บทสัมภาษณ์ Varis ศิลปินคลื่นลูกใหม่ที่ขับเค้นอารมณ์ความรู้สึกผ่านเสียงเพลง

บทสัมภาษณ์ Varis ศิลปินคลื่นลูกใหม่ที่ขับเค้นอารมณ์ความรู้สึกผ่านเสียงเพลง

บทสัมภาษณ์ Varis ศิลปินเลือดใหม่เจ้าของผลงาน N. ถึงอัลบั้ม supervillains & friends มาจนถึงซิงเกิลใหม่ล่าสุด Zoned Out

 

เรามักเขียนเพลงจากอารมณ์ที่เข้มข้นที่สุด
ความอึดอัด กดดัน หรือสิ่งที่สื่อสารออกมาตรง ๆ ไม่ได้
แต่เราสื่อสารมันออกมาเป็นเนื้อเพลงได้

 

อารมณ์ของมนุษย์เรานั้นบางครั้งก็สามารถจำแนกได้อย่างง่ายดาย — สุข เศร้า เหงา รัก — ในขณะเดียวกัน อารมณ์เหล่านั้นก็สามารถผสมปนเปกันจนกลายเป็นเฉดสีที่ซับซ้อนและยากจะนิยาม หรือแม้สามารถนิยามมันได้ ก็อาจไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้นที่ใครสักคนจะเผยความรู้สึกของตัวเองออกมาอย่างแท้จริงผ่าน ‘คำพูด’ นี่อาจทำให้เราได้เห็นงานศิลปะ บทกวี นวนิยาย หรือแม้แต่บทเพลงที่สามารถพูดแทนความรู้สึกเหล่านั้นออกมาได้

วริศ คงสุวรรณ’ หรือ ‘วิน’ ที่เราอาจรู้จักเขาในบทบาทศิลปินอย่าง ‘Varis’ ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่อารมณ์เหล่านี้ผลักให้เขาต้องลองบรรยายมันออกมาผ่านเสียงเนื้อเพลงและเสียงดนตรี ที่ได้ปล่อยผลงานไปแล้วอย่างอีพี Self-Titled, อัลบั้ม supervillains & friends หรือแม้แต่ผลงานแรกสุดที่ได้เคยสร้างสรรค์เอาไว้ตั้งแต่ในรั้วมหาวิทยาลัยอย่าง N. 

เมื่อได้เห็นนามสกุล ‘คงสุวรรณ’ ใครที่คุ้นเคยกับเพลงไทยตั้งแต่อดีตก็ย่อมคุ้นหูอย่างแน่นอน เพราะวินคือลูกชายของ ‘ชาตรี คงสุวรรณ’ โปรดิวเซอร์เบื้องหลังเพลงดังมากมายหรือโดยเฉพาะกับผลงานในบทบาท ‘ดิ อินโนเซนท์’ (The Innocent)

ทว่าแม้จะเกิดในครอบครัวที่ทำงานในวงการดนตรี แต่ย้อนกลับไปในอดีตกลับไม่เคยคิดว่านี่คือเส้นทางที่เป็นไปได้สำหรับตัวเอง “เรามองว่ามันเป็นแค่งานอดิเรกมาตลอด หรือว่าแบบ... มันคงต้องเป็นอะไรที่แบบพ่อเราอยู่เท่านั้นแหละ ที่มันจะเป็นอาชีพทางดนตรี” จนกระทั่งช่วงแลกเปลี่ยนที่สหรัฐอเมริกาทำให้เขาเห็นว่า ดนตรีไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน แต่มันคือความเป็นไปได้ในการใช้ชีวิต “ถ้าเรามีความสามารถ เราก็สามารถทำอาชีพนี้ได้เหมือนกับอาชีพอื่น ๆ

จากศิลปินอิสระมาจนถึงวันนี้ Varis กำลังเดินหน้าสู่เรื่องราวบทใหม่ในฐานะศิลปินกับบ้านหลังใหม่ Sony Music และซิงเกิลเปิดอย่าง ‘Zoned Out’ ที่จะเป็นหมุดหมายของการกลับมาและประตูที่จะพาเขาไปรู้จักกับผู้ฟังคนอื่น ๆ The People จึงได้มีโอกาสพูดคุยกับ Varis อดีตมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อที่เราจะรู้จักเขามากขึ้น และเฝ้ารอการก้าวเดินของเขาบนเส้นทางศิลปินบทต่อไป
 

บทสัมภาษณ์ Varis ศิลปินคลื่นลูกใหม่ที่ขับเค้นอารมณ์ความรู้สึกผ่านเสียงเพลง

The People : คุณเติบโตมาที่ไหน ชีวิตในช่วงเด็กเป็นอย่างไรบ้าง?

ผมเป็นคนนนทบุรีครับ อยู่แถว ๆ ปากเกร็ด แต่ถ้าเป็นช่วงวัยเด็กจริง ๆ ก็จะเรียนในเมืองตลอดครับ พ่อแม่ก็ขับรถไปส่งที่โรงเรียน ประถมก็เรียนแถววิภาวดี มัธยมก็เรียนที่โรงเรียนสามเสนตรงพระราม 6 เวลาเที่ยวกับเพื่อนก็จะนั่งรถไฟฟ้าเข้าเมือง ไปแลนด์มาร์กต่าง ๆ ตามเส้นรถไฟฟ้า เป็นเด็กสยามบ้าง ไปเซ็นทรัลลาดพร้าวบ้าง

 

The People : ตอนนั้นเคยรู้สึกไหมว่าชอบอะไรเป็นพิเศษ รู้สึกชอบดนตรีตั้งแต่ตอนนั้นเลยไหม หรือมีอย่างอื่นที่ชอบมากกว่า?

ค่อนข้างจะมีดนตรีอยู่ตลอดครับ อาจจะเพราะที่บ้านคุณพ่อเป็นนักดนตรี ทำงานอยู่ในวงการดนตรี เราก็จะคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว ดนตรี เพลง หรือวงการดนตรีมันก็จะอยู่ในชีวิตเราเป็นแบ็กกราวด์พอสมควร แล้วไม่ว่าเราจะไปสนใจอะไรก็ตาม มันก็มักจะมีดนตรีเป็นโฟกัสหลักหรือรองเสมอ

แต่ตอนเด็ก ๆ ก็สนใจหลายอย่างนะครับ เคยสนใจมายากลอยู่ช่วงหนึ่งเลย ประมาณช่วงประถม สนใจมาก ๆ แล้วก็ชอบดูหนัง เป็นคนชอบดูหนัง ชอบดูซีรีส์ แล้วก็ไปสนใจอะไรที่เกี่ยวกับภาพยนตร์หรือนิเทศศาสตร์อยู่สักพักหนึ่ง ความสนใจทั้งหมดก็จะไม่ค่อยหนีจากเรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์หรืออาร์ตเท่าไหร่ครับ

 

The People : แสดงว่าเล่นมายากลเป็นด้วยใช่ไหม?

