24 ธ.ค. 2568 | 17:58 น.

KEY
POINTS
ข่าวการหยุดผลิตซีรีส์ Super SENTAI (ขบวนการ 5 สี) ไม่ได้สะเทือนแค่แฟนฮีโร่ญี่ปุ่น แต่มันกำลังตั้งคำถามกับโลกที่เปลี่ยนไป ตั้งแต่โครงสร้างอุตสาหกรรมบันเทิง สังคมสูงวัย ไปจนถึงความหมายของคำว่า ‘ทีมเวิร์ก’ ในยุคปัจจุบัน
เพื่อทำความเข้าใจว่าทำไมฮีโร่ที่ยืนหยัดมากว่า 50 ปี ถึงมาถึงจุดเปลี่ยนนี้ เราอาจต้องย้อนดูรากของฮีโร่ญี่ปุ่นทั้งสี่สาย และคำตอบที่ซ่อนอยู่หลังหน้ากากหลากสีเหล่านั้น
ภาพยนตร์และซีรีส์แนวฮีโร่แปลงร่างของญี่ปุ่นที่ผู้ชมทั่วโลกคุ้นเคย สามารถแบ่งออกได้เป็นสี่สายหลัก ซึ่งล้วนถือกำเนิดขึ้นในบริบททางสังคมและอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน
สายแรกคือ ‘อุลตร้าแมน’ ภาคแรกออกอากาศเมื่อปี ค.ศ. 1966 โดยน่าจะมีแรงจูงใจจากกระแสภาพยนตร์หายนะจากสัตว์ประหลาดยักษ์อย่างก็อดซิลลา (ภาคแรกออกฉายในปี ค.ศ. 1954 และมีอีกหลายภาค) ที่ประสบความสำเร็จไปก่อนแล้ว จึงอยากสร้างฮีโร่ร่างยักษ์ขึ้นมาคอยพิทักษ์โลกจากหายนะของสัตว์ประหลาดยักษ์และมหันตภัยอื่น ๆ จนกลายเป็น ‘อุลตร้าแมน’ ฮีโร่ร่างยักษ์ที่ประสบความสำเร็จไปทั่วโลกยาวนานหลายทศวรรษ
สายถัดมาคือ ‘คาเมนไรเดอร์’ ภาคแรกออกอากาศเมื่อปี ค.ศ. 1971 โดยก่อนหน้านั้นไม่นาน ญี่ปุ่นเริ่มเผชิญปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ อีกทั้งในวงการนิยายและภาพยนตร์วิทยาศาสตร์เริ่มมีพล็อตที่ใช้วิทยาศาสตร์ในทางที่ผิด เช่น การจับมนุษย์หรือสัตว์มาทดลอง คาเมนไรเดอร์ภาคแรกจึงมีพล็อตเกี่ยวกับองค์กรชั่วร้ายที่จับมนุษย์และสัตว์มาทดลองตัดต่อพันธุกรรมหรือผ่าตัดให้กลายเป็นมนุษย์ดัดแปลง พระเอกของเรื่องจึงถูกลักพาตัวไปผ่าตัดให้กลายเป็นมนุษย์ดัดแปลงเช่นกัน และภาพยนตร์คาเมนไรเดอร์ก็ประสบความสำเร็จอย่างมากต่อเนื่องยาวนานหลายทศวรรษ (อ่านเรื่องของคาเมนไรเดอร์ภาคแรกได้ที่ www.thepeople.co/read/23658)
ส่วน ‘ขบวนการ 5 สี’ หรือ ‘Super SENTAI’ ภาคแรกคือ ‘ขบวนการ 5 จอมพิฆาต โกเรนเจอร์’ (秘密戦隊ゴレンジャー / Himitsu Sentai Gorenger) ออกอากาศเมื่อปี ค.ศ. 1975 เดิมทีในช่วงพัฒนาคาเมนไรเดอร์ มีความพยายามจะนำเสนอเป็นคาเมนไรเดอร์ 5 คน เนื่องจากก่อนหน้านั้นมีละครคาบูกิยอดนิยมในญี่ปุ่นเรื่อง ‘ชิรานามิ โกะนิงโอโตโกะ’ (白浪五人男) ซึ่งเล่าเรื่องหัวขโมย 5 คน ทำให้มีคนในวงการอยากสร้างฮีโร่ที่มีตัวเอก 5 ตัว แต่แนวคิดนี้ถูกพับไป เพราะต้องการให้คาเมนไรเดอร์เป็นนักสู้เดี่ยวมากกว่า
