จักรกฤติ สายสมบูรณ์ : วิถีการทำงานของเพื่อน 4 คน ที่สร้างอาณาจักรอาหารด้วยหัวใจ Give More

จักรกฤติ สายสมบูรณ์ : วิถีการทำงานของเพื่อน 4 คน ที่สร้างอาณาจักรอาหารด้วยหัวใจ Give More

จักรกฤติ สายสมบูรณ์ และเพื่อนอีก 3 คน ร่วมกันก่อตั้งธุรกิจร้านอาหารภายใต้ปรัชญา 'Give More' ที่มุ่งมอบประสบการณ์ให้ลูกค้ามากกว่าที่คาดหวัง โดยได้รับแรงบันดาลใจจากการบริการที่ใส่ใจของญี่ปุ่น

KEY

POINTS

GIVE MORE คือปรัชญาที่ 'ป้อ-จักรกฤติ สายสมบูรณ์' ยึดถือเป็นหัวใจสำคัญในการทำธุรกิจอาหาร เพราะเขาเคยสัมผัสประสบการณ์อันล้ำค่านี้จากประเทศญี่ปุ่นเมื่อราวสิบปีก่อน และค้นพบว่าการได้ทานอาหารนอกบ้านดี ๆ สักมื้อ ไม่ได้มีเพียงรสชาติเท่านั้นที่ทำให้อิ่มเอมใจ หากแต่คือ ‘หัวใจ’ ของการบริการที่ให้เกียรติ มองเห็นคุณค่าของทุกคนที่ก้าวเข้ามาในร้าน

นี่คือสิ่งที่จักรกฤติค้นพบและยังคงฝังลึกอยู่ในความทรงจำเสมอมา เพื่อไม่ให้ทุกอย่างกลายเป็นเพียงช่วงเวลาอันหอมหวาน เขาและเพื่อน ๆ อีก 3 คน (โชค-เอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง, เอ๊ะ-รณกาจ ชินสำราญ, แบงค์-ชัชรัสย์ ศรีอรุณ) ใช้เวลาว่างหาสถานที่เงียบ ๆ นั่งคุยกันถึงแผนในอนาคตตลอดหกเดือนเต็ม เพื่อกลั่นเอาส่วนที่ดีที่สุดออกมา สร้างเป็นธุรกิจในแบบฉบับของพวกเขาเอง 

กระทั่งสามารถตกตะกอนได้ว่า ธุรกิจอาหารในแบบของพวกเขานั้นจะต้อง GIVE MORE สร้างสรรค์และมอบประสบการณ์แห่งมื้ออาหารด้วยหัวใจ และให้ ‘มากกว่า’ ได้รับ

ให้ลูกค้า ‘มากกว่า’ ความคาดหวัง

ใส่หัวใจลงในจานอาหาร ‘มากกว่า’ ทุกครั้ง

และมอบบริการที่ ‘มากกว่า’ สิ่งที่คิดว่าจะได้รับ

เพราะสำหรับพวกเขา การให้ที่มากกว่าคือคำตอบของการยืนหยัดตลอดสิบปีของ MAGURO จนกลายเป็นจักรวรรดิอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทย มีร้านอาหารหลากชนิด ตั้งแต่ MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิพรีเมียม, HITORI SHABU ร้านชาบูสุกียากี้หม้อเดี่ยว, HITORI SUKIYAKI ร้านสุกี้ยากี้สไตล์คันไซ, SSAMTHING TOGETHER ร้านปิ้งย่างเกาหลีพรีเมียม, Tonkatsu AOKI ร้านหมูทอดทงคัตสึจากญี่ปุ่น, CouCou ร้าน All-day Dining สไตล์ตะวันตก, Bincho ร้านอาหารญี่ปุ่นย่างถ่านแบบดั้งเดิม และ Kiwamiya ร้านแฮมเบิร์กแบบ Rare Served ที่ให้ลูกค้า ย่าง ปรุง และควบคุมความสุกได้ตามใจ

และนี่คือเรื่องราวของ จักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในวันที่อยู่กับธุรกิจอาหารมานานกว่าทศวรรษ

จักรกฤติ สายสมบูรณ์ : วิถีการทำงานของเพื่อน 4 คน ที่สร้างอาณาจักรอาหารด้วยหัวใจ Give More

เติบโตมาท่ามกลางความอิสระ

เดิมจักรกฤติไม่ได้มีพื้นฐานการทำธุรกิจมาก่อน เขาเติบโตมาในครอบครัวที่ให้อิสระทางความคิด คุณพ่อเป็นนายตำรวจ ส่วนคุณแม่ทำงานธนาคาร เรียกได้ว่าคำว่านักธุรกิจอยู่ห่างไกลจากชีวิตครอบครัวเขามากพอควร

แต่อย่างที่บอกว่าจักรกฤติเติบโตมาในครอบครัวที่ให้อิสระ ทำให้เวลาเขาสนใจอยากจะลองทำอะไร จะต้องทำความเข้าใจให้กระจ่าง ศึกษาอย่างหนัก เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด

