24 ก.ย. 2568 | 15:13 น.

KEY
POINTS
ปลายทศวรรษ 1970s คือห้วงเวลาที่โลกดนตรีอังกฤษถูกโหมกระหน่ำด้วยพลังของวัฒนธรรม ‘พังก์’ (Punk) ถ่ายทอดผ่านความดิบ อารมณ์ก้าวร้าว และท่าทีที่ท้าทายทุกขนบดั้งเดิม พังก์ คือเสียงของคนหนุ่มสาวที่โกรธเกรี้ยวต่อสังคม และต้องการบอกว่า ใคร ๆ ก็สามารถลุกขึ้นมาทำเพลงได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบใหญ่
ในท่ามกลางกระแสคลื่นนั้น ‘เดอะ โพลิซ’ (The Police) คือวงน้องใหม่ที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก นำโดย ‘สติง’ (Sting) นักร้อง–มือเบสผู้หลงใหลทั้งแจ๊สและร็อก โดยมีเพื่อนร่วมวง ประกอบด้วย ‘สจวร์ต โคปแลนด์’ (Stewart Copeland) มือกลองชาวอเมริกันผู้ห้าวหาญ และ ‘แอนดี ซัมเมอร์ส’ (Andy Summers) มือกีตาร์ผู้มากประสบการณ์
ช่วงเวลานั้น ทั้งสามคนยังคงวนเวียนในแวดวงดนตรีเล็ก ๆ ของลอนดอน เล่นโชว์ตามคลับที่มีคนดูแค่สิบกว่าชีวิต แต่ทุกคนมีความฝันและเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะสร้างสรรค์เสียงที่แตกต่างจากกระแสพังก์ที่ครอบงำอยู่ในขณะนั้น
ระหว่างการเดินสายทัวร์ร่วมกับวง ‘เวย์น เคาน์ตี’ (Wayne County) ในเดือนตุลาคม 1977 จุดหมายหนึ่งของพวกเขาคือ นครปารีส และที่นั่นเอง ในโรงแรมราคาถูกหลังสถานีรถไฟ การ์ แซ็งต์-ลาซาร์ (Gare Saint-Lazare) สติง ได้พบแรงบันดาลใจที่จะเปลี่ยนชีวิตเขาและเพื่อนร่วมวงไปตลอดกาล
โรงแรมที่พักแห่งนั้นตั้งอยู่ในซอยแคบ ๆ ที่เต็มไปด้วยผู้หญิงซึ่งยืนพิงประตู ราวกับกำลังรอคอยใครสักคน จากคำบอกเล่าของ สติง เขาเห็นผู้หญิงราวยี่สิบคนยืนเรียงรายอยู่ตรงนั้น บางคนยังสาว บางคนเป็นหญิงสูงวัย แต่ทุกคนต่างแบกชะตาชีวิตไว้ในแววตาของตนเอง
ภาพที่พบเห็นกระทบใจชายหนุ่มอย่างแรง เมื่อเดินเข้าสู่ล็อบบี้เก่าโทรมของโรงแรม สติง ยังสะดุดตากับโปสเตอร์ละครเวที ‘Cyrano de Bergerac’ ของ ‘เอดมงด์ โรสตัง’ (Edmond Rostand) ซึ่งเป็นเรื่องราวของชายผู้มีหัวใจยิ่งใหญ่ แต่กลับไม่อาจครอบครองหญิงที่รัก และนางเอกของเรื่องนั้นมีชื่อว่า ‘ร็อกซาน’ (Roxane)
ค่ำคืนนั้น สติง กลับขึ้นห้องพัก เขาเริ่มเขียนเพลงที่เชื่อมโยงภาพที่พบเห็นเข้าด้วยกัน ผู้หญิงในซอยเปลี่ยวของปารีส และชื่อตัวละคร ร็อกซาน (Roxane) จากละครเวที โดยมีกีตาร์โปร่งเป็นเพื่อนในห้อง สติง หล่อหลอมความโรแมนติกและความเศร้าให้กลายเป็นเรื่องราวที่มีท่วงทำนองขึ้นมา
เพลงนี้ถูกตั้งชื่อว่า Roxanne และในความทรงจำของ สติง เขายอมรับว่า การสร้างสรรค์บทเพลงนี้ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาอย่างมีนัยสำคัญ
