08 ก.ย. 2568 | 14:18 น.
KEY
POINTS
ในปี 2015 ณ ศาลเมืองวิลฟร็องช์-ซูร์-โซน (Villefranche-sur-Saône) เมืองหลวงแห่งแคว้นโบโจเลส์ ชายผู้มาจากตระกูลไวน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตระกูลหนึ่งของเบอร์กันดี ต้องยืนต่อหน้าผู้พิพากษา อาชญากรรมของเขาไม่ใช่การฉ้อโกงหรือลักขโมย แต่คือการ ‘ปฏิเสธ’ ที่จะฉีดพ่นยาฆ่าแมลงลงบนไร่องุ่นของตนเอง
ชายผู้นั้นคือ ‘ตีโบต์ ลิเฌร์-เบแลร์’ (Thibault Liger-Belair) ทายาทรุ่นที่หกของตระกูลผู้ผลิตไวน์ที่หยั่งรากลึกในประวัติศาสตร์มากว่าสองศตวรรษ การตัดสินใจของเขาในวันนั้น ไม่ใช่แค่การปกป้องผลผลิต แต่คือการต่อสู้เพื่อจิตวิญญาณของการทำไวน์ ในการประกาศจุดยืนว่าผืนดินที่บรรพบุรุษส่งต่อมา ไม่ควรแปดเปื้อนด้วยสารเคมีที่ฝืนธรรมชาติ ไม่ว่าคำสั่งนั้นจะมาจากรัฐบาลก็ตาม
สำหรับคนภายนอก นี่อาจเป็นเพียงคดีความของเกษตรกรหัวรั้น แต่สำหรับผู้ที่ติดตามการเดินทางของเขา นี่คือจุดไคลแม็กซ์ของการ ‘ปฏิวัติเงียบ’ ที่เขาเริ่มต้นขึ้นนับสิบปีก่อนหน้านั้น การปฏิวัติที่เริ่มต้นจากคำสบประมาทของบรรพบุรุษ สู่การทวงคืนมรดกที่เคยสาบสูญ และการรังสรรค์ไวน์ผ่านปรัชญาที่เชื่อว่า
“ศิลปินที่แท้จริงต้องเรียนรู้ที่จะ ‘รับฟัง’ ไม่ใช่ ‘ควบคุม’ ธรรมชาติ”
เรื่องราวการปฏิวัติของ ตีโบต์ ลิเฌร์-เบแลร์ จะไม่สมบูรณ์ หากไม่ย้อนกลับไปยัง ‘คำสาป’ ที่เกือบจะลบชื่อตระกูลของเขาออกจากหน้าประวัติศาสตร์ไวน์ แม้รากของตระกูลจะหยั่งลึกในเบอร์กันดีมาตั้งแต่ปี 1720 แต่สำหรับ ตีโบต์ แล้ว ความจริงที่เขาสัมผัสได้ในวัยเยาว์ไม่ใช่ความรุ่งโรจน์ แต่เป็นเถ้าถ่านของความล้มเหลว
ในช่วงวิกฤตการณ์น้ำมัน OPEC ทศวรรษ 1970s ธุรกิจการค้าไวน์ของครอบครัวที่เคยยิ่งใหญ่ได้สั่นคลอนอย่างหนัก จนคุณปู่ของเขาเอ่ยประโยคชี้ชะตากับลูกชายว่า
“อย่าเข้าสู่วงการไวน์เด็ดขาด เพราะไม่มีอนาคต”
คำพูดนั้นทรงพลังราวกับคำพยากรณ์ ในปี 1979 ธุรกิจล้มละลายและถูกขายทอดตลาดไปในปี 1982 หลังการเสียชีวิตของปู่ สิ่งที่เหลืออยู่คือไร่องุ่นล้ำค่าเพียงไม่กี่แปลงที่พ่อของเขาซื้อคืนไว้ได้ทัน เช่น Richebourg, Clos de Vougeot และ Les Saint-Georges มรดกของตระกูล Liger-Belair ได้กลายสภาพจากผู้ผลิตและผู้ค้าไวน์รายใหญ่ เหลือเพียง ‘เจ้าของที่ดิน’ โดยที่คุณพ่อของเขาไม่ได้เลือกเส้นทางผู้ผลิตไวน์ เพราะคำเตือนของคุณปู่ยังก้องกังวานอยู่
แต่แล้วในปี 2001 ด้วยการตัดสินใจที่สวนทางกับคำเตือนของปู่ ตีโบต์ ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด เขาเดินทางกลับสู่ นุยส์-แซงต์-จอร์จ (Nuits-Saint-Georges) อีกครั้ง ในฐานะ ‘ผู้ผลิตไวน์’ เพื่อ ‘ทวงคืน’ จิตวิญญาณที่สาบสูญไป การกลับมาครั้งนี้เป็นการจุดประกายไฟกองแรกของการปฏิวัติเงียบ เพื่อพิสูจน์ให้โลกเห็นว่า ‘อนาคต’ ที่บรรพบุรุษปฏิเสธนั้น เขาสามารถปั้นขึ้นมาใหม่ได้ด้วยมือของเขาเอง
