28 มิ.ย. 2568 | 18:00 น.
‘เอม - สรรเพชญ์ คุณากร’ นักแสดงหนุ่มในวัย 25 ปี คือลูกชายคนเดียวของ ‘ดู๋-สัญญา คุณากร’ ชายที่เป็นดั่งไอคอนของวงการบันเทิงไทย แม้เอมจะมีคำต่อท้ายชื่อว่าลูกของดู๋พ่วงมา แต่เขาไม่ได้รู้สึกกดดันมากนัก ในทางกลับกันเขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าตัวเอง ‘โชคดี’
โชคดี อย่างแรกคือได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อ พ่อที่คอยสอนบทเรียนการใช้ชีวิตลูกชายคนนี้มาโดยตลอด
โชคดี อย่างต่อมาคือ เขามีสุดยอดคุณแม่ ผู้หญิงที่ยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ลูกชายคนเดียวคนนี้ได้ทำทุกสิ่งตามปรารถนา
และสิ่งที่โชคดีที่สุดคงหนีไม่พ้น การตัดสินใจก้าวข้ามความกลัวและคว้าโอกาสเข้ามาในวงการบันเทิงอย่างเต็มตัวในวัย 25 ปี โดยมีพ่อและแม่คอยสนับสนุนอยู่ไม่ห่าง
แม้อาจจะมีบางคนตั้งคำถามถึงการเข้ามาของเอมอยู่บ้าง เพราะทันทีที่เปิดตัวก็ได้รับโอกาสครั้งใหญ่ นั่นคือการรับบทพระเอก ในซีรีส์ 9 YEARS OF YOU แต่ละปีที่มีเธอ ทางช่อง one31 โดยมี ‘บอย- ถกลเกียรติ วีรวรรณ’ ลงมากำกับด้วยตัวเอง แน่นอนว่าเขาก็ไม่ทำให้ผู้ชมผิดหวัง โชว์ฝีมือการแสดงออกมาจนตกคนเข้าด้อมได้ยกใหญ่
กว่าเอมจะ ‘กล้า’ ตัดสินใจมายืนอยู่ท่ามกลางไฟสปอตไลท์ขนาดนี้ เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง นี่คือบทสนทนาที่จะทำให้รู้จักตัวตนของเอม-สรรเพชญ์มากขึ้น
“ผมเรียนอินเตอร์มาตั้งแต่อนุบาล เพราะพ่อกับแม่มองว่าในอนาคตโลกจะยิ่งเชื่อมกันมากขึ้น ทั้งเทคโนโลยีอะไรต่าง ๆ ที่มันจะพัฒนามากขึ้น ภาษาเลยเป็นตัวกลางในการเชื่อมทุกอย่างเข้าด้วยกัน”
เอมเล่าให้ฟังถึงเหตุผลที่เขาในฐานะ ‘เด็กไทย’ ไม่เคยสัมผัสชีวิตการเรียนในโรงเรียนไทยเลยแม้แต่ปีเดียว
คุณเคยรู้สึกไม่กลมกลืนหรือเป็นคนนอกของสังคมไทยบ้างไหม - เราถาม
“ตอนแรกก็คิด” เอมยอมรับ
“แต่ตอนนี้มันไม่สำคัญแล้ว ถึงเราจะรู้สึกว่าเราฝรั่งไม่พอที่จะเป็นฝรั่ง แล้วเราก็ไม่ไทยพอที่จะเป็นคนไทย มันเคยรู้สึกว่าตัวเล็กมาก เป็นแค่ส่วนเล็ก ๆ แต่ว่าพอโตขึ้น ได้เจอคน รู้จักคนเยอะก็รู้ว่ามันไม่สำคัญ ทุกคนก็เป็นคนเหมือนกัน ไม่ได้แบ่งแยกกัน”
ใช่ว่าการอยู่ในระบบโรงเรียนที่ได้รับมาตรฐานระดับโลก จะทำให้เขารอดพ้นจากการถูกกลั่นแกล้ง เขายอมรับว่าเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เกิดความกลัวสะสมในใจมาจนถึงปัจจุบัน
“ตอนนั้น เป็นช่วงที่ผมเพิ่งเข้าเรียนอินเตอร์ แล้วเราเป็นเด็กที่ขี้อายมาก ไม่กล้าพูด ไม่กล้าคุยกับใครเพราะภาษาก็ไม่ได้ขนาดนั้น พอเจอฝรั่งเราก็พูดไม่ได้ แต่รู้สึกเสียดายเหมือนกัน เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่เพิ่งเริ่มเข้าสังคม เราเป็นลูกคนเดียว อยู่กับตัวเอง ไม่ได้คุยกับใคร ก็เลยเสียดายชีวิตวัยเด็กช่วงนั้น