ในตอนแรก สติง ตั้งใจเขียน Roxanne ให้เป็นเพลงในบรรยากาศ ‘แจ๊ส-บอสซาโนวา’ อันอ่อนโยน ทว่าภายหลัง เมื่อวง เดอะ โพลิซ นำเพลงนี้เข้าสู่กระบวนการซ้อม เสียงดนตรีได้เปลี่ยนรูปไปโดยสิ้นเชิง กลายเป็นสิ่งที่เขาเรียกว่า ‘ไฮบริด แทงโก’
สจวร์ต โคปแลนด์ มือกลอง คือผู้มีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ เขาเสนอให้เน้นจังหวะที่สองของแต่ละห้อง ด้วยเสียงเบสและกลองกระเดื่อง เสมือนสร้าง ‘การก้าวเดินแบบอาร์เจนตินา’ ที่ทำให้เพลงมีบุคลิกเฉพาะตัว โคปแลนด์ ยังผลักดันให้ สติง ปรับทำนองเสียงร้อง ให้มีเส้นทางที่ ‘หักเหลี่ยม’ และคาดเดาได้ยากกว่าเดิม คุณสมบัติที่จะทำให้เสียงของเขาโดดเด่นและไม่เหมือนใคร
การบันทึกเสียงเต็มไปด้วยการลองผิดลองถูก แต่เมื่อ สติง อัดเสียงร้องซ้อนๆ หลายชั้นในท่อนคอรัส สมาชิกวงก็เริ่มตระหนักว่าพวกเขาได้ค้นพบสิ่งที่พิเศษสุด เพลงนี้ไม่เหมือนกับเพลงใด ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในยุคนั้น และนั่นเองคือเหตุผลที่ทำให้ Roxanne กลายเป็นหนึ่งในจุดยืนใหม่ของ เดอะ โพลิซ
แม้สมาชิกวงจะรู้สึกว่า Roxanne มีพลังและเอกลักษณ์ แต่ความมั่นใจยังถูกบดบังด้วยความวิตกกังวล สติง ยอมรับว่าเขาเองไม่แน่ใจว่าจะอธิบายเพลงนี้อย่างไร ในยุคที่ตลาดเพลงพังก์กำลังครองกระแส ความโรแมนติกอันบิดเบี้ยวของ Roxanne ดูเหมือนจะไม่เข้าพวกนัก
เมื่อถึงเวลาต้องเล่นเพลงให้ ‘ไมล์ส โคปแลนด์’ (Miles Copeland) พี่ชายของมือกลองฟัง (ตอนนั้น ไมล์ส ยังไม่ได้เป็นผู้จัดการของวงอย่างเป็นทางการ) บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความตึงเครียด สติง บรรยายภาพเหตุการณ์นี้ไว้อย่างละเอียด ตั้งแต่เสียงเปียโนที่เกิดจากการที่บั้นท้ายของเขาไปกระแทกโดนคีย์เปียโนโดยไม่ตั้งใจ เสียงหัวเราะประหม่า ก่อนที่คอร์ดกีตาร์จะตัดเข้ามาเป็นจังหวะ ‘แทงโก้กะเผลก’ ที่เพิ่งค้นพบ เขาร้องด้วยเสียงสูง คม และค่อนข้างแหลม (เอลวิส คอสเตลโล ถึงกับบอกในภายหลังว่า ตอนได้ฟัง สติง ร้องเพลงนี้ เขาอยาก “เขกกระโหลกมันให้รู้แล้วรู้รอด”)
สติง สารภาพว่า ตอนนั้นเขาไม่กล้าแม้แต่จะสบตาใครในห้อง ตลอดการเล่นเพลง เต็มไปด้วยความเงียบและความกดดัน เขาเชื่อว่าหาก ไมล์ส ไม่ยอมรับ Roxanne วันเวลาของเขาใน เดอะ โพลิซ อาจนับถอยหลังได้เลย
เมื่อเสียงสุดท้ายของ Roxanne จบลง สติง เงยหน้าขึ้นอย่างหวาดหวั่น เขาสังเกตเห็นว่า หลังคอและติ่งหูของ ไมล์ส โคปแลนด์ แดงจัดไปหมด เขาคิดว่านั่นคือสัญญาณของความโกรธ พร้อมเตรียมใจรับคำปฏิเสธและความล้มเหลวที่กำลังจะตามมา แต่แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม ไมล์ส ส่ายหัวเล็กน้อย ก่อนเปล่งประโยคที่ไม่มีใครในห้องลืมได้
“นี่มันคลาสสิกโคตร ๆ มันจะฮิตถล่มทลายเลยโว้ย”
(It’s a goddamn classic, it’s a fuckin’ smash.)
