‘รวยไม่หยุดกรุ๊ป’ อาณาจักรอาหารเกาหลีหัวใจไทย ที่ใช้ ‘ความแตกต่าง’ จนตกคนไทยได้มานานกว่า 8 ปี

‘รวยไม่หยุดกรุ๊ป’ อาณาจักรอาหารเกาหลีหัวใจไทย ที่ใช้ ‘ความแตกต่าง’ จนตกคนไทยได้มานานกว่า 8 ปี

รวยไม่หยุดกรุ๊ปภายใต้การนำของ ‘เกศ-ชุติมา เปรื่องเมธางกูร’ กับพาร์ทเนอร์คนสำคัญอย่าง 'แนท-นันทนัช เอื้อศิริทรัพย์' ตั้งเป้าเปิดแบรนด์ใหม่พร้อมกันอีก 8 แบรนด์ หวังเจาะเข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มมากยิ่งขึ้น

เกือบหนึ่งทศวรรษแล้วที่ ‘เกศ-ชุติมา เปรื่องเมธางกูร’ ขลุกตัวอยู่ในธุรกิจร้านอาหาร และค้นพบบทเรียนอันยิ่งใหญ่ นั่นคือ ‘ความล้มเหลว’ ช่วงแรกที่กระโดดเข้ามาทำธุรกิจ เธอเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งที่พกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม มีความคิดว่าทุกอย่างในโลกไม่มีอะไรยากเกินความสามารถ หากเรามีความมุ่งมั่นและทำงานกับมันหนักมากพอ 

ความเชื่อนั้นพาให้เธอก้าวเข้าสู่โลกของผู้ประกอบการอย่างเต็มตัว และกลายเป็นหนึ่งในผู้เปลี่ยนโฉมวงการร้านอาหารไทยด้วยความคิดสร้างสรรค์และเต็มไปด้วยแตกต่าง จนก่อกำเนิดเป็น ‘nice two Meat u’ ร้านปิ้งย่างต้นตำรับเกาหลี ต่อมาก็กลายเป็นคนจุดกระแสชานมไข่มุก ‘Fire Tiger’ ร้านชานมเสือพ่นไฟชื่อดังที่เป็นกระแสฟีเวอร์ทั่วบ้านทั่วเมือง 

‘รวยไม่หยุดกรุ๊ป’ อาณาจักรอาหารเกาหลีหัวใจไทย ที่ใช้ ‘ความแตกต่าง’ จนตกคนไทยได้มานานกว่า 8 ปี ‘รวยไม่หยุดกรุ๊ป’ อาณาจักรอาหารเกาหลีหัวใจไทย ที่ใช้ ‘ความแตกต่าง’ จนตกคนไทยได้มานานกว่า 8 ปี

“ธุรกิจร้านก๋วยเตี๋ยวเป็นสิ่งที่อยู่ในใจมาตลอด แต่เพิ่งมีโอกาสได้มาทำจริงจัง เพราะสมัยเด็ก เราก็เป็นมือปรุงก๋วยเตี๋ยวของเพื่อนอยู่แล้ว จนได้ฉายาเกศเตี๋ยว บวกกับชอบกินอาหารรสจัด ชอบทำอาหารไทย พอเห็นช่องว่างในตลาด เลยตัดสินใจปลุกปั้นแบรนด์เกศเตี๋ยว ก๋วยเตี๋ยวเรือที่กินได้ทุกวัน อร่อยแบบไม่ต้องปรุง โดยเอาฉายาที่เพื่อนเรียกมาตั้งเป็นชื่อแบรนด์” เธอเล่าถึงที่มาจองการเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวในแบบของตัวเอง และแอบกระซิบว่าอนาคตจะมีเกศเตี๋ยวป๊อก ป๊อก & ต้มยำตามมาให้ลิ้มลอง

กว่าจะมาถึงตรงนี้ ใช่ว่าชุติมาจะไม่เคยล้มเหลว เธอเคยพังมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง เคยจับธุรกิจอื่นนอกจากอาหารมาแล้วอีกมากมาย ตั้งแต่ร้านทำเล็บ ร้านตัดสูท มวย ร้านนวด แม้แต่สื่อโทรทัศน์ก็ยังเคยลงสนามแข่งขัน สุดท้ายเมื่อความถนัดไม่ตรงกัน เลยทำให้ชุติมาจำใจต้องปล่อยมือไปอย่างน่าเสียดาย