เรียกว่าชอบเล่นแล้วกันครับ ตอนนี้ก็ไม่ได้เล่นแล้ว (หัวเราะ)


The People : เห็นว่าชอบภาพยนตร์ด้วย ชอบหนังแนวไหน หรือมีเรื่องโปรดในใจบ้างไหม?

ก็หลากหลายครับ แต่ที่มีอิทธิพลกับการเติบโตคือ ตอนเด็ก ๆ คุณพ่อเปิด Back to the Future ให้ดูทั้ง 3 ภาค ดูหลายรอบมาก แล้วก็ชอบมากครับ ชอบมากจริง ๆ โตมากับหนังซูเปอร์ฮีโร่ด้วยครับ ดูหมดเลยตั้งแต่ยุค 2000s เป็นต้นมา ทั้ง Spider-Man ฉบับโทบี้ แม็กไกวร์ (Tobey Maguire), X-Men เรื่อยมาจนถึงยุค MCU ซึ่งตอนนี้ก็ยังตามอยู่ครับ

 

The People : ทีนี้มาเรื่องเพลงบ้าง ถ้านึกถึงช่วงวัยเด็ก มีเพลงอะไรลอยมาแบบชัดที่สุดบ้างไหม?

ถ้านึกถึงตอนเริ่มรู้สึกตัวว่าชอบดนตรีจริง ๆ วงแรกที่ชอบเลยน่าจะเป็น Linkin Park ครับ

จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ มาก ๆ Linkin Park มาเล่นที่เมืองทอง แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็ไปดู ตอนนั้นยังไม่รู้จักวงด้วยซ้ำ ยังล้อชื่อวงว่า ‘ลิงกินผัก’ อยู่เลย (หัวเราะ) ตอนนั้นเรายังไม่ค่อยเก็ท

แล้วก็มีญาติคนนึงที่เหมือนพี่ชาย เขาคอยแนะนำอะไรเจ๋ง ๆ ให้ เขาเปิดดีวีดีคอนเสิร์ตให้ดู แล้วเขาก็เปิดตอนที่ Linkin Park ไปแสดงสดที่ Texas (Live In Texas) แล้วก็ตาแตกเลย แบบ “นี่มันอะไรเนี่ย?” เชสเตอร์ร้อง ไมค์ ชิโนดะมาแรป มีดีเจ มือกีตาร์ใส่หูฟัง โคตรว้าวเลยครับ

แล้วก็น่าจะมีอีกช่วงนึงที่ทำเพลงประกอบ Transformers ด้วยครับ พวก What I’ve Done ตอนนั้นวงเริ่มดังในวงกว้างขึ้นแล้วจากเพลงพวกนั้น เป็นช่วงที่เขาถูกพูดถึงในกระแสหลักแล้ว เพราะช่วงก่อนเราก็จะจำเขาในฐานะศิลปิน Nu Metal แต่พอมีผลงานพวกนี้ออกมาเขาก็กลายเป็นกระแสหลักไปเลย แต่หลังจากนั้นไม่ว่าจะช่วงไหน Linkin Park ก็แทบไม่ได้หายไปจากความชอบผมเลย จนกระทั่งเขากลับมารวมวงกันอีกครั้ง ผมก็ซื้อตั๋วไปดูเขาแสดงสดที่เกาหลีนะครับ 

 

The People : แล้วถ้าย้อนไปในยุค Nu Metal ของ Linkin Park นี่จะชอบเป็นเพลงไหนที่สุด?

น่าจะเป็น ‘Somewhere I Belong’ ครับ จำได้ว่าได้ยินท่อนฮุกที่เขาร้องว่า “I wanna heal, I wanna feel…” แล้วแบบสะดุดมาก เหมือนกับความรู้สึกตอนเด็ก ๆ ที่เมื่อประมาณสองปีก่อน เด็ก ๆ ร้องเพลง ‘ทรงอย่างแบ้ด’ กัน มันฝังหัวเราอะครับ

 

 

The People : เข้าใจมากเลย ผมเองก็เติบโตมากับพี่ชายที่เปิด Linkin Park ให้ฟังเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น Papercut, Faint หรือ Numb ก็ยังติดหูผมมาจนถึงทุกวันนี้… ทีนี้ พอเริ่มโตขึ้นมา รู้สึกว่าเราเริ่มเล่นดนตรีตอนไหน?

เริ่มเล่นดนตรีจริง ๆ ตอนเด็ก ๆ ครับ พี่สาวผมเรียนเปียโน แล้วมีครูมาสอนที่บ้าน ทีนี้เราเห็นเขาเรียนแล้วก็อยากเรียนบ้าง เลยเริ่มเรียนเปียโนก่อน เป็นเบสิกทางดนตรีอันแรก

จนมีนักร้องคนหนึ่งที่มาทำงานกับคุณพ่อ เขาถามว่าผมเล่นเครื่องดนตรีอะไร ผมบอกว่าเล่นเปียโน เขาก็บอกทำนองว่า “เล่นเปียโนไม่เท่เลย ต้องเล่นกีตาร์สิ” ผมก็เลยเริ่มฝึกกีตาร์ (หัวเราะ) มันฟังดูตลกมากนะ แต่ถ้าพูดถึงจุดเริ่มต้นจริง ๆ มันก็คือตรงนั้นแหละ

ยุคนั้นพอดีกับที่เว็บคอร์ดเพลงเริ่มมาครับ เราก็เปิดเนื้อเพลง ฝึกจับคอร์ดพวก C, Em อะไรพวกนั้น แล้วก็เล่นเพลงของวง Singular หรือเพลงที่เพื่อน ๆ ชอบฟังกันก่อน แล้วค่อย ๆ มาเล่นเพลงร็อคที่เราชอบเองทีหลังครับ

 

The People : ปกติเป็นคนฟังเพลงสากลหรือเพลงไทยมากกว่ากัน?

เพลงสากลซะเยอะเลยครับ เพลงไทยก่อนหน้านี้ฟังน้อยมาก เพลงที่รู้จักก็เป็นเพลงที่พ่อแม่เปิด แบบ Bodyslam - ยาพิษ อะไรพวกนั้น เราจะรู้จักแต่เพลงที่ดัง ๆ แมส ๆ เลย แล้วค่อยมาฟังเพลงไทยจริงจังที่กว้างและลึกขึ้นในช่วงตอนเข้ามหาวิทยาลัย

เพราะว่าผมเรียนที่คณะดุริยางคศิลป์ ศิลปากร สาขาดนตรีเชิงพาณิชย์ ซึ่งเกี่ยวกับการสร้างสรรค์งานเพลง ก็เลยต้องเรียนเรื่องการเขียนเนื้อเพลง เรียนการสื่อสารกับคนไทย เริ่มฟังเพลงไทยมากขึ้น เริ่มไปงาน CAT Expo อะไรแบบนั้น

 

The People : ก่อนจะพูดคุยกันถึงช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ในช่วงที่เริ่มเล่นดนตรีเองแล้ว มีวงไหนที่เป็นแรงบันดาลใจเราเป็นพิเศษบ้างไหม?

