นพ.ยศวีร์ อรรฆยากร ชีวิต น้ำตา และหยาดเหงื่อ สู่แพทย์สรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ

นพ.ยศวีร์ อรรฆยากร ชีวิต น้ำตา และหยาดเหงื่อ สู่แพทย์สรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ

นพ.ยศวีร์ อรรฆยากร แห่งโรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ คุณหมอผู้คว้าทุกโอกาสและลงมือทำอย่างเต็มกำลัง สู่แพทย์เฉพาะทางโรคสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ กับเส้นทางในวงการแพทย์นั้นแลกมาด้วยชีวิต เวลา น้ำตา และหยาดเหงื่อ ที่ความสำเร็จไม่ได้มาโดยง่าย

หากคุณมีภาพจำเมื่อไปพบคุณหมอ ในการใส่เสื้อกาวน์ ห้อยสเต็ทที่คอ เป็นอาชีพที่น่าอิจฉา ไปลองรู้จักกับนายแพทย์ยศวีร์ อรรฆยากร (Dr. Yossavee Ukkayagorn) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญการตรวจสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ และใช้การจี้ไฟฟ้าหัวใจด้วยคลื่นความถี่วิทยุ โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ ที่ทำให้รู้ว่ากว่าจะมีภาพรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า กับเส้นทางในวงการแพทย์นั้นแลกมาด้วยชีวิต เวลา น้ำตา และหยาดเหงื่อ ที่ความสำเร็จไม่ได้มาโดยง่าย

ย้อนกลับไปในวันที่เขายังเป็นเพียงเด็กชายยศวีร์ แถมพ่วงด้วยตำแหน่งพี่ใหญ่ของบ้านในบรรดาพี่น้อง 4 คน ในครอบครัวที่ทำธุรกิจซึ่งคุณพ่อ คุณแม่เคยฝันอยากเป็นแพทย์ จึงปลูกฝังอยากเห็นเขาเติบโตในสายอาชีพแพทย์ในอนาคต

“แรงบันดาลใจที่ทำให้อยากเป็นหมอมาจากคุณพ่อคุณแม่ครับ ท่านปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก พูดมาเรื่อย ๆ เรียนหมอนะ โตมาอยากให้เป็นหมอ ตอนนั้นเราก็เลยไม่มีความคิดที่อยากเป็นอย่างอื่น และมีคุณอา ท่านก็เป็นหมอเป็นไอดอลเรา ก็เลยอยากเรียนบ้าง เพราะว่าโดยส่วนตัวแล้วเราก็ชอบช่วยเหลือคนอื่นด้วย”

นพ.ยศวีร์ อรรฆยากร ชีวิต น้ำตา และหยาดเหงื่อ สู่แพทย์สรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ

การจุดประกายเล็กๆ เหล่านั้น เป็นเหตุผลให้เขาจากบ้านเกิดที่จังหวัดสระบุรี เพื่อศึกษาที่กรุงเทพฯ ในช่วงมัธยมต้น ก่อนที่จะสอบเข้าเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โดยมีเป้าหมายปลายทางคือการสอบเอ็นทรานซ์เข้าคณะแพทยศาสตร์ตามลำดับ แม้ผลลัพธ์การสอบในระบบจะไม่ได้เป็นดั่งใจ แต่เขาก็พาตัวเองเข้าศึกษาต่อตามที่ตั้งใจได้ที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต 

“ตอนเด็กๆ เราคิดว่าเป็นหมอแล้วเท่ เวลาเห็นคุณหมอใส่แว่นคล้องสเต็ทฯ (สเต็ทโตสโคป หรือหูฟังแพทย์) แต่พอได้เรียน ก็พบว่าเรียนหนักกว่าที่คิดมาก โดยเฉพาะพวกวิชากลอส อนาโตนี  (Gross anatomy) นี่ โอ้โห ท่องอะไรก็ไม่รู้ (หัวเราะ) ต้องเอาโครงกระดูกมานั่งท่อง มานั่งดูว่าตรงนี้เรียกว่าอะไร กะโหลกบ้าง กระดูกแขน กระดูกขา เอามาท่องในห้องนอนทุกคืน” นายแพทย์ยศวีร์ย้อนเล่าความทรงจำขณะเป็นนักศึกษาแพทย์