และนั่นทำให้รู้ว่า โลกไม่ได้ใจดีกับความทุ่มเทของเธอมากนัก แม้จะเป็นพี่สาวคนโตจากพี่น้อง 4 คน เกิดในตระกูลเปรื่องเมธางกูร เจ้าของธุรกิจยี่ปั๊วขายสุรารายใหญ่ย่านฝั่งธนฯ พอมีกำลังสนับสนุนลูกสาวคนนี้มากพอ แต่ชุติมากลับไม่เคยร้องขอให้ที่บ้านช่วยแม้แต่น้อย 

กระทั่ง ธุรกิจที่เธอดูแลมีแนวโน้มไปต่อไม่ได้ คนที่คอยอยู่เคียงข้างให้กำลังใจห่าง ๆ ตั้งแต่วันแรกของการทำงานอย่าง ‘ครอบครัว’ ก็พร้อมโอบรับลูกคนนี้ไว้อยู่ดี เมื่อเห็นท่าไม่ดี และลูกสาวเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ พ่อจึงมอบเงินก้อนหนึ่งให้เธอไปสานฝันต่อ และนั้นก็เป็น ‘ครั้งแรก’ และ ‘ครั้งเดียว’ ที่ลูกสาวคนนี้ร้องขอความช่วยเหลือจากที่บ้าน

“ในบรรดาพี่น้อง 4 คน เกศเป็นคนที่เกเรที่สุด ไม่มีใครคิดว่าเราจะมาถึงจุดนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่มักจะบอกแม่เสมอคือ อนาคตเกศจะหาเงินมาให้แม่ แม่อยากได้อะไรแม่บอกมาเลย”

ชุติมาย้อนไปยังความทรงจำวัยเด็ก สมัยที่เธอยังไม่รู้มากนักว่าโลกธุรกิจนั้นอันตรายเพียงใด ซึ่งเธอก็ยังคงบอกคนรอบข้างเสมอว่าอนาคตต้องรวยแน่ ไม่ใช่แค่รวยอย่างเดียว แต่จะรวยไม่หยุด! 

ดูเหมือนคำพูดของเธอจะเป็นจริงหลัง เพราะหลังเรียนจบปริญญาตรี เธอขอที่บ้านไปเรียนต่อด้านอาหารที่สหรัฐอเมริกา ต้องใช้เวลานานพอสมควรในการฝ่าด่านภาษา จนได้เข้าเรียนด้านศิลปะการจัดการธุรกิจอาหารและการประกอบอาหาร มหาวิทยาลัยบอสตัน พร้อมกับคว้าประกาศนียบัตรการผสมเครื่องดื่มจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดติดมือกลับมาด้วย

‘รวยไม่หยุดกรุ๊ป’ อาณาจักรอาหารเกาหลีหัวใจไทย ที่ใช้ ‘ความแตกต่าง’ จนตกคนไทยได้มานานกว่า 8 ปี

ชีวิตที่อเมริกาเปลี่ยนเด็กเกเรให้กลายเป็นคนทำงานหนัก ระหว่างเรียนปริญญาโทชุติมาทำงานไปด้วย หาเลี้ยงตัวเองเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้ และค้นพบตัวเองว่าหลงใหลการทำอาหาร โชคดีที่เธอได้ฝึกงานในโรงแรมระดับโลกอย่างฮิลตันและแมริออท และวางเป้าหมายไว้ในใจแล้วว่าจะตั้งใจทำงานต่อที่อเมริกา แต่กลับถูกเรียกตัวกลับมาช่วยงานครอบครัวเสียก่อน

ทำธุรกิจที่บ้านได้แค่ไม่กี่วัน เธอก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ทางของตัวเอง จึงลาออกและไปทำงานที่บริษัทที่ปรึกษา APM GROUP อยู่ 2 ปี ก่อนเริ่มรู้สึกอิ่มตัว 