ถ้าช่วงเริ่มเล่นดนตรีเองแล้ว จะเริ่มอินกับร็อคอังกฤษแล้วครับ วงแรกเลยคือ Muse ครับ ชอบที่เค้าเป็นวงสามชิ้นแต่เล่นได้แน่นมาก ผมว้าวมาก ๆ กับวง Muse ในมิตินั้น 

อีกวงที่ชอบมากก็คงหนีไม่พ้น Arctic Monkeys ครับ คิดว่าเด็กไทยหลายคนที่ฟังร็อคอังกฤษก็คงเริ่มจากวงนี้เหมือนกัน อเล็กซ์ เทอร์เนอร์ (Alex Turner) เท่มาก ไม่ว่าจะผมสั้นแค่ไหน ก็จะพยายามหาซื้อโพเมดมาปาดผมไปข้างหลังเป็นทรงสลิคแบ็คแบบเดียวกับเขาด้วยครับ (หัวเราะ)

 

The People : ถ้าให้เลือกอัลบั้มที่ชอบที่สุดของทั้งสองวงล่ะ?

ของ Arctic Monkeys ขอเลือก AM ครับ มันอาจจะดูแมส แต่ผมว่ามันคือหนึ่งในอัลบั้มที่ดีที่สุดตลอดกาลในช่วงยุคหลังปี 2000 เป็นต้นมา 

ส่วน Muse ผมเลือก Absolution ครับ ปกเป็นผู้ชายมองฟ้าแล้วมีคนลอยอยู่ ชอบมาก เพราะมีเพลงอย่าง Hysteria, Time is Running Out ซึ่งรู้สึกว่าช่วงนั้นเป็นยุคท็อปฟอร์มของวงเลยครับ

 

บทสัมภาษณ์ Varis ศิลปินคลื่นลูกใหม่ที่ขับเค้นอารมณ์ความรู้สึกผ่านเสียงเพลง

AM by Artic Monkeys

 

บทสัมภาษณ์ Varis ศิลปินคลื่นลูกใหม่ที่ขับเค้นอารมณ์ความรู้สึกผ่านเสียงเพลง

Absolution by Muse

 

The People : การที่คุณพ่อ (ชาตรี คงสุวรรณ) เป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียงและมีผลงานมากมาย มีอิทธิพลต่อคุณในแง่ไหนบ้างไหม?

คุณพ่อก็น่าจะเป็นคนแรกที่เปิดเพลงให้ผมฟังเลย เพลงที่ฟังตอนเด็ก ๆ เลยจะเป็นเพลงร็อกแบบคลาสสิก เช่น Smoke On the Water, Rock Bottom อะไรพวกนี้ครับ ตอนเด็ก ๆ พ่อเคยทำไรท์ซีดีให้ผมด้วย รวมเพลงที่เขาคิดว่าผมน่าจะชอบ เช่น เอลตัน จอห์น (Elton John), UFO, Deep Purple คือเหมือนคุณพ่อเป็น ‘คิวเรเตอร์’ คนแรกของชีวิตเลยครับ

พอโตขึ้นมาก็คุยน้อยลงตามวัยครับ ไม่ได้คุยเรื่องงานที่ทำกันโดยตรงแล้ว แต่บางครั้งก็จะแชร์กัน เช่น มีวงอะไรใหม่ ๆ บ้างไหม อะไรแบบนั้นครับ

 

The People : มีคำแนะนำไหนจากคุณพ่อที่เราได้หยิบมาใช้บ้าง?

ผมก็จะถามเขาเรื่อย ๆ นะครับ โดยเฉพาะเวลาสงสัยเกี่ยวกับวงการในสมัยก่อน เพราะคุณพ่อทำงานช่วงยุคแกรมมี่–อาร์เอสที่คึกคักมาก ผมก็ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของเขาเยอะครับ 

มีคำพูดหนึ่งที่ผมจำได้และชอบมาก คือ

เพลงที่เราทำควรเป็นเพลงที่พูดกับผู้คนได้ 

เขาไม่ได้ใช้คำนี้เป๊ะ ๆ หรอกครับ แต่ผมตีความประมาณนี้ ว่ามันควรเป็นเพลงที่เรานึกออกเลยว่าใครกำลังฟัง หรือมันควรให้บางอย่างกับคนฟัง

มันกลายเป็นแนวคิดที่ผมพกติดไว้ในเวลาทำงานเสมอครับ

 

The People : ก่อนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เคยมีความคิดอยากเรียนอย่างอื่นไหมครับ หรือมุ่งไปที่ดนตรีตั้งแต่แรกเลย?

ตอนแรกไม่อยากเรียนดนตรีเลยครับ ผมไม่ค่อยเข้ากับระบบการศึกษาเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ดื้อนะครับ คือผมชอบเรียนรู้เองมากกว่า ผมค่อนข้างเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบแนวคิดที่ว่าเราต้องรีบคิดว่าจะเข้าคณะอะไร เรียนอะไร จบไปทำอะไร แต่พอถึงจุด ๆ หนึ่งที่มันต้องคิดจริง ๆ เราก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคณะดนตรีหรอก แต่พอได้พูดคุยกับเพื่อน ๆ ในบรรดาคณะต่าง ๆ ไม่ว่าจะ สถาปัตยกรรมศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ผมสนใจ ‘นิเทศศาสตร์’ ที่สุด

ผมก็รู้สึกว่าทำไมคณะนี้มันดูแจ๋วจัง เราก็เลยตัดสินใจตั้งหมุดหมายว่าเราอยากเรียนนิเทศฯ อยู่ช่วงหนึ่ง เพราะมันดูจะตอบโจทย์เราที่สุด 

แต่ทีนี้จุดเปลี่ยนก็มาถึงตอนผมอยู่ ม.5 ผมได้ไปเรียนแลกเปลี่ยนที่สหรัฐอเมริกา รัฐเมน อยู่ประมาณ 10 เดือน แล้วที่นั่นจะมีวิชาเลือกเกี่ยวกับดนตรี เช่น วงแจ๊ส วงซิมโฟนิก เห็นความจริงจังของคนที่เรียนสายนี้แล้วว้าวมาก รู้สึกว่า “อ๋อ ดนตรีมันจริงจังได้ขนาดนี้เลยเหรอ?” เพราะในฐานะที่เราเป็นนักเรียนในระบบการศึกษาไทย ดนตรีไม่ได้เป็นวิชาที่ถูกมองว่าเป็นวิชาที่จริงจังขนาดนั้น เมื่อเทียบกับสิ่งที่เราเห็นที่สหรัฐฯ 