“แต่เราเข้าใจได้ว่าทำไมเราถึงโดนแกล้งนะ ก็ด้วยความที่เด็กแหละ เข้าใจ แล้วตอนนั้นพ่อผมเขาพาไปอินเดีย ไปถ่ายรายการ เลยอินกับวิถีพุทธมาก ผมก็เชื่อว่าเวลาเขาทำร้ายเรา เขาคิดร้ายกับเรา เราไม่ควรโต้ตอบกลับ มันคงไม่เป็นอะไร ผมก็ปล่อยให้มันเกิดขึ้น พอมาถึงจุดนี้ก็เข้าใจว่ามันไม่ดีทางด้านวิธีคิด แทนที่พักเบรคเราจะออกไปกินข้าวกับเพื่อน เราก็อยู่กับครู เป็นเด็กที่เบรคปุ๊ปอยากอยู่กับครู”
ถึงความทรงจำสมัยเรียนไม่ได้น่าจดจำมากนัก แต่เขาก็ไม่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เจอมา ไม่ได้อยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขหรืออะไร เพราะชีวิตที่เขาเรียกว่า ‘ชีวิต’ อย่างในทุกวันนี้ล้วนบ่มเพาะมาจากประสบการณ์วัยเยาว์
เอมบอกว่าชีวิตของเขาราบเรียบ ไม่มีเหตุการณ์อะไรหวือหวา ชอบอยู่บ้าน ขลุกตัวอยู่ในห้อง สามารถนั่ง ๆ นอน ๆ เล่นเกมคอมพิวเตอร์ได้ทั้งวันโดยไม่รู้สึกเบื่อ เรียกได้ว่าเวลามีปัญหาอะไรชอบคิดหาทางออกด้วยตัวเองมากกว่า
“ผมเป็นคนติดอยู่ในเซฟโซนของตัวเองพอสมควร มีแค่ตอนอายุ 14 มั้ง ที่เคยทะเลาะกับพ่อแม่ ดื้อ ฮอร์โมนเด็กผู้ชายแหละ ไม่ยอมปิดเกมส์ไปทานข้าวเย็น มันเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มากเลย ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ ไม่เคยหนีออกจากบ้านด้วย ติดบ้าน ติดอยู่ในเซฟโซนของตัวเอง
“นี่แหละวิถีลูกผู้ชาย” เขาบอกพลางหัวเราะ ก่อนจะปฏิเสธว่าจริง ๆ เขาสนิทกับพ่อแม่ มีอะไรก็เล่าให้ทั้งสองฟังเสมอ แต่หากเลือกได้ก็ขอเก็บไว้กับตัวเองมากกว่า
“ผมก็เริ่มเปิดขึ้น เราสามารถแสดงความอ่อนแอได้ เพราะว่าความไม่แสดงความอ่อนแอคือความอ่อนแอ ว่ามั้ย?” เอมถาม เราพยักหน้า ก่อนที่บทสนทนาจะพาไปสำรวจลึกเข้าไปในใจของเอมมากขึ้นว่าแม้จะอยู่กับตัวเองได้ดี แต่สิ่งที่เป็นเพื่อนของเขามาโดยตลอดคือ ‘ความกลัว’
เอมกลัวการออกไปทำสิ่งอะไรใหม่ ๆ โดยเฉพาะการเข้าสู่วงการบันเทิง เขายอมรับว่าการเป็นลูกชายของพ่อทำให้เขาได้รับโอกาสมากมาย แต่ความกลัวก็พาตัวเขาออกห่างจากวงการนี้มาโดยตลอด กระทั่งค้นพบว่าอันที่จริง เขาเองก็ชื่นชอบงานในสายบันเทิงไม่แพ้กัน
“ตอนมหาวิทยาลัย ผมเปลี่ยนเมเจอร์จากการตลาดมาเป็นชีวะ เพราะผมอยากเป็นสัตวแพทย์ พอได้เปลี่ยน ชีวิตช่วงนั้นมันหนักมาก อารมณ์มันมาเต็มไปหมด แต่โชคดีที่ผมได้คุยกับพ่อแม่ เขาก็เข้าใจเลยทำให้เราผ่านมาได้
“ตอนนั้นเราก็ได้ไปเรียนการแสดง เป็นคอร์สฟรี ก็เลยลองไปเรียนดู เพราะเราเองก็เป็นคนเงียบ ๆ อินโทรเวิร์ตเลย ผู้ชายด้วยมั้ง มันก็มีความเก็บกดอะไร พอเราได้ลองเป็นคนอื่นมันสนุกกว่าที่คิด แล้วก็มีหลายที่ติดต่อมา เขาอยากให้ผมมาเล่นละครอยู่แล้ว ผมเลยโอเค หลังเรียนจบ ก็ลองค้นหาตัวเองดู เรามีโอกาสนะ ถ้าเกิดว่าเราอยู่กับความกลัว เราไม่ทำตอนนี้ มันน่าเสียดายมากเลย”
“ชีวิตผมไม่ได้ลำบากอะไร โชคดีด้วยซ้ำ” เขาว่า
“แต่ผมติดอยู่กับความกลัวมาโดยตลอด ความกลัวเป็นสิ่งใหญ่ในชีวิตผม แต่ต้องขอบคุณตัวเองตลอด 25 ปี ที่ทำให้ผมมีวิธีคิดแบบนี้ มันคือการรวมตัวตนของเราตลอดเวลาที่ผ่านมา”
