25 ก.พ. 2563 | 13:32 น.
โลดแล่นในวงการมาหลายบทบาท เริ่มจากการเป็นนักร้อง พลิกไปแสดงละครเวที มีผลงานทั้งบนจอแก้วและจอเงิน แม้กระทั่งสมัครเข้ากองทัพบกไปเป็นส่วนหนึ่งของกรมดุริยางค์ทหารบก มาถึงวันนี้ ร้อยโทหญิง พิมดาว พานิชสมัย หรือ มัดหมี่ เลือกเปลี่ยนเส้นทางชีวิตตัวเองอีกครั้งกับบทบาทนักสร้างแรงบันดาลใจ หลังแสวงหาทางสว่างจนสามารถพาชีวิตผ่านพ้นมรสุมความทุกข์ออกมาได้
ด้วยนิสัยรักการเขียนบวกกับการศึกษาธรรมะ ทำให้เธอกลั่นความคิดออกมาเป็นหนังสือคำคม “มัดใจ” ในปี 2556 เพื่อเป็นแสงสว่างจุดเล็ก ๆ ช่วยนำทางให้คนที่กำลังอยู่ในความมืด และนำรายได้โดยไม่หักค่าใช้จ่ายมอบเป็นทุนการศึกษาช่วยเหลือเด็กกำพร้า 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อีก 4 ปีต่อมาเธอก็ได้ออกหนังสือ “มัดใจ 2” พร้อมกับออกบรรยายและถ่ายทอดเรื่องราวลง Instagram กับความหวังช่วยหลายคนที่หลงทางให้กลับมามีความสุขอีกครั้ง
The People ชวนเธอมาพูดคุยถึงเรื่องราวความทุกข์ จุดเปลี่ยน การฟื้นคืน จนกลายมาเป็นผู้ส่งต่อแรงบันดาลใจผ่านรูปแบบต่าง ๆ เพื่อสร้างพลังบวกให้กับคนอื่นในสังคม
The People: การโตมาในครอบครัวทหารหล่อหลอมชีวิตคุณอย่างไรบ้าง
พิมดาว: คุณพ่อ (พล.อ.ไพโรจน์ พานิชสมัย) กับคุณแม่ (เกล็ดดาว พานิชสมัย) จะต่างกันมาก คุณพ่อจะเป็นคนตรงเวลาและเป็นคนที่มีวินัยสูงมาก ออกกำลังกายตี 5 ทุกเช้า ตื่นตี 5 ตลอดถึงแม้ว่าอายุตอนนี้จะ 73 ปีแล้ว ส่วนคุณแม่จะเป็นแนวสบาย ๆ ชิลล์ ๆ ดูแลลูกเป็นหลัก เป็นเหมือนเพื่อน พี่ คือมีอะไรเราคุยกับเขาได้ทุกอย่าง แล้วเขาจะเป็นผู้นำในทางที่ดีของเรา ให้เราคิดบวก มองโลกในแง่ดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาแม้ว่าจะเป็นเรื่องลบก็ตาม แต่ว่าเราก็หาสิ่งที่ดีในนั้นได้ คุณแม่จะเป็นแนวสอนให้เบิกบาน
The People: เดินทางมาเจอกับดนตรีได้อย่างไร
พิมดาว: คุณพ่อชอบร้องเพลง (หัวเราะ) สมัยก่อนคุณพ่อชอบร้องเพลง แต่คุณแม่ไม่ได้ชอบร้องเพลงเลย คือมัดหมี่มีญาติพี่น้อง 8 คน แต่เป็นพี่น้องพ่อแม่เดียวกันแค่ 2 คนนะ แล้วคุณตามีแต่หลานสาวซึ่งมัดหมี่ก็เป็นพี่โตสุด มัดหมี่จะชอบเกณฑ์เด็ก ๆ มาทำการแสดง มาร้องเพลง มาเต้นให้คุณแม่ ให้ญาติพี่น้อง ให้คุณตาคุณยายดูตลอด คือเป็นผู้นำในการทำตรงนี้ตลอดเวลา เลยเป็นจุดที่ทำให้เราชอบแสดงออก ชอบร้องเพลง ชอบเล่น
The People: ก้าวแรกกว่าจะมาเป็นนักร้อง นักแสดง และนักแสดงละครเวที?