เมื่อ ตีโบต์ กลับมายังไร่องุ่นของตระกูล เขามาพร้อมกับปรัชญาที่เป็นหัวใจของการปฏิวัติทั้งหมด นั่นคือปรัชญาแห่ง ‘การรับฟัง’ ผืนดิน ด้วยตระหนักว่าปัญหาในอดีตไม่ได้เกิดจากไร่องุ่น แต่เกิดจากวิธีคิดของมนุษย์ที่พยายามจะ ‘ควบคุม’ ธรรมชาติมากเกินไป
จุดเปลี่ยนที่สำคัญ คือการเปลี่ยนมุมมองจาก ‘ต้นองุ่น’ ไปสู่ ‘ผืนดิน’ เขาเคยกล่าวว่า “สำหรับผมแล้ว ดินคือทุกสิ่ง” ความคิดนี้ผลักดันให้เขาหันไปศึกษาแนวทางการเกษตรแบบ ‘ชีวพลวัต’ (Biodynamic) ซึ่งมองว่าไร่องุ่นคือสิ่งมีชีวิตองค์รวมที่เชื่อมโยงกับพลังงานและวัฏจักรของจักรวาล
บทบาทของ ตีโบต์ คือการสังเกตและทำความเข้าใจ เพื่อตอบสนองความต้องการของเถาองุ่นให้เติบโตตามศักยภาพ ด้วยความ “อ่อนน้อมถ่อมตนเสมอต่อความมหัศจรรย์ของดินของเรา” โดเมนของเขาได้รับการรับรองเกษตรอินทรีย์ (Organic) ตั้งแต่ปี 2005 และเริ่มใช้แนวทางไบโอไดนามิกตั้งแต่ปี 2004 ด้วยความมุ่งมั่นที่จะลดการใช้ทรัพยากรและคืนสมดุลสู่ธรรมชาติ
ทัศนคติที่ ตีโบต์ ยึดถือ คือการเป็น “ผู้เริ่มต้นตลอดไป” (A permanent beginner) เขาไม่เคยมองตัวเองเป็น ‘แชมป์’ ในการทำไวน์ แต่เป็น ‘นักเรียน’ ที่เรียนรู้จากธรรมชาติอยู่เสมอ ด้วยเชื่อว่าผู้ผลิตไวน์ที่คิดว่าตนเองประสบความสำเร็จแล้วก็จะควรเลิกทำไวน์ เพราะการทำไวน์คือการแสวงหาการปรับปรุงอย่างไม่หยุดนิ่ง โดยเฉพาะในยุคที่สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
การปฏิวัติเงียบจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมภายในไร่ เขาเลิกไถพรวนดินในบางแปลง เพื่อรักษาโครงสร้างของรากฝอยบนผิวดินที่ช่วยดักจับน้ำฝน เขาใช้ม้าในการพรวนดินเพื่อลดการบดอัด และสร้าง ‘พรมหญ้า’ เพื่อปกป้องดินจากแสงแดดที่รุนแรงขึ้น ทั้งหมดนี้สวนทางกระแสเกษตรกรรมสมัยใหม่ แต่มาจากความเข้าใจใน ‘ดิน’ อย่างแท้จริง
สำหรับตีโบต์ ไวน์ที่ยอดเยี่ยม เปรียบเสมือน ‘ศิลปะสามด้าน’ (triptych) ประกอบด้วย แตร์รัวร์ (บทเพลง), พันธุ์องุ่น (เครื่องดนตรี) และ ผู้ผลิตไวน์ (ผู้ตีความ) ด้วยปรัชญาแห่งการรับฟังนี้เอง ทำให้เขาสามารถตีความบทเพลงของผืนดินออกมาเป็นไวน์ที่มีชีวิตชีวาและสะท้อนตัวตนของแหล่งกำเนิดได้อย่างชัดเจน
ปรัชญาแห่งการรับฟังและการทำเกษตรแบบชีวพลวัต ที่ ตีโบต์ ลิเฌร์-เบแลร์ ยึดมั่นมาตลอดทศวรรษ เริ่มถูกทดสอบอย่างรุนแรงที่สุดในปี 2015 เมื่อไร่องุ่นทั่วเบอร์กันดีต้องเผชิญหน้ากับคำสั่งจากหน่วยงานรัฐ
เวลานั้น โรคระบาดในไร่องุ่นที่ชื่อ ‘ฟลาเวสซองซ์ โดเร’ (Flavescence Dorée) ซึ่งแพร่กระจายโดยแมลงชนิดหนึ่ง กำลังเป็นภัยคุกคาม เพื่อป้องกันการระบาดในวงกว้าง ทางการฝรั่งเศสได้ออกคำสั่งบังคับให้ผู้ผลิตไวน์ทุกคนในพื้นที่ ต้องฉีดพ่นยาฆ่าแมลงตามที่กำหนดโดยไม่มีข้อยกเว้น
