17 ธ.ค. 2568 | 16:42 น.

จากการเริ่มต้นด้วยกิจการประกันภัยการขนส่งทางทะเลเมื่อ 78 ปีก่อน จนถึงวันนี้กรุงเทพประกันภัยได้หยั่งรากลึกและเติบโตสู่การเป็นหนึ่งในบริษัทประกันภัยแถวหน้าของเมืองไทย โดยยังคงจัดการบริหารความเสี่ยง และชดเชยความเสียหายให้แก่ผู้เอาประกันภัยด้วยดีเสมอมา
การก้าวเข้ามาของ ชวาล โสภณพนิช ประธานคณะผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ และ ลสา โสภณพนิช ผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.กรุงเทพประกันภัย ในฐานะผู้บริหารรุ่นใหม่ที่เป็นมากกว่าการเปิดศักราชใหม่ขององค์กร แต่ยังถือเป็นก้าวสำคัญในการสานต่อความสำเร็จของยักษ์ใหญ่ในแวดวงธุรกิจประกันภัยไทยด้วยความยั่งยืนและแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
สำหรับทายาทรุ่น 3 แล้ว ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงที่กำลังถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรงและรวดเร็วในทุกวันนี้ การนำพานกนางนวลสีน้ำเงินตัวนี้ฝ่าเกลียวคลื่นแห่งความผันผวน จึงถือเป็นความท้าทายที่น่าจับตา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อทั้ง 2 ผู้บริหารรุ่นใหม่ต่างมองว่า นี่ไม่ใช่การเข้ามาเพื่อแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลง
กลับกันคือ การสานต่อความสำเร็จเดิมให้ยิ่งมั่นคง แข็งแกร่ง และเติบโตอย่างยั่งยืน ตั้งแต่มิติของบุคลากรภายใน ประสิทธิภาพการดำเนินงาน ความมั่นคงทางการเงิน ควบคู่ไปกับการสร้างคุณค่าให้แก่ลูกค้าและสังคม ภายใต้หลักธรรมาภิบาล ทั้งหมดเพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ขององค์กรในฐานะผู้นำธุรกิจประกันภัยระดับประเทศที่พร้อมรับมือกับทุกความท้าทาย
ถึงแม้ชวาลและลสาจะเติบโตในครอบครัวผู้บริหารระดับสูง และได้นั่งเก้าอี้ตัวสำคัญในองค์กร แต่ทั้งคู่ต่างรู้สึกว่า ’ผู้นำ’ สำหรับพวกเขาไม่ใช่แค่การก้าวออกไปอยู่แถวหน้าสุด แต่ยังต้องสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี รวมถึงการสนับสนุนให้คนทำงานรู้สึกมั่นใจ กล้าคิด กล้าแสดงความเห็น และสนุกไปกับเส้นทางการเรียนรู้พัฒนาตนเอง เพื่อให้ทันต่อกระแสโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง
ประธานคณะผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการจึงสะท้อนความเชื่อส่วนตัวในการทำงานผ่านการสร้างทีมที่แข็งแรง การพัฒนา ’คน’ จึงถือเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน
“ทุกคนสามารถเติบโตได้ หากได้รับโอกาสและการสนับสนุนที่เหมาะสม ความสำเร็จที่ยั่งยืนไม่ได้เกิดจากใครคนใดคนหนึ่ง แต่เกิดจากพลังของคนทั้งองค์กรที่ร่วมมือกัน”
เช่นเดียวกันกับผู้อำนวยการใหญ่อย่างลสาที่คิดว่า การที่บริษัทฯ ก้าวมาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย การสานต่อความสำเร็จให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืนจึงสำคัญ ซึ่งสำหรับเธอแล้ว ’ความเข้าใจ’ ถือเป็นกุญแจดอกสำคัญในการบริหารคน
“ใจเขาใจเรา เป็นวลีที่ได้ยินคุณพ่อพูดให้ฟังมาตั้งแต่เด็กๆ และเป็นคำสอนที่ตัวเองรู้สึกว่าสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงานหรือชีวิตส่วนตัว ซึ่งคำสอนนี้สาเองก็ได้มีการสอนและถ่ายทอดเป็นแนวทางให้กับลูกๆ ด้วยเช่นกัน เพราะคิดว่าการที่เรายึดถือคตินี้ จะทำให้เราเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น และไม่เอาเปรียบใคร”
