08 ส.ค. 2568 | 15:54 น.
KEY
POINTS
The People สัมภาษณ์ ‘เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ’ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้ดำรงตำแหน่งครบวาระ 5 ปี รักษาเสถียรภาพการเงินในช่วง 3 นายกรัฐมนตรี นับแต่ปี 2563 ในรัฐบาล ‘พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ ผ่านสถานการณ์โควิด-19 ต่อมาทำหน้าที่ในสมัยรัฐบาล ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกรัฐมนตรีผู้มาพร้อมความพยายามทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต แต่ไม่สำเร็จ และล่าสุดครบวาระในสมัยรัฐบาล ‘แพทองธาร ชินวัตร’ ซึ่งเผชิญการประกาศอัตราภาษีใหม่จากประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ‘โดนัลด์ ทรัมป์’
ผู้ว่าฯ เศรษฐพุฒิ ในวัย 60 ปีบอกว่า ต่อให้ไม่มีข้อจำกัดเรื่องตัวเลขการเกษียณอายุของผู้ว่าแบงก์ชาติที่กำหนด 60 ปี ส่วนตัวก็ไม่คิดว่าจะต้องอยู่ต่อในวาระที่ 2 เพราะได้ทำหน้าที่แล้ว ถึงเวลาต้องถอดหัวโขนแล้ว
นอกจากนั้นยังเล่าถึงหลักการทำงานที่ไม่ทำตามกระแสเพียงเพื่อไม่ให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ แม้จะถูกโจมตี และเมื่อเวลาผ่านไปก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าตัดสินใจถูกต้องในการรักษาเสถียรภาพการเงินของประเทศไทย
*หมายเหตุ สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2568
ท่านผู้ว่าฯ เศรษฐพุฒิ เติบโตในครอบครัวที่คุณพ่อเป็นท่านทูตไทยประจำในหลายประเทศ ขอให้ท่านเล่าประสบการณ์เติบโตในประเทศไหนและรู้สึกอย่างไรกับแต่ละประเทศ
โอเค ยาวเลยนะเพราะย้ายไปหลายประเทศ ผมเกิดที่กรุงเทพฯ คุณพ่อคุณแม่บอกว่าผมอายุประมาณ 3-4 เดือนเพิ่งเกิด ท่านก็จับใส่ตะกร้าไปออสเตรเลีย เพราะคุณพ่อไปประจำที่นั่น
ผมอยู่ที่นั่นเป็นประเทศแรก 4 ปี ผมจำได้ว่าไปเรียน nursery ที่นั่น แล้วกลับมาเมืองไทย อยู่เมืองไทยช่วงหนึ่ง แล้วตามคุณพ่อไปเรื่อย ๆ ย้ายไปอยู่อินเดีย 4 ปี จากอินเดียไปโปแลนด์ กลับมาเมืองไทยสักพักหนึ่ง แล้วก็ไปอยู่ฝรั่งเศส แล้วไปสวิตเซอร์แลนด์ สุดท้ายคุณพ่อเกษียณที่อังกฤษ ก็ได้ตามคุณพ่อไปเรื่อย ๆ
ท่านผู้ว่าฯ ประทับใจประเทศไหนมากที่สุด
ผมว่าแต่ละประเทศก็มีเอกลักษณ์ มีจุดเด่นของเขา มีอะไรที่น่าสนใจทุกที่ พูดในภาพรวมดีกว่า ผมว่าในภาพรวมที่ผมได้จากการไปอยู่ในประเทศต่าง ๆ ซึ่งก็ต้องถือว่าเป็นความโชคดีที่ได้มีโอกาสนี้ คือสอนให้เราปรับตัวได้เร็ว เพราะว่าไปที่ใหม่ก็ต้องเจอโรงเรียนใหม่ เพื่อนใหม่ แล้วก็สิ่งแวดล้อมอะไรต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นอะไรที่ช่วยมาตั้งแต่เด็ก
แต่ถามว่าประทับใจที่ไหนสุด อาจจะเป็นที่ฝรั่งเศส เพราะโดยวัยที่ทำให้จำได้และอยู่ในความรู้สึกชอบรู้สึกสนุก ตอนนั้นผมกำลังจะจบมัธยม high school ก็เลยสนุกมีความทรงจำที่ดี ๆ ตรงนั้นเป็นพิเศษ
ใช่ ตอนที่อยู่ฝรั่งเศส ก็มีเพื่อนเป็นคนฝรั่งเศสพอสมควร และตอนไปทำงานที่ธนาคารโลก เขารู้ว่าผมพูดภาษาฝรั่งเศสได้ เขาก็เลยส่งไปทำงานที่แอฟริกา แอฟริกาตะวันตกที่พูดภาษาฝรั่งเศส รวมถึงแอฟริกาเหนือ ก็เลยได้มีโอกาสที่ต้องใช้ต้องฝึก
เหตุผลที่ไม่เลือกเรียนในเส้นทางที่จะไปกระทรวงการต่างประเทศ แม้เติบโตในประเทศต่าง ๆ เนื่องจากติดตามคุณพ่อซึ่งเป็นท่านทูตไทย แต่ท่านผู้ว่าฯ เลือกเรียนทางด้านเศรษฐศาสตร์
อันนี้ตอบง่ายมาก ทั้งผมและพี่สาวตัดสินใจไม่ไปไปทางนั้น เพราะเห็นว่าชีวิตนักการทูตเป็นอย่างไร ผมว่าเป็นอะไรที่เหมาะกับบางคน แต่สำหรับผมคงไม่ถูกจริต ผมว่าเป็นงานที่ต้องเจอคนตลอดเวลา ต้องระมัดระวังคำพูดอะไรต่าง ๆ มาก คือต้องเป็นนักการทูตที่ดี ซึ่งผมคิดว่า ผมไม่ได้ถนัดขนาดนั้นที่จะใช้ชีวิตแบบนั้น ก็เลยหาอะไรที่ถูกกับนิสัยใจคอมากกว่า ก็เลยสนใจทางด้านเศรษฐศาสตร์ ด้านที่เกี่ยวกับการเงินมากกว่า
ขณะที่บุคลิกท่านผู้ว่าฯ คล้ายนักการทูตมากเลย
โอ้ นักการทูตเขาเนียน smooth กว่าผมเยอะ ถ้าเป็นเรื่องภาษา เรื่องความเข้าใจต่างชาติคิดอย่างไร อันนี้ผมได้ เพราะโตมาจากหลากหลายประเทศ แต่นักการทูตมีมุมที่ต้องระมัดระวังตลอดเวลาเหมือนอยู่ต่อสาธารณชน ซึ่งถ้าไม่ใช่เวลาทำงาน ผมขอเป็นตัวของตัวเอง แต่ถ้าเป็นนักการทูตเนี่ย ไม่ได้ครับ
คนในแบงก์ชาติบอกว่า ท่านผู้ว่าฯ ชอบศิลปะ
ใช่ ชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก ฝีมือก็ไม่ค่อยจะมี ถ้ามีก็คงไปทางด้านศิลปะมากกว่ามาเป็นนักเศรษฐศาสตร์หรือนักการทูตด้วยซ้ำไป โดยส่วนตัวที่ชอบคือชอบวาดลายเส้น เวลาเดินทางไปต่างประเทศหรืออยู่เมืองไทย ไปไหนก็ชอบไปดูศิลปะ ไปมิวเซียม
ตอนแรกได้ยินว่าท่านชอบศิลปะ นึกว่าท่านชอบร้องเพลง
อั๊ยหย๋า ไม่ใช่แน่นอน (หัวเราะ) อันนั้นยิ่งไม่มีความสามารถครับ
เห็นในคลิป เป็นที่ประจักษ์ค่ะ
อย่าเรียกว่าประจักษ์เลย ผมยังอายไม่หาย (ยิ้ม)
ตอนท่านผู้ว่าฯ ร้องเพลง ‘พี่ตูน บอดี้สแลม’ ในงานเลี้ยงที่ทีมแบงก์ชาติจัดให้ ทุกคนก็เซอร์ไพรส์และประทับใจมาก เพราะปกติจะเห็นท่านเนี้ยบมากนิ่งมากเหมือนนักการทูต แต่ดูบรรยากาศในคลิปแล้วท่านผู้ว่าฯ เป็นที่รักของทีมเลยนะคะ
ขอบคุณครับ เป็นอะไรที่ไม่ได้นึกว่าจะแพร่หลายไปขนาดนี้ น้อง ๆ เขาน่ารักครับ อุตส่าห์จัดงานให้