พิมดาว: ตอนอายุ 15 ปี เป็นครั้งแรกที่มัดหมี่ได้แต่งเพลงด้วยตัวเองชื่อเพลง “เปลี่ยน” ตอน ม.3 จำได้ระหว่างที่แต่งเพลงอยู่ โดนคุณครูปาชอล์กใส่ด้วย (หัวเราะ) เพราะว่าเขาสอนวิชาสังคมอยู่ แล้วให้ดูกระดาน ไอ้นี่ก็ซนเขียนนู่นนี่ เป็นคนเดียวในห้องที่นั่งจด อันนี้เป็นสิ่งแรกที่มีโอกาสได้เริ่มทำ หลังจากนั้นมัดหมี่ก็ชอบร้องเพลงมาเรื่อย ๆ สมัยที่เรียนมีฟ้าที่แกรมมี่ เคยไปออดิชั่นละครเวทีของอาจารย์สมเถา สุจริตกุล เรื่อง “แม่นาก” (พ.ศ. 2554) ตอนนั้นเล่นเป็นตัวประกอบ แบบเด็ก ๆ วิ่งกัน
ตอนแรกชอบร้องเพลงอย่างเดียว ไม่ได้ชอบการแสดงเลย เพิ่งมีโอกาสได้ไปร้องเพลงในวันเกิดช่อง 5 แล้วตอนนั้นค่าย RS มาติดต่อให้ไปออดิชั่นก็เลยอยู่กับเขามา 5 ปี หลังจากนั้นพอจบจาก RS มัดหมี่ก็ไปออดิชั่นละครเวทีต่อเรื่อง “สี่แผ่นดิน” (พ.ศ. 2554) ของ Exact แล้วก็อยู่กับ Exact 3 ปี
The People: พลิกจากศิลปะการร้องเพลงมาเป็นการแสดงได้อย่างไร
พิมดาว: จะบอกว่ายากมาก เพราะแต่ก่อนมัดหมี่เป็นคนที่ชอบมีข้อจำกัดในตัวเอง ชอบบอกว่ามัดหมี่ร้องเพลงได้อย่างเดียว ไม่เล่นละครเด็ดขาด ถึงแม้ว่ามีโอกาสมา สมัยนั้นมีหลายช่องติดต่อมากับที่บ้านกับคุณแม่ มัดหมี่ยกเลิกหมดเลยเพราะรู้สึกมันไม่ใช่เรา แต่พอเราจบจาก RS แล้วมัดหมี่ชอบดูละครเวทีมาก คิดว่าวันหนึ่งอยากจะขึ้นไปยืนบนนั้น อยากร้องเพลงให้ทุกคนฟัง แต่ลืมไปว่าละครเวทีคือศาสตร์ผสมระหว่างการร้องเพลงกับการแสดง เลยเหมือนเป็นครั้งแรกที่เราต้องเปิดใจ คือแต่ก่อนเป็นเด็กที่มีกรอบ พอหลังจากนั้นก็เปิดใจลองดู
ตอนนั้น Exact เปิดให้สมัครออดิชั่นละครเวทีสี่แผ่นดิน เราก็ไปเลย คือไปแบบศูนย์เลย เราก็รู้สึกเฮ้ย เราได้โอกาสตรงนี้ก็อยากทำให้ดีที่สุด พอได้ตรงนั้นมา ก็ได้ไปเรียนกับหม่อมน้อย (ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล) ชีวิตถึงเปลี่ยนไป เพราะว่าหม่อมน้อยสอนการแสดงและสอนวิชาชีวิต เขาจะเป็นครูที่มากกว่าครูทั่วไป ทำให้คิดได้ว่าบางอย่างเราไม่ต้องทำเป็นแสดง แต่เราสามารถเป็นตัวละครได้อย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยการถอดตัวตนเราออกเพื่อที่จะก้าวเข้าไปเป็นใครสักคน
The People: คุยเรื่องเรียนบ้าง ทำไมถึงตัดสินใจเรียนดุริยางค์ตะวันตก
พิมดาว: เราคิดว่าเราจะไม่สอบ O-NET (หัวเราะ) คิดว่าถ้าฉันสอบสายตรงได้ ฉันจะไม่สอบ O-NET แล้ว อันนี้พูดจริง ๆ เพราะมัดหมี่รู้สึกตัวเองเป็นเด็กที่มาทางสายศิลป์กับภาษาจริง ๆ วิทย์คณิตตายตั้งแต่เด็กเลย คือสอบก็แบบคาบเส้น แต่โชคดีตรงที่บ้านค่อนข้างสนับสนุนในสิ่งที่เราชอบ เขาไม่บังคับ เพราะว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าเราได้เลือกในสิ่งที่เราชอบมันจะทำให้เรามีความสุข แต่ถ้าเราเลือกในสิ่งที่ไม่ชอบก็ทำให้เราทุกข์ เลยโชคดีที่ชอบตรงนี้ และคิดว่าฉันชอบอันนี้ ฉันจะมุ่งตรงนี้แหละ ฉันชอบงานดนตรี งานร้องเพลง โอเปร่า ตอนนั้นก็เลยโอเค ลองสอบก็ได้ ไปติวทฤษฎีดนตรี ไปติวส่วน voice opera ติวหนักมาก แล้วก็ร้องไห้เยอะมากระหว่างทำแบบฝึกหัด เพราะมันยากมาก แล้วเราเป็นคนไม่เก่งทฤษฎี เราจะชอบ perform การแสดง ร้องเพลงมากกว่า สุดท้ายพอสอบผ่านมันเหมือนยกภูเขาออกจากอก
The People: พอได้เข้าไปเรียนจริง ๆ ก็เจออะไรมากกว่าที่คิด?