และนั่นทำให้จักรกฤติเริ่มฉายแววความเป็นนักธุรกิจตั้งแต่เด็ก สมัยที่เขายังเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลาย ณ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร เขาชอบของสะสม เลยลองกดสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ เพื่อมาขายให้กับเพื่อน ๆ ที่มีความสนใจในสิ่งเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้ทำอย่างจริงจัง เพียงแค่รู้สึกสนุกกับสิ่งที่ทำก็เท่านั้น

เมื่อถามชายตรงหน้าว่ามีความฝันอยากจะเดินตามรอยเท้าพ่อหรือแม่บ้างหรือเปล่า เขาตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่า ไม่ได้มีความสนใจในสายอาชีพเหล่านี้เลยสักครั้ง

“เรื่องของการเป็นตำรวจ ไม่ได้มีความสนใจเลย” เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมา

“ตอนเด็กผมอาจจะเน้นไปทางเรื่องของการเล่นกีฬาเยอะ ในช่วง ม.ปลาย นอกจากที่ผมทำเรื่องของสะสมแล้ว อีกเส้นทางหนึ่งที่ผมเดินไปพร้อมกันก็คือ ผมเล่นกีฬา แล้วเล่นแบบค่อนข้างหมกมุ่น ตอนนั้นเล่นบาสเกตบอล ก็ใช้ชีวิตอยู่ในโรงยิมเยอะ แล้วก็เป็นนักกีฬาโรงเรียน ต้องมาโรงเรียนตั้งแต่ 6:00 น. มาซ้อม แล้วยิ่งเป็นนักกีฬาโรงเรียนก็ต้องซ้อมเย็นด้วย ก็เรียกว่ามาโรงเรียนเช้าตรู่ แล้วกลับตอนพระอาทิตย์ตกเลยดีกว่า

“ผมก็เป็นนักกีฬาบาสเกตบอลทีมโรงเรียนอยู่ 3 ปี ตั้งแต่ ม.4 - ม.6 มันก็เลยทำให้เราไม่ค่อยสนใจเรื่องเรียนมาก ก็คิดว่าแค่เรียน ๆ ไปให้มันจบ (หัวเราะ) แต่เราชอบกีฬามากกว่า ด้วยความเป็นผู้ชาย ด้วยความที่เราชอบอ่านหนังสือการ์ตูน อ่านมังงะด้วย แล้วก็มีเรื่องสแลมดังค์มีอะไรให้เราเสพตอนนั้น เราก็อินกับเรื่องของบาสเกตบอลมาก ดู NBA ถ่ายทอดสดทุกวันเสาร์-อาทิตย์

วัยเด็กของจักรกฤติจึงไม่ต่างจากเส้นตรง ถึงจะบอกว่าตัวเองไม่ถนัดด้านการเรียน แต่เขาก็วางแผนอนาคตของตัวเองมาโดยตลอด และมองเห็นว่าสุดท้ายแล้ว เส้นทางการเป็นนักกีฬาอาชีพในประเทศไทย อาจจะยังดูห่างไกลเกินฝัน 

ชายตรงหน้าเรา บอกกับเราว่าเขาไม่รู้สึกเสียดายกับการเลิกเล่นกีฬาเลยสักครั้ง อาจเป็นเพราะนิสัยที่ชอบทดลองอะไรใหม่ ๆ ไม่ค่อยจมจ่อมอยู่กับอดีตหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานเกินไป แต่เมื่อมีอะไรที่น่าสนใจผ่านเข้ามา ชายคนนี้ก็ทุ่มสุดตัวเพื่อทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

“ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเสียดายอะไร รู้สึกว่าเรามีอะไรใหม่ ๆ ที่จะต้องค้นหาและพบเจอ แล้วตื่นเต้นกับตรงนั้นมากกว่า”

หลังจากเรียนจบมัธยมปลาย ช่วงเวลาที่น่ากังวลใจที่สุดในชีวิตวัยรุ่นก็มาเยือน นี่คือทางสองหรือสามแพร่งที่ต้องเลือกว่าจะก้าวไปทางไหน และยิ่งในยุคสอบเอนเทรานซ์ก็สร้างความกดดันให้เด็กไทยทั้งประเทศอย่างหนักหน่วง แต่สำหรับจักรกฤติในวัยเยาว์แล้ว นี่เป็นเพียงอีกหนึ่งเส้นทางของชีวิตก็เท่านั้น

“ต้องบอกว่าเราไม่ได้เป็นคนที่เป็นคลั่งเรียน แต่ชอบที่จะเรียนรู้ชีวิตมากกว่า เราก็พยายามเรียนรู้สิ่งที่เราเจอทุก ๆ วัน เรียนรู้คน เรียนรู้สังคม พอเข้ามาสู่ช่วงเรียนมหาลัย ผมลองเรียนบริหารธุรกิจก่อน คิดว่ามันเป็นทางสายกลางที่เรายังมีพื้นฐานความรู้ในการทำธุรกิจ ถ้าจบมาแล้วยังหาตัวตนเฉพาะทางไม่เจอ อย่างน้อยการทำธุรกิจน่าจะทำให้เราไปต่อได้