ประสบการณ์ก่อนเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เคยทำงานที่บริษัท แมคคินซีย์ แอนด์ คอมพานี ที่นิวยอร์ก และธนาคารโลก (World Bank) ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี
งานแรกของผม ตอนนั้นไปทำงาน consult ที่แมคคินซีย์ ที่นิวยอร์ก (Business Analyst, McKinsey & Co., New York สหรัฐอเมริกา) คงเกี่ยวกับวัยด้วยอีกนะครับ ตอนนั้นเราจะดูดซับอะไรได้เยอะ เรียนรู้อะไรได้เยอะ แล้วก็เป็นที่ที่ถ้าผมมองชีวิตย้อนกลับไป เป็นช่วงที่เราได้อะไรหลายอย่างจากการทำงานตรงนั้น ถึงแม้เวลาจะไม่นาน เพียง 2 ปีเศษ ๆ
ผมคิดว่า นอกจากเรื่องวัยแล้ว เป็นเรื่องของวิญญาณการทำงานที่นั่นที่มีลักษณะเฉพาะช่วงนั้น ตอนนั้นบริษัทอาจจะไม่ได้ใหญ่มากเหมือนสมัยนี้ ที่นั่นมีคนเก่งเยอะและโชคดีผมมีนายที่เก่ง แล้วก็เข้ม เป็นการบังคับให้เราพัฒนาตัวเอง
ยกตัวอย่างอันหนึ่งที่ผมได้มาจากตอนนั้น คือขณะผมเข้าไป เป็นเด็กอายุยี่สิบต้น ๆ เรียนจบใหม่ ๆ แต่ culture ของที่นั่น ผมยังจำได้จนถึงทุกวันนี้เลย เขาสอนว่าเป็นหน้าที่ ที่ต้องถกเถียง เพื่อให้ได้งานที่ดีที่สุดที่จะได้ เพื่อลูกค้า
ถ้าเรากำลังประชุมกันอยู่ แล้วเราไม่เห็นด้วย เรามีหน้าที่ที่จะต้องชี้แจง อธิบายไปว่าอันนี้มันไม่ใช่
ผมว่าก็เป็น culture ที่พิเศษแบบหนึ่ง เพราะอย่างที่บอก ตอนนั้นเข้าไป ยังเด็กเลย ถึงแม้จะมีอีกคนที่เป็นระดับพาร์ทเนอร์แล้ว อายุมากกว่าเรา ผ่านประสบการณ์มาเยอะ เขาก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ถ้ามีอะไรไม่เห็นด้วย จะต้องไม่ใช่แค่ “ควรพูด” แต่เป็นหน้าที่เลยว่า “ต้องพูด” เรื่องนี้ผมว่าก็ดีอย่างหนึ่ง แล้วก็จบก็คือจบ ไม่ใช่ว่าถกเถียงกันแล้วต้องมานั่งโกรธเคืองอะไรกัน งานก็คืองาน
ก็เลยปลูกฝังอารมณ์วิธีการทำงานสไตล์แบบนี้ของผม ตอนนั้นยังจำได้เลยว่า บางทีเราก็อาจจะจัดเต็มไปหน่อย จนกระทั่ง เพื่อนร่วมงานทักกลับมา เขาบอกว่า เขานึกว่าคนไทย ปกติจะ nice ไม่ใช่เหรอ เขาบอก I thought Thai people were supposed to be nice. โอเค เราก็เลยรู้ตัวแล้ว บางทีเราต้องเบา ๆ หน่อย แล้วก็ได้เกร็ดอะไรต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์
เพื่อนท่านผู้ว่าฯ เขาทราบหรือไม่ว่า ท่านผู้ว่าฯ ไม่ได้โตในไทย แต่โตในหลายประเทศเลย
คนนั้น เขาคงทราบทีหลัง แต่ตอนนั้นเขาคิดว่าคนไทยปกติจะนิสัยอ่อนโยน
เวลาทำงานไม่อ่อนโยนเลยหรือคะ
สำหรับผมงานคืองาน ก็ต้องเอาให้มันดีให้มันได้ให้มันเสร็จ คือผมว่าเป็นเรื่องปกติที่ความเห็นไม่ตรงกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่คบหาสมาคม จะทำงานด้วยกันไม่ได้ ก็ไม่ใช่ เป็นเรื่องธรรมดา เหตุผลส่วนหนึ่งที่ผมคิดแบบนั้น ก็มาจากการทำงานที่นี่ และสนับสนุนให้มีการดีเบต โต้วาที การถกกัน
ซึ่งตอนที่ทำ World Bank ไม่ขนาดนี้ (Senior Economist, World Bank, Washington DC สหรัฐอเมริกา)
ไม่ค่อย เพราะ World Bank ก็เป็นสไตล์ World Bank องค์กรใหญ่ ๆ เป็นองค์กรข้ามชาติ องค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งมีลักษณะเป็นแบบกึ่ง ๆ แบบภาครัฐสักหน่อยไม่ใช่เอกชนล้วน ๆ culture จะอีกแบบหนึ่ง แต่ข้อดีของที่นั่น เป็นองค์กรที่เหมือนเขาเน้นเรื่องของ technical วิชาการ ก็เลยจะได้ตรงนั้นมา เหมือนกับตอนที่เราจะถกกันเนี่ย ทุกอย่างต้องควรอยู่บนฐานของหลักการ เหตุผล ในแต่ละที่ก็จะมีเกร็ดอะไรต่าง ๆ ที่เราได้มา ที่ไม่เหมือนกันครับ
ในสมัยของผู้ว่าฯ เศรษฐพุฒิ แบงก์ชาติได้รับรางวัล ทั้งในแง่บุคคลและองค์กร ประกอบด้วยรางวัล The People Awards 2025 ที่กรุงเทพฯ และ รางวัลธนาคารกลางแห่งปี 2025 (Central Bank of the Year 2025) ที่ไปรับรางวัลที่ลอนดอน อังกฤษ ขอให้ท่านเล่าถึงทั้ง 2 รางวัลนี้ค่ะ
ก่อนอื่นก็ต้องขอบคุณ The People ที่กรุณาให้รางวัลผม ก็เป็นอะไรที่อย่างที่วันนั้นได้กล่าวไปในคลิปวิดิโอที่ส่งไป เป็นความภาคภูมิใจ ผมว่างานที่เราทำ งานธนาคารกลางหลายครั้งเป็นงานที่คนไม่ค่อยเห็น
จริง ๆ เป็นงานที่ถ้าทำถูกต้อง ทำดี คนก็จะไม่เห็น แล้วก็จะไม่รู้สึก เพราะว่าทุกอย่างมันโอเค คนจะเห็นตอนที่มันไม่โอเค เพราะหน้าที่เราดูแลเรื่องเสถียรภาพอะไรต่าง ๆ ถ้าเราทำหน้าที่ถูกต้อง ผลงานของเราคือสิ่งที่คุณไม่เห็น
ถ้าเราทำหน้าที่ดี คุณจะไม่เห็นวิกฤต คุณไม่เห็นวิกฤตสถาบันการเงิน คุณไม่เห็นคนแห่ถอนเงินจากธนาคาร เราดูแลเรื่องเสถียรภาพการเงิน เสถียรภาพด้านราคาอะไรต่าง ๆ
คุณจะไม่เห็นเงินเฟ้อที่วิ่งสูงขึ้นไป แล้ววิ่งไปต่อเนื่อง ไม่เห็นราคาของ ค่าครองชีพที่เพิ่มไปเรื่อยๆ เหมือนที่เราเห็นประเทศที่เจอปัญหานี้ เราไม่เห็นค่าเงินที่เกิดวิกฤตอ่อนค่าเหมือนสไตล์ปี 2540 อะไรเหล่านี้ ดังนั้น หน้าที่เรา ตอนที่เราทำถูก ผลมันจะเป็นสิ่งที่เราไม่เห็น
ต้องเทียบกับสถานการณ์ประเทศอื่นหรือเปล่าคะ
ใช่ แต่คนจะไม่รู้สึกจนกระทั่งเจอเองจึงจะรู้สึก ก็เลยดีใจเพราะผลงานของเราจะเป็นสิ่งที่คนไม่เห็น แต่ในทางกลับกัน ถ้าทุกอย่างไม่ดีหรือมีปัญหา หลายครั้งก็อาจจะมาโทษที่เรา ซึ่งบางทีก็ไม่ใช่แค่เรา ก็ต้องขอบคุณทาง The People
