‘ศุภโชค ปัญจทรัพย์’ แห่ง A5 เมื่อความรักคือหัวใจของการสร้างบ้าน

‘ศุภโชค ปัญจทรัพย์’ แห่ง A5 เมื่อความรักคือหัวใจของการสร้างบ้าน

“A5 GREATNESS Inspired by Love” แรงขับเคลื่อน เพื่อส่งต่อบ้านที่ดี มีคุณภาพ เป็นที่เก็บความสุข ความทรงจำให้ผู้คนและส่งต่อได้เป็นมรดกจากรุ่นสู่รุ่น

หากมองที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 การดำรงอยู่ของมนุษย์ ก็คงตอบความต้องการพื้นฐานตามลำดับขั้นความต้องการ Maslow's Hierarchy of needs หรือทฤษฎีมาสโลว์ได้แล้ว แต่ในความเป็นจริงที่อยู่อาศัยหรือ “บ้าน” ยังเป็นได้มากกว่านั้น ทั้งการสร้างความสุข ความทรงจำ ความภาคภูมิใจ เป็นมรดกตกทอดให้กับผู้อยู่อาศัยได้ ที่เติมเต็มความต้องการของมนุษย์ไปอีกขั้น

นั่นจึงทำให้ ‘ศุภโชค ปัญจทรัพย์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป (A5) นักธุรกิจหนุ่มที่เติบโตมาจากครอบครัวผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์มาหลายสิบปีตั้งแต่รุ่นคุณปู่ ตัดสินใจปลุกปั้นและสร้างแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ในร่มเงาของเขาเองภายใต้ชื่อ “A5” ด้วยแนวคิด GREATNESS Inspired by Love ความรักสามารถสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ อันเป็นจุดเริ่มต้นการทำธุรกิจที่ฉีกวงการอสังหาฯ สู่ความแตกต่างอย่างมีคุณค่า

เด็กชายในครอบครัวนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ย้อนไปในวัยเด็กของเขา สถานที่เล่นคือไซต์ก่อสร้างที่คุณปู่ ทำงาน กิจกรรมที่ทำประจำคือการวิ่งเล่น ปั่นจักรยาน สนุกสนานตามวัย แต่เมื่อเติบโตขึ้นได้มีโอกาสติดตามคุณปู่ ‘โชคชัย ปัญจทรัพย์ ’ ไปซื้อที่ดินที่ จ.นครนายก ภาพที่เห็นคือคุณปู่ในวัย 85 ปี ยังมีความสุขในการลงไปดูหน้างาน คุยกับเจ้าของที่ และเดินสำรวจที่ดินเองทุกจุด

“ช่วงวัยรุ่นผมได้ติดตามคุณปู่ตอนไปดูที่ดิน ตอนนั้นท่านก็อายุ 85 ปีแล้วนะครับ ท่านก็ยังลงไปดูที่ด้วยตัวเอง ไปดูลักษณะดิน ไปคุยกับเจ้าของที่เอง เป็นคนลงดีเทล ใส่ใจ คือไม่ใช่ว่านั่งอยู่บนหอคอยแล้วสั่งอย่างเดียว แต่คือการลงมือทำเอง ดูด้วยตัวเอง แล้วทำงานอย่างมีความสุข” ศุภโชคเล่าถึงคุณปู่ ต้นแบบคนแรกในการเป็นนักธุรกิจของเขา

กระทั่งการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2540 นับเป็นวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่หลายคนมองภาพอสังหาริมทรัพย์เป็นผู้ร้าย จากรถบรรทุกดิน ทรายที่วิ่งวันละหลักร้อยเที่ยว เหลือเพียง 2 เดือนมีรถบรรทุกดิน ทรายวิ่งหนึ่งคัน ไปจนถึงไม่มีเลย ตลาดอสังหาริมทรพย์พังครืน แต่สำหรับธุรกิจของครอบครัวปัญจทรัพย์ ที่สร้างภาระหนี้สินน้อย  จึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก และกลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ประสบการณ์การดำเนินธุรกิจเหล่านี้ค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในตัวเขาทีละน้อย

หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง 1 ปี ในช่วงปี พ.ศ. 2541 จึงตัดสินใจศึกษาต่อด้าน หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการตลาด (BBA Marketing) ที่มหาวิทยาลัยเอแบค และที่นั่นก็มีส่วนหล่อหลอมตัวตนของเขาในหลายด้านทั้งการเริ่มทำธุรกิจ และการพบเจอคนพิเศษในชีวิตที่กลายมาเป็นคู่ชีวิตถึงปัจจุบัน
‘ศุภโชค ปัญจทรัพย์’ แห่ง A5 เมื่อความรักคือหัวใจของการสร้างบ้าน

“ช่วงนั้นผมอยู่มหาวิทยาลัย ได้เริ่มทำธุรกิจของตัวเองโดยการขายของบนอีเบย์ จากการที่เราเริ่มหัดเล่นแซ็กโซโฟน เลยลองไปค้นดูว่าแซ็กโซโฟนแบบไหนที่ราคาแพง ก็ไปรู้ว่ามีรุ่นหนึ่งที่ขายราคาสูงในอเมริกา แต่ขายราคาเพียงหลักหมื่นบาทในบ้านเรา ผมกับคุณกวาง (ภรรยา) เลยขับรถไปต่างจังหวัด รับซื้อแซกโซโฟนมาขายบนอีเบย์ ได้กำไรตัวละประมาณแสนกว่าบาท ตอนนั้นจำได้ว่าค่าเงินพีคสุดที่ 52 บาท ทำให้ตอนอายุ 17 ปี ก็สามารถหาเงิน 1 ล้านบาทแรกได้ด้วยตัวเอง” เขาเล่าย้อนถึงการหาเงินก้อนใหญ่ด้วยตัวเองครั้งแรกในชีวิต 

การได้จับเงินล้านในช่วงวัยรุ่น เป็นแรงผลักดันให้สนใจด้านการบริหารจัดการเงิน จึงเริ่มศึกษาตลาดหุ้น เปิดบัญชีและซื้อหุ้น 3 ตัวแรกเป็นของตัวเอง หลังเปิดพอร์ตเพียง 1 เดือน ก็มีกำไร 50-60% ทำให้ได้ค้นพบสัมผัสความมหัศจรรย์ของตลาดเงิน

เมื่อเรียนจบจึงเริ่มงานการเป็น Stock Broker ที่บริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นอีกช่วงที่คนหนุ่มอย่างเขาทำเงินได้ค่อนข้างมาก เพราะเป็นช่วงจังหวะที่ตลาดหุ้นคึกคัก จุดนี้เองที่ทำให้เริ่มความฝันของการเป็นเจ้าของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เป็นจุดมุ่งหมายสำคัญในชีวิต

จากโบรกเกอร์สู่นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
หลังวิกฤตต้มยำกุ้งผ่านไป ทำให้ในช่วง พ.ศ. 2545-2546 สถานการณ์เศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น คุณแม่จึงชักชวนให้กลับมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กับทางครอบครัว จุดนี้ถือเป็นบันไดขั้นแรกก้าวขยับเข้าสู่ความฝันในการเป็นเจ้าของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

แม้จะเป็นการกลับมาเริ่มทำธุรกิจกับครอบครัว แต่เขาก็ต้องลองทำหน้าที่ในทุกตำแหน่งเพื่อให้เข้าใจโครงสร้างการดำเนินธุรกิจทั้งหมด จากโบรคเกอร์หนุ่มจึงรับหน้าที่แรกกับการเป็น Front Office เพื่อดูแลลูกค้า ก่อนจะขยับมาเป็น Sale Marketing และ Construction Management (CM) ที่ดูแลงานก่อสร้าง มีส่วนร่วมในการทำงาน 8 โครงการในระยะเวลา 9 ปี” ศุภโชคย้อนเล่าถึงเส้นทางการอยู่ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ช่วงแรกๆ

