01 พ.ย. 2568 | 14:00 น.

KEY
POINTS
กลางทศวรรษ 1960s ขณะที่คลื่นดนตรีจากฝั่งอเมริกากำลังสาดซัดเข้าสู่เกาะอังกฤษ ด้วยอิทธิพลจากค่ายเพลงโมทาวน์จนถึงกระแสธารของดนตรีร็อกแอนด์โรล ชายวัยสามสิบต้น ๆ คนหนึ่งกลับเลือกเดินทวนกระแสความนิยม เขาไม่ต้องการทำเพลงที่มีเสียงร้องประสานสวยๆ ไม่ต้องการซาวด์ใสสะอาดแบบป๊อป แต่กลับมองหา ‘พื้นที่ว่าง’ สำหรับการด้นสดและสำแดงความเป็น ‘บลูส์’ ได้อย่างเต็มที่
‘จอห์น เมย์ออลล์’ (John Mayall 1933-22024) คือชายคนนั้น เขาเกิดที่เมืองแมคเคิลส์ฟิลด์ เป็นเด็กผิวขาวที่เติบโตมากับบทเพลงของศิลปินผิวดำอเมริกัน อย่าง อัลเบิร์ต แอมมอนส์ (Albert Ammons), ลีด เบลลี (Lead Belly) และ บิ๊ก บิลล์ บรูนซี (Big Bill Broonzy) สำหรับเขา ดนตรีบลูส์ ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ เพียงแค่บ้านหลังนี้ยังไม่ถูกสร้างขึ้นในอังกฤษ
“บลูส์ไม่ได้พูดถึงความเศร้า
แต่มันพูดถึงความจริงของชีวิต”
จอห์น เมย์ออลล์ เคยบอกไว้แบบนั้น เขาเริ่มต้นจากวงดนตรีเล็ก ๆ ในแมนเชสเตอร์ ก่อนย้ายสู่นครลอนดอน ซึ่งในเวลาต่อมากลายเป็นศูนย์กลางของ British Blues Boom ด้วยเครือข่ายคลับ อย่าง The Flamingo, Marquee และ Ealing Club ที่มี อเล็กซิส คอร์เนอร์ (Alexis Korner) และ ไซริลล์ เดวีส์ (Cyril Davies) วางรากฐานไว้ก่อนหน้า
เมื่อ เมย์ออลล์ ก่อตั้ง ‘เดอะ บลูส์เบรคเกอร์ส’ (The Bluesbreakers) เขาตั้งใจทดลองนำเสนอสุ้มเสียงบลูส์ในแบบฉบับของตัวเอง โดยมีสมาชิกหมุนเวียนสลับสับเปลี่ยนหน้า ไม่ว่าจะเป็น โรเจอร์ ดีน (Roger Dean), เบอร์นี วัตสัน (Bernie Watson), มิค เทย์เลอร์ (Mick Taylor), ปีเตอร์ กรีน (Peter Green) หรือแม้แต่ เอริก แคลปตัน (Eric Clapton) ซึ่งต่างเดินผ่านวงนี้เหมือนเข้าโรงเรียนบลูส์ ก่อนจะออกไปสร้างโลกของตัวเอง
บางคนจึงเรียก เดอะ บลูส์เบรคเกอร์ส ว่า เป็น The Academy of British Blues และ เมย์ออลล์ คือ ‘อธิการบดี’ ผู้เคร่งครัดในอุดมการณ์ แต่ใจกว้างกับความเสี่ยงทางดนตรี
ปี 1965 ชื่อเสียงของ เมย์ออลล์ ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างนัก แต่ในผับยามค่ำที่โซโห เสียงฮาร์โมนิกาและเสียงออร์แกนของเขา กลับมีพลังบางอย่างที่จะสะกดนักดนตรีหนุ่ม อย่าง เอริก แคลปตัน เด็กหนุ่มที่มาจากเซอร์เรย์ (Surrey) ที่กำลังดั้นด้นแสวงหาความหมายที่แท้จริงของ ‘บลูส์’ ในสายตาของคนอังกฤษ