พิมดาว: มากกว่าที่คิดแบบหนักมาก มัดหมี่เคยตกแล้วด้วยซ้ำ (หัวเราะ) มัดหมี่เป็นคนที่ทฤษฎีห่วย ต้องใช้เวลาอ่านโน้ตมากกว่าคนอื่น แต่ถ้าจำหรือเล่นเลยจะไวมาก คือจะถนัดไปทาง perform จริง ๆ แต่มันก็ได้ฝึก เราโชคดีที่ได้เจอเพื่อนดีด้วย เวลาติวก็ติวด้วยกัน ทำอะไรก็ทำด้วยกัน ช่วยกันเสมอ
The People: เคยคิดไหมว่าการโตมากับกฎระเบียบตั้งแต่เด็ก ช่วยทำให้มีวินัยในการซ้อมดนตรีจนประสบความสำเร็จ?
พิมดาว: มัดหมี่มองว่าตัวเองโชคดีอย่างหนึ่งคือได้เรื่องวินัยจากคุณพ่อ ทำอะไรก็ทำจริง อย่างตอนเรียนแอ็กติ้งกับหม่อมน้อย เคยถามหม่อมน้อยว่าทำไมถึงไม่รู้สึกเหมือนเพื่อนเลย ทำไมคนอื่นเขาทำได้ ทำไม่ได้ พอหม่อมน้อยบอกว่าฝึกต่อไปแล้วหยุดถามคำถาม หยุดถามคำถามแล้วหยุดอยาก เมื่อไหร่ที่เราหยุดอยากเราจะสามารถคอนโทรลและทำทุกอย่างต่อได้อย่างดีที่สุดโดยที่เราไม่ต้องคาดหวัง แต่เราหวังว่ามันจะดี มัดหมี่ก็ทำอย่างนี้มาเรื่อย ๆ ขยันฝึกซ้อม ติวก็ติว เรียนก็เรียน เล่นก็เล่น คือเป็นคนที่ทำอะไรทำจริงจังทีละอย่างจริง ๆ มันก็อาจเป็นจุดที่ทำให้มัดหมี่เติบโตได้ แต่มัดหมี่ไม่ได้มองว่ามันจะสำเร็จขนาดนั้น เพราะว่าความสำเร็จในชีวิตจริง ๆ ที่เรามองตรง ๆ มันไม่มีขนาดนั้น แล้วแต่คนว่าเขาวางความสำเร็จเขาแบบไหน
The People: ตอนนั้นวางแผนก้าวต่อไปอย่างไร หลังบากบั่นจนได้เกียรตินิยมอันดับสองมาครอง
พิมดาว: ตอนนั้นคิดว่าอาจจะเปิดโรงเรียนสอนร้องเพลง แล้วก็อยากจะเทรนเด็ก ๆ เพราะเป็นคนชอบเด็กมาก ระหว่างเรียนที่จุฬาฯ มีโอกาสสอนเด็กอนุบาล 2 กับ 3 ที่โรงเรียนจิตรลดา ซึ่งเป็นโรงเรียนเก่าของเราเอง ก็ทำให้รู้สึกว่าเราชอบคลุกคลีกับเด็ก ชอบพลังเด็ก ๆ ที่เขาใส ๆ แล้วเราได้ใส่อะไรดี ๆ ให้เขาเต็มที่ ตอนนั้นคิดแค่นี้เลย ไม่ได้คิดอย่างอื่นเลย
แต่ตอนนั้นมีงานละครและเล่นละครเวทีด้วย เหมือนเราไม่ได้มองว่าอนาคตจะขนาดไหน เราแค่มองวันนี้ว่าเราทำอย่างนี้ แล้วมีความฝันอยากจะเปิดโรงเรียนสอนเท่านั้นเอง ก็ทำไปเรื่อย ๆ พอเรียนจบคุณพ่อก็แนะนำว่าตอนนี้ที่กรมดุริยางค์ทหารบกเปิดรับสมัครให้ไปเป็นนักร้องในกองทัพ อยากให้ลองไป ตอนนั้นลังเลมาก เพราะรู้สึกว่าเราไม่เหมาะกับทหาร แต่สุดท้ายก็ไป เพราะตอนนั้นเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่บอกว่ามันยั่งยืน เป็นอะไรที่ดี ถ้าเราไม่ได้เป็นนักแสดง ไม่ได้เปิดโรงเรียนสอนร้องเพลง เรามีตรงนี้ที่อยู่กับเราตลอด
มัดหมี่ไปฝึกเขาชนไก่ ฝึกหนักมาก ไปแบบไม่ได้อาบน้ำนอน จนกระทั่งอยู่มา 4 ปีแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่เราจริง ๆ เราสามารถเป็นนักร้องที่ไปช่วยกองทัพได้ แต่เราไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นนักร้องที่อยู่ในกองทัพ ตอนนั้นมัดหมี่เล่นละคร “ศรีอโยธยา” อยู่ มัดหมี่งานเยอะ แล้วไม่อยากเอาเปรียบคนอื่น เลยไปขออนุญาตเซ็นลาออก