“ตอนกลับมาทำงานที่บ้านก็ไม่ได้ตั้งใจ เข้าไปแค่วันเดียวก็บอกพ่อแม่ว่าปวดอึนู่นนี่แล้วก็หายไปเลย แล้วไม่ยอมกลับมาทำงานต่อที่บ้าน ไม่ยอมทำงาน เพราะเรารู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะกับเกศเท่าไหร่” เธอเล่าพลางหัวเราะ ก่อนจะเสริมว่าอันที่จริงเธอยังอยากใช้ชีวิตวัยรุ่น ยังอยากทำงานที่ได้ใช้ความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่ และเป็นสิ่งที่เริ่มจากสองมือของตัวเธอเองมากกว่า

“เกศรู้สึกว่าชีวิตวัยรุ่นของเรามันไม่ได้อยากไปเป็นยี่ปั๊วอะไรงี้ อยากมาแบบในที่ที่มีสีสันขึ้นหน่อย ชอบเจอวัยรุ่น ชอบเจอแสงสี เราเป็นคนสนุก ๆ อยากทำอะไรแบบนั้น” 

ใช่ว่าเธอจะไม่ซึบซับบทเรียนการทำธุรกิจจากผู้เป็นพ่อ ชุติมาบอกว่าพ่อมักสอนให้ทำอะไรด้วยความระมัดระวัง ต้องดูทุกอย่างให้ถี่ถ้วนเท่าที่จะทำได้ แต่ด้วยบุคลิกของเธอที่กล้าได้กล้าเสียทำให้คำสอนเหล่านั้นถูกเก็บเป็นตำราลับของตระกูลเสียมากกว่านำมาใช้ในชีวิตของผู้หญิงคนนี้จริง ๆ 

“ความเป็นนักธุรกิจของพ่อ ทั้งความตั้งใจ ความขยัน ความรอบคอบ การเอาใจใส่พนักงานทุกคนของพ่อ เป็นสิ่งสำคัญที่เกศคิดว่าเกศซึมซับจากเขามามากพอสมควร ในเรื่องของการดูแลคน คือสิ่งที่เกศได้มาเยอะ

“แต่เรื่องการทำธุรกิจด้วยความรอบคอบ ต้องศึกษาให้รอบด้านแล้วถึงจะเริ่มลงมือทำ อันนี้ใช้ไม่ได้กับเกศ เพราะเราเป็นคนกล้าเสี่ยง มั่นใจอะไรแล้วลงมือทำเลย”

‘รวยไม่หยุดกรุ๊ป’ อาณาจักรอาหารเกาหลีหัวใจไทย ที่ใช้ ‘ความแตกต่าง’ จนตกคนไทยได้มานานกว่า 8 ปี

เมื่อถามว่าด้วยบุคลิกของเธอที่ดูสนุกสนานเข้ากับทุกคนได้ง่าย แถมยังใจป้ำ ยอมลงทุนทุกอย่างเพราะคิดแค่ว่าอยากทำ อนาคตร้านอาหารในเครือรวยไม่หยุดจะปรับเปลี่ยนไปในทิศทางไหน เกศนิ่งคิดก่อนจะตอบว่า ตอนนี้เธอเองก็เริ่มโตขึ้นแล้ว อีกทั้งยังมี ‘แนท-นันทนัช เอื้อศิริทรัพย์’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รวยไม่หยุด จำกัด คอยห้ามปรามความใจร้อนของเธออยู่บ่อย ๆ เลยทำให้อาณาจักรแห่งนี้ยังคงยืนหยัดอย่างมั่นคงมาจนถึงปัจจุบัน

‘รวยไม่หยุดกรุ๊ป’ อาณาจักรอาหารเกาหลีหัวใจไทย ที่ใช้ ‘ความแตกต่าง’ จนตกคนไทยได้มานานกว่า 8 ปี

“ตอนนี้เกศก็เริ่มโตขึ้น ก็คุยกับแนท (นันทนัช ศิริทรัพย์) ว่าเกศไม่อยากให้มันดูเด็กไปอย่างนี้แล้ว อยากให้มันดูโตขึ้น ก็เริ่มพยายามปรับแบรนด์ดิ้งอยู่ อย่าง Fire Tiger ก็จะทำให้ดูโตขึ้น” 