เมย์ออลล์ เป็นคนแรกๆ ที่มองเห็นความพิเศษในตัวของ แคลปตัน เขาเปิดพื้นที่ให้นักดนตรีรุ่นน้องคนนี้ใช้เวลาในการค้นพบเสียงของตัวเอง ให้พื้นที่ของวงดนตรีเป็นเครื่องมือฝึกและทำความเข้าใจ ถึง ‘น้ำหนักของความเงียบ’ และความหมายของจังหวะชัฟเฟิล (shuffle)
“สิ่งที่ผมพยายามทำ คือให้คนฟัง ‘เห็น’ เสียงดนตรี ไม่ใช่แค่ได้ยินมัน”
เมย์ออลล์ กล่าว
ช่วงนั้น มือกีตาร์หน้าใหม่ อย่าง เอริก แคลปตัน เริ่มเป็นที่พูดถึงในแวดวงดนตรีอังกฤษบ้างแล้ว เขาอยู่กับวง ‘เดอะ ยาร์ดเบิร์ดส์’ (The Yardbirds) ระหว่างปี 1963 ถึงต้นปี 1965 แต่เมื่อวงเริ่มเปลี่ยนแนวทางไปสู่ความเป็นป๊อป และเน้นความสำเร็จในชาร์ตเพลง แคลปตัน ก็รู้สึกว่านั่นไม่ใช่หนทางของตนเองอีกต่อไป
ในเดือนเมษายน 1965 เขาเข้าร่วมกับวง เดอะ บลูส์เบรกเกอร์ส โดย เมย์ออลล์ เปิดต้อนรับเขาในฐานะมือกีตาร์ที่จะมา ‘เสริมพลังเสียง’ ให้แก่วง แต่ยังมีหลายอย่างไม่ราบรื่นนัก แคลปตัน หายไประยะหนึ่งช่วงกลางปีเพื่อเดินทางไปทัวร์กับวง ‘The Glands’ (ที่เป็นโปรเจกต์ชั่วคราว) ช่วงนั้น เมย์ออลล์ จึงทดลองนำ ปีเตอร์ กรีน หรือคนอื่นๆ มาสลับตำแหน่ง ก่อนที่ แคลปตัน จะกลับมาร่วมวงอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน 1965
ในช่วงเวลานี้ แคลปตัน ได้กลายเป็น ‘จุดศูนย์กลาง’ ของการตัดสินใจทางดนตรี เมย์ออลล์ เปิดทางให้เขาทดลอง เสนอไอเดียของซาวด์ดนตรี เปิดทางให้แก่แนวการเล่นกีตาร์ ทั้งเรื่อง space และ phrasing รวมถึงการมีส่วนกำหนดทิศทางของอัลบั้ม
ในบทสัมภาษณ์หลายแห่ง เมย์ออลล์ ยอมรับว่าเขาเลือก แคลปตัน เพราะเห็น“ความจริงจังที่มีต่อเพลงบลูส์” ขณะที่ แคลปตัน มองว่า เดอะ บลูส์เบรคเกอร์ส ให้ ‘อิสระ’ ที่เขาปรารถนา
แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ แต่ช่วงเวลาที่ แคลปตัน อยู่กับ เมย์ออลล์ ก็เปี่ยมด้วยความเข้มข้น ไม่ต่างจากการประกาศตัวตนของมือกีตาร์คนหนึ่งที่กำลังจะก้าวเป็นตำนาน
ในเดือนพฤษภาคม 1966 พวกเขาเดินเข้าห้องอัดของค่ายเพลงเดคกา ที่เมืองเวนต์แฮมสเต็ด ด้วยอุปกรณ์เพียงไม่กี่ชิ้น แต่สุ้มเสียงที่ปรากฏออกมา ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า เป็น ‘จุดเริ่มต้นของโทน Marshall อันเป็นตำนาน’