แน่นอนว่าครอบครัวคือ พื้นฐานของการหล่อหลอมตัวตนและวิธีคิด ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อ (ชัย โสภณพนิช) คุณแม่ (นุชนารถ โสภณพนิช) และพี่น้องทั้ง 5 คน ทำให้พวกเขามีโอกาสได้พูดคุยปรึกษากัน ทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องเรียน และเรื่องงาน เกิดเป็นการผสมผสานกันของหลายๆ มุมมองจากคนในครอบครัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงวิธีการทำงานในแบบของพวกเขาเอง โดยเฉพาะการทำความเข้าใจความรู้สึกของพนักงาน และเรียนรู้ที่จะรู้จักพวกเขาในฐานะ ’คนคนหนึ่ง’ ไม่ใช่เพียง ’พนักงาน’ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นบทเรียนสำคัญของคนเป็นผู้นำ
ดังนั้นบทบาทของผู้นำจึงไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่เก่งที่สุดเสมอไป แต่เป็นผู้นำที่เปิดใจรับฟัง และมีความยุติธรรม เข้าใจและเห็นความพยายามของทีม พร้อมให้คำแนะนำ หรือยื่นมือเข้าช่วยเหลือในเวลาที่พวกเขาต้องการ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งสำคัญที่สุด
“กรุงเทพประกันภัยจึงมุ่งสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่พนักงานรู้สึกปลอดภัย เป็นธรรม และมีความสุขในการทำงาน เพราะเมื่อพนักงานมีความสุข พวกเขาจะทุ่มเท มุ่งมั่น และทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ” ชวาลอธิบายเพิ่มเติม
เมื่อผู้นำในโลกยุคใหม่ล้วนต้องมีความสามารถในการปรับตัว และใช้ความหลากหลายเป็นพลังขับเคลื่อน ยิ่งในตลาดประกันภัยที่ต้องเผชิญหน้ากับการแข่งขันที่ส่งผลกระทบต่อบริษัทฯ ไม่น้อย ทำให้พวกเขายิ่งต้องพัฒนา ปรับเปลี่ยนมุมมอง และเฟ้นหาแนวทางการดำเนินงานใหม่ๆ เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
ด้วยเหตุนั้นเอง บทบาทของ COO (Chief Operating Officer) สำหรับชวาลจึงเป็นการให้ความสำคัญกับกระบวนการทำงานที่ต้องชัดเจน รวดเร็ว เป็นระบบ และสามารถตรวจสอบวัดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เน้นการใช้อำนาจบริหารจัดการ แต่เน้นสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ทุกคนรู้สึกได้ว่าตนเองมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนองค์กร
ขณะเดียวกัน ลสารู้สึกว่าผู้นำในโลกยุคใหม่จำเป็นต้องมีความคล่องแคล่วว่องไว (Agile) มีความพร้อมต่อการต้องปรับตัวให้ทันโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา พร้อมกันนี้ยังต้องสามารถนำพาพนักงานรุ่นใหม่ให้ก้าวไปข้างหน้า ควบคู่ไปกับการใส่ใจพนักงานรุ่นเก่าที่อยู่เคียงข้างบริษัทฯ มาเป็นเวลานาน เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และมุมมองต่างๆ ผ่านการเชื่อมโยงคนต่าง Generation เข้าไว้ด้วยกัน
“เพราะพนักงานเหล่านี้คือกำลังสำคัญที่ร่วมกันสร้างกรุงเทพประกันภัย และเป็นผู้ถ่ายทอดประสบการณ์ที่คอยดูแลสนับสนุนพนักงานรุ่นใหม่ การสร้างสมดุลระหว่างคุณค่าดั้งเดิมขององค์กรกับการเปลี่ยนแปลงนวัตกรรมใหม่ๆ จึงเป็นหัวใจสำคัญในเรื่องนี้”