พอเซ็นลาออกปุ๊บ เรามีเป้าหมายเลย ด้วยความที่เราชอบงานเพลง ทำงานละครมา เราเคยจัดพวก charity เยอะเหมือนกันตั้งแต่ทำหนังสือ “มัดใจ” ที่ตัวเองเขียน ก็รู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมันหล่อหลอมให้เราเป็นวันนี้ แล้วเราอยากจะสร้างบางอย่างที่เป็น community ดี ๆ ให้กับสังคม แล้วก็พัฒนาตัวเองด้วย เลยเกิดตรงนี้ขึ้นมา
The People: การใช้ชีวิตแบบทหารหญิงต้องปรับตัวและละทิ้งอะไรไปบ้าง
พิมดาว: ณ ตอนนั้นเราโอเคที่จะเป็น คือรู้สึก flow แต่ด้วยความที่พอทำไปเรื่อย ๆ ปุ๊บแล้วเรามีงานเยอะ เลยไม่อยากเอาเปรียบ แต่ระหว่างนั้นเราได้เพื่อนที่ดี ได้เรียนรู้เรื่องวินัยอย่างสุดยอดมาก ได้เรียนรู้เกี่ยวกับคน การทำอะไรเป็นกลุ่ม ความสามัคคี เรียนรู้เรื่องความไม่เห็นแก่ตัว เวลา 4 ปีที่นั่นมัดหมี่ต้องขอบคุณประสบการณ์มาก ๆ มัดหมี่รู้สึกว่ามันดีมากเลย ถ้าไม่เคยไปตรงนี้ มัดหมี่จะไม่มีทางเข้มแข็งได้เหมือนทุกวันนี้
The People: เป็นคนชอบเขียนบันทึกอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เด็กหรือเปล่า
พิมดาว: ใช่ แต่ไม่ได้บันทึกขนาดนั้น ชอบเขียน quote พวกคำคมอะไรต่าง ๆ มากกว่า บางทีก็จะเขียน quote เป็นพลังบวกหรือให้กำลังใจ หรือเป็น quote ที่มาจากตัวเราเอง เมื่อก่อนที่เราเจอเรื่องราวที่ผิดหวังมาก่อน อกหัก เราแฮปปี้ ผิดหวัง สมหวัง เราจะจดไว้หมดเลย หรือบางทีคนมาปรึกษาเรา หรือเราได้เรียนรู้จากครูที่เราได้มีโอกาสไปเรียนธรรมะหรือว่าเรียนกับหม่อมน้อย ก็จะจดเอาไว้เป็นเหมือนวัตถุดิบทางความคิด วัตถุดิบที่เป็นบทเรียนของเราที่จะเอามาใช้ได้
The People: ในมุมหนึ่งการจดแบบนี้ก็เพิ่มพลังบวกให้ตัวเองด้วย?
พิมดาว: ใช่ค่ะ เพราะมัดหมี่ว่าถ้าชีวิตเราไม่มีแรงบันดาลใจหรือพลังบางอย่างที่จะทำให้เราก้าวต่อไปได้ มันก็จะทำให้เราอยู่กับที่ แล้วเฉย ๆ เนือย ๆ
The People: นอกจาก quote พวกนี้แล้ว เวลารู้สึกแย่หาแรงบันดาลใจให้ตัวเองอย่างไร
พิมดาว: อันดับแรก เวลามัดหมี่ทุกข์หรือเหนื่อยจริง ๆ มัดหมี่จะกลับมาอยู่กับตัวเองก่อน เห็นมัดหมี่ hyperactive ร่าเริง ไปนู่นไปนี่ เจอเพื่อนเยอะ enjoy มาก ๆ แต่เวลาอยู่คนเดียวก็จะนิ่ง บางทีจะนั่งสมาธิหรือหลับตาทบทวนตัวเอง เหมือนกับว่าวันนี้ฉันได้ทำอะไรที่ดีหรือไม่ดีไปบ้าง เราจะได้เรียนรู้ตัวเองทุกวัน อันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก แล้วเราเป็นคนที่ไม่ท้อ จุดแข็งของมัดหมี่คือเป็นคนที่สู้ก็สู้เลย อดทนถึงที่สุด แล้วก็กล้าที่จะสู้ความจริง กล้าที่จะเรียนรู้พัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ
The People: คุณดูเป็นคนคิดบวกอยู่ตลอดเวลา?