กลับมาผมเลยเริ่มคิดจริงจังว่าอยากเรียนดนตรี แต่ตอนแรกก็อยากเรียนที่อเมริกาเลยครับ แต่ติดเรื่องค่าใช้จ่ายและความสะดวก เพราะค่าเทอมที่นู่นแพงมาก ก็เลยเริ่มหาที่เรียนในไทย พอได้มีโอกาสไปพูดคุยปรึกษากับอาจารย์ ก็ได้คำแนะนำให้เรียนที่ศิลปากร เพราะมีคณะที่น่าจะทำให้เราสามารถทำงานในธุรกิจดนตรีได้จริง ๆ เพราะเราจะได้ทำเพลงจริง ๆ สุดท้ายก็เลยตัดสินใจที่จะเรียนที่ศิลปากร

 

บทสัมภาษณ์ Varis ศิลปินคลื่นลูกใหม่ที่ขับเค้นอารมณ์ความรู้สึกผ่านเสียงเพลง

 

The People : แสดงว่าการได้เป็นเห็นการเรียนดนตรีที่ต่างประเทศนี่มีอิทธิพลต่อเราไม่น้อยเลยนะ

ใช่ครับ เหมือนว่าเราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามันจะจริงจังได้ขนาดนั้น เรามองว่าดนตรีเป็นแค่งานอดิเรกมาตลอด หรือไม่ก็คิดว่ามันเป็นอะไรที่... เป็นความฝันบางอย่างที่ดูไกลตัวน่ะครับ

เราคิดว่ามันคงเป็นแค่สิ่งที่พ่อเราทำเท่านั้นแหละ ถึงจะกลายเป็นอาชีพได้ หรือไม่ก็ต้องเป็นอะไรที่มีหน้าตาแบบที่เราคุ้นเคย แบบที่เราเคยเห็นมาตลอด มันถึงจะเรียกว่า ‘อาชีพดนตรี’ ได้

แต่พอเราไปอยู่อเมริกา แล้วได้เห็นสิ่งที่นั่น เรารู้สึกว่า อ๋อ มันก็จริง ๆ แล้วเหมือนอาชีพอื่นเลยนี่หว่า ถ้าเรามีความสามารถ เราก็สามารถทำอาชีพนี้ได้เหมือนกับอาชีพอื่น ๆ มันเป็นหนึ่งในลู่ทางของการใช้ชีวิต เป็นทางเลือกที่จริงจังได้เหมือนกัน เราก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่เราต่อยอดได้จริง ๆ

 

The People : ก่อนจะเข้าเรียน เคยลองทำเพลงเองมาก่อนบ้างไหม?

เคยครับ เหมือนเราเคยลองฝึกเล่นขำ ๆ นะครับ ลองใช้พวก GarageBand อะไรแบบนั้น เพราะตอนนั้นมีโน้ตบุ๊กเครื่องแรกน่าจะช่วง ม.4 เป็นแมคบุ๊ก ก็เลยเริ่มได้ลองใช้พวกโปรแกรมทำเพลงดู

ที่บ้านก็มีอินเตอร์เฟซอยู่ตัวนึง ถึงจะไม่ได้ดีมาก แต่พ่อไม่ได้ใช้อยู่แล้ว ผมก็เลยขอยืมมาลองเล่นเอง ก็เลยเริ่มฝึกว่า การอัดเพลงเข้าคอมมันทำแบบนี้นะ เรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ครับ 

พอไปอยู่อเมริกาก็ได้เจอเพื่อนที่ทำอะไรแบบนี้เหมือนกัน ฟีลแบบศิลปินอินดี้เลย แล้วเขาทำกันตั้งแต่มัธยมปลาย เราก็รู้สึกว้าวมากครับ เห็นกระบวนการ Music Production จริง ๆ ก็เลยยิ่งอินครับ พอกลับมาก็เลยเริ่มคิดจริงจัง แล้วตัดสินใจเข้าเรียนที่ศิลปากรในระดับมหาวิทยาลัยครับ ประมาณนั้นเลย

 

บทสัมภาษณ์ Varis ศิลปินคลื่นลูกใหม่ที่ขับเค้นอารมณ์ความรู้สึกผ่านเสียงเพลง

 

The People : ตอนเริ่มเรียน รู้สึกยังไงบ้าง กับการเปลี่ยนจากการเล่นดนตรีแบบอิสระมาเป็นเรียนแบบจริงจัง?

ต่างมากเลยครับ อย่างแรกเลยคือผมไม่เคยรู้ทฤษฎีดนตรีมาก่อนเลย พอจะสอบเข้าก็เริ่มศึกษานิดหน่อย แต่พูดตรง ๆ ว่าตอนนั้นมันก็ยังไม่ค่อยเข้าหัวเท่าไหร่ครับ

พอเข้าไปเรียนจริง ๆ ตอนปีหนึ่ง ก็เริ่มคลุกคลีและเข้าใจมันมากขึ้น มันเหมือนเป็นการหาคำตอบให้สิ่งที่เราเคยได้ยินอยู่แล้ว เช่น เรารู้สึกว่า เฮ้ย เสียงนี้เจ๋งจังเลย แล้วก็เริ่มเข้าใจว่ามันเกิดจากอะไร จากทฤษฎีไหน

เราก็ได้เรียนรู้หลักการต่าง ๆ เช่น การเขียนโน้ต กฎของการเปลี่ยนคีย์ การเล่นเพลงในคีย์นี้แล้วจะไปยังคีย์อื่นได้ยังไง ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ผมรู้สึกว่ามันเปลี่ยนตัวตนของเราจากคนที่เล่นดนตรีขำ ๆ ตอนมัธยม ไปเป็นคนที่จริงจังกับมัน

หลายคนอาจจะรู้สึกว่า พอเรียนดนตรีจริง ๆ แล้ว มันจะไม่สนุกเหมือนตอนเล่นเอง แต่สำหรับผม ผมกลับชอบความจริงจังตรงนั้นนะ ผมรู้สึกว่ามันเหมือนเป็นการพิสูจน์ความชอบของเราว่า สิ่งที่เรารักมันไม่ได้เป็นแค่เรื่องเล่น ๆ

มันกลายเป็นสิ่งที่มีค่า มีน้ำหนักจริง ๆ ครับ ผมเลยชอบเรียนดนตรีมากครับ 

 

The People : ในบรรดาที่เรียนมา ชอบวิชาไหนที่สุด?