ซาวด์เอนจิเนียร์ ผู้อัดเสียง คือ กัส ดัดเจียน (Gus Dudgeon) ซึ่งในเวลาต่อมา มีชื่อเสียงจากการร่วมงานกับ เอลตัน จอห์น (Elton John) โดย เมย์ออลล์ ต้องการให้เสียงในอัลบั้ม มี “พลังและบรรยากาศของการเล่นสดในคลับ” จึงบันทึกวงดนตรีทั้งวงพร้อมกันในห้องเดียว ให้ไมโครโฟนรับเสียงของห้องอัดจริงๆ แทนการอัดแยกแทร็ค
สิ่งที่เปลี่ยนโฉมหน้าดนตรีร็อกอังกฤษ คือการเลือกอุปกรณ์ของ เอริก แคลปตัน เขาใช้กีตาร์ Gibson Les Paul Standard ปี 1960 ต่อเข้ากับแอมป์ Marshall Model 1962 Combo (2×12”) หรือที่รู้จักกันภายหลังในชื่อ ‘Bluesbreaker Amp’ แอมป์ตัวนี้ให้เสียงแตกในระดับที่หลอดเริ่มอิ่มตัว (tube saturation) เสียงหนาแต่ไม่ขุ่น มีมวลแน่นแต่ยังได้ยินปลายเสียงครบ และยังคงรายละเอียดของตัวโน้ตไว้ชัดเจน ซึ่งกลายเป็นโทนที่นักกีตาร์รุ่นหลัง เรียกว่า the woman tone
แคลปตัน ตั้งใจเปิดวอลลุ่มแอมป์เต็มเกือบสุด เสียงที่ออกมาไม่ได้ถูกควบคุมด้วยเอฟเฟ็กต์หรือไมค์พิเศษใด แต่ด้วยน้ำหนักนิ้วและการควบคุม sustain ด้วยมือขวา ดังที่ นีล สลาเวน (Neil Slaven) เขียนบรรยายใน liner notes ของอัลบั้ม ระบุว่า “โทนเสียง(กีตาร์)ของเขามีความหนา แต่เปี่ยมด้วยความเป็นเสียงร้อง เป็นเสียงที่นำพาเมโลดีได้ชัดเจนไม่ต่างจากเสียงมนุษย์”
นอกจาก แคลปตัน สมาชิกวงดนตรี ประกอบด้วย จอห์น เมย์ออลล์ - ออร์แกน / เปียโน / ฮาร์โมนิกา / ร้องนำ , จอห์น แมควี - เบส และ ฮิวกี ฟลินท์ - กลอง พร้อมมือฮอร์นรับเชิญสามคน อลัน สคิดมอร์ - เทเนอร์ แซ็กโซโฟน, จอห์น อัลมอนด์ - บาริโทน แซ็กโซโฟน และ เดนนิส ฮีลีย์ - ทรัมเป็ต ที่มาบันทึกในเพลง ‘What’d I Say’ และ ‘Key to Love’ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในแวดวงบลูส์อังกฤษ ที่มีการเพิ่มฮอร์นเซ็คชั่น เพื่อปรับโครงสร้างวงให้สมบูรณ์เหมือนวงชิคาโกบลูส์ ในยุคของ บัดดี กาย (Buddy Guy) และ โอทิส รัช (Otis Rush)