พิมดาว: ไม่นะ จะบอกว่าคำว่าคิดบวกจริง ๆ น่ากลัวต้องระวัง เพราะว่าคิดบวกในที่นี้หมายถึงทุกสถานการณ์ที่เราเจอ ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความทุกข์ ความผิดหวัง สมหวังก็ตาม มันจะมีบวกอยู่ในนั้นเสมอ สมมติถ้าเราเลิกกับแฟน เราเลิกเราเจ็บก็จริง แต่มันเป็นจุดสุดท้ายที่ทำให้เราได้เริ่มต้นใหม่ มันก็จะมีแง่ดี หรือเราผิดหวังกับงาน เราไม่ได้งานนี้ มันก็ทำให้เราได้รู้ว่าศักยภาพเราอาจจะไม่พอ เราก็ต้องพัฒนาเพิ่ม
แม้กระทั่งตัวเรา นิสัยตัวเราเอง ด้วยความเป็นคนทำอะไรเร็ว พูดเร็ว ทำเร็ว บางทีเร็วจนใจร้อนเกินไปก็ผิดพลาดได้ มันเป็นจุดบอดของเรา แต่จุดดีคือทำให้ได้รู้จักตัวเอง เพราะฉะนั้น คิดบวกในที่นี้มันไม่ได้คิดปรุงแต่งหรือคิดหลอกตัวเอง แต่มองเห็นความสวยงามในความเจ็บปวดหรือในความทุกข์ได้
The People: เมื่อก่อนเป็นคนตั้งการ์ดในชีวิต?
พิมดาว: แต่ก่อนตั้งทุกอย่าง เป็นคนที่มีกรอบในชีวิตสูงมาก แบบฉันจะทำแค่นี้ ฉันจะเอาแบบนี้ ใครไม่ได้ฉันก็ไม่เอา เป็นคนที่เหมือนเราเป็นศูนย์กลางซึ่งเป็นอะไรที่ทุกข์มาก พอเราเรียนรู้ตัวเองว่า แม่งไม่ดีเลยว่ะ คือหนึ่ง-ทำให้คนอื่นไม่สบายใจ อึดอัดกับเรา สอง-พอเราเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง แล้วเวลามันไม่ได้ มันเจ็บมากเลย เราเลยรู้สึกว่าปล่อยผ่าน ปล่อยสบาย ๆ บ้าง ทำให้เราแฮปปี้และใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างมีความสุขแบบพอดี
The People: อะไรทำให้คนคนหนึ่งเปลี่ยนวิธีคิดขนาดนั้นได้
พิมดาว: มัดหมี่เคยเป็นซึมเศร้าแบบเฉียบพลันประมาณ 3 เดือน หนักมาก ๆ ช่วงนั้น เพราะว่าช่วงหนึ่งที่เราเล่นละครแล้วถอดตัวละครนี้ออกไม่ได้ ติดอยู่กับบทนี้แล้วมันก็อินกับงาน ร้องไห้ เป็นหนักเหมือนกัน แล้วรู้สึกว่าฉันจะทำยังไงดีให้ออกจากตรงนี้ กลายเป็นว่าเราได้เรียนรู้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น มันให้เราเลยรู้หมดเลย เพราะว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ของเรา ความคิดนี้ไม่ใช่ของเรา แล้วตัวเราเองเหมือนกับว่าทุกข์ มัน depress มาก รู้สึกว่าไม่อยากอยู่ รู้สึกชีวิตไม่มีค่า
แต่มัดหมี่กลับมาเอะใจได้ว่าตอนนั้นเหมือนเราอยู่ในถ้ำ เหมือนเวลาเราทุกข์มาก ไม่มีคนเข้าใจ ก็เหมือนเราอยู่ในถ้ำ แล้วมีแสงสว่างที่อยู่ไกลมาก แต่มันทำให้รู้ว่าตรงนั้นมีแสง เราเลยคิดว่ายังไงก็ต้องผ่านไปได้ แล้วสิ่งที่ทำให้ผ่านไปได้คือกำลังใจจากตัวเอง กำลังใจจากสามี จากครอบครัวและเพื่อน รวมถึงธรรมะที่ช่วยมัดหมี่ได้เยอะมาก ธรรมะคือธรรมชาติ ทำให้เรารู้ว่าธรรมชาติของเรามีทั้งบวกและลบ ธรรมชาติของเรามีทั้งความทุกข์ความสุข มันไม่มีอะไรแน่นอนเลย มันเลยทำให้เราไม่ได้ยึดติดกับอารมณ์นั้นมาเท่าที่ควร เลยเบาลงและหายได้
