The Deficit of Trust : สูญความเชื่อมั่นในรัฐบาล แต่อย่าสิ้นศรัทธาในประชาธิปไตย

The Deficit of Trust : สูญความเชื่อมั่นในรัฐบาล แต่อย่าสิ้นศรัทธาในประชาธิปไตย

‘The Deficit of Trust’ ว่าด้วยเรื่องราวของ ‘ความเชื่อมั่น’ (Trust) ในฐานะ ‘ทรัพยากร’ ที่มีความสำคัญต่อการปกครองและระบอบประชาธิปไตยอย่างมีนัยสำคัญ

จะเป็นอย่างไรเมื่อประชาชนสูญสิ้นศรัทธา?

หากต้องกล่าวถึงบรรดาทรัพยากรที่มีความสำคัญต่อรัฐบาลแล้ว แน่นอนว่าต้องนึกถึงงบประมาณ จำนวน สส. ที่อยู่ในฝั่งรัฐบาล โครงสร้างพื้นฐาน นโยบาย หรือแม้แต่กำลังคนในภาพรวม แต่จะว่าไปแล้ว หนึ่งในทรัพยากรที่สามารถเรียกได้ว่าสำคัญที่สุด ไม่เพียงในช่วงการดำรงตำแหน่งหรือการจัดสรรงบประมาณ แต่สำคัญตั้งแต่หน้าตาของพรรคปรากฏต่อสายตาของสาธารณชนคือ ‘ความเชื่อมั่น’

ความเชื่อมั่นสาธารณะ’ (Public Trust) หรือ ‘ความเชื่อมั่นในรัฐบาล’ (Trust in Government) หมายถึงความไว้วางใจและความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อรัฐบาล สถาบัน หรือแม้แต่ผู้นำคนนั้น ๆ ที่กำลังดำรงตำแหน่งอยู่ เป็นความเชื่อมั่นที่จะคอยย้ำเตือนกับพวกเขาว่ารัฐบาลสามารถปกครอง นำพา และจัดสรรทรัพยากรให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดกับประเทศและประชาชนทุกคน

ความเชื่อมั่นนับว่าเป็นหนึ่งใน ‘ทรัพยากร’ ที่มีความสำคัญต่อรัฐบาลนั้น ๆ เป็นอย่างมาก เพราะสิ่ง ๆ นี้ไม่เพียงสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจจากการลงทุน แต่ยังทำให้นโยบายต่าง ๆ ดำเนินไปได้อย่างง่ายดายขึ้น เพราะเมื่อประชาชนมั่นใจในผู้นำของตน พวกเขาก็ย่อมมีแนวโน้มที่จะปฏิบัติตามแนวทางที่ผู้นำมองว่าดีต่อพวกเขาหรือประเทศในภาพรวม

ถ้าเรามองในกรอบของกระบวนการเมือง โดยเฉพาะกับการเลือกตั้ง ความไว้วางใจคือทรัพยากรที่แต่ละพรรคการเมืองหรือผู้ลงสมัครเลือกตั้งสั่งสมมาตั้งแต่เริ่มลงสมัครและหาเสียง หรือแม้แต่ก่อนหน้านั้นเสียด้วยซ้ำ เป็นการสร้างภาพจำ ความน่าเชื่อถือ และความหวังในวิสัยทัศน์และนโยบายที่เขาเหล่านั้นเสนอ บ้างอาจเริ่มจากศูนย์ หรือบ้างก็อาจตั้งต้นจากชื่อเสียงเดิมที่สมาชิกครอบครัวรุ่นก่อน ๆ สั่งสมมา

เส้นทางการสั่งสมความไว้วางใจนี้ก็มีหลากหลายวิธีกันไป ตั้งแต่การแสดงวิสัยทัศน์และจุดยืนในประเด็นต่าง ๆ ของบ้านเมือง การเอาตัวลงไปแก้ไขปัญหา การพบปะกับพี่น้องประชาชน หรือแม้แต่นักธุรกิจที่ก้าวขาเข้ามาในโลกของการเมืองที่มีการโอนทรัพย์สินเข้ากองทุน Blind Trust เพื่อความโปร่งใสในการทำหน้าที่