เมย์ออลล์ วางแนวทางการอัดเสียงแบบ live take อัลบั้มทั้งชุดอัดเสร็จภายในสองวันครึ่ง โดยให้ความรู้สึกเหมือนฟัง ‘วงกำลังแสดงอยู่ตรงหน้า’ มากกว่าจะเป็นสุ้มเสียงประณีตแบบดนตรีในสตูดิโอ แคลปตัน และ ฟลินท์ ยืนห่างกันไม่ถึงสามเมตร เสียงกลองจึงรั่วเข้าไลน์กีตาร์ แต่ เมย์ออลล์ กลับมองว่าความไม่สมบูรณ์เหล่านี้ คือส่วนหนึ่งของเสียงจริง ผลลัพธ์คือโทนดนตรีที่หนา อิ่ม และเปี่ยมด้วยบรรยากาศ กลายเป็นต้นแบบของงานบันทึกเสียงบลูส์อังกฤษรุ่นต่อมา ตั้งแต่ ปีเตอร์ กรีน ถึง จิมมี เพจ (Jimmy Page)
อัลบั้มถูกมิกซ์และตัดแผ่นโดย บิลล์ ไพรซ์ ซาวด์เอนจิเนียร์ของค่าย ในเดือนมิถุนายน 1966 ก่อนจะออกจำหน่ายในวันที่ 22 กรกฎาคม 1966 อัลบั้มนี้แทบจะไม่มี overdub ไม่มีการแก้จังหวะ ทุกอย่างถูกเก็บไว้ในรูปเดียวตามที่วงเล่นจริง (อาจจะมีอัดเพิ่มเติมในส่วนของฮอร์นเล็กน้อย) และนั่นคือสิ่งที่ทำให้งานชิ้นนี้ยังคงความสดอยู่จนถึงปัจจุบัน
“เมื่อเขาเปิดแอมป์ เสียงแรกที่ดังขึ้นทำให้บรรยากาศทั้งห้องเปลี่ยนไป ราวกับสีสันรอบตัวแปรเปลี่ยนในชั่วพริบตา” เป็นคำกล่าวของ กัส ดัดเจียน ที่บอกกับ Mojo Magazine (1996) ในช่วงที่ แคลปตัน ทดสอบเสียงกีตาร์เลส พอล กับแอมป์มาร์แชล ครั้งแรกในห้องอัด
นี่คือการออกแบบทางสุนทรียะ ความกล้าที่จะเชื่อในสิ่งที่ไม่สมบูรณ์ การปล่อยให้สภาพอะคูสติกของห้องอัดทำงาน ไมโครโฟนจับตัวโน้ตในอากาศแทนที่จะควบคุม และด้วยโมเมนต์ทางดนตรีที่ไม่อาจทำซ้ำได้อีกเลย
ภาพหน้าปกของ Blues Breakers with Eric Clapton ถ่ายโดย เดวิด เว็ดก์เบอรี (David Wedgbury) ช่างภาพประจำค่ายเดคกา สะท้อนบรรยากาศของวงดนตรีจริง ไม่ใช่ภาพเซ็ตสตูดิโอแบบวงป๊อปในยุคนั้น
ในภาพ นักดนตรีทั้งสี่คนนั่งอยู่ริมกำแพงในย่านเวสต์แฮมสเต็ด ตรงข้ามกับสตูดิโอ ที่พวกเขาเพิ่งอัดเสียงเสร็จ ในมือของ แคลปตัน กำลังถือ ‘Beano’ นิตยสารการ์ตูนเด็กชื่อดังของอังกฤษในยุค 1960s
ภาพนี้กลายเป็นตำนานทันที เพราะ ‘Beano’ กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอังกฤษที่ไม่เสแสร้ง ความขบถแบบเด็กชายผู้ไม่สนโลก และทำให้แฟนเพลงตั้งชื่อเล่นอัลบั้มนี้ว่า ‘The Beano Album’
รายละเอียดเล็ก ๆ ที่ แคลปตัน ‘ถือหนังสือแทนกีตาร์’ สะท้อนบุคลิกของเขาในเวลานั้น นักดนตรีที่อยากอยู่เงียบ ๆ กับสิ่งที่รักมากกว่าทำตัวเป็นซูเปอร์สตาร์
ในปี 2008 The Guardian เขียนถึงภาพนี้ว่า “ภาพนี้จับช่วงเวลาที่ บรติช บลูส์ เพิ่งตื่นขึ้นจากการหลับใหล ชายหนุ่มสี่คน ผู้ถ่อมตน เรียบง่าย และไม่รู้เลยว่าเสียงของพวกเขากำลังเขียนหน้าประวัติศาสตร์”