“แล้วก็ไม่ได้มองภาพว่าตัวเองจะไปทำงานอะไร ทำงานที่ไหน จะไปอยู่วงการไหน เราไม่ได้มองล่วงหน้าไว้เลย มองแค่วันนี้จะเป็นยังไง พยายามสนุกกับสิ่งที่เราเจออยู่ตรงหน้า ก็เลยเป็นคนไม่ค่อยเครียดมาก” เขาตอบ พลางนิ่งคิด ก่อนจะเสริมสั้นว่า ๆ 

“ตอนเด็กนะ” (ยิ้ม)

แล้วจักรกฤติในช่วงวัยที่เป็นเจ้าของธุรกิจมานานถึงสิบปี มีความคิดเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน - เราถาม “คงเป็นเรื่องความคิดที่รอบด้านมากขึ้น” เขาตอบ

“เพราะว่าพอเราโตขึ้นมา ก็คิดอะไรได้หลาย ๆ อย่างมากขึ้น มีหลักการเข้ามาในชีวิตมากขึ้น ก็ความคิดนั่นแหละ เราคิดเยอะ แล้วก็ภาวะทางอารมณ์ที่มันหนักแน่นขึ้น”

โชคดีที่บ้านค่อนข้างปล่อยให้จักรกฤติทำในสิ่งที่ชอบ ไม่เคยมากีดขวางหรือบังคับว่าต้องเรียนด้านไหน ต้องเป็นทางนั้นทางนี้ หรือต้องเป็นตำรวจเหมือนพ่อ พวกเขาให้อิสระเต็มที่ และนั่นทำให้จักรกฤติบินลัดฟ้าไปเรียนต่อปริญญาตรี บริหารธุรกิจบัณฑิต มหาวิทยาลัย Pacific States University, แคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา

“เราอยู่ที่นู่น (สหรัฐฯ) ในช่วงปี 1998-2000 ก็ไปอยู่คนเดียวสองปีเต็ม ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ลำบากมาก เพราะในช่วงปีแรก ๆ ทุกคนก้าวเข้าสู่ชีวิตวัยรุ่นกันอย่างเต็มตัว แต่เรามาใช้ชีวิตแบบเงียบสงบมาก มันขัดกับอายุ”

พอเข้าสู่ปี 2001-2004 เขาย้ายไปลอสแองเจลิส สถานการณ์ก็เริ่มดีขึ้น มีเพื่อนต่างชาติเยอะขึ้น เมืองคึกคักกว่า มีสังคมคนไทยให้ไปพักพิง แชร์ความรู้สึก และประสบการณ์ร่วมกัน ทำให้เขาสามารถก้าวข้ามช่วงเวลาที่รู้สึกโดดเดี่ยวมาได้

การจากบ้านเกิดไปทดลองใช้ชีวิตต่างแดน ทำให้โลกของเด็กคนหนึ่งเปิดกว้าง เขาได้เห็นความต่างทางวัฒนธรรม เห็นถึงอิสระเสรีแทรกอยู่ในชีวิตของผู้คน ไม่ว่าเขาคนนั้นจะมีสีผิวหรือเชื้อชาติใด ทุกคนก็เคารพอยู่ในขอบเขตของกันและกัน

หลังจากเรียนจบ จักรกฤติเดินทางกลับประเทศไทยในปี 2004 ใช้เวลาทบทวนตัวเองอยู่ราวครึ่งปี ก่อนจะสมัครเข้าทำงานที่แรกของบริษัทคลื่นวิทยุแห่งหนึ่ง ในตำแหน่งเกี่ยวกับการตลาด ที่นั่นเขาได้ใช้ทักษะภาษาที่ร่ำเรียนมาอย่างเต็มเปี่ยม แต่ภายในใจของเขากำลังร่ำร้องบางอย่าง เขาอยากมีอิสระมากกว่านี้ จึงตัดสินใจลาออก หลังจากทำงานได้เกือบสองปี

"เป็นงานที่ค่อนข้างสนุก เราได้เรียนรู้อะไรเยอะ แต่พอถึงจุดหนึ่งผมคิดว่ากว่าจะโตขึ้นไปหรือไต่เต้าขึ้นไปในอีกระดับหนึ่งมันก็อาจจะใช้เวลาอีกนาน

"บวกกับพ่อแม่ผมค่อนข้างให้พื้นที่ในการใช้ชีวิตกับเราเยอะ เราสามารถเลือกอะไรหลาย ๆ อย่างได้ ตราบใดที่มันยังอยู่บนพื้นฐานของความเป็นคนดี"