เมื่อคาเมนไรเดอร์โด่งดังติดลมบน จึงเกิดความพยายามทำ Market Differentiation ด้วยการสร้างภาพยนตร์ฮีโร่ 5 คนขึ้นมาในที่สุด โดยนำเสนอภาพของการทำงานเป็นทีมและการรวมพลังเป็นหัวใจสำคัญ แม้ในความเป็นจริงจะมีบางขบวนการที่มีสมาชิกเพียง 2 หรือ 3 คน แต่ขบวนการที่ได้รับความนิยมมากที่สุดมักมี 5 คน ชาวไทยจึงเรียกรวม ๆ ว่า ‘ขบวนการ 5 สี’ (อ่านเรื่องของขบวนการ 5 สีได้ที่ www.thepeople.co/read/18240)
สายสุดท้ายคือ ‘ตำรวจอวกาศ’ หรือที่ญี่ปุ่นทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Metal Hero ภาคแรกคือ ‘ตำรวจอวกาศเกียบัน’ (宇宙刑事ギャバン / Space Sheriff Gavan) ออกอากาศเมื่อปี ค.ศ. 1982 หลังจากอุลตร้าแมน คาเมนไรเดอร์ และขบวนการ 5 สี ประสบความสำเร็จอย่างมากในยุคที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังเฟื่องฟู มีกำลังซื้อสูง จึงต้องการสร้างฮีโร่หน้าใหม่ ๆ โดยรอบนี้ได้รับอิทธิพลจากฮอลลีวูด โดยเฉพาะ ‘Star Wars’ ทำให้พล็อตออกมาในแนวตำรวจอวกาศ มีดาบเลเซอร์ และการต่อสู้ระหว่างดวงดาวแบบ Star Wars และยังเป็นที่มาของคำศัพท์ภาษาไทยอย่าง ‘บรรยากาศมาคุ’ (อ่านเรื่องของเกียบันได้ที่ www.thepeople.co/culture/character/6044)
เมื่อมองย้อนกลับมา จะเห็นว่าทั้งสี่สายล้วนเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโต อุตสาหกรรมบันเทิงขยายตัว และผู้บริโภคพร้อมเปิดรับฮีโร่รูปแบบใหม่ ๆ แต่โลกในวันนี้กลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เมื่อเร็ว ๆ นี้มีข่าวว่า ทางญี่ปุ่นจะหยุดโครงการผลิตซีรีส์ขบวนการ 5 สีและปรับพอร์ตไปผลิตแนวทางอื่นแทน ทำให้แฟน ๆ ทั่วโลกช็อกกันมาก
อันที่จริงแล้วตั้งแต่ปีค.ศ. 1990 ใน ‘ขบวนการแห่งโลก Fiveman’ ก็เรตติ้งแย่มากจนแทบจะต้องหยุดโครงการไปแล้ว แต่พอดีได้ ‘ขบวนการวิหคสายฟ้า Jetman’ มากู้สถานการณ์จนซีรีส์ขบวนการ 5 สีกลับมาโด่งดังมากเลยผลิตต่อมาได้อีกหลายสิบปี
สาเหตุที่ขบวนการ 5 สีไปต่อได้ยากในยุคปัจจุบัน ผู้เขียนเองเห็นว่า เป็นเพราะหลายเหตุผล
เหตุผลแรก ขบวนการ 5 สีและคาเมนไรเดอร์ออกอากาศวันเดียวกันและต่อเนื่องกันเสมอ ขณะที่คาเมนไรเดอร์สามารถจับตลาดครอบครัวได้ดีกว่า มีตัวละครหล่อสวยถูกใจคุณพ่อคุณแม่ และพล็อตแปลงร่างถูกใจคุณลูก เรียกได้ว่าสร้างสาวกแบบยกครัวได้สำเร็จ ขณะที่ขบวนการ 5 สีมีแนวโน้มเอียงไปจับตลาดเด็กเล็ก ทำให้ผู้ปกครองไม่ค่อยอินกับเนื้อเรื่อง