แล้วก็ดีใจ เรื่องรางวัลของ central banking (Central Bank of the Year 2025) ที่ไปรับที่ลอนดอนมา ที่ดีใจคือเป็นรางวัลที่ให้กำลังใจพนักงาน เป็นการ recognition เห็นค่าของงานที่พนักงานได้ทุ่มเททำไป เพราะว่า ตอนมอบรางวัล เขาก็บอกว่า นโยบายที่เราเดิน เดินมาถูกต้องในการที่จะจัดการปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น วิกฤตอะไรต่าง ๆ การที่ใช้เครื่องมือผสมผสานกัน ทั้งเครื่องมือดอกเบี้ย เครื่องมือนโยบายอะไรต่าง ๆ จัดการเหล่านี้
และก็ไม่ได้ละเลยเรื่องระยะยาว การวางโครงสร้างพื้นฐานระยะยาวซึ่งนอกจาก Open Infrastructure มี Open Data, Open Competition ที่เราใส่ไปด้วย
เราทำ 2 เรื่องเหล่านี้ โดยที่เรายังยึดหลักความเป็นมืออาชีพของการเป็นธนาคารกลางด้วย
ในสมัยของท่านผู้ว่าฯ เศรษฐพุฒิ เป็นผู้ว่าแบงก์ชาติใน 3 นายกรัฐมนตรี ประกอบด้วยนายกฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชา, นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน, นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร โดยแบงก์ชาติมีความเข้มงวดมาตลอด
ผมว่าเป็นเรื่องปกตินะ ถ้าถามผมว่าจะมีความเห็นที่ไม่ตรงกัน ก็เพราะหน้าที่ไม่เหมือนกัน เราสวมหมวกคนละใบ เราก็ต้องทำหน้าที่ของเรา
ผมว่า ไม่ได้เกี่ยวกับว่าต้องมีอะไรกับรัฐบาลโน้นรัฐบาลนี้ เราก็ทำหน้าที่ของเรามาโดยตลอด อันนั้นผมว่าเป็นตัวหลัก
แต่ผมว่าเรื่องที่มีคนไม่พอใจ ไม่เห็นด้วยกับแบงก์ชาติ ผมว่ามีอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติที่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่แบงก์ชาติทำ ไม่ว่าจากภาคประชาชน ภาคธุรกิจ จากรัฐบาล จะมีอยู่แล้วคนที่ไม่เห็นด้วย แล้วก็วิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งผมว่าเป็นเรื่องปกติ มีที่มาที่ไปของเรื่อง
ผมว่า กลับมาเรื่องหน้าที่ของเราครับ หน้าที่ของเราในฐานะธนาคารกลาง คือดูแลส่วนรวม ดูแลภาพรวม ดูแลอะไรที่ต้องใส่ใจเรื่องระยะยาวด้วย ไม่ใช่แค่เรื่องระยะสั้น ตอนที่เราทำแบบนี้ ก็หนีไม่พ้น มีบางกลุ่มไม่พอใจ ไม่ว่าภาคไหนก็ตาม ไม่ได้เจาะจงว่าจะเป็นรัฐบาล
เพราะเวลาเราทำอะไรต่าง ๆ ต้องชั่ง ต้องบาลานซ์ทั้งหมด แล้วมันไม่มีที่แบบเป็นสูตรตายตัวที่จะทำให้ทุกคนพอใจ ไม่มี เพราะทุกอย่างเป็นเรื่องการหาสมดุลที่เหมาะสมและถูกต้อง
ผมจะขอยกตัวอย่างเรื่องที่เป็นประเด็นเยอะ เรื่องดอกเบี้ย คือดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือ blunt tool คือไม่ใช่เครื่องมือละเอียด จะมีผลกระทบกว้าง ๆ
ความคิดเห็นที่ว่าผู้ว่าแบงก์ชาติปกป้องผลประโยชน์ธนาคาร เป็นความเข้าใจถูกหรือเข้าใจผิดคะ
ถ้าบอกว่าเราทำนโยบาย เพื่อปกป้องแบงก์ ผมยืนยันเลยส่วนนี้เป็นความเข้าใจผิดครับ เรื่องดอกเบี้ยควรเป็นเท่าไหร่ มันไม่ใช่แค่ผมนะครับ แต่มีองค์คณะ คณะนโยบายการเงิน ซึ่งมี 7 ท่าน โดย 4 ท่านเป็นคนนอก ซึ่งก็เป็นท่านที่มีองค์ความรู้อะไรต่าง ๆ ไม่ใช่แค่ผม
แต่ไม่มีหรอกครับว่า ตอนเราตัดสินใจทำดอกเบี้ยนโยบาย เราทำแบบนี้เพราะเป็นห่วงกำไรแบงก์ มันไม่ใช่ เพราะโจทย์เราตอนที่เราดูดอกเบี้ย เราดูหลัก ๆ 3 เรื่องด้วยกัน
อันแรกหนีไม่พ้น เรามีกรอบเรื่องเงินเฟ้อ เราก็จะดูเงินเฟ้อ อันที่ 2 เราก็จะดูการเติบโตของเศรษฐกิจ ที่อยากจะให้อยู่ในระดับพอเหมาะพอสม อันที่ 3 ก็คือ ดูเรื่องเสถียรภาพของระบบการเงิน เหล่านี้เราจะชั่งดูตอนตัดสินใจเรื่องนโยบาย แต่ไม่ใช่เป็นอะไรที่เป็นสูตรตายตัว
อย่างเช่น เงินเฟ้อต่ำกว่านี้ ดังนั้นตามสูตรต้องลดดอกเบี้ย มันไม่ใช่ ต้องดูที่มา เช่น สมมติตอนนี้เงินเฟ้อต่ำกว่าเป้าไหม ต่ำกว่าเป้า แต่ต้องดูที่มาของมัน ต่ำเพราะอะไร ต่ำจากฝั่งอุปสงค์หรืออุปทาน
ถ้าตามหลักทั่วไปของการดำเนินนโยบายการเงิน ถ้าเงินเฟ้อ มันต่ำโดยมาจากฝั่งอุปทาน ดอกเบี้ยไปกระทบราคาที่มาจากฝั่งอุปทานไม่ค่อยได้หรอกครับ เช่น สมมติลงเพราะราคาน้ำมันลง ดอกเบี้ยไม่เกี่ยวกับราคาน้ำมันโลก
การจะไปใช้เครื่องมืออย่างดอกเบี้ยพยายามจะไปคุมเงินเฟ้อหลัก ๆ ที่มาจากฝั่งอุปทาน คงเป็นอะไรที่ไม่เหมาะสม ตอนที่เราทำ ก็จะดูเรื่องพวกนี้ และดูภาพรวมและภาพระยะยาว แต่ไม่ใช่ว่าในสมการต้องเป็นห่วงกำไรแบงก์
แล้วถ้าดูตั้งแต่แรก ตั้งแต่เริ่มวิกฤตโควิดเข้ามา ถามว่ามีอะไรที่ทำไปแล้วเหมือนเอื้อต่อแบงก์ขนาดนั้น จริง ๆ มาตรการต่าง ๆ ที่ออกมา เป็นเรื่องการพยายามที่จะช่วยลูกหนี้เป็นส่วนใหญ่ ผมยกตัวอย่าง การคิดดอกเบี้ยผิดนัดที่เรามีการปรับ เดิมสูตรเหมือนเอื้อไปทางธนาคาร เราก็เลยปรับวิธีการคำนวณให้เอื้อช่วยลูกหนี้ เรื่องการปรับโครงสร้างหนี้เช่นเดียวกัน เจตนารมณ์เพื่อช่วยลูกหนี้ให้ผ่านพ้นวิกฤตอะไรต่าง ๆ ไปได้ ผมไม่ได้คิดว่ากรรมการท่านใดในการตัดสินใจนี้ เอาเรื่องกำไรแบงก์มาตั้ง
แต่ก็เข้าใจนะครับ สำหรับลูกหนี้ ที่หนี้สูงแบกกันเยอะ โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือน ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาอยากจะเห็นดอกเบี้ยที่ต่ำ อยากเห็นภาระหนี้ที่ลดลง แต่อย่างที่ผมเรียน ตอนที่เราจะตัดสินใจทำอะไรต้องดูภาพรวม องค์รวม และคิดถึงผลข้างเคียง
ผมถามง่าย ๆ ที่เรามาถึงทุกวันนี้ หนี้ที่มีอยู่ซึ่งมีทั้งหนี้ในระบบและหนี้นอกระบบ แต่หนี้ครัวเรือนที่สูงขนาดนี้ โดยคิดสัดส่วนหนี้ต่อ GDP ที่สูงมาก