จักรกฤติ สายสมบูรณ์ : วิถีการทำงานของเพื่อน 4 คน ที่สร้างอาณาจักรอาหารด้วยหัวใจ Give More

‘เพื่อน’ ที่เจอกันในช่วงเวลาที่เหมาะสม

“ถ้าเราเริ่มทำธุรกิจกันเร็วกว่านี้ บางทีอาจจะออกมาเละเทะก็ได้” เขายอมรับ

“การมาเริ่มทำกันในช่วงอายุ 34-35 เลยเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม แล้วเราก็คุยกันตั้งแต่แรก ๆ ว่า อยากให้เอาเรื่องของ relationship เป็นที่ตั้งนะ ถ้าจะต้องมาทำธุรกิจกันแล้วทะเลาะกันน่ะ เราจะไม่เลือกทางนั้น เพราะเราก็ยังไม่รู้ว่ามันจะไปได้ดีมากน้อยขนาดไหน มันจะมีคุณค่ามากพอหรือเปล่าที่เราจะต้องมาแตกคอกัน 

“ก็คุยกันตั้งแต่แรก ตั้งแต่วันแรก ๆ มันก็เหมือนเป็นสิ่งที่อยู่ในหัว พอมีเรื่องขัดแย้งกัน หรือว่าไอเดียไม่ตรงกัน เรื่องที่เราคุยกันตั้งแต่วันแรก มันก็ alert ขึ้นมา ก็ทำให้เรา หยุด ไตร่ตรอง แล้วก็คิด ทำใจให้เย็นลง”

เขายังบอกอีกว่ารู้สึก ‘โชคดี’ ที่เจอเพื่อน ๆ ทั้ง 3 คน เพราะทุกคนต่างมีความประนีประนอม และผ่านช่วงวัยที่อีโก้ถูกลดทอนลง หลงเหลือเพียงใจที่เปิดกว้าง และพร้อมรับฟังซึ่งกันและกัน

“โชคดีที่เราทั้ง 4 คนมีความเป็นคนที่จะยอม ยอมที่จะถอยหลังกันได้ แล้วก็มาดูกันว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับกรุ๊ปของเราคืออะไร เราไม่จำเป็นต้องชนกัน แล้วก็หาผู้ชนะ เพื่อให้ไอเดียนั้นได้เดินต่อ หลาย ๆ ครั้งบางคนยอมถอย เรื่องนี้ดูเหมือนเราจะถนัดน้อยกว่าคนอื่น เรายอมให้อีกคนนึง ที่เขาผ่านมาแล้ว เคยลองผิดลองถูกมาแล้ว เราก็ต้องเชื่อที่เขาพูด คือทุกคนมีทัศนคติที่อยู่ในระดับที่ดีละ ตอนนั้นเราก็โตประมาณนึง อายุ 35 แล้ว”

ส่วนจุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจร่วมกันนั้น พวกเขาไม่มีใครรู้จักกันมาก่อน กว่าโชคชะตาจะพาทั้ง 4 คนเดินทางมาเจอกันก็ผ่านช่วงวัยเด็กมาหมดสิ้น จนล่วงเลยเข้าสู่วัยทำงาน รู้ตัวอีกทีก็อยู่ในชีวิตของกันและกันมานานถึงยี่สิบปีแล้ว

“ตอนเจอกับพาร์ทเนอร์ของเราทั้งหมด 3 คน ที่เป็นผู้ก่อตั้ง มากุโระ แต่ละคนก็รู้จักกันคนละช่องทาง แต่รู้จักในช่วยเวลาใกล้กัน อย่างคุณเอ๊ะ เราทำงานบริษัทเดียวกัน ส่วนคุณโชคก็เป็นเพื่อนของเพื่อนสมัยมัธยม เจอกันที่มหาลัย ABAC ก็รู้จักผ่านกันมา ส่วนคุณแบงค์ก็เป็นเพื่อนของ 2 คนนี้อีกทีนึง ก็เป็นการเจอในเน็ตเวิร์คเดียวกัน”

จากวันแรกที่เจอกันเมื่อคราวอายุเพียงยี่สิบต้น ๆ วันนี้พวกเขารู้จักกันมานานถึง 20 ปีเต็มแล้ว นับเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน และทั้งหมดก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอมา

แม้จะมีคำถามที่เขาต้องตอบซ้ำ ๆ ว่าการทำธุรกิจกับเพื่อนเป็นความเสี่ยงชนิดที่ว่า คงไม่มีใครแนะนำมากนัก อย่างที่รู้เมื่อมีเรื่องเงินทองเข้ามา มิตรภาพที่ฟูมฟักมาอย่างยาวนานก็อาจพังทลายลงได้ทุกเมื่อ แต่ไม่ใช่กับเขาและพาร์ทเนอร์ทั้ง 3 คนอย่างแน่นอน

“พอลองนึก ๆ ก็ 20 ปีพอดีที่ได้รู้จักกับเพื่อนที่ทำมากุโระด้วยกัน” เขานึกย้อนพลางทึ่งในมิตรภาพที่ยาวนานเช่นนี้ 