ส่วนการอยู่ในวงการบันเทิงก็สนุกกว่าที่เอมคิด แม้จะไปกระตุ้นความเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ หรือ OCD (Obsessive Compulsive Disorder) ของตัวเองขึ้นมาในบ้างครั้งก็ตาม อย่างที่บอกเอมกับความกลัวเป็นเพื่อนกัน อาการเหล่านี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดสำหรับเขาเท่าไหร่นัก
“ผมเหมือนเป็น OCD นิด ๆ เพราะพอเข้ามาในวงการบันเทิงการจัดการเวลาเป็นเรื่องใหญ่มาก ผมว่าด้วยอารมณ์ บางทีเหนื่อย แต่ว่ามีคิวต้องถ่าย เราก็ต้องตื่นนะ พอนอนน้อย ๆ แล้วมันไม่ดีเลย อันนี้คือส่วนตัวเราเป็นคนที่ทำอะไรต้องเป๊ะมาก มีรูทีน(กิจวัตร)ก่อนนอน วางตารางเอาไว้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นพอเราเจองานที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมามากก็เลยต้องจัดการกับตัวเองพอสมควร”
แม้ว่าการแสดงเป็นพระเอกเรื่องแรกของเอมบุคลิกตัวละครจะไม่แตกต่างจากตัวเขามากนัก แต่นั่นก็ทำให้เห็นว่าการแสดงตอบโจทย์ชีวิตเขากว่าที่คิด
“ที่เรามาแสดงเพราะเราอยากเป็นคนใดคนหนึ่ง จะได้ไม่เป็นตัวของตัวเอง เพราะเราเป็นตัวเองมาตลอด ผมว่ามันเป็นโอกาศที่เท่มากแล้วมันเปิดให้เราได้ปลดปล่อยสิ่งที่เราเก็บกดเอาไว้ออกมา ซึ่งหลังจากเข้าวงการมีสิ่งหนึ่งที่พี่ ๆ คุยกัน แล้วผมก็เพิ่งรู้คือ นักแสดงหลายคนเขาเป็นอินโทรเวิร์ตนะ ผมก็ อ๋อ เข้าใจเลยว่าทำไมเป็นแบบนั้น ก็เมคเซ้นส์อยู่ว่าทำไมเขาถึงอยากเป็นนักแสดง”
และยิ่งรู้สึกโชคดีไปใหญ่เมื่อได้ประกบคู่กับเฌอปราง อารีย์กุล นักแสดงสาวที่อายุใล่เลี่ยกัน แถมยังมีตรรกะแนวคิดใกล้กันเสียจนจะคุยอะไรก็รู้ทันกันไปเสียหมด จนเอมบอกว่าเฌอปรางเป็นเพื่อนในวงการบันเทิงที่เขาสนิทมากที่สุดคนหนึ่ง
“เฌอเป็นคนที่ผมสนิทมากที่สุด อันนี้ยอมรับ
“อาจจะด้วยที่เราเรียนมาใกล้ ๆ กัน วิธีคิดเลยคล้ายกัน เวลาว่างก็ชอบเล่นเกมส์เหมือนกัน มันเลยเป็นอะไรที่คุยแล้วเข้าใจกัน”
การมีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันทำให้เอมรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เลยไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเรื่องแรกที่เขาเป็นพระเอกจึงสามารถปลดปล่อยอารมณ์ของตัวละครออกมาได้เต็มที่ หากอยากรู้ว่าเคมีของทั้งสองเข้ากันได้ดีขนาดไหน สามารถรับชมได้ทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 20.30 น. หรือจะดูสดทางทีวีช่องวัน 31 ดูสดออนไลน์ หรือดูย้อนหลังเวอร์ชัน UNCUT ได้ทางแอปพลิเคชั่น oneD
ก่อนจะจบบทสนทนาเราถามเอมว่า หากไล่เรียงช่วงเวลา 9 ปีที่ผ่านมา ตอนนั้นเอมน่าจะอายุ 16 ปี เอมอยากบอกอะไรกับเด็กคนนั้นบ้างไหม
“ไม่อยากบอกเลย” เอมหัวเราะ
“ไม่อยากบอกอะไรเลยให้มันเรียนรู้ ให้โดนเองจะได้เป็นตัวผม เอาจริงผมแฮปปี้กับสถานการณ์ ผมคิดแล้วว่าเป็นสิ่งที่ต้องเจอ ไม่ได้ชอบคิดย้อนหลังกลับไป และผมภูมิใจมากกับสิ่งที่เป็นตัวผม ผมชอบวิธีคิดที่สั่งสมมาจนเป็นผมอย่างในทุกวันนี้”
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
ภาพ : ดำรงค์ฤทธิ์ สถิตดำรงธรรม