คำพูดนี้กลายเป็นเหมือนตราประทับอนาคตของเพลง และของวงทั้งวง ไมล์ส ตื่นเต้นถึงขนาดคว้าเทปเพลงออกไปจากห้อง ร้องท่อนคอรัสด้วยสำเนียงอเมริกันใต้ที่ดูเหนือจริง พร้อมตบหลัง สติง อย่างหนักหน่วงราวกับปลอบขวัญสุนัขคู่ใจ
สำหรับ สติง และเพื่อนร่วมวง ความโล่งใจแปรเปลี่ยนเป็นความเชื่อมั่น คำตัดสินของ ไมล์ส ไม่เพียงรับรองว่า Roxanne มีพลังจริง แต่ยังกลายเป็นบันไดนำไปสู่สัญญากับค่ายใหญ่ A&M Records ซึ่งจะเปลี่ยนเส้นทางของ เดอะ โพลิซ จากวงเล็ก ๆ ในแวดวงพังก์ของลอนดอน ให้ก้าวเข้าสู่เวทีโลก
แม้ Roxanne จะได้รับไฟเขียวจาก ไมล์ส โคปแลนด์ และนำไปสู่การเซ็นสัญญากับค่าย A&M Records แต่เส้นทางกลับไม่ได้ราบรื่นอย่างที่ฝันไว้ เพลงถูกเปิดอย่างภาคภูมิใจในออฟฟิศของค่าย ทุกห้องทุกมุมล้วนเต็มไปด้วยเสียง Roxanne ที่ดังลั่นราวกับเป็นเพลงชัยชนะ ทว่า เมื่อซิงเกิลวางจำหน่ายในปี 1978 สถานีวิทยุ BBC ปฏิเสธที่จะบรรจุเพลงนี้ในเพลย์ลิสต์ โดยให้เหตุผลว่า “เนื้อหาซึ่งเกี่ยวข้องกับหญิงค้าประเวณีมีความไม่เหมาะสม”
นี่คือกำแพงสำคัญในการเข้าสู่กระแสการเผยแพร่หลักในยุคนั้น เพราะเมื่อ BBC ไม่เล่นเพลงนี้ สถานีอื่น ๆ ทั่วอังกฤษก็มักจะเดินตาม
ผลลัพธ์คือ Roxanne ไม่สามารถไต่ชาร์ตในรอบแรกของการปล่อยซิงเกิล แต่แม้จะผิดหวัง วงก็ยังคงเดินหน้าต่อ พวกเขายังต้องเล่นคอนเสิร์ตเล็ก ๆ ที่มีผู้ชมเพียง 6 คน และเก็บเกี่ยวกำลังใจจากการตอบรับแบบปากต่อปาก
สิ่งที่คาดไม่ถึง มาจากปฏิบัติการของเหล่าดีเจท้องถิ่นในอเมริกา ซึ่งเริ่มหยิบเพลงนี้ขึ้นมาเปิดอย่างจริงจัง ในสหรัฐอเมริกาช่วงปลายยุค 1970s มีระบบวิทยุที่กระจายตัวมากกว่าที่อังกฤษ แต่ละเมืองมีสถานีท้องถิ่นที่ดีเจสามารถเลือกเปิดเพลงนอกกระแสได้
ดีเจเหล่านี้ คือ ‘gatekeeper’ คนละแบบกับอังกฤษ พวกเขาเป็นคนแรกที่กล้าเปิด Roxanne แม้เพลงจะพูดถึงหญิงค้าประเวณี เมื่อเพลงเริ่มถูกเปิดซ้ำ ๆ ในบางตลาด มันค่อย ๆ ถูกพูดถึง และขยายไปยังสถานีอื่น จนในที่สุด A&M Records ตัดสินใจร่วมปั่นกระแสต่ออย่างจริงจัง