ถามว่ามาจากอะไร จริง ๆ เห็นโตขึ้นอย่างต่อเนื่องมานานแล้ว แล้วส่วนหนึ่งถ้าย้อนกลับไป ก็มาจากการที่เก็บดอกเบี้ยต่ำไว้ระยะเวลานาน ก็เอื้อต่อคนให้มีการกู้หนี้ยืมสินกันค่อนข้างเยอะ การที่เราเก็บดอกเบี้ยต่ำนานเกินไปก็มีผลข้างเคียง
มันไม่เห็นในระยะสั้นหรอกครับ ตอนคุณทำอย่างนี้ ตอนดอกเบี้ยต่ำ เศรษฐกิจก็โตดี ทุกคนก็ดูแฮปปี้ ดี๊ด๊ากันไป แต่ว่ามีผลข้างเคียงระยะยาว เพราะทำให้หนี้บานไปเรื่อย ๆ แล้วมาเจอปัญหาวันนี้ ก็เลยกลับมา ตอนที่เราคิดเรื่องนโยบาย โดยหน้าที่ของเรา เราก็ต้องคิดถึงภาพรวมและภาพระยะยาว การตัดสินใจต่างๆ เข้าใจว่ามีคนไม่ถูกใจ
มีคนไม่ถูกใจ แต่มีเหตุผลจำเป็นต้องทำแบบนี้
ครับ ซึ่งอันนี้ผมว่าเป็นหน้าที่ของธนาคารกลาง ที่จะทำอะไรที่ถูกต้อง จำเป็น แต่บางทีอาจจะไม่ได้ถูกใจคนนะครับ
ตอนรับรางวัลที่ลอนดอน เขาให้เหตุผลกับท่านผู้ว่าฯ ว่าอย่างไร
อ่านเหตุผลที่เขาเขียนว่าให้รางวัลเราทำไม ก็คือ เราดำเนินนโยบายที่เหมาะสมถูกต้องแล้วก็ยังใส่ใจเรื่องระยะยาว มีรากฐานโครงสร้างพื้นฐานที่ปูรากฐานโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว บวกกับยึดถือความเป็นมืออาชีพของธนาคารกลางที่เหมาะสม
ผมอยากจะขอยกตัวอย่างอันหนึ่ง เราก็ไม่ใช่บ้าจี้ เช่นเรื่องของดอกเบี้ย เพื่อให้เห็นการตัดสินใจที่ไม่ใช่ยึดติดโดยที่ไม่ดูสถานการณ์ หรือคำนึงแค่ฝ่ายใดฝ่ายเดียว
ถ้าย้อนกลับไป มีอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนนี้คนลืมไปแล้ว มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เงินเฟ้อบ้านเรามันวิ่งขึ้นไป ช่วงรัสเซีย-ยูเครน แล้วก็เงินเฟ้อวิ่งขึ้นไปสูง ของเราวิ่งขึ้นไปที่ 7.9% ก็คือเกือบ 8% สูงที่สุดในภูมิภาค
แล้วตอนนั้น สิ่งที่ผมโดน ไม่ใช่ว่าดอกเบี้ยสูงไปนะครับ ตอนนั้นที่ผมโดนต่อว่าสารพัด คือบอกว่าผมขึ้นดอกเบี้ยช้าเกินไป แบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ยช้าเกินไป เพราะว่าปล่อยให้เงินเฟ้อวิ่งขึ้นไปเร็วมาก “ที่อื่นเขาขึ้นกันแล้ว คุณดู FED ขึ้นไม่ใช่ทีละ 25 สตางค์นะครับ ขึ้นทีละ 50 สตางค์เลย ที่อื่นเขาขึ้นอย่างโน้นอย่างนี้ แบงก์ชาติที่นี่ขึ้นช้า you ช้า” ศัพท์ที่เขาฮิตตอนนั้นคือ Behind the Curve คือล่าช้าไป
ซึ่งตอนนั้นต้องบอกว่าเราดูละเอียดแล้ว การตัดสินใจอะไรต่าง ๆ ก็ต้องตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูลที่มี เราไม่ได้เป็นโหรที่จะดูทุกอย่างแม่น แต่ด้วยข้อมูลที่มีอยู่ตอนนั้น เราดูแล้วเงินเฟ้อที่วิ่งไปถึง 8% คิดว่าเป็นเรื่องที่จะไม่อยู่ยาว จะเป็นเรื่องระยะสั้น จะเป็นเรื่องชั่วคราว ซึ่งการพูดอย่างนั้น ตอนนั้นโดนโจมตีเยอะ
เพราะว่าก่อนหน้านั้น FED เขาเองขึ้นดอกเบี้ยช้า แล้วเงินเฟ้อเขาขึ้นเพราะเขาคิดว่าจะเป็นเรื่องชั่วคราว ศัพท์ที่เขาใช้คือ transitory ใครพูดศัพท์นี้ จะโดนโจมตีตลอดเวลา เพราะของอเมริกาไม่เหมือนเรา เงินเฟ้อขึ้นไปสูงแล้วอยู่ยาวสักพักหนึ่ง
แต่ของเรา เราดูแล้วเท่าที่จะดูได้อย่างละเอียดข้อมูลให้ครบ ดูแล้วของเราไม่เห็นสัญญาณว่าเงินเฟ้อจะขึ้นแล้วอยู่ต่อ เราไม่เห็นว่าค่าแรงจะขึ้นตามการคาดการณ์ เงินเฟ้อจะขึ้นตาม ซึ่งถ้าเห็นแบบนั้น จะบอกว่าเงินเฟ้อจะวิ่งไป 8% แล้วอยู่ไปอย่างนั้น หรืออยู่ในระดับสูงไปสักพักหนึ่ง
ก็เลยคิดว่ามันขึ้นไปแล้วเดี๋ยวมันจะลง และด้วยที่ว่าในการฟื้นตัวเศรษฐกิจ เรายังฟื้นตัวช้ากว่าชาวบ้าน จากโควิด เพราะเราพึ่งพานักท่องเที่ยวเยอะ นักท่องเที่ยวไม่ค่อยกลับมา เราเลยเป็นประเทศที่เทียบกับในโลกแทบจะฟื้นช้าที่สุดจากโควิด
ดังนั้น เศรษฐกิจฟื้นช้ากว่าชาวบ้าน เงินเฟ้อแม้สูงกว่าชาวบ้าน ซึ่งก็โดนโจมตีเยอะ แต่เรามองว่าไม่ควรขึ้นดอกเบี้ยเร็ว เราก็เลยขึ้นช้า ๆ ช้ากว่าคนอื่น และขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป
แล้วก็โดนสารพัดฝ่าย บอกว่าช้า แต่ท้ายที่สุด สิ่งที่เราเห็น คือเงินเฟ้อที่เคยอยู่ 8% ก็กลับลงมาเร็ว กลับเข้ามาในกรอบเงินเฟ้อ ภายใน 6-7 เดือน ถือว่าเร็วถ้าเทียบกับประเทศอื่น
การเคาะตรงนั้น การที่เราบอกว่าไม่ควรขึ้นดอกเบี้ยเร็ว ก็กลายเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง แล้วเป็นการโชว์ว่าเราไม่ได้ยึดติดว่าอยากจะเห็นดอกเบี้ยสูง ลองนึกภาพถ้าตอนนั้นเราขึ้นดอกเบี้ยไปอย่างที่คนเรียกร้อง ถ้าขึ้นไปตอนนั้น การจะเอากลับลงมาก็จะยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่
ที่เล่ายาวเพียงจะสะท้อนว่าเราไม่ได้ยึดติด เราว่าไปตาม fact ข้อมูล ที่เห็น ณ ตอนนั้น ที่เราวิเคราะห์ตอนนั้น และไม่ได้คิดว่ามีความจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยเร็ว
ตั้งแต่ท่านผู้ว่าฯ ดำรงตำแหน่ง ปี 2563 มาจนถึงปีนี้ มีเหตุการณ์ไหนที่เล่าได้ชัดว่าตัดสินใจถูก และถ้าไม่ตัดสินใจแบบนั้น จะเกิดความระเนระนาดขนาดไหน
ผมว่าเมื่อกี้ก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างนะครับ ถ้าดันแบบไปเอาตามกระแส ทั้งต่างประเทศและในประเทศ
ไม่เฉพาะภายในประเทศ
โอ๊ย ตอนนั้นก็โดนครับ เขาก็บอกว่า Thailand Behind the Curve เพราะทุกคนอยู่ในช่วงที่แบบ “ใครยิ่งขึ้นเร็วแรง ธนาคารกลางตรงนี้โอ้โหโชว์ความเข้มแข็งทำหน้าที่ได้ดีอะไรต่าง ๆ”