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเก็บเกี่ยวความเชื่อมั่นจากพี่น้องประชาชนมามากมายเพียงใดในช่วงก่อนและระหว่างการเลือกตั้ง บทพิสูจน์แท้จริงคือในช่วงเวลาที่ผู้ถูกเลือกได้รับโอกาสในการสำแดงความสามารถ วิสัยทัศน์ เพื่อตอบรับกับคำมั่นสัญญาหรือแม้แต่ความคาดหวังที่ได้บอกล่าวเอาไว้ในช่วงการหาเสียง — ซึ่งถ้าทำได้ดังที่กล่าวเอาไว้ก็สามารถทำให้ความเชื่อมั่นเหล่านั้นแข็งแกร่งขึ้น แต่หากไม่ ก็อาจทำให้ความเชื่อมั่นลดหลั่นไปโดยปริยาย รวมไปถึงความแข็งแรงของคำมั่นสัญญาในอนาคตอีกด้วย

หากมองในระยะยาวและในกรอบที่ใหญ่ไปกว่าเดิม ความไว้วางใจมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในเสถียรภาพหรือพัฒนาการของ ‘ระบอบประชาธิปไตย’ ภายในประเทศ เพราะเมื่อประชาชนรู้สึกไม่เชื่อมั่นหรือไม่ไว้วางใจต่อการทำงานของรัฐบาลที่ทำหน้าที่ปกครองประเทศ พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะมองว่ารัฐบาลไม่มีศักยภาพมากพอที่จะทำหน้าที่ดังกล่าว หรือแม้แต่มองว่ารัฐไม่ได้จัดสรรทรัพยากรโดยยึดผลประโยชน์ของประชาชนหรือประเทศเป็นหลักสูงสุด

ผลที่ตามมาก็ย่อมกระทบกับประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ภายในประเทศ เพราะเมื่อความเชื่อมั่นจากประชาชนต่ำ รัฐบาลก็ยิ่งต้องลงแรงมากขึ้นในการทำให้นโยบายสัมฤทธิ์ผล ไม่ว่าจะผ่านการกำกับดูแลหรือการบังคับใช้ที่เข้มข้นขึ้น ซึ่งจะกลายเป็น ‘ต้นทุนธุรกรรม’ (Transaction Costs) ที่เพิ่มเข้ามา ซึ่งจะทำให้การดำเนินการของนโยบายมีประสิทธิภาพน้อยกว่าเมื่อเทียบกับรัฐบาลที่ได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนสูง

ความไว้วางใจในรัฐบาลจึงทำหน้าที่เป็นเหมือนตัวแปรที่จะทำให้นโยบายหรือการกระทำต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะได้รับการร่วมมือจากภาคประชาชน

นอกจากนั้น เมื่อประชาชนสูญสิ้นศรัทธาต่อผู้นำ ผลที่ตามมาอาจไม่ได้กระทบเพียงแค่กับเสถียรภาพของรัฐบาล แต่ในบางสังคมอาจจะกระทบไปถึงเสถียรภาพของระบอบประชาธิปไตยเอง

ในสังคมที่ปกครองแบบประชาธิปไตย ไม่ใช่ว่าประชาชนทุกคนต้องเห็นตรงกันเสียทั้งหมด — ในแง่หนึ่งคือเป็นไปไม่ได้ และถึงแม้ว่าเป็นไปได้จริง ๆ การที่ทุกคนเห็นตรงกันหมดก็มักจะเกิดขึ้นในระบอบเผด็จการเสียมากกว่า — เพราะโดยธรรมชาติของสังคม ย่อมมีความคิดเห็นที่หลากหลายปะปนกันไป แต่ผลรวมก็สมควรที่จะมีแนวโน้มที่จะ ‘เชื่อมั่น’ มากกว่า หากกลไกการเลือกสรรเป็นไปตามหลักประชาธิปไตยที่ยึดตามเสียงข้างมากจริง

กล่าวคือ ถือเป็นเรื่องธรรมดามากที่จะมีประชาชนบางส่วนอาจรู้สึกไม่เชื่อมั่นในการบริหารของรัฐบาล แต่อย่างไรก็ตาม หากกระแสเสียงส่วนมากของสาธารณชนเทไปอยู่ที่ ‘ความไม่เชื่อมั่น’ (Distrust) หรือความเชื่อมั่นที่สั่งสมมาเหือดหายจนก้าวเข้าไปอยู่ในโซนที่ความไว้วางใจเป็นติดลบ (The Deficit of Trust) ผลที่ตามมาก็อาจกระทบกับเสถียรภาพของประชาธิปไตยได้ในหลายรูปแบบ

ผู้เขียนมองว่า ‘ความเชื่อมั่น’ ก็มีหน้าที่คล้ายกับเงินฝาก เมื่อประชาชนตัดสินใจจะฝากความเชื่อมั่นไว้ในที่ใดสักที่หนึ่ง ก็หมายความว่าพวกเขาเชื่อว่าสถาบันนั้น ๆ ย่อมสร้างประโยชน์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวให้กับเขา แต่เมื่อใดที่สถาบันดังกล่าว — หรือในกรณีนี้ ‘รัฐบาล’ — ไม่น่าฝากความเชื่อมั่นไว้อีกต่อไป พวกเขาสามารถโยกย้ายความไว้วางใจของตนเองไปไว้ที่ใดได้บ้าง?