กล่าวได้ว่า ‘ดีเจท้องถิ่นในอเมริกา’ คือแรงผลักที่คาดไม่ถึง จากคลื่นวิทยุเล็ก ๆ กลายเป็นคลื่นลูกใหญ่ ที่ทำให้ Roxanne ค่อย ๆ ก้าวขึ้นเป็นเพลงแจ้งเกิดของ เดอะ โพลิซ ได้ในที่สุด
สิ่งที่ทำให้ Roxanne แตกต่างจากเพลงร่วมสมัยในปลายยุค 1970s อยู่ที่ภาษาดนตรีของมัน เดิมทีเพลงนี้ถูกเขียนให้เป็นบอสซาโนวา แต่เมื่อพัฒนาในห้องซ้อม กลับแปรเปลี่ยนเป็นจังหวะแทงโก้ ที่ ‘กะเผลก’ (lopsided) การเน้น (accent) ตรงจังหวะที่สอง ทำให้โครงสร้างของเพลงมีความแปลกหูและไม่เป็นไปตามสูตรเพลงป๊อปทั่วไป
เสียงร้องของสติง คือหัวใจของเพลงนี้ เขาไล่โทนเสียงขึ้นไปใน register ที่สูง และ ‘หักเหลี่ยม’ จนเกือบจะเป็นเสียงตะโกน ทว่า กลับสะกดผู้ฟังด้วยความเปราะบางของเนื้อหา ด้วยคำร้องที่บอกผู้หญิงชื่อ Roxanne ว่า “You don’t have to put on the red light” คือการผสมระหว่างความรู้สึกหวงแหนแบบชายหนุ่มกับความเวทนาอันโรแมนติก ภายใต้เงื่อนไขของโลกที่แสนโหดร้าย
เมื่อมองในภาพรวม Roxanne จึงเป็นบทเพลงที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ทั้งจังหวะแทงโก้ในเพลงร็อกอังกฤษ, ความรักโรแมนติกในโลกพังก์ และการเห็นใจหญิงขายบริการในสังคมที่มักตีตราพวกเธอ ความขัดแย้งเหล่านี้เอง ที่กลายเป็น ‘สูตรลับ’ ของ เดอะ โพลิซ และเป็นสัญญาณแรกว่า พวกเขากำลังจะก้าวออกจากบริบทของพังก์ ไปสร้างโลกใหม่ที่รู้จักกันในนาม ‘นิวเวฟ’ (New Wave)
Roxanne กำเนิดขึ้นจากคืนหนึ่งในปารีส ภาพของหญิงค้าประเวณีหลังสถานีรถไฟ Gare Saint-Lazare และโปสเตอร์ละคร Cyrano de Bergerac ที่ซีดจางในล็อบบี้เก่าโทรม โดย สติง ได้นำทั้งสองภาพนั้นมาหลอมรวมเป็นเสียงเพลงที่ทั้งโรแมนติกและหม่นเศร้า
นี่คือสุ้มเสียงที่ประกาศว่า เดอะ โพลิซ ได้สร้างโลกของตัวเอง โลกที่เริ่มต้นจากความบังเอิญในซอยมืดของนครปารีส แล้วก้าวไปสู่ตำนานในประวัติศาสตร์ร็อก
เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์
ที่มา:
Sting. Broken Music: A Memoir. New York: The Dial Press, 2003.