เมื่อจบการศึกษาในปีพ.ศ. 2544 ก็ได้ทำงานแพทย์ห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลราชวิถี เป็นอีกช่วงหนึ่งของการเริ่มต้นชีวิตการทำงานที่ทำให้เจอเคสการรักษาผู้ป่วยที่หลากหลาย เป็นหน้าด่านส่งต่อเคสให้กับแพทย์เฉพาะด้าน แต่ไม่ได้ดูไปจนสุดทาง เขาจึงโบกมือลาห้อง ER เพื่อทุ่มเทเวลาเตรียมตัวไปเรียนต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

แต่จุดเปลี่ยนก็เกิดขึ้นในระหว่างที่รอการตอบรับจากมหาวิทยาลัยอยู่ เขาได้พบกับนายแพทย์ชาตรี ดวงเนตร อดีตประธานคณะผู้บริหาร ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ ที่ชักชวนให้มาทำงานในโรงพยาบาลกรุงเทพในตำแหน่ง Medical Coordinator ซึ่งอยู่ในกลุ่ม Email Team ทำหน้าที่ตอบรับและส่งอีเมลคนไข้ต่างชาติ หรือสถานทูตที่ต้องการจะส่งตัวคนไข้ต่างชาติเข้ามารักษาในโรงพยาบาลกรุงเทพ ถือเป็นก้าวแรกที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวโรงพยาบาลกรุงเทพ

“ผมรู้สึกว่าโอกาสที่ 1 มาแล้ว เราต้องรีบคว้าไว้ก่อน ในตอนนั้นที่ทำงานในฐานะ Medical Coordinator ผมก็รู้สึกว่ายอดคนไข้ในโรงพยาบาลกรุงเทพเพิ่มขึ้นด้วย เพราะว่าเราตอบเร็ว เขาส่งมาปุ๊บเราตอบปั๊บ หัวหน้าก็บอกว่ายอดขึ้นเลยนะ ผมก็ดีใจ”

นพ.ยศวีร์ อรรฆยากร ชีวิต น้ำตา และหยาดเหงื่อ สู่แพทย์สรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ

คำพูดเปลี่ยนชีวิต “อยากเป็นหมอเพราะอะไร ?”

ไม่เพียงแต่การคว้าโอกาสไว้ เขายังไม่ลืมที่จะสร้างทางเลือกให้ตัวเองด้วยการไปสมัครเรียนอายุรกรรมที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาลไว้ (ปัจจุบันคือคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช) เป็นการเรียนแบบแพทย์ประจำบ้าน 5 ปี แต่การเรียนต่อทันทีโดยไม่ได้ไปใช้ทุนทำงานที่โรงพยาบาล ทำให้ขาดประสบการณ์ ไม่รู้ว่าต้องดูราวด์คนไข้อย่างไร เป็นอีกหนึ่งความยากลำบากที่ทำให้รู้สึกท้อจนแทบอยากจะลาออก

“เรามัวแต่สนใจการสอบไปอเมริกา เสียเวลาหลายปีมาก จนไม่เคยมาฝึกฝนในโรงพยาบาล พอผมมาราวด์ ก็ดูไม่เป็นว่ามันจะต้องดูอะไรก็เลยราวด์ช้า มีคุณหมอท่านอื่นต่อว่าเรา จนรู้สึกท้อ อยากลาออกแล้วก็คุยกับแฟน แฟนถามมาประโยคหนึ่งว่า..พี่อยากเป็นหมอเพราะอะไร เขาถามผมแบบนี้… (นิ่งเงียบไปพักใหญ่ก่อนพูดต่อ) เพราะว่าอยากช่วยคนไข้ไม่ใช่เหรอ คำพูดเขามันโดนใจเรา แค่ประโยคนั้นประโยคเดียว ผมเปลี่ยนเลย เป็นคำพูดที่มาเตือนสติเรา ผมตัดสินใจสู้ต่อ” คุณหมอยศวีร์ย้อนเล่าไปพร้อมรอยยิ้มและน้ำตาคลอ 