ต่อเนื่องจากเหตุผลแรกคือ ‘ยอดขายของเล่น’ ซึ่งเป็นแหล่งทุนหลักของภาพยนตร์ฮีโร่แปลงร่างจึงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อญี่ปุ่นเข้าสู่สังคมสูงวัยขั้นสุดยอด (Super-Aged Society) ตลาดของเล่นเด็กจึงหดตัวเร็วขึ้น
เหตุผลต่อมาคือ คาเมนไรเดอร์ยุคใหม่ไม่ได้โดดเดี่ยว แต่ทำงานเป็นทีม มีความเป็นขบวนการมากขึ้น จึงเกิดความทับซ้อนกับพล็อตของขบวนการ 5 สีอย่างมาก
นอกจากนั้น พล็อต ‘การทำงานเป็นทีม’ และ ‘การรวมพลังของพวกเรา 5 คน’ เริ่มไม่สอดคล้องกับสังคมญี่ปุ่นยุคใหม่ที่โน้มเอียงสู่ปัจเจกนิยม โดยเฉพาะหลังยุค Covid-19 ที่คน Gen Z จำนวนมากคุ้นชินกับการใช้ชีวิตลำพัง และไม่รู้สึกอินกับการต้องพึ่งพาทีมในชีวิตจริง
สุดท้ายคือ ภาพยนตร์แนวตำรวจอวกาศเองก็ไม่ประสบความสำเร็จในระยะยาว และหยุดการผลิตมานานแล้ว โดยเลือก ‘รวมร่าง’ เข้ากับแนวคาเมนไรเดอร์แทน ทำให้คาเมนไรเดอร์ยุคปัจจุบันมีองค์ประกอบแบบตำรวจอวกาศผสมอยู่ แต่ขบวนการ 5 สีไม่สามารถรวมร่างกับแนวอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นอุลตร้าแมน คาเมนไรเดอร์ หรือแนวตำรวจอวกาศที่แทบไม่เหลือซีรีส์เดี่ยวอีกแล้ว
หากสรุปความสำเร็จและความล้มเหลวของซีรีส์ขบวนการ 5 สี จากข้อมูลที่ผู้ผลิตเปิดเผย ก็คือ ประสบความสำเร็จเพราะสามารถสร้างความแตกต่างจากอุลตร้าแมนและคาเมนไรเดอร์ในยุคเริ่มต้นได้อย่างชัดเจน แต่ยึดติดกับสูตรสำเร็จเดิมซ้ำ ๆ มายาวนานกว่า 50 ปี ขณะที่ผู้บริโภคและตลาดเปลี่ยนไปแล้ว คาเมนไรเดอร์ซึ่งออกอากาศคู่กันมาโดยตลอดสามารถปรับตัวได้หลายรอบ แต่ขบวนการ 5 สีปรับน้อยเกินไป จึงไม่โดนใจผู้ชมยุคใหม่ และต้องโบกมือลาในที่สุด เพราะสิ่งที่ขับเคลื่อนธุรกิจบันเทิงคือผู้บริโภคเสมอ
ข้อมูลล่าสุดระบุว่า ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2026 เป็นต้นไป จะหยุดออกอากาศซีรีส์ขบวนการ 5 สี และเปิดตัวโครงการใหม่ชื่อ ‘Project R.E.D.’ โดยประเดิมด้วยการปลุกชีพซีรีส์ตำรวจอวกาศ ‘เกียบัน’ ในภาคใหม่ Super Space Sheriff Gavan Infinity ซึ่งเดิมเกราะของเกียบันเป็นสีขาวเงิน แต่เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของ Project R.E.D. จึงมีแนวโน้มสูงว่าจะมีร่างสีแดงด้วย
เราคงต้องจับตาดูกันว่า ‘บรรยากาศมาคุ’ จะสามารถกู้วิกฤติพลังมิตรภาพ 5 สีได้หรือไม่
เรื่อง: วีรยุทธ พจน์เสถียรกุล