ถ้าชอบจริง ๆ เลยเหรอครับ น่าจะเป็นวิชานึงชื่อว่า Sonic Art ครับ ตอนนั้นผมเรียนช่วงปี 3 กับอาจารย์พิเศษชื่ออาจารย์วรงค์ครับ

อาจารย์วรงค์ ก็คือพี่น็อต (วรงค์ ราชปรีชา) วง Temp. นั่นแหละครับ พี่น็อตจะสอนเกี่ยวกับ เสียง ตั้งแต่พื้นฐานเลย ว่าเสียงคืออะไร ไปจนถึงชวนให้เราออกไปเสพงานศิลปะนอกห้องเรียนด้วย

เรารู้สึกว่าวิชานี้มันเปิดกว้างมาก ไม่ใช่แค่ในแง่ของการฟังเพลงหรือเล่นดนตรี แต่มันพาเราไปมองในมุมของการเป็น artist จริง ๆ ได้เห็นว่าเสียงมันสามารถเป็นสื่อสร้างสรรค์ในแบบศิลปะได้ด้วย ไม่จำกัดแค่กรอบของดนตรีอย่างเดียว

 

The People : ในช่วงนั้น เราได้ฟังดนตรีแบบกว้างขึ้นบ้างไหม หมายถึง ได้เปิดหูฟังอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่เคยฟังมาก่อนบ้างไหม?

กว้างขึ้นเยอะเลยครับ จริง ๆ ไม่น่าเชื่อเหมือนกันนะครับ แต่ที่ชัดที่สุดเลยคือตอนเรียนมหาลัยผมเริ่มฟัง เพลงไทย มากขึ้น เพราะ หนึ่ง–คือ ผมต้องเริ่มเรียนรู้วิธีเขียนเนื้อเพลงภาษาไทย เพื่อเอาไปใช้ในงานของตัวเอง สอง–คือ ผมคุยกับเพื่อนไม่รู้เรื่องเลยครับ ฮ่า ๆ เพื่อนแต่ละคนคือแบบรู้กันหมด ฟังกันหมด แต่ผมนี่ไม่รู้จักอะไรเลย

แบบ เพื่อนพูดถึง Bakery พูดถึง Smallroom แต่ผมนี่ไม่เคยฟังจริง ๆ นะครับ ผมฟังเพลงไทยน้อยมาก

ก็เลยต้องเริ่มศึกษาจริงจังช่วงปลายปีหนึ่ง เพื่อนชวนไปงาน CAT Expo ผมนี่ก็แบบ แคทคืออะไร? วงอะไรเต็มไปหมดเลย?  แล้วมันแบบ ว้าว ตาแตกเลยครับ ว่ามันมีสิ่งนี้อยู่ด้วย มีวงเหล่านี้จริง ๆ ด้วย วงการดนตรีไทยมันกว้างกว่าที่เราคิดไว้เยอะมาก

คือเหมือนว่าสิ่งที่เปลี่ยนเราไปเลยตอนนั้น ก็คือการเริ่มฟังเพลงไทยนั่นแหละครับ

 

The People : ณ จุดไหนที่เราเริ่มได้ลองสร้างสรรค์เพลงเองแบบจริงจัง และจุดไหนที่ตัดสินใจจะทำเพลงในนาม Varis?

ตั้งแต่ปีหนึ่ง เทอมหนึ่งเลยครับ ตอนนั้นพอเข้าไปเรียนก็เห็นสังคมรอบ ๆ ว่ามีรุ่นพี่ที่ทำวงกันจริงจัง เอาเพลงลง Fungjai บ้าง ลงแพลตฟอร์มต่าง ๆ แล้วมันดูเท่มาก แล้วเพื่อนในรุ่นก็เริ่มตั้งวงกันเอง ทำเพลงกันเอง เราก็รู้สึกว่าเราอยากลองบ้าง

บังเอิญว่าวิชาหนึ่งในเทอมแรกคือวิชา Producing ซึ่งมีโปรเจกต์ใหญ่ให้เราทำเพลงของตัวเองขึ้นมา จะเป็นเพลงอะไรก็ได้ เราก็เลยเขียนเพลงขึ้นมาหนึ่งเพลง เป็นเพลงแรกในชื่อว่า ‘N.’ (เอ็นจุด)

 

 

ตอนแรกก็แค่ส่งเป็นงานอาจารย์ แล้วก็เปิดให้เพื่อน ๆ ฟัง ปรากฏว่าเพื่อนนอกคลาสที่ได้ยินก็ชอบ ก็เลยรู้สึกว่า เออ น่าจะลองเอาลง SoundCloud ก่อน เหมือนกับแรปเปอร์มิกซ์เทปอะไรแบบนั้น

จากนั้นคนก็เริ่มเข้ามาฟังมากขึ้น มีฟีดแบกที่ดี แล้วเราก็เลยเอาไปลง Fungjai เพราะตอนนั้นรู้สึกว่ามันเป็นแพลตฟอร์มที่ศิลปินอินดี้เอาเพลงลงกันได้แบบอิสระ ซึ่งเพลง N. ก็ไปอยู่ในอันดับ 2 หรือ 3 ของชาร์ตเลย ผมก็ตกใจมาก แบบว่า มันเป็นแรงผลักดันให้เราทำเพลงต่อ

ส่วนชื่อ Varis จริง ๆ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดเยอะ คือตอนสมัคร SoundCloud ไม่รู้จะใช้ชื่ออะไร ก็คิดว่าใช้ชื่อจริงเราไปเลยก็ได้ ชื่อมันสั้น ง่าย ห้าอักษร ดูเข้าใจไม่ยาก แล้วตอนนั้นก็อยากได้ชื่อวงแบบเท่ ๆ เหมือน Tame Impala (หัวเราะ) แต่คิดไม่ออก ก็เลยเอาชื่อตัวเองไปก่อนครับ

 

The People: หลังจากเพลงแรกประสบความสำเร็จแล้ว เราไล่เรียงผลงานยังไงต่อบ้าง ใช้เวลานานมั้ยถึงจะมีเพลงถัดไป?

หลังจากเพลง N. เราก็เริ่มทำเพลงอื่นต่อ ตอนนั้นเรากับเพื่อน ๆ พี่ ๆ ในคณะรวมตัวกันภายใต้ชื่อกลุ่มว่า ‘Talingchan Vibes’ เหมือนจัดงานเอาเด็กคณะไปเล่นนอกสถานที่ อย่างเช่นจัดที่ De Commune ตอนที่ยังอยู่ทองหล่อ

มีครั้งหนึ่งเพื่อนก็เชียร์ว่า “Varis ไปเล่นไหมล่ะ” ผมก็คิดว่า มีเพลงเดียวเอง จะเล่นได้ไง แล้วเขาก็บอกว่า มีเวลาอีก 2 เดือน ลองทำให้ครบ 5 เพลงสิ อย่างน้อยจะได้เล่นครึ่งชั่วโมง

ผมก็เลยเริ่มเขียนเพลง ตั้งเป้าว่าให้ได้ 5 เพลง สุดท้ายทำได้ 4 เพลง รวมเพลง N. แล้วก็มี cover อีกเพลงหนึ่ง แล้วพูดเยอะหน่อยให้โชว์มันเต็ม ๆ (หัวเราะ)