เหตุผลที่ชุติมามักทุ่มทุกอย่างจนสุดตัวเป็นเพราะ สมัยเรียนปริญญาโทเธอหาเงินเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด ทำให้อยากจะก้าวไปอยู่ในจุดที่เคยบอกกับแม่ไว้ ว่าจะกลายเป็นคนรวยคนหนึ่งด้วยน้ำมือของตัวเองให้ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องเล่าสนุก ๆ แต่ความพยายามของชุติมาได้เบ่งบานให้เราเห็นกันมาเกือบสิบปีแล้ว

“เกศมักพูดกับแนทมาตลอดว่าถ้าเกิดวันไหนตื่นมารู้สึกเหนื่อย เหนื่อยแบบฉิบหาย ก็จะบอกแนทว่าเราขยันกันขนาดนี้จะไม่รวยได้ไง พูดอย่างนี้มาตลอด มันต้องรวยบ้างสิ เราปลอบจิตด้วยเรื่องนี้มาตลอด

“เพราะรู้สึกว่า ถ้าเราขยันแล้วตั้งใจขนาดนี้ วันนึงมันต้องประสบความสำเร็จ ไม่ต้องท้อแท้”

นอกจากเครือรวยไม่หยุดกรุ๊ปแล้ว เธอยังนำคำว่า ‘รวย’ ไปตั้งเป็นชื่อบริษัทอื่นในเครือด้วยเช่นกัน มีทั้ง รวยปังปัง และรวยสบายสบาย เรียกได้ว่าชีวิตของเธอรายล้อมไปด้วยคำว่ารวยจนเต็มสูบ 

“ตลอด 8 ปีที่อยู่ในวงการอาหารเกศพูดได้เลยว่า เกศยังอยู่ตรงนี้ไม่นาน ถ้าถามว่าเราได้รับประสบการณ์อะไรบ้าง เกศก็พบว่ามันยังมีไม่มากนัก เราเห็นเทรนด์ร้านอาหารตั้งมากมายที่เขาอยู่กันมาไม่รู้กี่สิบปี เราถือว่าเราอย่าคิดว่าเราเก่งนะ เรายังเด็กเบบี๋โคตร ๆ จุดที่เราเพิ่งผ่านมา ประสบการณ์ทั้งหมด ถือว่าดีมากแล้ว โดยเฉพาะตอนโควิด-19 มันเป็นอะไรที่เลวร้ายมากนะ 

“แต่ช่วงนี้ (พฤษภาคม 2025) เกศบอกได้เลยว่าหลังจากนี้เราจะเห็นร้านอาหารเจ๊งอีกมาก และเป็นช่วงที่เราจะเห็นร้านอาหารเปิดใหม่ที่ประสบความสำเร็จอีกมากมายเช่นกัน เพราะเด็กรุ่นใหม่เขาไม่กลัวใครเลยนะที่เขามาเปิดร้านอะไรต่าง ๆ เกศบอกเลยว่าคู่แข่งรุ่นเก่าเกศไม่กลัวเลย กลัวก็แต่เด็กรุ่นใหม่”

ส่วนวิธีการที่ชุติมาลุกขึ้นสู้ในสมรภูมิเดือดร่วมกับนันทนัช คือวางแผนขยายสาขาเข้าไปในศูนย์การค้าเพิ่มเติม และนำกลยุทธ์การแตกแบรนด์ เพื่อจับกลุ่มเป้าหมายให้หลากหลายยิ่งขึ้น

ในปีนี้ รวยไม่หยุดกรุ๊ปจะมีร้านพรีเมียมในหมวดปิ้งย่างเกาหลี 2 แห่ง ได้แก่ Cheongdam และ Hannam ซึ่งเน้นประสบการณ์กินแบบหรูหรา พิถีพิถันทุกขั้นตอน ส่วนอีก 6 แบรนด์ที่เหลือ ถูกวางตำแหน่งให้เข้าถึงง่าย ไม่ว่าใครก็สามารถเข้ามาลิ้มลองได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะไม่เหลือเงินติดกระเป๋ากลับบ้าน