ชวาลย้ำว่า บริษัทฯ ต้องยืนหยัดอย่างมั่นคง และดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบอย่างจริงใจต่อลูกค้า ในขณะเดียวกัน องค์กรก็ต้องปรับตัวอยู่เสมอ เพราะหากไม่เปิดรับนวัตกรรมอาจส่งผลให้ถูกทิ้งไว้ข้างหลังได้ กรุงเทพประกันภัยจึงมุ่งสร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างให้ทีมงานได้คิด ทดลอง ลองผิดลองถูก และเรียนรู้จากความล้มเหลวเพื่อเติบโตไปด้วยกัน
ลสายืนยันว่า คณะผู้บริหารต่างให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมใหม่ เช่น เทคโนโลยีด้าน Artificial Intelligence (AI) แต่ก็มีหลักการที่ชัดเจนคือ พวกเขานำเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาเพื่อเป็นเครื่องมือในการเสริมศักยภาพและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อการทดแทนบุคลากรแต่อย่างใด
“เพราะกรุงเทพประกันภัยยังคงเชื่อมั่นว่า Human Touch หรือปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง ยังคงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในธุรกิจประกันภัย”
กลไกของการขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวเดินไปอย่างสอดคล้องและมีประสิทธิภาพ คือการประสานภายนอกกับภายในอย่างสมดุล เช่นเดียวกับการทำงานของชวาลและลสาที่กำลังสอดประสานกันอยู่ในตอนนี้
ในฐานะประธานคณะผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ชวาลให้ความสำคัญสูงสุดกับการสร้างประสิทธิภาพภายในองค์กรอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของกรุงเทพประกันภัย ภายใต้หลักการที่ว่า กระบวนการทำงานภายในต้องถูกออกแบบให้มีมาตรฐาน ชัดเจน และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ เพื่อสร้างความโปร่งใสและลดความซ้ำซ้อนที่ไม่จำเป็นไปพร้อมกัน
นอกจากนี้ เมื่อ ‘คน’ คือ ทรัพยากรสำคัญที่จะนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน การเสริมสร้างศักยภาพพนักงานจึงถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของผู้บังคับบัญชาทุกระดับ โดยมุ่งสร้างระบบที่เอื้อต่อการเรียนรู้ เช่น การกำหนด Career Path ที่ชัดเจน การประเมินที่พิจารณาทั้ง Performance และ Potential เพื่อให้องค์กรสามารถปรับตัวและเติบโตได้ตามความพร้อมของ ‘คน’ เป็นสำคัญ และการเปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วมเพื่อให้ทุกคนเข้าใจและเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง
แนวทางการบริหารงานของชวาลจึงเน้นให้ความสำคัญกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ ‘คล่องตัว’ และเปิดกว้างต่อความหลากหลาย ส่งเสริมให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับเป็นแบบอย่างที่ดีและทำหน้าที่เป็น ‘โค้ช’ ที่ช่วยชี้แนะมากกว่าแค่การสั่งงาน
ฝั่งของลสาในบทบาทผู้อำนวยการใหญ่ เธอมุ่งเน้นไปยังกลยุทธ์การเติบโตจากภายนอก การบริหารความสัมพันธ์กับพันธมิตรธุรกิจ และการดูแลความสัมพันธ์กับนายหน้า พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างเครือข่ายที่แข็งแรง การพัฒนาความร่วมมือกับคู่ค้าและพันธมิตรที่ดี เพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน โดยอาศัยความเชื่อมั่นจากฐานะทางการเงินที่มั่นคงของบริษัทฯ พร้อมกับการสื่อสารที่เปิดกว้างและรวดเร็วในการแก้ไขอุปสรรคอย่างสร้างสรรค์