4 เพลงนั้นก็กลายมาเป็น EP แรกของเรา ใช้ชื่อเป็น Self-Titled จริง ๆ ก็คือชื่อ Varis นั่นแหละ แต่เราใช้ชื่อว่า Self-Titled เพราะมันพูดถึงตัวเรา ที่หยิบชื่อจริงมาใช้เป็นชื่อศิลปิน

 

บทสัมภาษณ์ Varis ศิลปินคลื่นลูกใหม่ที่ขับเค้นอารมณ์ความรู้สึกผ่านเสียงเพลง

Self-Titled by Varis

 

EP นั้นกลายเป็นหมุดหมายแรกที่คนเริ่มรู้จักเรามากขึ้น ได้ไปเล่นงานใหญ่ขึ้น เช่นงาน JAM FEST จัดที่ Voice Space ของค่าย What the Duck ตอนนั้นก็ได้รู้จักพี่บอล Scrubb (ต่อพงศ์ จันทบุบผา) แล้วพี่บอลก็ชวนเราเข้าร่วมโปรเจกต์ใหม่ของค่ายที่ใช้ชื่อว่า ‘MILK.bkk’ ซึ่งเขาก็ไม่ได้วางตัวเป็นค่าย แต่เป็นเหมือน Artist Service มากกว่า

เราก็รู้สึกว่าโมเดลมันน่าสนใจ เลยเริ่มปล่อยเพลงกับ MILK.bkk ครั้งแรกช่วงต้นปี 2020 แล้วพอโควิดก็มาเลย ก็กลายเป็นว่าทุกงานที่เล่น เป็นงานออนไลน์หมด เล่นที่บ้าน หน้ากล้อง ก็ทำให้เรียนรู้หลายอย่างเหมือนกันนะครับในช่วงนั้น

 

The People : ในกระบวนการสร้างสรรค์เพลง เราเริ่มต้นจากอะไร ทำนองก่อนหรือเนื้อหาก่อน?

ถ้าในยุคแรกเริ่มของเรานะ มันเริ่มจากดนตรีก่อนเลยครับ ตั้งแต่ EP Self-Titled แล้ว คือเรามีเพลง N. ก่อนใช่มั้ย แล้วเพื่อนก็ชวนให้ไปเล่นสดอะไรแบบนี้ เราก็เริ่มคิดเลยว่า เฮ้ย เรายังไม่มีเพลงแบบไหนบ้าง 

คือเราชอบดูคอนเสิร์ตอยู่แล้วประมาณนึง ชอบเปิดดูวงฝรั่งเล่นพวกคลิปฟูลโชว์ทั้งหลายตาม YouTube ดูไปนั่งคิดไป แล้วเราก็เริ่มรู้ว่า โอเค เราขาดเพลงเปิดโชว์นะ ขาดเพลงซิ่ง ๆ ขาดเพลงช้า ก็เลยเริ่มเขียนเพลงเพื่อเติมสล็อตพวกนั้นของตัวเราเอง

เราคิดจากอะไรแบบนั้นเลยครับ มันก็เลยเริ่มจากดนตรีก่อนซะมากกว่า ส่วนเนื้อเพลง ตอนนั้นยังเป็นเรื่องรองมาก ๆ เลยครับ ถ้าเป็นช่วงแรก ๆ นะ แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนแล้วครับ เดี๋ยวนี้เราเริ่มจากเนื้อเพลงก่อน เพราะว่าเราเริ่มรู้สึกว่าเราเริ่มมองหาความหลากหลายจากการเล่าเรื่องมากขึ้น เมื่อก่อนเราหาความหลากหลายจากการทำดนตรี แต่ตอนนี้เราหาความหลากหลายจากการเขียนเนื้อเพลงแทน 

 

บทสัมภาษณ์ Varis ศิลปินคลื่นลูกใหม่ที่ขับเค้นอารมณ์ความรู้สึกผ่านเสียงเพลง

 

The People : เวลาเขียนเนื้อเพลง เรามักจะหยิบประเด็นแบบไหน หรือเรื่องราวแนวไหนมาใช้บ้าง?

มันกว้างมากเลย แต่ว่าส่วนใหญ่มันก็จะเซ็นเตอร์อยู่ที่ชีวิตเราเอง แล้วก็ความทุกข์ใจ หรือความร้อนรนใจของเรา ที่เรามีต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต อะไรประมาณนั้น อย่างเรื่องการกดดันจากสังคม การที่รู้สึกว่าโซเชียลมันทำให้เกิด social anxiety หรืออย่างในวัยที่เราเริ่มมีความรัก แล้วมันก็ผิดหวังอะไรแบบนั้น

หรือบางทีก็มีอีกมุมที่ผมเขียนแทนเพื่อน หรือแทนคนรอบข้างที่เราเห็น อย่างเช่นมีคนมาชอบเพื่อนเรา แต่เพื่อนเราไม่ได้ชอบเขากลับ แล้วเราก็คิดว่า ถ้ากูเขียนให้มึงเป็นคนใจร้ายดูจะเป็นยังไง ก็เลยลองเขียนเพลงจากมุมนั้นดูบ้าง

มันก็ยังเซ็นเตอร์อยู่ที่ตัวเราแหละครับ เป็นหลักเลย แต่ผมว่าทุก ๆ คนที่เขียนเพลง มักจะเขียนจากอารมณ์ที่เรารู้สึกเข้มข้นที่สุด แต่เราพูดออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ มันคือความรู้สึกที่อึดอัด กดดัน หรืออะไรบางอย่างที่เราสื่อสารออกมาตรง ๆ ไม่ได้ แล้วเราก็รู้สึกว่า เราเขียนมันออกมาเป็นเนื้อเพลงได้ แล้วมันก็กลายเป็นอะไรที่สื่อสารได้ดีกว่า

เพราะงั้นส่วนใหญ่เลยก็จะเริ่มจากตรงนั้นแหละครับ ความรู้สึกที่พูดออกมาไม่ได้ แล้วเราก็แปลงมันเป็นเพลง

 

The People : นับตั้งแต่อีพี Self-Titled มาจนถึงวันนี้ คุณคิดว่าอะไรคือจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของคุณ? 