เกศเตี๋ยวป๊อกป๊อก & ต้มยำ ร้านบะหมี่ย้อนวัยรสจัดจ้าน, ข้าวแกง & ปลาทู ร้านข้าวราดแกงในราคาประหยัด เริ่มต้นที่ 29 บาท, Standard Bun ร้านขนมปังสไตล์เกาหลี, Chago คาเฟ่ชารูปแบบใหม่, Daelim Korean Noodle ร้านบะหมี่เกาหลี และร้านซูชิ–อิซากายะที่เตรียมเปิดตามมาเร็ว ๆ นี้

ชุติมาบอกถึงเหตุผลที่เลือกเปิดแบรนด์ใหม่พร้อมกันถึง 8 แบรนด์ ว่าด้วยประสบการณ์ที่อยู่ในวงการอาหารมากว่า 8 ปี ทำให้เข้าใจอินไซท์ของลูกค้าเป็นอย่างดี ดังนั้นทั้ง 8 แบรนด์ที่จะเปิดตัวจึงเป็นการต่อยอดจากอินไซต์ของลูกค้า และเติมเต็มในสิ่งที่ตลาดยังขาด​ โดยทั้งหมดจะปักหมุดในย่านสยามสแควร์ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญในการเปิดตัวทุกแบรนด์ในพอร์ตฯ เพราะเป็นย่านที่คุ้นเคย รู้อินไซท์ของลูกค้าเป็นอย่างดี บวกกับตั้งใจที่จะเติบโตไปกับย่านสยามสแควร์ 

‘รวยไม่หยุดกรุ๊ป’ อาณาจักรอาหารเกาหลีหัวใจไทย ที่ใช้ ‘ความแตกต่าง’ จนตกคนไทยได้มานานกว่า 8 ปี

ส่วนเหตุผลที่เลือกใช้โมเดลธุรกิจแบบปั้นแบรนด์เอง และซื้อแฟรนไชส์ เพราะมองว่า แต่ละโมเดลมีจุดแข็งต่างกัน ในขณะที่การปั้นแบรนด์เอง อาจจะสามารถทำทุกอย่างได้ดั่งใจ แต่ก็ต้องใช้เวลา ขณะที่การซื้อแฟรนไชส์เหมือนเป็นทางลัด สามารถนำระบบที่วางไว้มาต่อยอดได้เลย 

“แต่ไม่ว่าจะโมเดลไหน สิ่งสำคัญคือ ความใส่ใจ จึงเป็นอีกเหตุผลที่เราเลือกเปิดแบรนด์ใหม่ในโลเคชั่นเดียวกัน เพื่อที่จะสามารถดูแลได้ทั่วถึง เพราะจากประสบการณ์ในการทำธุรกิจที่ผ่านมา ซึ่งเราเคยเจอมาทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว ทำให้เราตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้แม่นยำมากขึ้น รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำ เช่น การเปิดแบรนด์ใหม่ 

“แต่ก่อนเราอาจจะเลือกเปิดแบรนด์ที่เราอยากทำ ซึ่งอาจจะมีทั้งสำเร็จและล้มเหลว แต่สำหรับแบรนด์ใหม่เราตั้งต้นว่าตลาดขาดอะไร ดังนั้น ต่อให้จะทยอยเปิดในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ในโลเคชั่นเดียวกัน เราก็ยังมั่นใจและไม่กังวลว่าแต่ละแบรนด์จะแย่งลูกค้ากันเอง หรือต่อให้สุดท้ายจะเป็นเช่นนั้นจริง ก็เป็นเรื่องปกติของธุรกิจร้านอาหารที่เป็น Red Ocean ต่อให้แบรนด์ของเราไม่กินส่วนแบ่งกันเอง คนอื่นก็กินส่วนแบ่งอยู่ดี”

“ทั้งนี้ทั้งนั้น เรายังคงมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้าทุกคนอยู่เสมอ เพราะเราเองก็มีภาระต้องรับผิดชอบเพิ่มขึ้น มีพนักงานให้ดูแลอีกหลายพันชีวิต เราอยากเติบโตไปอย่างยั่งยืน เพื่อให้ทุกคนอยู่รอดไปกับเรา”

เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง