนิกระดับสูงสุดถึง 4 สถาบัน ไม่ว่าจะเป็น AB (Agriculture Biologique), EU Organic Logo และ Ecocert แต่ตราที่น่าภาคภูมิใจที่สุด คือ Demeter ซึ่งเป็นองค์กรรับรองไบโอไดนามิกที่เก่าแก่ เข้มงวด และได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลก
การได้รับตราประทับแห่งความเชื่อมั่นนี้ เป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าไวน์ทุกหยดของคาสติญโญ ไม่ได้เป็นเพียงไวน์ออร์แกนิก แต่คือผลผลิตจากระบบนิเวศที่สมบูรณ์ คือไวน์ที่มีชีวิตและจิตวิญญาณอย่างแท้จริง
วิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่ของบุรุษผู้หนึ่ง เปรียบเสมือนบทเพลงที่ถูกประพันธ์ขึ้นอย่างวิจิตร แต่การจะบรรเลงบทเพลงนั้นให้ก้องกังวานและจับใจผู้คนได้ ย่อมต้องอาศัยวาทยกรผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์และความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ที่คาสติญโญ วาทยกรผู้นั้นคือ ‘เกลม็อง ม็องกุส’ (Clément Mengus) ผู้จัดการทั่วไป หนุ่มผู้เปี่ยมด้วยพลังและได้รับการขนานนามว่า เป็น ‘นักผจญภัยผู้ใช้หัวใจนำทาง’
เกลม็อง ไม่ใช่เพียงผู้จัดการ แต่เขาคือผู้บุกเบิกด้านไบโอไดนามิก เป็นคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาพร้อมกับความเข้าใจว่าอนาคตของการทำไวน์คือการหวนกลับไปหาธรรมชาติ เขาคือพลังขับเคลื่อนที่สมบูรณ์แบบสำหรับวิสัยทัศน์ของมาร์ค เป็นผู้แปรเปลี่ยนปรัชญาอันยิ่งใหญ่ให้กลายเป็นรูปธรรมที่สัมผัสได้ในทุกรายละเอียด ทั้งในไร่องุ่นและในห้องหมักบ่ม
สิ่งที่ เกลม็อง นำมาสู่คาสติญโญ คือการปฏิวัติรสชาติแห่งล็องก์ด็อก (Languedoc) อย่างแท้จริง เขากล้าที่จะเดินสวนกระแสภาพจำเดิมๆ ของไวน์จากดินแดนแถบนี้ที่มักจะหนักแน่น ทรงพลัง และเปี่ยมด้วยแอลกอฮอล์ (Muscular Wines) แต่มุ่งมั่นที่จะสร้าง ‘DNA’ ใหม่ให้กับไวน์ของคาสติญโญ โดยจารึกลายเซ็นที่เน้นความ ‘สง่างาม’ (Elegance), ‘ความละเอียดอ่อน’ (Finesse) และ ‘ความซับซ้อน’ (Complexity) ลงไปในไวน์ทุกขวด เขาเชื่อว่าพลังที่แท้จริงของไวน์ไม่ได้อยู่ที่ความหนักหน่วง แต่อยู่ที่ความสมดุลและความสามารถในการสะท้อนตัวตนของผืนดินออกมาได้อย่างบริสุทธิ์ที่สุด
มาร์ค เวอร์สแตรท ผู้เปี่ยมด้วยประสบการณ์และวิสัยทัศน์ที่มองการณ์ไกล ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับ เกลม็อง ม็องกุส ผู้เต็มไปด้วยพลัง ความรู้สมัยใหม่ และความมุ่งมั่น คือภาพสะท้อนที่งดงามของการหลอมรวมสองยุคสมัยให้เป็นหนึ่งเดียว พวกเขาคือคนสองรุ่นที่มองไปยังปลายทางเดียวกัน เพื่อร่วมกันบรรเลงบทเพลงแห่ง คาสติญโญ ให้กลายเป็นตำนานบทใหม่แห่งโลกไวน์ที่น่าจดจำ
ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องราวอันยิ่งใหญ่ ปรัชญาที่ลึกซึ้ง และความทุ่มเททั้งหมดในไร่องุ่น จะถูกพิพากษาและตัดสินคุณค่าจากของเหลวในแก้วที่อยู่ตรงหน้าเรา และสำหรับ คาสติญโญ นี่คือช่วงเวลาที่เรื่องเล่าทั้งหมดได้แปรเปลี่ยนเป็นสุนทรียะที่สัมผัสได้จริง เป็นการ ‘ดื่มชีวิต’ จากผลองุ่นที่ไม่เคยถูกบังคับหรือเร่งเร้า แต่ได้รับการประคบประหงมให้เติบโตและแสดงตัวตนออกมาอย่างอิสระที่สุด
ค่ำคืนนั้น เราได้มีโอกาสถอดรหัสรสชาติจากไวน์ตัวเด่นหลายขวด ซึ่งแต่ละขวดก็เปรียบเสมือนบทเพลงที่บอกเล่าแง่มุมที่แตกต่างกันของผืนดินแห่งอัสซินญ็อง
เริ่มจาก ‘Rosé Brut Nature 2021’ นี่คือความกล้าหาญและความคิดสร้างสรรค์ที่ถูกบรรจุลงในขวด สปาร์คกลิงโรเซ่ที่ผลิตด้วยกรรมวิธีดั้งเดิม เช่นเดียวกับแชมเปญชั้นสูง แต่โดดเด่นด้วยการเป็น ‘Brut Nature’ หรือ ‘Zero Dosage’ ซึ่งหมายถึงไม่มีการเติมน้ำตาลลงไปในขั้นตอนสุดท้าย เป็นการเผยความบริสุทธิ์ของรสชาติองุ่นและแร่ธาตุจากดินออกมาอย่างหมดจด
ตามด้วย ‘Nirwana Blanc 2020’ เป็นไวน์ที่ฉีกทุกกฎเกณฑ์ของไวน์ขาวจากแคว้นล็องก์ด็อกอย่างสิ้นเชิง จากการผสานองุ่นพันธุ์ Grenache Blanc และ Carignan Blanc เข้าด้วยกัน ก่อนนำไปบ่มอย่างพิถีพิถันในถังไม้และโถดินเผา ผลลัพธ์ที่ได้คือไวน์สีเหลืองคาราเมลเข้มข้นที่ส่องประกายงดงาม มอบรสสัมผัสที่หนักแน่นเต็มตัว (Full-bodied) อย่างน่าทึ่ง แต่กลับทิ้งท้ายด้วยความสดชื่นที่ยาวนานอย่างน่าประหลาดใจ เป็นไวน์ขาวที่มีบุคลิกซับซ้อนและท้าทาย ชวนให้นึกถึงไวน์ Riesling ชั้นดี และเป็นบทพิสูจน์ถึงอิสระในการสร้างสรรค์ของ Château Castigno ได้อย่างยอดเยี่ยม
‘Nirwana Rouge 2017’ บทเพลงที่บรรเลงจากเถาองุ่น เกรนาช นัวร์ (Grenache Noir) อายุ 80 ปี ที่หยั่งรากลึกลงไปในดินเพื่อค้นหาความซับซ้อนมามอบให้เรา รสสัมผัสแรกอาจนุ่มนวล แต่แฝงไว้ด้วยโครงสร้างที่ลึกล้ำ กลิ่นหอมของราสเบอร์รีบดละเอียดผสานกับดอกไม้แห้งอย่างลาเวนเดอร์และกุหลาบ ก่อนจะค่อย ๆ เผยตัวตนที่แท้จริงออกมาเป็นกลิ่นมะเดื่อสุกและอบเชย เป็นไวน์ที่ท้าทายให้เราใช้เวลาและสมาธิไปกับมัน เพื่อค้นพบความงามที่ซ่อนอยู่ในทุกอณู