ปกนี้ยังถูกจัดอันดับโดย Classic Rock Magazine ให้เป็นหนึ่งใน ‘Top 50 Greatest Album Covers of All Time’ และยังถูกนำมาอ้างอิงซ้ำในงานรีมาสเตอร์ทุกฉบับ
ทุกเพลงใน Blues Breakers with Eric Clapton เหมือนการเล่าเรื่องทีละตอนของมือกีตาร์คนหนึ่งที่เพิ่งค้นพบ ‘น้ำเสียงของตัวเอง’ เสียงหนาแต่ไม่กร้าว หนักแน่นแต่เปี่ยมด้วยความยืดหยุ่น คือภาษาใหม่ของบลูส์อังกฤษที่ถือกำเนิดขึ้นในห้องอัด
- All Your Love (Otis Rush) เสียงกีตาร์เปิดอัลบั้มที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งยุค แคลปตัน ใช้คอร์ด minor blues ในคีย์ A ทิ้งโน้ตแต่ละตัวให้อยู่ในอากาศ นานพอจะได้ยินการแตกของหลอดแอมป์ที่อิ่มเต็มพอดี All Your Love คือบทเรียนแรกของความสงบในความร้อนแรง ไม่รีบ ไม่รัว แต่ทุกเสียงมีน้ำหนักในแบบ “หนาแต่ยังเปล่งเสียงร้องได้” (thick yet singing)
- Hideaway (Freddie King / Sonny Thompson) เพลงบรรเลงชิ้นนี้ โชว์ลีลาในโครงสร้างบลูส์ 12 ห้อง (12-bar blues) แบบคลาสสิก แคลปตัน เติมวลีเพลงด้วยเทคนิคการลากเสียงและดึงสาย (string bending) ทำให้เพลงนี้มีโทนที่ต่างจากต้นฉบับของ เฟรดดี คิง รวมถึงการเปิดสเปซให้ ฟลินท์ ตอบโต้ด้วยกลองสแนร์ที่หนักและเบาสลับกัน
- Double Crossin’ Time (Mayall / Clapton) หนึ่งในเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ เมย์ออลล์ เขียนเนื้อร้องด้วยอารมณ์ประชดประชันต่อวงการเพลงอังกฤษ ณ เวลานั้น แคลปตัน ทำให้เนื้อหามีเลือดเนื้อมากยิ่งขึ้น ด้วยเสียงโซโลกีตาร์ที่เดินสวนกับคำร้อง เหมือนเป็นเสียงสนทนาของอีกฝ่าย จังหวะชัฟเฟิล ของ แมควี และ ฟลินท์ แน่นแต่ไม่แข็ง ให้ความรู้สึกเหมือนวง ชิคาโก บลูส์ ที่ถูกย้ายมาอยู่ย่านโซโห ใจกลางนครลอนดอน
- Have You Heard (Mayall) นี่คือเพลงที่นักวิจารณ์หลายคนยกให้เป็นจุดสูงสุดของอัลบั้ม เพราะ แคลปตัน เล่นโซโลได้ทั้ง ‘หนักแน่นและอ่อนไหว’ ในเวลาเดียวกัน เสียงกีตาร์ค่อย ๆ ขยายจนเหมือนจะเอ่อล้นออกจากขอบเกรนของเสียง แต่ยังไม่แตกพร่า นี่คือเสียงที่ ‘หยุดเวลาได้ชั่วขณะ’ การประคองโน้ตยาวพร้อมเทคนิค vibrato เล็กน้อย ทำให้เสียงกีตาร์มีอารมณ์คล้ายเสียงร้องของมนุษย์