แต่ตอนนั้น เราบอกสถานการณ์เราไม่ได้เหมือนที่อื่น เราไม่ควรแค่ทำไปตามกระแสเพื่อไม่ให้โดนวิพากษ์วิจารณ์ ก็เลยเป็นส่วนหนึ่ง เพราะถ้าขึ้นไปตอนนั้น การฟื้นตัวเศรษฐกิจจะยิ่งช้าไปใหญ่
คนที่ถูกกระทบจากดอกเบี้ยสูงก็จะยิ่งมากเข้าไปใหญ่ แล้วตอนนั้น ก็มีกระแสจะให้ขึ้น ไม่ใช่ทีละ 25 สตางค์แต่เป็นทีละ 50 สตางค์ ถ้ายิ่งขึ้นไปเยอะ ขาลงจะยิ่งใช้เวลาในการกลับเข้ามา
อันนั้นอาจจะเป็นช็อตแรก ช็อตที่สอง มีอยู่ช่วงหนึ่ง ดอกเบี้ยเราต้องบอกว่า ตอนขึ้นก็ค่อย ๆ ขึ้น อยู่ 2.50 ตอนนั้น แล้วหลังจากนั้นเราเห็นแล้วเศรษฐกิจฟื้นช้ากว่าที่คาด ก็ค่อย ๆ เอาลงมาตอนนี้อยู่ที่ 1.75 ซึ่งก็ถือว่าต่ำสุดในโลกแล้ว มีแค่ 3 ประเทศหลัก ๆ ที่ต่ำกว่าเรา จีน ญี่ปุ่น สวิตเซอร์แลนด์
ก่อนหน้านี้ก็มีกระแสอีก บอกให้ต้องรีบเอาลงเร็ว เอาลงเร็วกว่านี้ ลงอย่างนี้มันช้า ไม่ได้
ท่านลองนึก กระแสที่บอกให้รีบเอาลง หรือรีบกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งฝั่งการเงินนะครับภาคเรา กับฝั่งการคลัง (รัฐบาล) “รีบกระตุ้น รีบกระตุ้น เศรษฐกิจมันฟื้นช้า” ทั้งหมดที่พูด พูดก่อนเกิดเรื่อง tariff ภาษีนำเข้าของทรัมป์
ลองนึกภาพดูสิครับว่าสมมติตอนนั้น เราก็ตามกระแส เพราะไม่อยากถูกวิพากษ์วิจารณ์ ทำไปตามกระแส ให้ลดดอกเบี้ยเยอะ ๆ ใช้เงินสนับสนุนการใช้จ่ายการคลังไปหมด พูดง่าย ๆ เรายิงลูกกระสุนเราไปหมดแล้ว ถึงวันนี้ แล้วเจอช็อกจากเรื่องการค้าของสหรัฐจากเรื่องภาษีนำเข้าของทางสหรัฐ แล้วตอนนี้เราจะเป็นอย่างไร และนี่เป็นเหตุผลที่ทำไมเราต้องรักษาลูกกระสุน พูดง่าย ๆ ว่าต้องเก็บลูกกระสุนไว้ ต้องเผื่อไว้ เพราะความไม่แน่นอนมีสูงมาก เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ผมก็คิดว่าความไม่แน่นอนไม่ในโลก ไม่จบด้วยภาษีนำเข้าของทางสหรัฐ เดี๋ยวจะมีช็อกอื่นเข้ามา
ถ้าเราเอาทุกอย่างลงไปหมด ฝั่งนโยบายการเงินเอาดอกเบี้ยลงไปหมด การคลังยิงลูกกระสุนจนหมด ใช้พื้นที่ในงบประมาณจนหมด แล้วเจอช็อกมาอีก แล้วไม่มีอะไรเหลือ แล้วตอนนั้นจะเป็นอย่างไร
การคลัง รวมถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ตด้วยไหมคะ
ครับ เพราะตอนแรกดิจิทัลวอลเล็ต จะใช้งบประมาณอย่างที่ทราบกันดี ในวงที่ใหญ่มาก ถ้าใช้ไปหมดตั้งแต่ตอนนั้น พื้นที่การคลังที่เรามีสำหรับใช้จ่ายอย่างอื่น หรือเพื่อรองรับสิ่งที่เราเจออยู่ตอนนี้ มันก็จะไม่มี
สะท้อนการดำเนินนโยบายต้องเผื่อไว้ ต้องระมัดระวัง และเป็นความสำคัญ ที่เราบอกว่า การรักษาเสถียรภาพ เป็นอะไรที่อย่างที่บอก มันไม่ค่อยถูกใจคน แต่ต้องมีไว้
คือทรัพยากรมีจำกัด ลูกกระสุนในแง่นโยบายมีจำกัด ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยในฝั่งนโยบายการเงิน หรือพื้นที่งบประมาณในฝั่งการคลัง ถ้าเราใช้ไปหมด แล้วเจออย่างตอนนี้ที่เราเจอช็อก ความสามารถของเราที่จะรองรับสถานการณ์ ก็ลดลง
เวลารัฐบาลจะทำนโยบายที่ต้องใช้เงินเยอะมักจะมีคนพูดว่า “ทำได้ เพราะจริง ๆ แล้ว ประเทศเราไม่ได้จน เรามีทุนสำรองระหว่างประเทศเยอะ” เรื่องนี้วิธีการมอง วิธีการทำความเข้าใจที่ถูกต้อง ท่านผู้ว่าฯ อธิบายอย่างไรคะ
ผมคิดว่าต้องแยกกัน เรื่องทุนสำรองระหว่างประเทศ มีไว้เพื่อรองรับธุรกรรมระหว่างประเทศ เพื่อรองรับแบ็คธนบัตรที่เรามี เป็นเรื่องฝั่งนโยบายการเงิน ส่วนฝั่งการคลังจะอาศัยเรื่องงบประมาณ การกู้ยืม
การที่เราผสม 2 เรื่องนี้ผมว่านำไปสู่ปัญหาทั้งเสถียรภาพ ความน่าเชื่อถือ จึงมีเหตุผล ทำไมบทบาทธนาคารกลางกับทางฝั่งรัฐบาล ทำไมควรจะแยกกัน
ขอย้ำที่บอกควรจะแยกกันไม่ได้หมายความว่าจะไม่คุยกัน แต่แค่ว่าไม่ควรให้นโยบายการเงินถูกครอบงำโดยนโยบายการคลัง
เพราะสูตรนี้เราเห็นแล้วตอนที่ประเทศอื่นทำแบบนี้เกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่บ้านเรานะครับ
ผมยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ประเทศอื่นที่ประสบปัญหา จะเห็นค่าเงินร่วงเลยนะครับ แล้วก็เห็นเงินเฟ้อวิ่ง แล้วก็เครดิตเรตติ้ง ความน่าเชื่อถือดร็อปไปหมด ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายเหตุผลด้วยกัน
แต่ถ้ามาจากฝั่งการคลัง หลายทีที่เราเห็นประเทศที่ฝั่งการคลังเขาใช้จ่ายเกินตัว เก็บภาษีไม่ค่อยได้ รายรับฝั่งการคลังไม่ค่อยพอ ปกติถ้าประเทศไหนใช้จ่ายมากกว่ารายได้ที่มี ปกติวิธีที่เขาจะ finance ชดเชย ก็คือกู้ คือออกพันธบัตรรัฐบาล
กู้ภายในประเทศก็ได้ ต่างประเทศก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะกู้ภายในประเทศ และในกรณีที่ความน่าเชื่อถือมันหาย คนก็ไม่อยากที่จะซื้อพันธบัตร ก็คือรัฐบาลอยากกู้แต่กู้ไม่ได้ ขณะรายจ่ายยังสูงกว่ารายได้ ทำอย่างไร ตอนที่มีพันธบัตรขายไม่ได้กับประชาชนหรือตลาด ก็ไปขายให้ธนาคารกลาง
นี่คือสูตรที่เราเห็น ที่บอกว่าผสม 2 เรื่องนี้การเงินกับการคลัง แล้วปัญหาจะตามมา เพราะอะไร เพราะถ้าสมมติผมเป็นรัฐบาลเอาพันธบัตรไปขายให้ธนาคารกลาง สิ่งที่ผมได้กลับมาก็คือเงิน จากนั้นรัฐบาลเอาเงินออกไปใช้จ่ายอะไรต่าง ๆ พูดง่าย ๆ เป็นการเพิ่มเงินในระบบ เหมือนเป็นการพิมพ์เงินเลย เพื่อมา finance การใช้จ่ายของภาครัฐ ซึ่งสูตรนี้ นำไปสู่ปัญหาสารพัดที่เราจะเห็นประเทศที่ เงินเฟ้อวิ่งไป 100% มาจากตรงนี้ เพราะนโยบายการเงินมีไว้เพื่อสำหรับการใช้จ่ายภาครัฐอย่างเดียว