The People: เรียนรู้อะไรจากการศึกษาธรรมะ
พิมดาว: ธรรมะของมัดหมี่คือธรรมชาติ มัดหมี่ไม่ได้กำหนดว่าต้องเป็นพุทธ เป็นคริสต์ เป็นอะไร ธรรมะเป็นสากล ทุกศาสนาสอนให้คนเมตตา เมตตาจากใจ เมตตาตัวเอง เมตตาคนอื่น มัดหมี่มองว่าเป็นสิ่งสากลมาก ๆ มัดหมี่เคยได้ยินเรื่องคนเข้าวัด เข้าวัดไปทำอะไร ส่วนใหญ่ไปขอให้ตัวเองเป็นนั่นนี่ แต่คุณแทบไม่เคยกลับมาดูตัวเองว่าจะทำยังไงให้ตัวเองดีขึ้น บางทีไปเพื่อขอทุกอย่าง แต่ถ้าเราอยู่กับตัวเอง แล้วพัฒนาตัวเอง หรือสิ่งที่เราทำไปเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น อาจจะช่วยทำให้เราเป็นคนดีขึ้นก็ได้ มันเป็นการปรับ mindset ว่าไปเพื่อกิเลส หรือไปเพื่อที่จะทำความดี
ตรงนี้เลยเป็นจุดที่มัดหมี่ได้เรียนรู้ตัวเองว่าฉันเนี่ยเยอะมาก (หัวเราะ) ธรรมชาติสอนให้มัดหมี่เรียนรู้ตัวเองว่ามัดหมี่เป็นคนที่… โอ้โห น่าจะเยอะมาก ๆ เยอะทั้งความคิด เยอะทั้งการกระทำ อยากจะทำนู่นทำนี่ พอเรามาตรงนี้ก็ทำให้เราช้าลง ใจเย็น แล้วบางทีจะมีเสียงที่คอยเตือนว่ามัดหมี่ใจเย็นนะ เป็นพลังบวก เป็นเสียงบอกมาว่าใจเย็นนะ เบา ๆ นะ ไม่ต้องเครียดนะ หายใจช้า ๆ ประจำเลยคือสติ นี่คือคำที่มัดหมี่โดนอยู่เสมอ เป็นเหมือนไกด์ที่คอยเตือนตลอด สมมติทำอะไรเร็วมาก ก็จะมีธรรมะมาแทรกให้เราช้าลง
The People: "การเรียนรู้ชีวิตของตัวเองและเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น จึงทำให้รู้ว่าคนเราทุกวันนี้มีความทุกข์มากเหลือเกิน" คิดว่าจะนำธรรมะเข้ามาช่วยตรงนี้อย่างไร
พิมดาว: ด้วยความที่มัดหมี่มองว่าคนรอบข้าง หรือเพื่อนฝูง หรือข่าวต่าง ๆ มันเกิดขึ้นเยอะ ทำให้เราเห็นว่าโลกใบนี้เริ่มเปลี่ยนแปลงแล้วนะ แล้วธรรมชาติก็กำลังสอนอะไรเราอยู่ ตั้งแต่มกราคมมาจนถึงตอนนี้ (กุมภาพันธ์) เหตุการณ์เยอะมากเลย ไฟป่าออสเตรเลีย อเมริกา เยอะไปหมด แล้วก็เหตุการณ์กราดยิง ทำให้เราเห็นว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือความคิดเรา เราไม่จำเป็นต้องฝืนความคิด เราคิดลบมาก ๆ แล้วฉันจะต้องบวกฉันจะต้องแฮปปี้มันไม่ได้ นั่นคือการหลอกตัวเอง
คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตด้วยการที่เราเอาใจเราไปอยู่ข้างนอกมากกว่าอยู่ข้างใน เรารู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของเรา ทั้งที่ความจริงโลกใบนี้ไม่ใช่ของเรา เราเป็นแค่จุดหนึ่งในจักรวาล โลกใบนี้เล็กมาก ทำให้มัดหมี่เรียนรู้ว่าตัวเราเล็กมากเลย แต่คนส่วนใหญ่เอาตัวเองเป็นโลกใบนี้ เป็นเจ้าของโลก เลยทุกข์เพราะเอาตัวเองเป็นหลัก เห็นแก่ตัว
แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องไม่เห็นแก่ตัวนะ ไม่ใช่ มันเป็นเรื่องที่ยาก แต่มัดหมี่ว่าสำคัญที่สุดคือตัวเขาเอง สติต้องมี รวมถึงความรักและความเมตตากับตัวเองและกับคนรอบข้าง ถ้ามีน้อยเราควรช่วยเติมเต็ม แล้วข่าวตอนนี้เยอะไปหมด คนส่วนใหญ่ถ้าเขาไม่มีธรรมะในใจ ถ้าเขาไม่ได้มีภูมิคุ้มกัน เขาจะทุกข์มาก ทุกข์ไปตามกระแสโลก เขาจะจิตตก
ดังนั้นเราจะทำยังไงให้เราสามารถมีกำลัง เป็นเหมือนเสาที่ไม่ไหวเอน สมมติว่ามีพายุมาเสาอาจจะไหวบ้างเล็กน้อย แต่ว่าทำยังไงให้มันอยู่ด้วยกันได้ มันอาจจะไปอย่างนี้แต่ไม่ล้ม มัดหมี่เลยอยากจะทำ community ที่สร้างแรงบันดาลใจขึ้นมาให้ทุกคนได้เห็นคุณค่าในตัวเอง และเป็นเสาที่สามารถอยู่ในสังคมด้วยกันได้โดยไม่ล้ม
The People: ในภาวะที่มี hate speech เต็มไปหมดแบบนี้ แสดงว่าสังคมกำลังขาดอะไร แล้วคิดว่าอะไรจะทำให้สังคมดีขึ้น
พิมดาว: เขาขาดการที่เขาเห็นความดีตัวเอง น่าจะตรงนี้ เพราะถ้าคุณรู้ว่าคุณสามารถเป็นคนที่ดีขึ้นได้ มีพลังขึ้นได้ คุณจะไม่ทำสิ่งที่แย่ออกมา อีกอย่างคือการลอกเลียนแบบ เดี๋ยวนี้มันเยอะมาก ๆ คนที่ทำก็ถูกมองเป็นฮีโร่ มัดหมี่มองว่าเป็นความคิดที่น่ากลัวนะ เพราะว่ามันคือการที่เราทำร้ายคน ทั้งด้วยคำพูด ด้วยการกระทำ ทุกอย่างตอนนี้เหมือนเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
มัดหมี่ชอบหนัง “Joker” (2019) มาก ชอบที่ วาคีน ฟีนิกซ์ เล่นมาก ชอบสุด ๆ แต่มีตอนสุดท้ายที่ขึ้นมาแล้วแก๊งวายร้ายลุกขึ้นชูว่าสิ่งที่เขาทำมันดี มันเป็นอะไรที่น่ากลัว เพราะสะท้อนสังคมว่า เฮ้ย ตอนนี้เป็นแบบนี้แล้วนะ เราจะช่วยยังไงดี บางทีเราโทษแต่สิ่งต่าง ๆ ไม่ได้ เราต้องมองตัวเองด้วย คนส่วนใหญ่มัดหมี่มองว่าเขาโทษทุกอย่างเลย หลาย ๆ ครั้งสมมติว่าฉันเงินไม่มีอย่างนี้ก็โทษงาน ถ้าเราลองกลับมาถามตัวเองบ้าง เราลองไม่โทษคนอื่นบ้าง มันก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เริ่มจากตัวเองก่อน ถ้าทุกคนเริ่มจากตัวเองได้ทีละนิด ๆ ก็จะเป็นพลังที่มากขึ้น แต่ตอนนี้มีแต่กลุ่มที่แบบเครียด ท้อ โยนความผิดให้กับคนอื่น มันก็คือการที่เราหนีความจริงไม่สู้ต่อ
The People: หลังจากหาวิธีรับมือกับความทุกข์ได้แล้ว ชีวิตเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนไหม
พิมดาว: ทุกข์น้อยลง อินน้อยลง มัดหมี่เคยเป็นคนที่อินมากต้องบอกก่อน แต่ว่าตอนนี้เรื่องของความทุกข์อินน้อยลงไปเยอะ เพราะว่าเมื่อไหร่ที่เราทุกข์ เราหาเหตุได้ เราแก้เหตุได้ ทุกข์มันก็เปลี่ยน attitude เปลี่ยน แต่เมื่อไหร่ที่เราทุกข์ แล้วเราไปตอกย้ำความทุกข์ มัดหมี่เพิ่งเขียน Instagram ที่ลง “มัดใจ” ที่ว่า เวลาเราทำอะไรผิด ถ้าเรารีบตอกย้ำตัวเองผิด ๆ ๆ เท่ากับเราสะสมความคิดลบ แต่ถ้าเรามีสติตั้งตัวพิจารณาก่อนว่าสิ่งที่เราจะพูด สิ่งที่เราจะทำ เรารู้ว่าทำแล้วผลลัพธ์จะเป็นยังไง เราก็จะมีสติมากขึ้นในการคัดกรองสิ่งที่จะออกจากปากหรือออกจากความคิด จากใจ ส่วนใหญ่เรื่องที่ออกจากปากมันมาจากใจคิดก่อน เพราะฉะนั้นเราก็ต้องช้าลง
อย่างคุณตามัดหมี่ป่วยเข้าโรงพยาบาล แต่ก่อนจะเป็นห่วงแบบไม่ไหวแล้ว แต่นี่นิ่งขึ้น ฟังแล้ว อ๋อ เขาเป็นอย่างนี้เหรอ โอเค แล้วก็ไปเยี่ยม แล้วเขาดีขึ้น เหมือนทุกอย่างเป็นสเต็ป พอเรามีสติก็ทำให้เราเห็นทางมากขึ้น แต่ถ้าไม่มีสติก็จะไหลไปเลย สมมติว่าทางแบบนี้เราวิ่งฮึบไป แต่ถ้าเรามีสติเราจะค่อย ๆ ปึ๊บ ๆ ช้าหน่อยแต่ชัวร์
The People: กระบวนการนี้ได้จากธรรมะหรือเปล่า
พิมดาว: ได้จากธรรมะ 100% เพราะธรรมะสอนให้มัดหมี่มีสติและช้าลง แต่ก็คือเร็วนะ มัดหมี่เป็นคนเร็วอยู่แล้ว คือพูดเร็ว ทำอะไรเร็ว แต่ว่าข้างในมันลดสปีดลง
The People: มองว่าการเป็นคนคิดเร็วทำเร็วเป็นเรื่องไม่ดีหรือเปล่า
พิมดาว: ไม่ใช่ เรามองว่าเป็นธรรมชาติ เป็นเรื่องดีของเรา ส่วนทุกคนบอกว่ามัดหมี่มันไม่ใช่ข้อดีเลย โดยเฉพาะสามี (หัวเราะ) เขาบอกแก้เหอะ นิสัยอย่างนี้ไม่ไหว ก็เลยลองดูสักตั้ง กล้าสู้ความจริงก่อน พอเราสู้ความจริงแล้ว เออ มันไม่ดีจริง ๆ ก็แก้ไข
The People: ลดอีโก้ลง?
พิมดาว: โห ลด มัดหมี่โดนทุบเยอะมากเรื่องอีโก้ ความที่เราเป็นพี่คนโตสุดจากหลานสาว 8 คน มัดหมี่เป็นผู้นำทุกเรื่อง ใครไม่ทำตามพี่โกรธ ฉันต้องเป็นครูใหญ่ ฉันเป็นผู้นำ โอ้โห มัดหมี่โดนทุบอัตตา ทุบนั่นนี่ ตั้งแต่ละครเวทีสี่แผ่นดิน มัดหมี่เคยร้องเพลงจบแล้วไม่มีใครปรบมือ เฟลมาก เพราะชีวิตมัดหมี่ได้แต่การปรบมือ แล้วพอมัดหมี่เจอจุดเปลี่ยนจากอายุ 21 ปี ค่อย ๆ ไต่มา โดนทุบอัตตาตลอด จนแบบ...ฉันเป็นใคร ฉันคิดว่าฉันเป็นเจ้าของโลก เจ้าของจักรวาลเหรอ ไม่ใช่ you're just a dust. เป็นเหมือนแค่ละอองดาวบนจักรวาลเท่านั้นเอง
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้มัดหมี่รู้ว่าอีโก้มันน่ากลัว ถ้าไปให้ค่าว่ามันสำคัญ เราจะทุกทุกข์เรื่องเลย เพราะโลกใบนี้ไม่มีอะไรเป็นไปตามที่เราต้องการ เราไม่สามารถบังคับให้คนอื่นมาทำตามใจต้องการได้ เราบังคับความคิดตัวเองยังไม่ได้เลย เราจะไปบังคับคนอื่นได้ยังไง ก็เลยทำให้เราคิดได้ว่าช่างมันเถอะ ซึ่งคำนี้ช่วยมัดหมี่ได้ค่อนข้างมาก แต่ก่อนจะช่างมัน เราต้องพิจารณาตัวเองก่อน