ตลอด 8-9 ปี ที่ถือเป็นช่วงของการเก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์จนมีความมั่นใจมากขึ้น น้าเขย ผู้เปรียบเป็น ‘Mentor’ ในวงการอสังหาฯ และแวดวงสถาบันการเงินที่ถ่ายทอดความรู้ให้กับเขา ได้ซื้อที่ดินทำเลติดรถไฟฟ้าสายสีม่วง ประมาณ 1 ไร่ จึงชักชวนกันเปิดบริษัท และสร้างคอนโดมิเนียมแห่งแรกของพวกเขาขึ้น

ทุกอย่างดูราบรื่นไปได้ดี มีทั้งความรู้ ประสบการณ์ และกุนซือ  แต่วิกฤตที่หนักหนาที่สุดก็มาเยือน แบบไม่ทันตั้งตัว เมื่อน้าเขยเสียชีวิตลงในปีแรกหลังตัดสินใจเปิดบริษัทร่วมกัน ทำให้ศุภโชคต้องตัดสินใจเดินหน้าต่อด้วยตัวเองลำพัง

“ท่านเสียไปในตอนที่เริ่มทำธุรกิจได้ปีเดียว ตอนนั้นผมช็อกมาก รู้สึกว่าเราจะไปบอกพนักงานยังไง เราเองก็ยังใหม่ ธุรกิจก็อยู่ในช่วงตั้งไข่ ตอนเริ่มทำแรกๆ เราไม่มีออฟฟิศเลย ออฟฟิศคือร้านกาแฟ มีผมเป็นพนักงานคนแรก แล้วก็รับสมัครและสัมภาษณ์ที่ร้านกาแฟ นั่งตั้งแต่ร้านเปิดจนร้านปิดเป็นเวลา 2 เดือน มีพนักงาน 4 คนในปีแรก รวมตัวเราแล้ว (หัวเราะ) ในช่วงนั้นความสำเร็จเรียกว่ากลางๆ แต่ก็ถือว่าได้ประสบการณ์และเราก้าวผ่านมันมาได้”

ตลอดหลายปีที่ผ่านไป นอกจากความท้าทายใหม่ที่เข้ามาเรื่อยๆ ยังเป็นการสั่งสมประสบการณ์ด้านอสังหาริมทรัพย์จนแข็งแกร่ง ได้สร้างที่อยู่อาศัยครบทุกประเภททั้ง ทาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด คอนโดมิเนียม ไปพร้อมกับการสำรวจคู่แข่งในตลาด พร้อมกับโจทย์ในการสร้างบ้านที่ดีขึ้น เพื่อสร้างความแตกต่างให้ลูกค้ามองเห็นและสัมผัสถึงคุณค่าที่มอบให้
‘ศุภโชค ปัญจทรัพย์’ แห่ง A5 เมื่อความรักคือหัวใจของการสร้างบ้าน

“Resilience” ล้มแล้วลุก พร้อมเดินหน้าต่อ
เมื่อดำเนินธุรกิจไปได้ระยะหนึ่ง จนถึงเวลาของการทำตามความฝัน นั่นคือการมีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งประเด็นดังกล่าวเป็นสิ่งที่ทำให้เขาได้เรียนรู้โลกธุรกิจอย่างแท้จริง เมื่อมองย้อนไปสิ่งที่รู้สึกว่าตัดสินใจผิดพลาดในขณะนั้น คือการทำ Backdoor Listing หรือ Reverse Takeover คือกระบวนการที่บริษัทจำกัด แปรสภาพให้กลายเป็นบริษัทมหาชน โดยที่ไม่ต้องผ่านกระบวนการระดมทุนแบบปกติอย่างการออกหุ้นใหม่ หรือ IPO  บทเรียนครั้งนั้นทำให้ได้รู้ว่า ต้องศึกษาให้มากขึ้น  อย่าใจร้อนและเชื่อผู้อื่นมากเกินไป         