อันนี้เป็นเพียงตัวอย่างอันหนึ่ง ถ้าการแบ่งหน้าที่เริ่มเบลอ ไม่ชัด จะนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ ได้
ตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นตำแหน่งที่ต้องสมัครมา เพื่อรับการสรรหาและได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง ตอนท่านผู้ว่าฯ ตั้งใจมาสมัคร มีเป้าหมายอย่างไร แล้วได้บรรลุเป้าหมายทั้งหมด หรือไม่คะ
จะบอกว่าบรรลุทั้งหมดแล้ว ก็คงไม่ใช่ คนเราก็ต้องมีความคาดหวังค่อนข้างเยอะ แต่ตอนนั้นหลัก ๆ คิดว่าด้วยประสบการณ์ที่สะสมมา ทั้งต่างประเทศ ในประเทศ ภาคเอกชน ภาครัฐที่เคยทำมา ก็น่าจะเป็นประโยชน์กับการทำงานตรงนี้ โอเค ก็มาทำงาน
แต่ก็ต้องยอมรับว่า เจออะไรที่มากกว่าที่คิด คือตอนแรกเราเห็นอยู่แล้วมีโควิด-19 แต่หลังจากนั้นก็มีเรื่องมาอีกสารพัด ไม่เฉพาะเรื่องโควิด มีเรื่องยูเครน เรื่องเงินเฟ้อที่เราเห็น เรื่องปัญหาอะไรต่าง ๆ
ล่าสุดเรื่อง tariff กับทางสหรัฐ สถานการณ์มีเรื่องช็อกมากกว่าที่คิดพอสมควร ถามว่าการบรรลุเป้าต่าง ๆ ผมคิดว่าเรื่องการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เจอ เราก็ทำกันไป ทั้งการออกมาตรการอะไรต่าง ๆ แต่ก็เข้าใจว่าบางเรื่องที่อาจจะยังทำไม่เสร็จสมบูรณ์ ก็ยังมีอยู่
ปัญหาบางอย่าง เราก็รู้ว่าเป็นปัญหาที่สะสมมานาน แก้ไม่ได้เร็วอย่างปัญหาเรื่องหนี้ครัวเรือน เข้าใจว่าต้องใช้เวลา ก็คงต้องแก้กันไปอีกสักช่วงหนึ่ง
กับอีกเรื่องที่เราพยายามทำคือการวางรากฐานไว้สำหรับอนาคต คือ โครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวกับภาคการเงิน ซึ่งเป็นงานระยะยาว
ปัญหาเป็นที่ทราบกันดี งานระยะยาวมักจะถูกงานระยะสั้นที่ด่วน บีบงานระยะยาวออกไปตลอดเวลา อันนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่จริง ๆ แล้วอยากเห็นมากกว่านี้ ก็ได้ทำแล้ว แต่ว่าความเสร็จสมบูรณ์อาจจะยังไม่ดีเท่าที่เดิมเคยคิดไว้
ส่วนเรื่องความเป็นอิสระของแบงก์ชาติ เป็นพื้นฐานอันสำคัญอยู่แล้ว แต่จะเกี่ยวกับทางด้านการดำเนินนโยบาย โดยเฉพาะนโยบายการเงิน เรื่องอัตราดอกเบี้ย เรื่องค่าเงิน เรื่องการกำกับดูแลสถาบันการเงิน และก็มีงานวางโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน
โดยทั่ว ๆ ไปเวลาได้ยินคำว่าโครงสร้างพื้นฐานจะนึกถึงสมัย ‘จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์’ สร้างถนน แต่โครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน ถ้าจะอธิบายให้สาธารณะเข้าใจง่าย ๆ คืออย่างไร
เทียบเคียงกับถนนซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่คนเข้าใจทั่วไปก็ได้ แต่ของที่วิ่งจะไม่ใช่รถหรือคนเดินทาง แต่เป็นเรื่องการเงินที่วิ่ง เราเรียกว่าภูมิทัศน์ของการเงินที่เราวางไว้ Financial Landscape วางไว้ว่าเราอยากเห็นอะไร
ก่อนที่ผมมาตรงนี้ เพื่อน ๆ ที่ผมรู้จักในวงการ เขาบอกว่าขอความชัดเจนกว่านี้ว่าแบงก์ชาติอยากเห็นอะไร เพราะเขาจะได้เตรียมตัวถูกและลงทุนให้ถูกจะไปอย่างไร ซึ่งตอนนั้นเราก็วางไว้เราอยากเห็นภูมิทัศน์ทางการเงิน 3 Open ครับ Open Infrastructure, Open Data และ Open Competition
ขอเล่าตัวอย่างให้เห็นภาพ เราเรียกสั้น ๆ 3 Open เราอยากจะเห็น Open Infrastructure คือโครงสร้างพื้นฐานที่เปิด อย่างถนนก็เป็นตัวอย่างที่ดี ถนนที่ดีก็ต้องให้คนเชื่อมได้สะดวก คือไม่ใช่ถนนที่ปิดไม่ให้ใครเข้าไป ตอนนี้เรามีโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของเราที่เป็นระบบ payment ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ แต่เราต้องการให้ไม่เฉพาะผู้เล่นบางราย หรือบางประเภทที่สามารถเข้ามาเชื่อมต่อได้อย่างสะดวก ให้มีการเข้าถึงได้อย่างทั่วถึง จึงไม่เฉพาะกลุ่มธนาคาร จะต้องเป็นกลุ่ม Non-Bank ด้วย (สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์) ที่สามารถเข้ามาเชื่อมต่อ
Infrastructure ต่างๆ ที่เราวางเหล่านี้ต้อง Open หรือกระทั่งในอีกมิติหนึ่ง ไม่ใช่เชื่อมเฉพาะในประเทศ แต่ต้องเชื่อมกับต่างประเทศได้ด้วย คือ ผมว่าทุกคนรู้สึกถึงความสะดวกการใช้ระบบพร้อมเพย์ (PromptPay) ที่เรามีอยู่ จากเดิมไม่มี ตอนนี้เราไปไหนก็สแกน QR Code แต่เราก็อยากให้ Infrastructure นี้ ใช้ได้ไม่ใช่เฉพาะคนไทย แต่ต่างชาติที่มา ก็สามารถใช้ได้ด้วย เป็นการเชื่อมระบบ payment ข้ามประเทศ เราทำทั้งผ่านระบบ QR Code เช่น ต่างชาติจะมาสแกนระบบ QR Code ของเรา ทำได้นะครับ
แล้วอีกอย่างที่เราทำ ซึ่งถือว่าเป็นนวัตกรรมไม่ได้ล้าหลังใครเลยในเรื่องนี้ คือ เราเชื่อมระบบพร้อมเพย์ของเรา ระบบ fast payment การใช้จ่ายเร็ว เชื่อมกับสิงคโปร์ เป็นการเชื่อมกันเป็นคู่แรกของโลก ของประเทศไทยพร้อมเพย์ (PromptPay) และของประเทศสิงคโปร์ระบบเพย์นาว (PayNow) ทำให้การใช้จ่ายวิ่งผ่านระบบนี้ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว คนอยากโอนเงินสามารถโอนเงินระหว่างกันได้เพียงแต่ทราบเบอร์โทรศัพท์มือถือของคนที่สิงคโปร์ก็โอนเงินได้ เรื่องนี้ก็เป็นวิธีทำให้ Infrastructure ถนนมัน flow ขึ้น ถนนสิงคโปร์กับถนนไทย เชื่อมต่อกันได้ ตอนนี้เชื่อมได้ แต่มีประเด็นเกี่ยวกับค่าธรรมเนียม ทำให้การเข้าถึงอาจจะไม่สะดวกเท่าที่ควร ถ้าเทียบกับถนนก็คือ ค่าทางด่วนยังสูง