ก่อนจะเสริมถึงเหตุผลที่ทำให้พวกเขายังคงเป็นเพื่อนและพาร์ทเนอร์ที่ดีต่อกันว่า คงเป็นเพราะความเรียบง่ายและไลฟ์สไตล์ที่ไม่ต่างกันมาก ทำให้พวกเขาเข้าใจในความคิดของกันและกันได้อย่างกระจ่างชัด

“ถามว่าเคยทะเลาะกันไหม มีนะ แต่ว่ามันก็จบในที่ประชุม ออกมาก็เริ่มใจเย็นลง อาจจะเบรคกันไปวันนึง วันพรุ่งนี้ก็กลับมาเหมือนเดิม แต่พอยิ่งอยู่กันมานานขึ้นเรื่อย ๆ ความขัดแย้งมันน้อยลง เพราะเรารู้กันแล้วว่า อ๋อ เรื่องนี้เคยชนกันมาแล้ว ผลลัพธ์มันเป็นแบบนี้ เรื่องนี้เราเคยไฟท์กันมาแล้ว สุดท้ายมันไม่มีอะไร ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะเอาเรื่องเดิมขึ้นมาพูดอีก

“ก็ผ่านมา 10 ปีแล้ว รู้จักกันมา 10 ปีในสถานะเพื่อนนะ จนถึงช่วงอายุประมาณ 34-35 ทุกคนจะอายุใกล้กันหมด เกิดปีไล่ ๆ กัน คือ พ.ศ. 2522-2523 ก็เป็น 10 ปีที่เป็นสถานะเป็นเพื่อนนะ วันนั้นทุกคนรู้สึกเหมือนกันก็คือว่า เราผ่านอะไรกันมาเยอะละ แล้วก็อาจจะเล่นกันมาเยอะแล้ว เที่ยวกันมาเยอะประมาณนึง ลองทำงานกันมาเยอะ คือบางคนเค้าก็ไปทำงานหลายที่นะมากกว่าผม ผ่านออฟฟิศหลายที่ 

“บางคนก็ทำธุรกิจมาบ้างแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่ตัวเอง มันก็ผ่านช่วงนั้นกันมา ระดับประมาณสัก 10 ปี ทุกคนก็มีประสบการณ์ที่ถูกหล่อหลอมมาจนถึงช่วงสุกงอม รู้สึกว่าอยากจะทำธุรกิจที่แบบเป็นธุรกิจจริง ๆ ละ ธุรกิจที่จะอยู่กับมันไปได้ตลอด แล้วก็เป็นแหล่งรายได้ แหล่งที่ทำให้เราสามารถเลี้ยงตัวเองได้ สามารถดูแลครอบครัวได้ พอทุกคนมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน อยู่ในอารมณ์เดียวกัน ก็เลยมีความตั้งใจที่สูงอยู่ในระดับเท่า ๆ กัน 

จักรกฤติ สายสมบูรณ์ : วิถีการทำงานของเพื่อน 4 คน ที่สร้างอาณาจักรอาหารด้วยหัวใจ Give More “แล้วเราก็มาคุยกันว่า จะทำอะไรกันได้บ้าง คือแต่ละคนเค้าก็ explore อะไรกันมาประมาณนึงแล้วล่ะ แต่ตอนที่เรามาคุยกันน่ะ เหมือนกับว่าเราอยากจะทำร้านอาหาร เพราะช่วงนั้นเรามาเจอกันที่ร้านอาหารบ่อย ก็เห็นมีลูกค้ามากิน จ่ายเงินเท่านั้นเท่านี้ ก็คิดว่าเขาได้กำไรกันเท่าไหร่หว่า ก็ดูเป็นธุรกิจที่สามารถเติบโตได้ ขยายสาขาได้ จาก 1 ไป 2 จาก 2 ไป 5 จาก 5 ไป 10 แล้วก็สามารถที่จะเป็นบริษัทแบบไซส์ใหญ่ได้ จากการแค่ทำอาหารอย่างเดียว 

“จริง ๆ ร้านอาหารญี่ปุ่นไม่ใช่ตัวเลือกเดียวในตอนแรก มีตัวเลือกอื่น ๆ ที่อยู่ในสโคปของร้านอาหาร แต่เราก็คัดออก เลือกสิ่งที่เราหลงใหลแล้วกัน คือ ญี่ปุ่น เพราะเราอ่านมังงะ เราดูอนิเมชั่น เรา ไปเที่ยวที่ญี่ปุ่น แล้วญี่ปุ่นก็ให้อะไรกับชีวิตวัยเด็กเยอะ มีอิทธิพลกับเราเยอะมาก ตอนโตมาก็เริ่มมาอินกับอาหาร ตอนเด็กอาจจะไม่มีเงินไปกินอาหารญี่ปุ่นแพง ๆ พอตอนโตเราก็มารู้ว่ามุมอาหารมันน่าสนใจและมีเสน่ห์มาก ๆ คนญี่ปุ่นทำอะไรจริงจังมาก แล้วมีเรื่องราวที่แบบน่าสนใจในทุก ๆ ร้าน สรุปว่าเราก็หลงใหลกับอาหารญี่ปุ่นนี่แหละ ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งปวงที่เล่ามา ก็เป็นอีกตัวนึงที่สนับสนุนให้เรากล้าตัดสินใจทำ”