และยิ่งตกผลึกจากการอ่านหนังสือเล่มโปรดคือ The Principle ของนักลงทุนระดับโลกอย่าง RAY DALIO ที่พูดถึงเรื่อง 5 step process to success เมื่อสเต็ปแรกคือการตั้งเป้าหมาย พอออกเดินทางแล้วเจอปัญหา จึงถอยออกมาดู แล้ววิเคราะห์ว่าจะแก้อย่างไรเพื่อเดินหน้าต่อจนถึงเป้าหมาย จากนั้นตั้งเป้าหมายต่อไป ทำตาม 5 step process ซ้ำอีกครั้ง  หลักการดังกล่าวพาแอสเซท ไฟว์ผ่านทุกบททดสอบมานักต่อนัก ประกอบกับใจที่ไม่ยอมแพ้

“เวลามองย้อนกลับไปในสิ่งที่เกิดขึ้น เราต้องยอมรับก่อนว่าตัดสินใจผิด แต่ผมเลือกที่จะมองเพื่อเรียนรู้มากกว่า สิ่งที่ยึดถือมาตลอดคือการมี Resilience Mindset รู้จักยืดหยุ่น ล้มแล้วลุกได้ และการมี Growth Mindset นอกจากล้มแล้ว ยังเรียนรู้มันได้ ไม่ใช่การล้มเลิก แต่รู้จักถอยออกมาตั้งหลัก ยอมรับ เรียนรู้ ดีไซน์การแก้ปัญหา และไปต่อ” เขาเล่าถึงแนวคิดการทำให้ธุรกิจยืนระยะได้ยาวนาน

“เราต้องมองเป้าหมายใหญ่ของเรา พอเห็นเป้าหมายใหญ่ ปัญหาที่เกิดขึ้นมันแค่เล็กน้อย เราต้องผ่านไปได้ เพียงแต่มันอาจจะเจ็บ มันอาจจะยากตอนที่ต้องยอมรับมัน ถ้ายอมรับมได้ เราจะเดินต่อได้ ล้มแล้วลุกให้ไว ชีวิตการทำธุรกิจมีเท่านี้”

หากการล้มแล้วลุกให้ไว คือหัวใจของการทำธุรกิจ การมีนิสัยที่ดีก็เป็นหลักการใช้ชีวิตส่วนตัวของเขา จากหนังสืออีกเล่มที่ชื่นชอบนั่นคือ Atomic Habit ที่หากจะก้าวสู่ความสำเร็จ ต้องเริ่มต้นจากการมีนิสัยเล็กๆที่ดี เพื่อที่จะหลอกสมอง คนที่จะสำเร็จได้ต้องทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องจนกลายเป็นนิสัยที่ดี จนเดินไปสู่ความเป้าหมาย 

เช่นเดียวกับเขาที่ทุกนาทีมีความหมาย เวลาใน 1 วันจึงถูกจัดสรรทั้งเพื่องาน ครอบครัว สุขภาพ อย่างครบถ้วน ที่ไม่ใช่ Work-Life Balance แต่เป็น Work-Life Flow คือเมื่อมีจังหวะก็ลงมือทำ ทั้งด้านการดูแลครอบครัวภรรยาและลูกชายทั้ง 2 คน การทำงานอย่างเต็มที่ในแต่ละวันการออกกำลังกายด้วยการวิ่ง  ที่เป็นกิจกรรมที่ทำให้ได้กลับมาอยู่กับตัวเอง  รวมถึงการฝึกซ้อมดนตรีอาทิตย์ละ 2 ครั้ง พร้อมๆกับการได้พบปะเพื่อนฝูง ทำให้สามารถสร้างสมดุลทั้งชีวิตการงาน และชีวิตส่วนตัวได้อย่างดี

‘ศุภโชค ปัญจทรัพย์’ แห่ง A5 เมื่อความรักคือหัวใจของการสร้างบ้าน

จาก “Why ?” สู่ “GREATNESS Inspired by Love”
จากธุรกิจที่เริ่มจากพนักงานเพียง 4 คน ที่มีเงินหมุนเวียนเพียงไม่กี่ล้านบาท ค่อยๆ เติบโตอย่างมั่นคง แต่ชัดเจนในแนวทางด้วยการตั้งคำถามว่า “Why we do?” เพื่อค้นหาว่าเหตุผลที่ต้องมี แอสเซท ไฟว์ เกิดขึ้นมา  นำไปสู่การค้นหาแก่นแท้ของแบรนด์ จนกลายกลยุทธ์สำคัญของการสร้างความแตกต่างอย่างมีคุณค่า