ส่วนกลยุทธ์ด้านลูกค้าและผลิตภัณฑ์ ลสามองว่าการดูแลลูกค้าบุคคลนั้นมีความท้าทาย เนื่องจากความต้องการที่หลากหลายและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา กลยุทธ์ของเธอจึงมุ่งเน้นไปยังการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน พร้อมช่องทางการให้บริการที่รวดเร็วและขยับขยายให้เข้าถึงง่ายยิ่งขึ้น เช่น โทรศัพท์ เว็บไซต์ ไลน์ อีเมล โซเชียลมีเดีย และการส่งเสริมให้พนักงานสามารถให้ข้อมูลและความรู้ด้านผลิตภัณฑ์ที่เป็นประโยชน์แก่ลูกค้าได้ด้วยตนเอง
“ขณะที่ด้านการลงทุน บริษัทฯ ยึดหลักการสร้างความมั่นคงควบคู่ไปกับการเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการลงทุนระยะยาวในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ และเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงไม่สูงมาก โดยอาศัยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานอย่างรอบด้าน”
มองภาพกรุงเทพประกันภัยในอีก 5 ปีหลังจากนี้อย่างไร เป็นคำถามที่ทั้งผู้ประกอบโครงสร้างภายในอย่างชวาล และคนประสานภายนอกอย่างลสาตอบเป็นเสียงเดียวกัน พวกเขาต่างย้ำถึงเป้าหมายของกรุงเทพประกันภัยในนิยามของความมั่นคงและความยั่งยืน
“อยากให้ลูกค้ามองเราเป็นบริษัทประกันภัยที่มีความมั่นคง ไว้วางใจได้ ทันสมัย เข้าถึงง่าย มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน ใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อม” ผู้อำนวยการใหญ่เปิดเผยถึงความคาดหวังของเธอ
ขณะที่ประธานคณะผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการยืนยันว่า ด้วยการผสมผสานกลยุทธ์ทางธุรกิจเข้ากับความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งนี้จะช่วยให้องค์กรมุ่งหน้าไปสู่เป้าหมายของการเป็นบริษัทประกันภัยที่ลูกค้าเชื่อมั่นและไว้วางใจ ด้วยภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ พร้อมรับมือทุกสถานการณ์อย่างมืออาชีพ
“เพราะเราเชื่อมั่นว่า ‘ความพึงพอใจของลูกค้า’ คือ หัวใจแห่งความสำเร็จของกรุงเทพประกันภัย”
การก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของกรุงเทพประกันภัยภายใต้การนำของ 2 ผู้บริหารรุ่นใหม่ จึงไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนผ่านเก้าอี้ในห้องผู้บริหาร แต่ยังเป็นการวางรากฐานอันมั่นคงและยั่งยืนสำหรับอนาคตข้างหน้าขององค์กร
โดยมีการผสานจุดแข็งภายในองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนา ‘คน’ และกระบวนการทำงานที่เป็นระบบ เข้ากับกลยุทธ์ภายนอกที่เน้นสร้างความเชื่อมั่นทางการเงิน พร้อมไปกับการพัฒนานวัตกรรมอย่างมีหลักการเพื่อเสริมศักยภาพบุคลากร อีกทั้งยังคงสิ่งสำคัญที่ขาดไปไม่ได้ สิ่งนั้นคือ การยึดมั่นในความรับผิดชอบต่อลูกค้า สังคม และสิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ
ทั้งหมดนี้ตอกย้ำถึงเป้าหมายที่ชัดเจนของกรุงเทพประกันภัย ในการเป็นบริษัทประกันภัยที่ลูกค้าไว้วางใจ เข้าถึงง่าย และมุ่งหน้าสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
โดยมี ‘ความพึงพอใจของลูกค้า’ เป็นหัวใจแห่งความสำเร็จนั่นเอง