จักรกฤติ สายสมบูรณ์ : วิถีการทำงานของเพื่อน 4 คน ที่สร้างอาณาจักรอาหารด้วยหัวใจ Give More

MAGURO ธุรกิจแรกกับเพื่อนที่รู้ใจ

หลังจากมองเห็นช่องว่างของตลาดอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยว่ามีเพียง 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ Mass และ Premium ทำให้พวกเขาอดสงสัยไม่ได้ว่า แล้วทำไมถึงมีน้อยคนนักที่จะลงมาเปิดร้านอาหารที่บริการให้คนกลุ่มตรงกลาง 

“คือมันไม่มี Premium Mass หรือจุดที่อยู่ตรงกลาง เราไปเห็นโอกาสตรงนั้น คือมันต่ำสุดแล้วไปสูงสุดเลย มันไม่มีตรงกลาง ตรงกลางคืออาหารแบบด้านบนนั่นแหละ แต่ราคาจะอยู่ในระดับที่ย่อมเยาลงมา แต่อาจจะลดทอนจากซูเปอร์พรีเมียมในเรื่องของการบริการไปบ้าง อาจจะไม่ได้ทุกอย่างป้อนให้หมด เซลฟ์เซอร์วิสในบางเรื่อง แล้วก็ความทางการน้อยลง ลูกค้าไม่ได้ต้องแต่งตัว ดีมาก ๆ มากิน ซึ่งสมัยก่อนสูงสุดมันจะเป็นอย่างนั้น ถ้าต่ำสุดก็จะเน้นปริมาณ แต่เรื่องของคุณภาพวัตถุดิบหรือเรื่องของกรรมวิธีต่าง ๆ มันยังไม่ได้คราฟต์มาก มันเป็นเหมือนอุตสาหกรรมมากกว่า 

“แต่ตรงกลางเนี่ย มันคือการทำอาหารแบบคราฟต์ ก็คือใช้ความประณีต ความพิถีพิถัน ใช้ความใส่ใจและกระบวนการที่มันละเอียดละออ ซึ่งก็เป็นวิถีคนญี่ปุ่นอยู่แล้ว ที่เขา develop มา เราก็มาเห็นว่า จริง ๆ มันเอามาขายตรงกลางในราคาที่เอื้อมถึงได้นะ แล้วมันจะทำยังไงได้บ้างล่ะ เราต้องไปลดตรงไหน ตรงไหนมันไม่จำเป็นต้องให้ขนาดพรีเมียม เราก็ดูแล้ว มันเป็นไปได้นี่ ก็เลยมองว่าตรงนี้เป็นโอกาสใหญ่ เป็นน่านน้ำใหญ่เลย แต่จริง ๆ เราไม่ได้เป็นเจ้าแรก เราก็เห็นร้านที่มาเจาะ Premium Mass เห็นอยู่บ้างแล้ว 

“เราก็สังเกตดู กลายเป็นว่าคนชอบนะ คนให้การตอบรับกับ เหมือนกับเป็นสิ่งที่คนหากันอยู่แล้วแหละ พอเราเห็นสัญญาณว่าตลาดนี้มันไปได้ มันกำลังเติบโต เราอาจจะไม่ใช่ First Mover นะ แต่เราก็เข้ามาเป็นแบบ Second Mover ที่เหมือนได้กลิ่นว่ามันจะดี เราก็เข้ามา”

หลังจากนั้น ความสนุกของการเดินออกไปทำตามความฝันก็เริ่มขึ้น โดยใช้เวลาเพียงแค่ 6 เดือน

6 เดือนที่พวกเขาลงเรียนคอร์สสำหรับผู้ประกอบการ ทำความเข้าใจทุกแง่มุมของธุรกิจ มีเปิดอบรมที่ไหน แน่นอนว่าต้องมีใครคนใดคนหนึ่งในสี่คนเข้าร่วม 

6 เดือนที่พวกเขานำความรู้กลับมาแชร์ให้กันและกันฟังว่าได้เรียนรู้สิ่งใดบ้าง 

และเป็น 6 เดือนที่ทำให้เห็นถึงความตั้งใจของทุกคนที่ทั้งจริงจังและมุ่งมั่น พยายามใช้ทุกวินาทีให้คุ้มค่า จนสามารถเปิดมากุโระได้ในที่สุด

และแล้ว MAGURO ก็เปิดสาขาแรกในปี พ.ศ. 2558 โดยมีพนักงานประจำสำนักงานใหญ่เพียง 10 คน