‘Château Castigno Rouge 2019’ หาก Nirwana คือบทเพลงคลาสสิก ไวน์ขวดนี้ก็คือจิตวิญญาณอันเป็นตำนานของล็องก์ด็อก ที่ถูกนำมาตีความใหม่ พลังชีวิตจากเถาองุ่นพันธุ์ คาริญอง (Carignan) ที่มีอายุกว่าศตวรรษ ถูกนำมาผสานกับ ซีราห์ (Syrah) และ เกรนาช (Grenache) เพื่อสร้างไวน์ที่มีโครงสร้างสง่างาม แทนนินที่นุ่มนวลราวกับกำมะหยี่ และรสชาติที่ดื่มง่ายอย่างน่าประทับใจ คือบทพิสูจน์ว่าไวน์ที่ยิ่งใหญ่ไม่จำเป็นต้องแข็งกระด้างเสมอไป
‘Secret des Dieux 2019’ (ความลับของพระเจ้า) ชื่อของมันบอกทุกอย่าง ไวน์ขวดนี้คือแก่นแท้ คือตัวตนที่สมบูรณ์ที่สุดของ คาสติญโญ เป็นไวน์ที่เปิดตัวด้วยความทรงพลัง แต่แฝงไว้ด้วยความหรูหราและซับซ้อน กลิ่นผลไม้ดำสุกฉ่ำที่คลอเคล้ากับสมุนไพรป่าและรากชะเอม เป็นรสชาติที่สะท้อนความสมดุลอันยอดเยี่ยมระหว่างพลังดิบของธรรมชาติกับความประณีตในการปรุงไวน์
ไวน์ทุกขวดของ คาสติญโญ ล้วนมีลายเซ็นร่วมกัน นั่นคือความสดชื่น มีชีวิตชีวา และความสะอาดบริสุทธิ์ของรสชาติที่ทิ้งท้ายในปาก คือรสชาติของผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ คือรสชาติของผลองุ่นที่มีความสุข และคือรสชาติของปรัชญาที่สามารถดื่มกินได้จริง
เมื่อรสชาติสุดท้ายของไวน์และอาหารจานเลิศจากห้องอาหารบริโอค่อยๆ จางหายไป เรื่องราวทั้งหมดที่เรารับฟังมาตลอดทั้งคืน ตั้งแต่การค้นพบดินแดนในฝัน ปรัชญาไบโอไดนามิกอันลึกซึ้ง ไปจนถึงรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ในแก้ว ก็ได้ถูกสรุปรวบยอดด้วยคำพูดที่สะท้อนถึงแก่นแท้ของทุกสิ่งที่ มาร์ค เวอร์สแตรท ได้สร้างขึ้นมา
“เมื่อผู้คนมาหาเรา มันคือการพักผ่อน, การกิน, การดื่ม, ปราศจากรถยนต์... ดังนั้น อันที่จริงแล้ว ทั้งหมดนี้คือคอนเซ็ปต์ใหม่ทั้งหมด…” ก่อนจะปิดท้ายด้วยประโยคที่เป็นหัวใจของทุกสิ่ง “ตอนนี้... เราไม่ได้ขายไวน์ แต่เราขายความฝัน”
ประโยคสุดท้ายนั้น คือบทสรุปที่ทรงพลังที่สุด คือคำตอบของทุกสิ่ง คือจิตวิญญาณที่กลั่นออกมาเป็นคำพูด และทำให้เราเข้าใจในทันทีว่า คาสติญโญ ไม่ใช่แค่ชื่อของแบรนด์ไวน์ แต่คือประสบการณ์ คือวิถีชีวิต คือความฝันที่จับต้องและดื่มได้จริง
การเดินทางมาถึงประเทศไทยของ Château Castigno โดยการนำเข้าของ บริษัท วินสตาร์ ไวน์เนอร์รี่ จำกัด จึงมีความหมายมากกว่าแค่การเพิ่มรายชื่อไวน์แบรนด์ใหม่เข้ามาในตลาด แต่คือการนำเข้า ‘ความฝัน’ มาให้นักดื่มไวน์ชาวไทยได้ร่วมสัมผัส
และในโลกที่ทุกอย่างหมุนไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดหย่อน บางที ‘ความฝัน’ ที่ว่านี้อาจเป็นสิ่งที่เราทุกคนกำลังโหยหาอยู่ก็เป็นได้
เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์