ถ้าจะพูดถึงอีกจุดเปลี่ยนหนึ่งเลย ก็น่าจะเป็นช่วงที่เริ่มทำเพลงภาษาอังกฤษครับ ตอนนั้นเราทำ Self-Titled เสร็จ แล้วก็เข้า MILK.bkk พอเข้าไปเราก็ปล่อยอัลบั้มชื่อ will u? ซึ่งเป็นอัลบั้มเต็มชุดแรกของเรา เป็นเพลงไทยทั้งหมด

แล้วทีนี้ พอทำชุดนั้นเสร็จ เราก็เริ่มเข็ดแล้วครับ (หัวเราะ) คือเราไปปล่อยเพลงไทยอีกเพลงหนึ่ง ชื่อ ‘โทษตัวเองไม่เป็น’ ตอนนั้นหัวร้อนการเมืองพอดี ก็เลยเขียนเพลงนั้นออกมา แต่หลังจากนั้นเราก็เริ่มรู้สึกว่า ดนตรีแบบเราอ่ะ มันน่าจะเหมาะกับภาษาอังกฤษมากกว่านะ เหมือนมันมีอะไรบางอย่างที่ไปกันได้มากกว่า

 

 

มันเป็นส่วนผสมระหว่างความเบื่อบางอย่าง กับความเป็นไปได้ที่เรารู้สึกว่าดนตรีของเรากับภาษาอังกฤษมันไปได้ ก็เลยเริ่มเขียนเนื้อเพลงอังกฤษครั้งแรก เพลงแรกที่ปล่อยคือ ‘can't let u go’ จำได้เลยว่าปล่อยวันเดียวกับที่หมดสัญญากับ MILK.bkk พอดี
แล้วพอปล่อยปุ๊บ เราก็กลายเป็นศิลปินอิสระเลยทันที

 

 

มันก็เหมือนเป็นหมุดหมายใหญ่อีกครั้งนึงเลยแหละ ที่เรากลับมาเป็นอิสระ 100% พร้อมกับการเริ่มทำเพลงภาษาอังกฤษ พออยู่ในสถานะอิสระ เราก็ต้องกลับมาเรียนรู้ระบบใหม่ ปรับจูนการทำงานของตัวเองหลายอย่างอีกครั้ง เพราะไม่มีทีม ไม่มีค่ายมาซัพพอร์ตแบบเดิมแล้ว มันก็เหมือนการเริ่มนับหนึ่งใหม่เลยครับ

 

The People : มาจนถึงวันนี้ คุณก็ได้มาอยู่กับ Sony Music แล้ว เส้นทางระหว่างตอนนั้นมาจนถึงตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?

ก็ทำอิสระอยู่น่าจะประมาณสองปีมั้งครับ แล้วก็ถ้านับตั้งแต่เริ่มทำเพลงภาษาอังกฤษ ก็ปล่อยซิงเกิลมาอยู่หลายเพลงเหมือนกัน แล้วเราก็เริ่มทำอัลบั้มที่ชื่อ supervillains & friends ซึ่งเป็นอัลบั้มอังกฤษเต็มชุดแรกของเราเลย

 

บทสัมภาษณ์ Varis ศิลปินคลื่นลูกใหม่ที่ขับเค้นอารมณ์ความรู้สึกผ่านเสียงเพลง supervillains & friends by Varis

 

แล้ว supervillains & friends นี่มันก็ประจวบเหมาะกับปีที่ห้าของ Varis พอดีเลย ตอนนั้นเราก็เคยพูดขำ ๆ กับเพื่อนว่า ถ้าครบห้าปีจะจัดคอนเสิร์ตดูมั้ย เออ แล้วมันก็ดันเข้าปีที่ห้าจริง ๆ ก็เลยแบบ โอเค งั้นจัดเลยแล้วกัน จัดคอนเสิร์ตครบรอบ 5 ปีของ Varis ไปเลย ก็คือครึ่งทศวรรษพอดี 

คอนเสิร์ตนั้นก็ใช้ชื่อว่า V for Varis ชื่อ ‘V’ ก็คือเลขห้า แล้วก็มาจากโลโก้เราที่คล้าย ๆ ตัว V ด้วย มันก็เลยกลายเป็นหมุดใหม่อีกหมุดหนึ่งในชีวิตของ Varis ไปเลย ซึ่งก็เป็นช่วงเดียวกับที่ผมทำ supervillains & friends

หลังจากนั้น ผมก็ไม่ได้ทำอะไรอีกเลย พักยาวไปเลย เพราะเริ่มรู้สึกว่าเรายังไม่เห็นช่องทางต่อไปว่าจะทำอะไรดี เรียกได้ว่าเหมือนยังหาเป้าหมายต่อไปไม่เจอ แล้วก็รู้สึกด้วยว่า จริง ๆ เราก็มีเพลงอยู่ในแคตตาล็อกเยอะพอสมควรแล้ว

คือเมื่อก่อนเราจะรู้สึกว่า เราต้องเขียนเพลงเยอะ ๆ เพื่อให้เล่นสดได้ มีเพลงให้เลือกเยอะ มีโชว์ที่หลากหลาย แต่พอถึงหมุด 5 ปี เรากลับรู้สึกว่า เออ เราก็มีความหลากหลายอยู่ในระดับนึงแล้วนะ แคตตาล็อกมันก็พอแล้ว ก็เลยพักไปเลยในปี 2024 แทบจะไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับ Varis เลย นอกจากรับงานเล่นโชว์เป็นบางครั้งเท่านั้น

แล้วทีนี้ช่วงที่เราพักอยู่ ก็มีพี่ที่ทำงานอยู่ Sony เขาติดต่อเข้ามา ถามว่าเราสนใจจะเข้าค่ายไหม ตอนนี้กำลังหาศิลปินอยู่ ซึ่งเราก็เริ่มคิดถึงอนาคตของตัวเองมากขึ้นเหมือนกัน หลังจากทำคอนเสิร์ตใหญ่ ปล่อยอัลบั้มแล้ว เราก็เริ่มคิดว่า สเต็ปต่อไปน่าจะต้องมีทีมที่ใหญ่ขึ้นแล้วล่ะ

 

บทสัมภาษณ์ Varis ศิลปินคลื่นลูกใหม่ที่ขับเค้นอารมณ์ความรู้สึกผ่านเสียงเพลง

 

ตอนแรกก็คิดว่าจะอยู่ค่ายดีไหม หรือจะทำแบบกึ่งอิสระที่มีทีมช่วย ก็ยังไม่ได้เคาะอะไรแน่ชัด จนทางทีม Sony เขาชวนเข้าไปคุย แล้วก็พูดคุยกันเรื่องทิศทาง ว่าเราอยากจะพา Varis ไปในทิศทางไหน สมมุติว่าถ้าได้ร่วมงานกันจริง ๆ เราอยากให้โตไปยังไง อยากทำอะไรบ้าง

แล้วพอคุยกันไปเรื่อย ๆ เราก็รู้สึกว่าเคมีมันตรงกัน มองภาพไปในทิศทางเดียวกัน แล้วจริง ๆ เราคุยกับพี่จูนกับทีม Sony มาสักพักใหญ่เลยนะครับ น่าจะเกือบปี ที่มีเข้าไปคุยแล้วก็ออกมาทำงานของเราไปด้วย จนสุดท้ายก็ตัดสินใจครับ ว่าเออ โอเค ไปอยู่บ้าน Sony แล้วกัน