จากจุดที่ลูกค้าประทับใจคือเมื่อซื้อบ้านจาก แอสเซท ไฟว์  แล้วมั่นใจได้ว่าจะได้รับผลกำไรบนทำเลศักยภาพที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงการส่งต่อเป็นมรดก (Legacy) จากรุ่นสู่รุ่น และยังเป็นความภาคภูมิใจที่จะได้มาอยู่บ้านในโครงการของแอสเซท ไฟว์ อีกด้วย

จากแนวคิดเหล่านี้ เป็นที่มาให้แอสเซท ไฟว์  รีแบรนด์ครั้งใหญ่ สู่ “A5 GREATNESS Inspired by Love ใช้หัวใจที่ยิ่งใหญ่ สร้างสรรค์ความสุขให้คนที่เรารัก”  โดยมีหัวใจสำคัญทั้ง 5 ประการ
- A Better Me ความภาคภูมิใจในตัวเอง ให้ลูกค้ารู้สึกภูมิใจที่ได้เลือกบ้านที่ใช่ อยู่แล้วสุขกาย สบายใจ ซึ่งเกิดจากการใส่ใจในทุกรายละเอียด
- A Happy Home ความสุขในครอบครัว ทำให้ทุกคนในบ้านมีโมเมนต์ที่ดีร่วมกัน จากการให้ความสำคัญกับดีไซน์และฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต
- A Place Full of Memories ความทรงจำที่ดีในช่วงเวลาต่าง ๆ ความสำเร็จหลายอย่างในชีวิตเริ่มต้นที่บ้าน ให้บ้านเป็นตัวแทนแห่งความทรงจำ ซึ่งเต็มไปด้วยความรัก ความอบอุ่น และความสุขของทุกคน
- A Life Full of Joy ความสนุกของที่ได้ใช้เวลาร่วมกันกับเพื่อนที่ดี แบรนด์อยากให้ลูกบ้านปลอดภัย จึงใส่ใจเรื่องพื้นที่ในโครงการเป็นพิเศษ เพื่อให้ลูกบ้านอยู่ในสังคมที่ดีได้โดยไม่ต้องกังวล
- A Better Planet ความโอบอ้อม แบ่งปันให้ผู้อื่น รวมถึงโลกใบนี้

แนวคิดดังกล่าวไม่เพียงถูกนำไปปรับใช้ในการสื่อสารไปยังลูกค้า แต่ได้กลายมาเป็นคุณค่าที่คนทั้งองค์กรยึดถือ เพราะเชื่อว่า หากคนทำงานด้วยใจรักและมีความสุข ก็จะสามารถส่งต่อสิ่งดีๆ ให้แก่ลูกค้าต่อไปได้
       
“แนวคิด GREATNESS Inspired by Love  เกิดจากการที่เราสร้าง A5 เพราะความรัก เรารักในสิ่งที่เราทำ จนกลายเป็นคุณค่าที่ลูกค้าสัมผัสได้ การทำอะไรด้วยใจก็จะทำได้ดี สิ่งที่คนจะได้รับจะสูงเกินกว่าความคาดหวัง ทุกฟังก์ชั่นของบ้าน เราครีเอทเหมือนนั่งอยู่ในใจลูกค้า คิดจากมุมลูกค้าว่าอยากได้อะไร เป็นเรื่องของความรัก ความใส่ใจ ในบ้านและคอนโดทุกยูนิตที่เราสร้าง” ศุภโชคเล่าถึงการขับเคลื่อน A5 ด้วยใจนับตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้
‘ศุภโชค ปัญจทรัพย์’ แห่ง A5 เมื่อความรักคือหัวใจของการสร้างบ้าน