ถ้าสะดวกยิ่งกว่านี้เดี๋ยวจะกลายเป็นง่ายต่อแกงค์คอลเซ็นเตอร์มิจฉาชีพหรือเปล่าคะ ความสะดวกกับการป้องกันภัยจะไปด้วยกันอย่างไร
เป็นคนถามที่ดีมาก อันหนึ่งที่เราเห็นคือเรื่องการทำให้ธุรกรรมต่าง ๆ สะดวก การใช้จ่ายการโอนเงิน สิ่งที่เห็นชัดคือก็มาพร้อมกับความเสี่ยง
ตอนแรกต้องเรียนว่า เน้นความสะดวก อยากให้คนเข้ามาใช้ ซึ่งตรงนี้ เราก็ถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควร เพราะประเทศไทยสัดส่วนคนที่ใช้ mobile banking จำนวนธุรกรรมบนระบบพร้อมเพย์ ถ้าคิดเป็นสัดส่วนต่อประชากร ถือว่าเป็นอันดับค่อนข้างสูงของโลก ตรงนี้ถือว่าทำได้ดี
แต่การที่คนเข้ามาเยอะและเข้ามาสะดวกก็มาพร้อมกับความเสี่ยง เพราะคนอาจจะไม่ได้พร้อมเท่าที่ควร อาจจะไม่ได้มีภูมิคุ้มกันเท่าที่ควร แบบที่จะปกป้องตัวเองจากภัยการเงิน
อันนี้เป็นความท้าทายอันหนึ่งที่ตอนนี้เราเจอ และไม่ใช่แค่เรา แต่เป็นทั่วโลก เจอว่า การที่เราไปทางด้านดิจิทัลมากขึ้น ใช่มันมีความสะดวก แต่มันก็มาพร้อมความเสี่ยง ซึ่งอันนี้ก็ต้องจัดการกันหลายวิธี ส่วนหนึ่งก็ใช่ มีเรื่องการดูแลระบบ แบบที่เราจะ detect ได้เร็ว วิธีป้องกันอะไรต่าง ๆ ไล่ไปเลยสารพัดตั้งแต่แรก แต่ว่าต้องยอมรับว่า สิ่งนี้จะไม่จบ จะมีการพัฒนาไปเรื่อย ๆ
เช่น ตอนแรก วิธีที่เขามาก็คือ ส่ง link หลอกกด link อันนี้เราก็แก้ไปโดยการบอกว่า ห้ามธนาคารส่ง link ถ้าประชาชนได้ link แสดงว่าเก๊แล้ว ไม่ใช่ของจริงแล้ว ห้ามกด อย่ากด link ก็เวิร์คไปช่วงหนึ่ง การหลอกลวงผ่าน link ก็หายไป แต่ต่อมาก็พัฒนาไปอีกเป็นเรื่องแอปพลิเคชัน
หรือว่าหลอกลวงเป็นสตอรี่แล้วให้เหยื่อโอน
ซึ่งตอนแรกไม่ว่าจะเป็น link และ แอปพลิเคชันดูดเงิน เป็นการหลอกลวงที่เราเรียกว่า ไม่ได้รับอนุญาต unauthorized แต่ตอนนี้ก็เปลี่ยน มีพัฒนาการเหมือนกัน แล้วเพื่อแก้ปัญหาที่ไม่ authorized เราก็ใส่ face scan เพื่อให้พิสูจน์ว่าคุณเป็นคนนี้ แต่ทีหลังกลายเป็นแบบ เหยื่อตั้งใจโอนเพราะถูกหลอก เป็น authorized transaction
ปัญหาที่ผ่านมาแบงก์ชาติมีมาตรการตลอด
ต้องบอกว่าไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่มิจฉาชีพหาวิธีไปเร็วมาก แล้วเราก็ต้องปรับตัวตลอดเวลา ต้องสร้างรั้วให้สูงขึ้น ต้องเรียนว่าไม่ได้นิ่งนอนใจ รวมทั้งการจัดการกับบัญชีม้า ก็ทำมาโดยตลอด แต่ก็อย่างที่เรียน มิจฉาชีพก็พัฒนาค่อนข้างเร็ว
กลับมาสิ่งที่หนีไม่พ้น ผมว่าภูมิคุ้มกันสำคัญ คือ ตัวเราเอง คือการที่เราต้องมีความระมัดระวัง มีความระแวงและมีสติ ก่อนที่จะโอนตังค์
แบงก์ชาติให้ความสำคัญกับปัญหาเหล่านี้ แม้ว่าอำนาจจัดการดำเนินคดีจะเป็นตำรวจ หน่วยงานอื่น แบงก์ชาติมีอำนาจอย่างจำกัด แต่ได้ทำเต็มที่แล้วใช่ไหมคะ
ทำเต็มที่ แต่ก็ต้องทำต่อเนื่อง ของพวกนี้ ไม่มีวันที่จะจบ เราก็ต้องปรับตัว พัฒนาไปเรื่อย ๆ
ภาพจำหนึ่งเวลาได้ยินชื่อท่านผู้ว่าฯ เศรษฐพุฒิ คือตอนนั่งอยู่กับนายกฯ เศรษฐา ที่ท่านผู้ว่าฯ นั่งเนี้ยบมาก ตอนนั้นดูระอุมาคุขนาดที่คนอื่นเข้าใจไหมคะ ระหว่างแบงก์ชาติกับรัฐบาล
ผมว่าบางทีสื่อก็ดราม่าเกินไปหรือเปล่า มันก็ไม่ใช่ขนาดนั้น ก็อย่างที่บอก สำหรับผม เรื่องพวกนี้ การที่เราสวมหมวกคนละใบ หน้าที่คนละแบบ ก็เป็นเรื่องปกติที่ความเห็นไม่ได้ตรงกันนะครับ แค่นั้นเอง
อีกที่หนึ่งที่ต้องบอกว่ามีนัยยะต่อการให้มุมมองกับผมคือช่วงปี 2540 ตอนนั้นตอนแรกทำงานที่ธนาคารโลก กรุงวอชิงตัน แล้วตอนเกิดวิกฤตปี 2540 ทางกระทรวงการคลังก็ติดต่อผมกับผู้ว่าฯ วิรไท สันติประภพ ตอนนั้นท่านผู้ว่าฯ วิรไท ก็อยู่กรุงวอชิงตันเหมือนกัน แต่ผู้ว่าฯ วิรไททำงานที่ IMF
กระทรวงการคลังให้กลับมาช่วยงานที่กระทรวง ช่วงนั้นกลับมา ทำให้เห็นว่าการทำนโยบาย ขลุกกับวิกฤตเป็นอย่างไร เป็นประสบการณ์ที่ผมว่าใครที่ผ่านตรงนั้นจะไม่ลืม ซึ่งผมว่าส่วนหนึ่งที่บ้านเรา บางทีเจอช็อก เจอวิกฤตอะไรต่าง ๆ แล้วเรายังผ่านพ้นมาได้ เพราะเรายังมีบทเรียน ยังมีความทรงจำ จากเรื่องวิกฤตตอนปี 2540
ผมยกตัวอย่างตอนเราเจอวิกฤตการเงินโลกปี 2008 เราเทียบกับที่อื่น จริง ๆ ผ่านไปได้ค่อนข้างโอเค ไม่ได้เจอหนักเท่าคนอื่น ส่วนหนึ่งผมว่าเป็นความระมัดระวังของภาคธุรกิจขนาดใหญ่ ของภาคธนาคาร แล้วก็ของภาครัฐที่มีการกำกับดูแลอะไรต่าง ๆ เหมือนเพิ่งผ่านบทเรียนมาแล้วจากปี 2540 ตรงนี้ก็เลยเหมือนเป็นบทเรียนที่ทำให้เรามีความระมัดระวังเป็นห่วงเป็นใยอะไรต่าง ๆ ซึ่งอันนั้นผมก็คิดว่าเป็นอีกประสบการณ์ที่ช่วยผมกับคนอื่น ๆ ที่ผ่านตรงนั้นมา
แต่ตอนนี้ผมก็เป็นห่วงอีกอย่างว่ากลุ่มคนรุ่นนั้น ก็คือรุ่นผม ที่ผ่านวิกฤตปี 2540 กำลังจะเกษียณกันหมดแล้ว ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งบทเรียน ความทรงจำพวกนี้จะค่อย ๆ fade ไป แล้วคงเป็นวัฏปกติก็จะมี cycle มีอายุ ผมว่าใครที่ผ่านตรงนั้น ก็จะมีบทเรียนที่ได้อะไรมาเยอะพอสมควร
ช่วงวิกฤต 2540 ที่ท่านผู้ว่าฯ เล่าให้ฟัง ตอนนั้นกลับมาเป็นข้าราชการกระทรวงการคลัง หรือว่าตอนนั้นอยู่ในตำแหน่งอะไรคะ
กลับมาเป็นที่ปรึกษา เขาจ้างเป็น contract อยู่ประมาณ 2 ปีเศษที่กระทรวงการคลัง แต่ทำงานใกล้ชิดกับข้าราชการ เขาตั้งเป็นหน่วยงานพิเศษ ตอนนี้เรียกว่าสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.)