- Ramblin’ on My Mind (Robert Johnson) นับเป็นครั้งแรกที่ แคลปตัน ร้องนำในการบันทึกเสียง เขาเลือกเพลงของ โรเบิร์ต จอห์นสัน เพื่อบอกเล่าตัวตน น้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย ไม่ประดิษฐ์ เหมือนคนกำลังพูดกับตนเอง เสียงกีตาร์ที่พ่วงมากับเสียงร้องไม่ใช่เพียงเครื่องดนตรีประกอบ แต่เป็นส่วนขยายของน้ำเสียง เมย์ออลล์ เติมเสียงคีย์บอร์ดบางเบาไว้ใต้ไลน์กีตาร์ คล้ายเงาของบทอธิษฐาน นี่คือ ‘บลูส์แบบอังกฤษ’ ที่ขยับออกจากการลอกสำเนียงอเมริกัน ด้วยการแปลความเศร้าและความรู้สึกภายในออกเป็นภาษาของตัวเอง
- What’d I Say / Key to Love (Ray Charles / Mayall) สองเพลงนี้แสดงให้เห็นความพยายามของ เมย์ออลล์ ในการขยายโครงสร้างของวง โดยการเพิ่มฮอร์นสามชิ้น ให้พื้นเสียงฟังเหมือนวงดนตรีเต็มวงในผับ เสียงกีตาร์ผ่านแอมป์มาร์แชลของ แคลปตัน อยู่ในระยะพอดี ไม่กลบแซ็กหรือทรัมเป็ต แต่ยังคงคมชัด เพลงเหล่านี้คือร่องรอยของแนวคิด R&B ที่เริ่มผสานกับบลูส์ สะพานเชื่อมไปสู่วง บริติชร็อก ในอีกไม่กี่ปีถัดมา
- Steppin’ Out / It Ain’t Right ปิดอัลบั้มด้วยสองเพลงที่เล่นด้วยพลัง เหมือนการแสดงสด Steppin’ Out คือโซโลที่ทำให้แฟนกีตาร์พูดถึง แคลปตัน ไม่รู้จบ ขับเคลื่อนด้วยโน้ตสั้นรวดเร็ว ในคีย์ G แบบชิคาโกบลูส์ ขณะที่ It Ain’t Right จบด้วยฮาร์โมนิกาของ เมย์ออลล์ ที่แหบและดิบอย่างตั้งใจ
อัลบั้ม Blues Breakers with Eric Clapton ไม่ได้เพียงทำให้ชื่อ แคลปตัน เป็นที่รู้จัก แต่ยังเปิดประตูให้ ‘บลูส์อังกฤษ’ หรือ ‘บริติช บลูส์’ ก้าวจากผับสู่ชาร์ตเพลง เป็นครั้งแรกที่ ‘เสียงบลูส์’ ในแบบชิคาโก ถูกบันทึกอย่างจริงจังและขายได้ในตลาดเพลงอังกฤษ และจากวันนั้น บลูส์ ก็ไม่ใช่ดนตรีของอเมริกาเพียงประเทศเดียวอีกต่อไป
เมื่อออกวางจำหน่ายวันที่ 22 กรกฎาคม 1966 อัลบั้มนี้พุ่งขึ้นอันดับ 6 ใน UK Albums Chart และอยู่ในชาร์ตรวม 17 สัปดาห์ นับเป็นสิ่งไม่เคยเกิดขึ้นกับอัลบั้มบลูส์ของอังกฤษมาก่อน ด้วยสุ้มเสียงดนตรีที่มีความหนา ดิบ และสด ทำให้แฟนเพลงรุ่นใหม่รู้จักคำว่า บริติช บลูส์ เป็นครั้งแรก พร้อมๆ กับการปรากฏของกราฟฟิตีข้อความ ‘Clapton is God’ ที่ถูกพ่นบนกำแพงสถานีรถไฟใต้ดิน Islington ทางตอนเหนือของลอนดอน
เพียงหนึ่งสัปดาห์หลังแผ่นออกวางขาย แคลปตัน ลาออกจาก เดอะ บลูส์เบรคเกอร์ส และก่อตั้งวง ครีม (Cream) โดยร่วมกับ แจ็ค บรู้ซ และ จิงเจอร์ เบเกอร์ โดยที่โครงสร้างดนตรีของ ครีม ทั้งวิธีโต้ตอบระหว่างเครื่องดนตรี ยังสืบทออดแนวทางมาจากวงของ เมย์ออลล์
อิทธิพลการเล่นในสไตล์นี้กระจายออกไปอย่างกว้างขวาง ปีเตอร์ กรีน ผู้รับตำแหน่งกีตาร์ต่อในวง ยังได้นำแนวคิดเดียวกันนี้ไปพัฒนาต่อในวง ฟลีทวูด แมค (Fleetwood Mac) ยุคแรก (1967–1970) จาก เมย์ออลล์ สู่ กรีน จาก กรีน สู่ แคลปตัน และจากพวกเขา ไปสู่นักดนตรีคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น จิมมี เพจ. เจฟฟ์ เบ็ค และ พอล คอสซอฟฟ์ แห่งวง ฟรี (Free) ทั้งหมดเริ่มจากต้นทางเดียวกัน
นีล สลาเวน สรุปผลลัพธ์จากอัลบั้มนี้ว่า “วง บลูส์เบรคเกอร์ส พิสูจน์ว่า นักดนตรีอังกฤษสามารถเล่นบลูส์ได้อย่างมีอำนาจและความรู้สึก โดยไม่ต้องแสร้งเป็นใคร” เช่นเดียวกับสื่ออเมริกัน นิตยสาร Down Beat Magazine รายงานว่า “บลูส์ของอังกฤษไม่ใช่เพียงการลอกเลียนอีกต่อไป มันกลายเป็นภาษาที่มีไวยากรณ์และสำเนียงของตนเอง”
การตีความบลูส์ ของ เมย์ออลล์ และ แคลปตัน ยังทำให้ศิลปินบลูส์ต้นแบบชาวอเมริกัน อย่าง มัดดี วอเตอร์ส (Muddy Waters) และ บัดดี กาย (Buddy Guy) ต้องหันมาฟังผลงานของคนดนตรีอังกฤษด้วยความสนใจ
ในปี 2003 นิตยสาร Rolling Stone จัดให้อัลบั้มนี้อยู่ในลำดับที่ 195 ของ ‘500 Greatest Albums of All Time’ และยังอยู่ในลิสต์เดียวกันอีกครั้ง เมื่ออัปเดตในปี 2020 ส่วน AllMusic ให้คะแนน 5 ดาวเต็ม พร้อมการันตีว่า นี่คือ ‘the definitive British blues album’ ทุกครั้งที่อัลบั้มนี้ถูกรีมาสเตอร์ เสียงของกีตาร์ แคลปตัน ยังคงมีคุณสมบัติเดียวกันกับปี 1966 นั่นคือความหนา อิ่ม และเต็มไปด้วยพลังในอากาศ ยืนยันว่าการบันทึกเสียงครั้งนั้นไม่ได้แก่เฒ่าไปตามกาลเวลา
เสียงกีตาร์ที่ถูกบันทึกไว้ในเดือนพฤษภาคม 1966 ยังคงทรงพลังแม้ในปี 2025 ไม่ใช่เพราะความดัง หรือความเร็ว แต่เพราะเป็นการบันทึก ‘ช่วงเวลาที่มนุษย์คนหนึ่งค้นพบตัวเอง’ ได้อย่างซื่อสัตย์ที่สุด