จากนั้นก็คุยกันต่อเรื่องการปล่อยเพลงใหม่ ว่าอยากให้เป็นเหมือนการคัมแบคอย่างจริงจัง คือจะประกาศเลยว่า Varis อยู่บ้านใหม่แล้ว ยุคใหม่ของเราจะเริ่มขึ้นแล้วนะ จะทำอะไรยังไงต่อไป ก็เริ่มวางแผนกันมาเรื่อย ๆ จนสุดท้ายมันก็กลายเป็นเพลง ‘Zoned Out’ ที่เพิ่งปล่อยไปล่าสุดนี่แหละครับ

 

 

The People : ก็เปรียบเสมือนการขยับเข้าสู่ Chapter ใหม่เลย

ใช่ครับ Chapter ใหม่เลย แต่ว่าในเวลาเดียวกัน เราก็พยายามยึดเอาความเป็นตัวเราที่คนคุ้นเคย หรือซาวด์ที่เป็นตัวเราในแบบที่เขาเคยรู้จักมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะว่ามันก็เป็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่เหมือนกันนะ เราทำเพลงชุดใหม่ แล้วก็อยู่กับค่ายใหม่ด้วย

มันก็เลยเหมือนกับว่า เราค่อย ๆ จุ่มเท้าลงน้ำก่อน ใช้คำว่า testing out water a bit ละกัน ก่อนที่เราจะเริ่มทำอะไรที่แบบบ้า ๆ ขึ้นไปอีกขั้น ก็เลยออกมาเป็นเพลง Zoned Out เพราะเรารู้สึกว่า Zoned Out เป็นเหมือน introduction ที่ดี สำหรับคนที่อาจจะไม่เคยรู้จักเรามาก่อน ว่า นี่คือความเป็น Varis แบบที่ผ่านมา

ในขณะเดียวกัน คนที่เคยฟังเราอยู่แล้ว ก็ยังจะได้เจอความคุ้นเคยแบบเดิม แต่ครั้งนี้มันจะมาพร้อมกับพลังงานใหม่ ๆ อะไรบางอย่างที่สดกว่าเดิม 

 

บทสัมภาษณ์ Varis ศิลปินคลื่นลูกใหม่ที่ขับเค้นอารมณ์ความรู้สึกผ่านเสียงเพลง
Zoned Out by Varis

 

The People : เป้าหมายปัจจุบันนี้ของคุณคืออะไร?

ถ้าเป้าหมายหลัก ๆ เลย เราอยากสื่อสารกับคนให้มากขึ้นครับ คือเราเริ่มคิดมากกว่าแค่ตัวเราเองแล้ว

เมื่อก่อนเราจะคิดว่า เราทำเพลง เราทำผลงานสักชิ้น ก็คือเอาความชอบเราเป็นหลัก ตอนนี้ก็ยังเริ่มจากความชอบเราเหมือนเดิมแหละ แต่ว่าเราก็เริ่มคิดแล้วว่าสิ่งที่เราทำมันให้อะไรกับคนฟังได้บ้างด้วย

มันก็คล้าย ๆ กับที่เคยคุยกับคุณพ่อก่อนหน้านี้นะครับ ว่าเพลงมันอาจจะทำอะไรได้มากกว่านั้น มันอาจจะมีผลกระทบหรือพลังอะไรบางอย่าง ที่ไม่ได้จบแค่ที่ตัวเรา

เราก็เลยเริ่มมองเห็นความเป็นไปได้พวกนั้นมากขึ้น ว่าเพลงของเราอาจจะสื่อสารอะไรที่ใหญ่ขึ้นได้ และเราก็อยากสื่อสารกับคนให้มากขึ้นจริง ๆ 

 

The People : สุดท้ายแล้ว ถ้าให้เลือกแค่อัลบั้มเดียวที่เป็น All-Time Favorite ของเรา จะเลือกเป็นอัลบั้มไหน?

ยากมาก ถ้า all-time จริง ๆ เลยนะ คืออัลบั้ม The Black Parade ของ My Chemical Romance ครับ

จริง ๆ มีเรื่องที่ยังไม่ได้เล่าเมื่อตอนพูดถึงช่วงก่อนหน้านี้ คือผมเป็นเด็กที่ฟังเพลงอีโมเยอะมาก ๆ โดยเฉพาะช่วงมัธยมปลาย ๆ หลังจากยุค Linkin Park เป็นต้นมา เริ่มจากพวก Green Day แล้วมันก็ต่อยอดไปสู่ Blink-182 อะไรพวกนั้น แล้วก็ลามไปถึงอะไรที่มันลึกขึ้น  คือวงที่อยู่ในแนว emo-rock, post-hardcore, punk rock ที่ตอนนั้นดังมาก ๆ ซึ่งถ้าเป็นยุคนี้ก็คงจะเทียบได้กับเวทีแบบ Vans Warped Tour หรือ When We Were Young Festival ประมาณนั้นเลย ผมอินกับซีนนี้มาก แล้วก็หลงรัก My Chemical Romance แบบสุด ๆ

ตอนนั้นถึงขั้นฟังอัลบั้ม The Black Parade แบบเดนตาย ชอบมาก เพราะเนื้อเพลงแนวอีโมมันสื่อสารกับเราได้ดีมาก โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นที่เต็มไปด้วยความว้าวุ่น สับสนกับชีวิต มันเป็นช่วงที่เหมือนเราเจออะไรหลายอย่าง แล้วเนื้อหาในเพลงมันตรงกับความรู้สึกพอดี

ถึงตอนนี้โตขึ้นแล้ว ผมก็ยังรู้สึกว่าอัลบั้มนี้มันยังสามารถสื่อสารกับเราทางอารมณ์ได้ดีมาก ๆ เหมือนกับว่า เราเป็นหนึ่งในคนที่มีความรู้สึกแบบนั้น แล้วเขาก็ถ่ายทอดมันออกมาในชุดเพลงนี้

แล้วจริง ๆ เนื้อหาของอัลบั้มก็พูดถึงอะไรที่ลึกกว่านั้นอีก มันไม่ได้แค่เรื่องความเศร้าหรือการเสียใจนะ แต่มันพูดถึงการสูญเสีย การเปลี่ยนผ่าน คือเนื้อเรื่องของอัลบั้มก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่งที่ตายและไปอยู่ที่โลกหลังความตาย เรารู้สึกว่ามันเป็นการเล่าถึงการ move on จากเหตุการณ์ที่มันกระทบใจเราแรงมาก แต่ว่าเรายังต้องใช้ชีวิตต่อไป

เพราะงั้น ผมรู้สึกว่าอัลบั้มนี้เป็นเหมือนเส้นทางที่ทำให้รู้ว่ามันยังมีทางไปต่อเสมอ 

ถ้าต้องให้อัลบั้มเดียวจริง ๆ ผมให้ The Black Parade ละกันครับ

 

บทสัมภาษณ์ Varis ศิลปินคลื่นลูกใหม่ที่ขับเค้นอารมณ์ความรู้สึกผ่านเสียงเพลง

The Black Parade by My Chemical Romance