เขาเสริมว่า เคยเล่าเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้กลับร้องไห้ อาจเป็นเพราะว่าลืมไปแล้วว่าเคยรู้สึกอย่างนี้ จนได้หวนรำลึกถึงความรู้สึกนี้อีกครั้ง

คำพูดที่เปลี่ยนชีวิต ทำให้กลับมาตั้งใจฮึดสู้อีกครั้ง จึงใช้วิธีไปเกาะติดการอยู่เวรกับรุ่นน้อง Extern ซึ่งต้องโดนตามตัวก่อน ก็จะขอออกไปด้วย เพื่อไปดูว่าแพทย์ท่านอื่นดูคนไข้อย่างไร ทำอย่างนี้ทุกครั้งตลอดเวลาที่อยู่เวร จนกระทั่งผ่านมันมาได้ และพอครบ 5 ปี คุณหมอยศวีร์ก็สอบบอร์ดอายุรกรรมได้ที่  1 ของรุ่น ลบล้างความกลัวและความกังวลที่ค้างคาใจไปได้ นพ.ยศวีร์ อรรฆยากร ชีวิต น้ำตา และหยาดเหงื่อ สู่แพทย์สรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ

เส้นทางสู่แพทย์สรีระไฟฟ้าหัวใจ 

หลังเรียนอายุรกรรม 5 ปีจบ เขาตัดสินใจเรียนต่อด้านอายุรกรรมโรคหัวใจและหลอดเลือดอีก 2  ปี รวมระยะเวลา 7 ปีที่วชิรพยาบาล ด้วยเหตุผลที่คุณแม่อยากให้เป็นหมอหัวใจ ประกอบกับความตั้งใจของตัวเองที่อยากให้คนไข้ดีขึ้น 

“เรามานั่งคิดว่า การรักษาหัวใจมันมองเห็นและจับต้องได้ เห็น EKG เห็น Echo โรคหัวใจเป็นโรคที่พอรักษาแล้ว คนไข้ดีขึ้นอย่างชัดเจน เช่น หัวใจล้มเหลว เราให้ยาขับปัสสาวะคนไข้ปุ๊บ เขาหายเหนื่อย โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ พอสวนหัวใจใส่ขดลวดปุ๊บ คนไข้หายเจ็บหน้าอก มันเห็นผลทันทีหลังจากรักษา เรารู้สึกว่า อะไรก็ตามที่เรารักษาแล้วเขาดีขึ้นทันที เรารู้สึกว่ามันสุดยอด ผมก็เลยรู้สึกว่าเราเบนเข็มมาเรียนหัวใจดีกว่า” 

หลังจากนั้น คุณหมอยศวีร์จึงกลับมาเป็นแพทย์อายุรกรรมหัวใจทั่วไป ที่โรงพยาบาลกรุงเทพฯ ตามที่ได้รับปากกับอาจารย์ชาตรีไว้ว่าถ้าเรียนจบแล้วจะกลับมาช่วยงาน ได้เข้ามาช่วยดูแลด้าน CCU, Mobile CCU รวมถึง check up

กระทั่งได้รับโอกาสครั้งที่ 2 ที่ถือเป็นความท้าทายใหม่จากอาจารย์ชาตรีอีกครั้ง เมื่ออาจารย์เล็งเห็นถึงศักยภาพและต้องการให้เรียนเฉพาะทางด้านสรีระไฟฟ้าหัวใจ หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ อันเป็นโรคที่พบได้มากขึ้นเรื่อยๆ จากไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบันที่เร่งรีบ เผชิญความเครียด การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ นอนดึก นอนน้อย หรือการดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลม ทำให้ร่างกายได้รับคาเฟอีนมากเกินไป

“ผมมีไอดอลเป็นอาจารย์ที่เคยสอนผมที่วชิรพยาบาล ก็คืออาจารย์ทวีเกียรติ เป็นอาจารย์ทางด้านหัวใจและสรีระไฟฟ้าหัวใจอยู่แล้ว ที่ทำให้ผมอยากเรียนด้านนี้ ผมจึงขอทุนโรงพยาบาลกรุงเทพไปเรียนสรีระไฟฟ้าหัวใจที่โรงพยาบาลศิริราช เรียกว่าเป็นโอกาสครั้งที่ 2 จากอาจารย์ชาตรี ที่ผมตัดสินใจคว้าไว้ แล้วทำมันอย่างเต็มที่” นพ.ยศวีร์ อรรฆยากร ชีวิต น้ำตา และหยาดเหงื่อ สู่แพทย์สรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ

“You save my life” เติมเต็มคุณค่าของการทำงาน

การทำงานที่โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพทำให้คุณหมอยศวีร์ได้รักษาเคสโรคหัวใจต่างๆ มากมาย แต่เคสที่ท้าทายและหนักที่สุดที่เคยเจอมาคือเคสเด็กผู้หญิงลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลีย อายุ 15 ปี ที่รับทรานเฟอร์มาด้วยอาการ Heart Failure หรือหัวใจล้มเหลว

เด็กสาวมีอาการเหนื่อยและท้องโต เหมือนมีน้ำในท้อง แต่เมื่อได้อัลตร้าซาวน์ที่ท้องและที่หัวใจ จึงพบว่า หัวใจโต หัวใจล้มเหลว มาถึงก็เป็น Short run VT คือหัวใจห้องล่างเต้นเร็วผิดจังหวะรุนแรงแบบชั่วคราว หรือมาเป็นระยะๆ (Nonsustained VT) นอน ซัสเทน วีที แล้วก็ห้องบนเต้นผิดจังหวะรุนแรง (Atrial fibrillation) เอเทรียลฟิบริลเลชั่น คือมี 2 แบบ ทั้ง VT ทั้ง AF หัวใจโตมาก หัวใจล้มเหลวเนื่องจากมียีนที่ผิดปกติ ไม่ค่อยเจอในเมืองไทย ทำให้เกิดคาดิโอ ไมอ๊อพพาตี้ (cardiomyopathy) เรียกว่า ลามิน เอ ซี คาดิโอ ไมอ๊อพพาตี้ (Lamin A/C cardiomyopathy) หรือหัวใจพิการ หรือหัวใจล้มเหลวตั้งแต่เด็ก
        
“เคสนี้ต้องเข้าไปทำหัตถการช็อกไฟฟ้าหัวใจก่อนเพื่อปรับจังหวะ เอเทรียล ฟิบริลเลชั่น (atrial fibrillation) ให้กลับมาเป็นปกติ ปรากฎว่าปรับจังหวะไม่ได้เพราะหัวใจโตมาก เราก็ใส่เครื่องกระตุกหัวใจ AICD ให้เค้า ใส่ได้ 3-4 เดือน เค้าเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลตลอด Heart Failure ตลอด จนกระทั่งสุดท้ายจบลงด้วยการทำ Heart transplantation คือ เปลี่ยนหัวใจเลย เคสนี้หนักสุดที่เคยเจอมา” 

หรืออีกเคสหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นเคสที่ประทับใจและเติมเต็มเป้าหมายความต้องการช่วยเหลือคนไข้ของคุณหมอยศวีร์อย่างแท้จริง เป็นเคสของนักกีฬาชายชาวเนเธอร์แลนด์ อายุ 53 ปี ผู้เป็นนักวิ่งมาราธอน ว่ายน้ำ ปั่นจักรยานได้ ดูแลสุขภาพอย่างดีมาโดยตลอด

“เขาบอกว่าเขาเหนื่อยง่าย เป็นมา 2-3 อาทิตย์ จนกระทั่งมาโรงพยาบาลกรุงเทพ มาเจอผมพอดี เลยได้แอดมิทปรากฎว่าเป็น ซิก ไซนัส ซินโดรม (Sick sinus syndrome) หรือหัวใจห้องบนเต้นช้าผิดปกติ จึงใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจอัตโนมัติ ที่เรียกว่า Pacemaker ให้ เขาก็บอกว่ามีพละกำลังกลับมาเลย แล้วก็ร้องไห้เข้ามากอดผม แล้วบอกว่า You save my life เราก็กอดกับเค้า ร้องไห้ไปกับเขาด้วย ดีใจที่เขากลับมาแฮปปี้” คุณหมอเล่าถึงความสุขที่ได้จากการทำงาน  นพ.ยศวีร์ อรรฆยากร ชีวิต น้ำตา และหยาดเหงื่อ สู่แพทย์สรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ

สิ่งที่ได้มากกว่า เมื่อมาดูแลหัวใจที่โรงพยาบาลกรุงเทพ

ความประทับใจของคนไข้เหล่านี้ มาจากการรักษาระดับเวิล์ดคลาส ด้วยความพร้อมทั้งทีมบุคลากร เครื่องมือและอุปกรณ์ และตลอดจนการวางโปรโตคอลในการรักษาคนไข้เทียบเท่ามาตรฐานสากล ซึ่งเป็นสิ่งที่โรงพยาบาลกรุงเทพให้ความสำคัญ

“เรามีเครื่องมือพร้อม อย่างเครื่องจี้ไฟฟ้าหัวใจมี Carto 3D mapping เป็นการจี้ไฟฟ้าโดยจำลองภาพ 3 มิติ ช่วยในการจี้ไฟฟ้าหัวใจให้ตรงจุดมากขึ้น แล้วก็ป้องกันไม่ให้จี้พลาดไปจุดสำคัญ ใช้รักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจสั่นพลิ้ว และมีการมอนิเตอร์ติดตามความความเรียบร้อยหรือความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น มีการทำ occurence ขึ้นไป มีการวางโปรโตคอลไว้ว่าถ้าทำหัตถการเสร็จแล้ว หลังจากทำหัตถการจะเป็นอย่างไร จะมีแพทย์เข้าเยี่ยมภายในกี่ชั่วโมง เป็นมาตรฐานที่สร้างให้กับองค์กร” นพ.ยศวีร์ อรรฆยากร ชีวิต น้ำตา และหยาดเหงื่อ สู่แพทย์สรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ

ชีวิต เวลา และการเติบโตโลกภายใน

เมื่อทุกวินาทีมีค่า โดยเฉพาะกับคนที่ทำงานกับชีวิตของผู้คน จึงไม่น่าแปลกใจที่คุณหมอยศวีร์จะมีงานอดิเรกเป็นการสะสมนาฬิกา 

“ผมชอบดูนาฬิกาข้อมือ ไม่ถึงกับสะสมเยอะแยะ คือชอบแล้วก็ซื้อมาเก็บไว้ ก็เลยเหมือนได้เรียนรู้ไปด้วย ชอบเรื่องของกลไกแมคคานิคกับประวัติศาสตร์ อย่างบางเรือนเช่นโอเมก้า มันก็มีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับยานอวกาศ อะพอลโล หรือโรเล็กซ์ ก็เกี่ยวกับความเที่ยงตรง ความกันน้ำ รสนิยม การสร้างแบรนด์ด้วยตัวเอง แล้วก็เป็นของที่ซื้อแล้วสร้างรายได้ด้วย มีมูลค่าในอนาคต”

ไม่เพียงความชื่นชอบนาฬิกา แต่คุณหมอยศวีร์ยังมีกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจคือการไปปฏิบัติธรรม ช่วยสร้างการเจริญสติ ทำให้มีสมาธิในการดูแลคนไข้ การวางแผนรักษาผู้ป่วย และทำให้ใจเย็นที่จะรับฟังคนไข้ ใจเย็นที่จะตอบคำถาม เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้งานราบรื่น ทำให้ได้ยกระดับจิตใจขึ้นเป็นการผสมผสานชีวิตทั้งภายนอกและโลกภายในให้เติบโตไปพร้อมๆกัน

จากคำถามของแฟนสาวในวันนั้น ความเชื่อมั่นในตัวเขาจากอาจารย์ชาตรี บวกกับความไม่ยอมแพ้ เรียนรู้ความผิดพลาด ลุกให้ไว และไม่หยุดเรียนรู้ จึงทำให้แพทย์ยศวีร์ อรรฆยากร เป็นมือหนึ่งสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจของโรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพในปัจจุบัน นพ.ยศวีร์ อรรฆยากร ชีวิต น้ำตา และหยาดเหงื่อ สู่แพทย์สรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