เมื่อเปิดแผ่น Blues Breakers with Eric Clapton ในยุคที่ระบบเสียง กลายเป็นไฟล์ดิจิทัล 24-bit และทุกโน้ตผ่านการขัดเงาในห้องมิกซ์ ยิ่งชัดเจนว่า ‘เสียงของปี 1966’ มีบางอย่างที่เทคโนโลยีไม่สามารถทดแทนได้ อัลบั้มนี้เป็นตัวอย่างของ ‘ความไม่สมบูรณ์ที่งดงาม’ (beautiful imperfection) เสียงกลองของ ฟลินท์ หลุดเฟสเล็กน้อยในบางช่วง เสียงเบสของ แมควี บางครั้งหนาเกินไปในย่าน mid-range แต่ทั้งหมด กลับทำให้ภาพรวมมีชีวิต เหมือนการพูดคุยในห้องจริงๆ
แคลปตัน ไม่พยายามโชว์ความเร็ว หรือความแม่นยำ แต่ใช้ความเงียบเป็นส่วนหนึ่งของจังหวะ ด้วยการเว้นช่องไฟระหว่างโน้ตซึ่งกลายเป็นลมหายใจของอัลบั้ม เมื่อฟังในระบบสตรีมมิง Lossless คุณภาพสูง อย่าง Tidal เราจะเห็นว่าเสียงกีตาร์ใน ‘Have You Heard’ ยังเปิดโล่งเหมือนเดิม ขณะที่เพลง ‘Ramblin’ on My Mind’ ยังคงมีโทนอบอุ่นของแอมป์หลอดที่ดิจิทัลไม่อาจแทนที่ได้
สำหรับคนรุ่นหลังที่เติบโตมากับดนตรีที่ผ่านการโปรดิวซ์อย่างหมดจด ในทุก ๆ รายละเอียด โดยเฉพาะในยุคหลัง 2000 เสียงของอัลบั้มนี้ อาจ ‘เก่า’ หรือ ‘ไม่สมดุล’ แต่หากเปิดใจฟังแบบที่ เมย์ออลล์ ตั้งใจไว้ในปี 1966 มันคือบทเรียนของความซื่อสัตย์ทางเสียง เสียงกีตาร์ของ แคลปตัน ไม่ได้บอกเล่าเพียงเรื่องราวของบลูส์ แต่บอกกล่าวถึงช่วงวัยของศิลปินคนหนึ่งที่ยังไม่รู้ว่าจะไปถึงจุดใด การเล่นของเขา แม้จะเต็มไปด้วยความมั่นใจ แต่ก็ยังมีความระแวดระวัง มีทั้งพลังและความอ่อนโยนในประโยคเดียวกัน บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลแท้จริงที่ทำให้อัลบั้มนี้ยังฟังได้เสมอ
แม้จะผ่านมากว่า 59 ปี สิ่งที่ Blues Breakers สอนเรายังเหมือนเดิม เสียงดนตรีไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยี แต่มาจากการฟังกันและกัน ในโลกที่ทุกอย่างเร่งเร้า อัลบั้มนี้สอนให้รู้จัก ‘จังหวะที่พอดี’ ของชีวิต และซื่อสัตย์พอที่จะทำให้คนอีกยุคหนึ่งอยากย้อนกลับมาเปิดฟัง
หากโลกของการบันทึกเสียงมีแต่ความสมบูรณ์แบบ อัลบั้มนี้คงไม่มีวันถือกำเนิดขึ้น ทว่า - ตัวมันกลับงดงามอย่างสมบูรณ์แบบ ก็เพราะความ ไม่ สมบูรณ์แบบนั่นเอง.
ที่มา:
- Slaven, Neil. Liner Notes to “Blues Breakers with Eric Clapton.” Decca Records, 1966.
- Rolling Stone. “500 Greatest Albums of All Time: Blues Breakers with Eric Clapton.” 2003.
- Mojo Magazine. “Clapton’s Marshall: The Sound That Changed British Blues.” July 2016.