สำหรับเกษตรกรส่วนใหญ่ นี่คือมาตรการป้องกันที่จำเป็น แต่สำหรับ ตีโบต์ และผู้ผลิตไวน์สายไบโอไดนามิกอีกไม่กี่คน คำสั่งนี้ไม่ต่างจากหายนะ มันคือการบังคับให้พวกเขาทำลายระบบนิเวศอันเปราะบางที่ใช้เวลาทั้งชีวิตสร้างขึ้นมา ยาฆ่าแมลงไม่ได้เลือกฆ่าเฉพาะแมลงพาหะ แต่จะทำลายล้างสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในไร่ ทั้งจุลินทรีย์ในดิน แมลงที่เป็นประโยชน์ และที่สำคัญคือ ผึ้ง ซึ่งเป็นหัวใจของความหลากหลายทางชีวภาพ
ตีโบต์ เลือกที่จะ ‘ปฏิเสธ’ เขายืนหยัดต่อต้านคำสั่ง โดยให้เหตุผลว่า การฉีดพ่นยาฆ่าแมลง คือการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุและสร้างความเสียหายในระยะยาวมากกว่าจะเป็นผลดี การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้การปฏิวัติเงียบของเขากลายเป็นเสียงคำรามที่ดังไปทั่วโลก เขามิได้ต่อสู้กับโรคระบาด แต่กำลังต่อสู้กับระบบราชการที่มองไม่เห็นคุณค่าของวิถีเกษตรกรรมที่เคารพธรรมชาติ
ผลลัพธ์คือ ตีโบต์ ถูกดำเนินคดีและต้องขึ้นศาล เขาเสี่ยงต่อการถูกปรับและอาจถึงขั้นจำคุก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเหนือความคาดหมาย ข่าวการต่อสู้ของเขาแพร่กระจายออกไป ปลุกกระแสการสนับสนุนจากผู้คนทั่วโลก ทั้งผู้ผลิตไวน์ นักดื่มไวน์ นักสิ่งแวดล้อม และผู้บริโภคที่ใส่ใจในที่มาของอาหาร ต่างร่วมลงชื่อในคำร้องเพื่อสนับสนุนเขา
คดีความนี้ได้เปลี่ยน ตีโบต์ จากผู้ผลิตไวน์ที่น่าจับตา ให้กลายเป็น ‘สัญลักษณ์’ ของการต่อสู้เพื่อเกษตรกรรมที่ยั่งยืน เขากลายเป็นเสียงของผู้ผลิตรายเล็กที่กล้าท้าทายอำนาจรัฐเพื่อปกป้องหลักการของตนเอง และในที่สุด การต่อสู้ครั้งนี้ก็จบลงด้วยชัยชนะทางศีลธรรมที่ส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการ
ปรัชญาแห่งการรับฟังของ ตีโบต์ ลิเฌร์-เบแลร์ ไม่ได้สิ้นสุดที่ริมขอบไร่องุ่น แต่เดินทางตามผลองุ่นทุกพวงเข้ามาสู่โรงบ่มไวน์ ที่ซึ่งศิลปะแห่งการไม่เข้าแทรกแซง ถูกนำมาใช้เพื่อขัดเกลาให้ไวน์ได้แสดงตัวตนออกมาอย่างบริสุทธิ์ที่สุด
ตีโบต์ มีแนวคิดชัดเจนที่จะสกัดเปลือกองุ่นให้น้อยที่สุด (less extraction) เพื่อรักษาพลังงานและความสดใหม่ขององุ่นพันธุ์ปิโนต์ นัวร์ เอาไว้ เขาไม่เติมสิ่งแปลกปลอมใด ๆ ลงในไวน์ยกเว้นกำมะถันจากธรรมชาติ ในปริมาณที่ต่ำมาก และได้เลิกใช้กำมะถันที่ผลิตจากปิโตรเคมีโดยสิ้นเชิง
องุ่นทุกพวงจะถูกคัดเลือกอย่างพิถีพิถันบนโต๊ะคัดแยก สำหรับเทคนิคการหมักทั้งก้าน (Whole Clusters) นั้น เขาไม่มีสูตรตายตัว แต่จะตัดสินใจตามสภาพขององุ่นในแต่ละปี โดยมีสัดส่วนตั้งแต่ 10-50% เพื่อเพิ่มความสดชื่น และมิติทางกลิ่นและรสชาติ
นอกจากนี้ เขายังให้ความสำคัญกับการเลือกไม้โอ๊คสำหรับทำถังบ่มอย่างละเอียด โดยจับคู่ไม้แต่ละชนิดให้เข้ากับไวน์แต่ละล็อต เพื่อให้ถังไม้โอ๊คช่วยเสริมลักษณะของไวน์ แทนที่จะเข้าไปครอบงำ