ไม่ใช่ข้าราชการประจำ
ไม่ได้เป็นข้าราชการ ไม่ได้มีซี แต่ตอนนั้นก็ทำงานใกล้ชิดกับ สศค. สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ตอนนั้นก็มีโอกาสทำงานเกี่ยวกับนโยบายที่ออกช่วงนั้นหลายนโยบาย
ตอนนั้นใครเป็น ผอ.สศค. สำนักงานเศรษฐกิจการคลังคะ
ตอนแรกเป็นคุณสมหมาย ภาษี แล้วต่อมาก็เป็นคุณศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ซึ่งต่อมาคุณศุภรัตน์ไปเป็นปลัด กระทรวงการคลัง
ท่านผู้ว่าฯ เป็นคนเจนเนอเรชั่น X
ใช่ เป็น Gen X รุ่นแรกเลย มาจากหางของเบบี้บูมมาสักปีเดียว
จะรับใช้ชาติต่อเพื่อจะดำเนินนโยบายในทิศทางที่ถูกต้องโดยดำรงตำแหน่งสำคัญในตำแหน่งใดอีกไหมคะ
ไม่แล้วครับ พอแล้วครับ ทำมา 2 รอบแล้ว นับแต่วิกฤตปี 2540 ตอนนั้นไปช่วยที่กระทรวงการคลังมาแล้วรอบหนึ่ง
ตอนนี้มาเป็นผู้ว่าฯ ก็อีกรอบหนึ่ง เป็น 2 รอบแล้ว พอแล้ว เหนื่อยแล้ว
ผมคิดว่าเป็นงานที่ทำเทอมเดียวก็พอแล้วครับ 5 ปีนี้ ถือว่าค่อนข้างนาน ผมคิดว่าก็มีเหตุผล ทำไมที่ผ่านมาเราไม่ค่อยเห็นผู้ว่าฯ อยู่มากกว่า 1 เทอม
เมื่อกี้ฟังท่านผู้ว่ายังห่วงใยอนาคตว่า คนรุ่นต่อไปเกิดไม่ทันปี 2540 มีข้อแนะนำไหมคะ
ก็ไม่เป็นไร มีท่านอื่นเขาพร้อมช่วยก็ให้เขาช่วย ยังมีคนอื่นอีก เราก็ต้องปล่อย ผมเจน X ตกรุ่นไปแล้ว ต้องให้รุ่นใหม่ ๆ เข้ามา ผมพอแล้ว
แบบอย่างที่น่าประทับใจ
มีเรื่องหนึ่งที่เป็นประวัติศาสตร์ของโรมัน สำหรับผมเป็นแบบอย่างที่น่าประทับใจ ขอย้ำไม่ใช่ว่าผมจะไปเทียบอะไรกับเขานะ ไม่ได้หลงตัวขนาดนั้นเลย
เขาชื่อ Cincinnatus ในประวัติศาสตร์เป็น senator เก่าของโรม แล้วเกษียณไปแล้ว แล้วก็ไปไถนาอยู่นอกเมืองโรม
แล้วตอนนั้นโรม กำลังจะถูกข้าศึกมาตี เขาก็เลยขอให้ Cincinnatus มาช่วย แล้วก็ตอนนั้น โรมมีระบบเมื่อเชิญมาแล้วก็ให้อำนาจเป็น dictator เป็นที่มาของคำ คืออยู่ครอบอำนาจได้หมดทุกอย่าง คุมทหารเพื่อจัดการปกป้องโรม มีอำนาจเบ็ดเสร็จเลย
ที่จริงโรมันเป็นครั้งแรกที่ใช้คำว่า dictator คือคนที่รวบอำนาจ เป็นตำแหน่งที่เขามอบให้ทำ แล้วเขาก็รบ ก็คือป้องกันโรม เมื่อข้าศึกแพ้ไปถอยไปแล้ว แล้ว Cincinnatus ก็กลับไปไถนาต่อ
อ้าว ทำไมเป็นอย่างนั้นคะ
ก็นี่ไง สุดยอด สำหรับผมนะ ที่น่าประทับใจในเรื่องนี้คืออะไร มันไม่ใช่ว่าเขากลับเข้ามาช่วยเมืองเขาอย่างเดียว แต่ว่าทำหน้าที่เสร็จแล้ว เขาปล่อย เขากลับไปไถนาต่อ
ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีทางเลือก แต่เขาเลือกได้
ใช่ ถูกต้อง เพราะอำนาจอยู่กับเขาหมดแล้วไง นี่เป็นตัวอย่างของการมาทำหน้าที่ มาทำหน้าที่จบแล้วก็ออกไป เหมือนสำหรับผมก็ใส่หัวโขนมา 5 ปีแล้ว จบก็ถอดหัวโขน แล้วก็ไป อย่าไปยึดติด
ในมุมท่านผู้ว่าฯ มองว่ามีอะไรที่ไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน
มันก็หลายอย่างนะ
ทั่ว ๆ ไป คนจะรู้สึกว่า ถ้ามีเงินก็จัดการได้ จึงอยากถามคนที่อยู่กับการเงินมาตลอด
แต่ถ้าถามอย่างนี้มีสารพัดอย่างที่ซื้อไม่ได้ด้วยการเงิน มี integrity ปัญญา ก็ซื้อด้วยเงินไม่ได้ ไม่ได้บอกว่าคนมีเงินมันไม่มีปัญญานะ แต่มันเป็นอะไรที่ซื้อไม่ได้ แต่มีหลายอย่างไม่เฉพาะแค่นั้น เช่น เซ็นส์ของความถูกต้อง หลายอย่างไม่ได้มาจากเงิน
ผมว่าความพอเนี่ยสำคัญ ผมว่าปัญหาหลายอย่างไม่เฉพาะในบ้านเรา แต่เป็นปัญหาในโลกเกิดขึ้นจากคนที่ไม่เข้าใจคำว่าพอ ซึ่งพอไม่ได้หมายความว่าต้องน้อยนะ แต่พอคือการมีลิมิต
กลับมาตัวอย่างที่เล่า ใส่หัวโขน คุณเล่นบทคุณเสร็จแล้ว ก็พอแล้ว อยู่นานเกินไป บทมันหมดแล้ว แล้วยังไม่ลงจากเวที มันก็เป็นอะไรที่ไม่เหมาะ นี่คือเรื่องงาน
แล้วเรื่องเงินก็เหมือนกัน ถ้าคนรู้สึกว่าพอ ซึ่งแต่ละคนไม่ต้องเท่ากัน และผมไม่ได้บอกว่าต้องอยู่แบบยากลำบาก ไม่ใช่อย่างนั้น แต่แค่ว่าพอ ให้มีจุดหนึ่งที่พอ เป็นการเตือนตัวเอง คนเราเกิดมา อยู่อย่างเก่ง 90 ปีก็ตาย
แต่คนเจนเนอเรชั่นก่อนท่านผู้ว่าฯ เขาอยู่ในการเมืองกันถึงอายุ 80-90 ปีกันเลยทีเดียว ท่านผู้ว่าฯ 60 ปีเองค่ะ
เมื่อกี้ถามเรื่องเงินใช่ไหม สำหรับผมเรื่องการสะสม คือไม่รู้ผมจะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ ผมไม่มีลูก การไม่มีลูก ก็ไม่ต้องคิดว่าต้องมีอะไรไว้เพื่อลูก
บางคนไม่มีลูกแต่เขามีลูกพรรค (พรรคการเมือง) นะคะ อันนี้พูดถึงคนอื่นค่ะ
กลับมาที่ความพอ มีความสำคัญไม่ว่าจะเรื่องงาน หรือเรื่องเงิน ผมก็อยากอยู่สบาย ไม่ใช่อยากอยู่ลำบาก เมื่อกี้อย่างที่คุณพูดบอกว่าผมยังอายุน้อย ซึ่งสำหรับผมไม่น้อยนะอายุ 60 ปี
สมมติไม่ใช่ 60 ปีแล้วต้องเท่าไหร่ เมื่อไหร่ หลายคนเราก็เห็นเคสที่ปล่อยไม่ได้ ซึ่งตัวอย่างที่ผมคุยเมื่อกี้ Cincinnatus ที่เราฟังแล้วรู้สึกน่าประทับใจ ไม่ใช่ว่าขึ้นมาแล้วเขามาชนะ แต่ที่ชนะแล้วเขาปล่อย ที่เจ๋ง คือเจ๋งตรงนั้น มีอำนาจครบหมดแล้ว แล้วเขาก็ปล่อย
คนเราถ้าเราหาจุดพอไม่ได้ โดยปริยายความหมายก็คือไม่มีตรงไหนถือว่าพอ ก็ต้องไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่ใช่ 60 ปี ถ้าอย่างนั้นต้องเท่าไหร่ จุดนี้ผมเข้าใจแต่ละคนไม่เหมือน
ถ้าไม่เป็นปัญหาเรื่องอายุ (ผู้ว่าแบงก์ชาติต้องอายุไม่เกิน 60 ปี) ท่านจะอยู่อีกวาระไหมคะ
ไม่ครับ พอแล้วครับ (หัวเราะ)
สัมภาษณ: ฟ้ารุ่ง ศรีขาว
ถ่ายภาพ: ดำรงค์ฤทธิ์ สถิตดำรงธรรม