จักรกฤติ สายสมบูรณ์ : วิถีการทำงานของเพื่อน 4 คน ที่สร้างอาณาจักรอาหารด้วยหัวใจ Give More

Give More ปรัชญาที่ให้ ‘มากกว่า’

เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้ทุกคน

จักรกฤติเล่าว่าช่วงแรกยังไม่ได้วาง ‘หัวใจ’ ของแบรนด์ว่าต้องมีรูปร่างลักษณะอย่างไรมากนัก คิดเพียงว่าจะต้องให้บริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าก็เท่านั้น แต่เมื่อนานวันเข้า เขาและเพื่อนจึงเริ่มกะเทาะเปลือกของแบรนด์ออกทีละชั้น และพบว่าหัวใจของมากุโระ คือ การให้ที่มากกว่า ซึ่งกลายเป็นปรัชญา Give More ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้

“ช่วงแรกหัวใจของแบรนด์มากุโระยังไม่ได้มีคำนิยามชัดเจน แต่เป็นแอ็คชั่นที่รู้ว่าต้องทำ นั่นคือการทำให้มาก ให้เยอะ ความคุ้มค่าต้องสูง ช่วงแรกเรายังไม่มีเรื่องประสบการณ์หรือแบรนด์ดิ้งเข้ามา จะเป็นในแง่ของฟังก์ชั่นอย่างเดียว คือต้องทำให้มากกว่าที่ตลาดมีอยู่ อาจจะเป็นปริมาณ ความคุ้มค่า ราคา ความอร่อย มันต้องสุด สุดกว่าที่เคยกินกันอยู่ทุกวัน

“หลังจากนั้นก็มาสร้างคำของตัวเอง ให้มันสละสลวย กระชับ เข้าใจง่าย เป็น core value องค์กร ก็พัฒนามาเป็น ‘Give More’ มาปรับใช้ ทั้งสร้างแบรนด์ สร้างเมนู เลือกวัตถุดิบ ตั้งราคา ออกแบบการบริการ”

ซึ่งเขายอมรับว่าช่วงแรกที่เริ่มนำวัฒนธรรม Give More มาใช้ในองค์กรมีความยากอยู่ไม่น้อย เพราะเขาอยากทำให้มันเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคสัมผัสได้จริง ไม่ใช่แค่วัฒนธรรมในองค์กรเท่านั้น

“วันแรก ๆ พนักงานอาจจะไม่ค่อยเข้าใจ เขาจะคิดว่ามันเป็นแค่สโลแกนขององค์กร ไม่ได้ต้องทำอะไรมากนัก แต่พอบริษัทเริ่มขยายใหญ่เรื่อย ๆ คนก็เริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่เราทำไม่ได้เป็นแค่สโลแกนนะ แต่เราจริงจัง และใช้แนวคิดนี้ในการแข่งขันในตลาดมาโดยตลอด และเราก็ชนะในการแข่งขันเรื่อย ๆ ด้วยแนวคิดแบบนี้ 

“ซึ่งเราในฐานะกลุ่มผู้นำองค์กรก็พยายามพูดเรื่อย ๆ ว่าเราทำอะไร เราอาจจะมองตัวเองเป็นที่ตั้งว่าเราอยากได้อะไรล่ะ แล้วทำสิ่งนั้นให้ทุกคนรับรู้ ให้ทุกคนเข้าใจ พอเราทำ คนอื่นก็จะเห็นและเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการจะทำ หลังจากนั้นเราก็จะได้อะไรกลับมาเอง แต่ให้มากให้น้อยก็แล้วแต่ความศรัทธาของแต่ละคน”

จักรกฤติ สายสมบูรณ์ : วิถีการทำงานของเพื่อน 4 คน ที่สร้างอาณาจักรอาหารด้วยหัวใจ Give More เขายังเล่าอีกว่าเคยมีพนักงานเดินเข้ามาถามเหมือนกันว่าทำไมมากุโระต้องทุ่มเทขนาดนี้ ทำไมถึงกล้าตั้งราคาแค่นี้ คนอื่นเขาคงไม่ทำกัน จักรกฤติตอบเพียงว่า เวลาเท่านั้นจะพิสูจน์จุดที่มากุโระยืนอยู่

คงไม่ต้องบอกว่าเวลานั้นมาถึงหรือยัง เพราะตลอดสิบปีที่ผ่านมา มากุโระมีแต่จะเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ 

“มันก็มีคำถามมาตลอด แต่เวลามันจะพิสูจน์ให้เห็นว่าแนวคิดแบบนี้ คือการสร้างความแตกต่างในตลาดได้จริง เราก็ได้รับการตอบรับมาป็นความศรัทธาที่มีมากขึ้น นอกจากมุมที่พยายามทำเพื่อลูกค้ามากกว่าที่ขอแล้ว เรายังมีวัฒนธรรมที่ผู้บริหารกับพนักงานมีความใกล้ชิดกัน ทุกคนสามารถเข้ามาพูดคุยกันได้ 