ผลลัพธ์จากความพิถีพิถันนี้ คือไวน์ที่มีความสมดุล ละเอียดอ่อน และสง่างาม แม้จะมีเนื้อสัมผัสที่ ‘อวบอิ่มและเต็มตัว’ แต่ก็โดดเด่นด้วย ‘แง่มุมของแร่ธาตุที่เด่นชัดขึ้น’ ท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น เขามุ่งมั่นที่จะรักษาความสดชื่นและมีชีวิตชีวา เพื่อให้ไวน์คงความเป็นเบอร์กันดีคลาสสิกเอาไว้ ทำให้ไวน์ของเขามีสมดุลที่ดีเยี่ยมระหว่างแอลกอฮอล์และกรด สามารถพัฒนาตัวเองเมื่อเก็บเป็นเวลานาน ด้วยความเชื่อว่า “ไวน์คือการยกย่องกาลเวลา”
ศิลปะของเขาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในบ้านเกิด การเดินทางไปบุกเบิกพื้นที่ในแคว้นโบโจเลส์ (Beaujolais) ในไร่ ‘มูแล็ง-อา-ว็อง’ (Moulin-à-Vent) คือบทพิสูจน์ที่ชัดเจนที่สุด ไวน์กาเมย์ (Gamay) ของเขาได้รับการยกย่องว่ายอดเยี่ยมและมีโครงสร้างเทียบเท่าไวน์กรองด์ ครู ซึ่งเป็นการท้าทายการรับรู้เดิม ๆ เกี่ยวกับไวน์จากแคว้นนี้
ขณะเดียวกัน การต่อสู้เพื่อผืนดินในบ้านเกิดยังคงดำเนินต่อไป กับความพยายามผลักดันให้ไร่องุ่นชั้นเลิศ ‘เลส์ แซงต์-จอร์จส์’ (Les Saint-Georges) ได้รับการเลื่อนชั้นขึ้นเป็น กรองด์ ครู (Grand Cru) ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเชื่อมั่นว่าจะต้องทำให้สำเร็จ
จากทายาทผู้ลังเลที่ต้องเผชิญหน้ากับมรดกที่ล่มสลาย สู่ศิลปิน-นักปรัชญา ผู้เรียนรู้ที่จะรับฟังเสียงของผืนดิน และสุดท้ายกลายเป็นนักสู้ในที่สาธารณะเพื่อปกป้องสิ่งที่ศรัทธา... การเดินทางของ ตีโบต์ ลิเฌร์-เบแลร์ คือบทพิสูจน์ว่าคนเพียงคนเดียวสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้
เขาได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ความยั่งยืนไม่ใช่ทางเลือก แต่คือหัวใจสำคัญของการสร้างสรรค์ผลงานที่ยอดเยี่ยม การกลับไปสู่วิถีดั้งเดิม ไม่ใช่การเดินถอยหลัง แต่คือการก้าวไปข้างหน้าอย่างเข้าใจรากเหง้าของตนเองอย่างลึกซึ้งที่สุด
เรื่องราวของ ตีโบต์ ลิเฌร์-เบแลร์ คือแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ผลิตรุ่นใหม่ ที่กล้าจะตั้งคำถาม ท้าทายธรรมเนียมปฏิบัติ และพร้อมจะปกป้องผืนดินของตนเองเหนือผลประโยชน์อื่นใด
นี่คือบทสรุปของนักปฏิวัติเงียบ ผู้ไม่ได้ใช้ศาสตราวุธใด ๆ นอกจากความเชื่อ ความถ่อมตน และความรักอันบริสุทธิ์ที่มีต่อผืนดิน... ชายผู้สร้างอนาคตด้วยการเคารพรากเหง้าของอดีตอย่างแท้จริง
เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์
ภาพ: เว็บไซต์ https://m.thibaultligerbelair.com
ที่มา:
"Domaine Thibault Liger-Belair." Domaine Thibault Liger-Belair, www.thibaultligerbelair.com.
"Emmanuel Giboulot, French Organic Winemaker, Fined for Refusing to Use Pesticide." The Guardian, 7 Apr. 2014.
Morris, Jasper. "Thibault Liger-Belair." Jasper Morris Inside Burgundy, www.insideburgundy.com/producer/thibault-liger-belair.
Nossiter, Adam. "French Vintner Fined for Refusing Pesticide Order." The New York Times, 7 Apr. 2014.
Schoff, Steen. "Terroir Insight: Thibault Liger-Belair Richebourg." Winehog.org.