“คือช่องว่างมันแคบมาก อย่างผมเองก็เข้ามาที่ร้านบ่อย ๆ ผมคุยกับทุกคนนะ เดินเข้าไปในครัว คุยกับน้อง ๆ ไม่ใช่แค่คุยกับผู้จัดการอย่างเดียวแล้วเอารีพอร์ตมาดู พยายามถามเขาว่ามีปัญหาอะไรไหม flow ในการทำงานติดขัดตรงไหนไหม อุปกรณ์ถูกต้องหรือเปล่าที่เราออกแบบมา พยายามสื่อสารกัน แล้วก็ให้กำลังใจเขา ต้องการอะไรบอกได้นะ งานหนักไปหรือเปล่าอะไรแบบนี้ คือมันเป็นการลดสเปซของบนสุดกับล่างสุด นี่คือวัฒนธรรมองค์กรเรา เราจะใกล้ชิดกัน ไม่ถือตัว 

“แต่ผมอาจจะไม่ได้รู้จักพนักงานทุกคนนะ เพราะตอนนี้มี 1,200 คนแล้ว แต่ว่าทุก ๆ ครั้งที่ผมเข้าไปที่ร้าน ผมจะพูดคุยกับทุกคน”

จักรกฤติ สายสมบูรณ์ : วิถีการทำงานของเพื่อน 4 คน ที่สร้างอาณาจักรอาหารด้วยหัวใจ Give More ไม่แปลกใจว่าทำไม เราเห็นว่าทันทีที่จัหรกฤติเดินเข้ามาในร้าน พนักงานจะเข้ามาพูดคุยและแจ้งปัญหาที่พบให้ฟังทันที ทำให้เห็นว่าสิ่งที่เขาพูดไม่ได้เป็นแค่คำสวยหรู แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ทุกคนมีความใกล้ชิด และผู้บริหารอย่างเขาก็พร้อมรับฟัง

หนึ่งในตัวอย่างที่สะท้อนปรัชญา Give More นี้ได้ชัด คือการให้ที่มากกว่า ในเรื่องของวัตถุดิบและความยั่งยืน มากุโระให้ความสำคัญกับการสนับสนุนผู้ผลิตท้องถิ่น โดยใช้ผักออร์แกนิกจากเกษตรกรไทย รวมถึงนำปลาหรือซีฟู้ดจากชาวประมงไทยมาผสมผสานกับปลานำเข้าจากญี่ปุ่น เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างคุณภาพระดับพรีเมียมและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศ 

จักรกฤติ สายสมบูรณ์ : วิถีการทำงานของเพื่อน 4 คน ที่สร้างอาณาจักรอาหารด้วยหัวใจ Give More “ช่วงหลังเราก็มีการใช้ปลา หรือใช้ซีฟู้ดที่จับได้ด้วยชาวประมงไทย เข้ามาผสมกับตัวโปรดักซ์ลิสต์ที่เป็นปลานำเข้าจากญี่ปุ่น ทำให้คนท้องถิ่นในบ้านเรามีรายได้ ไม่ได้ยึดติดว่าของต้องนำเข้าหมดทุกอย่าง จะต้องใช้แต่ของญี่ปุ่นเท่านั้น 

“เราไม่ได้มองว่าของไทยด้อยกว่า ถ้าคุณภาพถึง เราก็ภูมิใจที่จะใช้ และนำเรื่องราวของพวกเขามาเล่าต่อให้ลูกค้าได้รับรู้”

ในด้านสิ่งแวดล้อม บริษัทก็ให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ส่งผลใหญ่ เช่น การลดการใช้วัสดุที่ย่อยสลายยาก งดเสิร์ฟหลอดน้ำหากลูกค้าไม่ต้องการ และเลือกใช้น้ำแร่จากพาร์ทเนอร์ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและการรีไซเคิลอย่าง Nordaq แบรนด์น้ำแร่ระดับโลกจากสวีเดนที่ใช้เทคโนโลยีการกรองและฆ่าเชื้อล้ำสมัย พร้อมบรรจุในบรรจุภัณฑ์ที่ลดการก่อให้เกิดขยะพลาสติก 

“เราอยากให้ลูกค้าได้สิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะให้ได้ และนี่คือการ Give More ในมิติของคุณภาพและความรับผิดชอบต่อโลก”

เพราะสำหรับพวกเขา ‘การให้มากกว่า’ ไม่ใช่เพียงกลยุทธ์ทางธุรกิจ แต่คือหัวใจของการสร้างแบรนด์ที่เติบโตอย่างมีความหมาย

จักรกฤติ สายสมบูรณ์ : วิถีการทำงานของเพื่อน 4 คน ที่สร้างอาณาจักรอาหารด้วยหัวใจ Give More

เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง

ภาพ : จุลดิศ อ่อนละมุน