ในประเทศหรือสังคมที่ประชาธิปไตยได้พัฒนาไปถึงจุดที่มีเสถียรภาพแล้ว ประชาชนก็มักจะโยกย้ายความไว้วางใจของตนเองไปไว้กับผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือพรรคอื่นแทน ซึ่งคือการขยับอยู่บนตัวเลือกที่จะคงรักษาสถานะความเป็นประชาธิปไตยของประเทศ และเป็นการพิสูจน์บรรทัดฐานของสังคมในการหาทางออกกับวิกฤตศรัทธา

ในบางกรณี เมื่อเกิดความรู้สึกสูญสิ้นศรัทธาต่อรัฐบาลบ่อยครั้ง ประชาชนอาจรู้สึกว่า ‘การเลือกตั้ง’ ไม่ได้ช่วยแก้ไขอะไร ส่งผลให้ลดทอนแรงจูงใจของประชาชนบางกลุ่มใน ‘การมีส่วนร่วมทางการเมือง’ (Political Participation) ลดน้อยถอยลง และส่งผลให้กลไกของระบอบประชาธิปไตยมีประสิทธิภาพน้อยลง เพราะไม่ได้สะท้อนเสียงหรือความต้องการของผู้คนอย่างสมบูรณ์ 

ที่เลวร้ายกว่านั้น ในบางสถานการณ์ เมื่อประชาชนบางกลุ่มรู้สึกผิดหวังกับรัฐบาลปัจจุบัน พวกเขาก็อาจโยกย้ายความเชื่อมั่นของตนเองไปอยู่กับ ‘ตัวละคร’ นอกระบอบประชาธิปไตย หรือคาดหวังว่าเรี่ยวแรงจากภายนอกระบอบประชาธิปไตยจะเข้ามาช่วยกอบกู้สถานการณ์ ซึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของประชาธิปไตยอย่างมีนัยสำคัญ

จะเห็นได้ว่าในแต่ละการโยกย้ายย่อมมีผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป บ้างก็โยกย้ายไปที่ตัวเลือกอื่นภายในกรอบของประชาธิปไตย บ้างก็อาจพลันหมดศรัทธากับระบบไปด้วยและทำให้ประชาธิปไตยมีประสิทธิภาพน้อยลง หรือบ้างก็อาจโยกย้ายความหวังไปที่ตัวเลือกอื่นนอกระบบมาแก้ไขสถานการณ์ เช่น การรัฐประหาร (Coup d'etat)

แม้สำหรับประชาชนบางกลุ่ม การรัฐประหารอาจจะเป็นการแก้ปัญหาที่รวดเร็ว โดนใจ หรือแม้แต่เคยชิน แต่วิธีการแก้ปัญหานี้จะกระทบกับการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ และอาจสร้างบรรทัดฐานและความเคยชินว่ารัฐประหารกลายเป็นเครื่องมือในการแก้ไขวิกฤตศรัทธาที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลที่มาจากประชาชน

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะสูญเสียความไว้วางใจในรัฐบาลไปมากเพียงใด การแก้ไขสถานการณ์บนกฎกติกา ไม่ว่าจะเป็นการอยู่ต่อเพื่อแก้ไขสถานการณ์อย่างดีที่สุดและหาวิธีกอบกู้ความเชื่อมั่นจากประชาชน การลาออกจากตำแหน่งเพื่อเลือกสรรนายกรัฐมนตรีคนใหม่ หรือการยุบสภาเพื่อลงคะแนนเลือกตั้งกันใหม่ตั้งแต่ต้น ก็ถือเป็นหนทางในการธำรงเสถียรภาพและรักษากลไกของระบอบประชาธิปไตยของประเทศเอาไว้ในระยะยาว

เพราะแม้จะสูญสิ้นความเชื่อมั่นในรัฐบาล แต่ก็ไม่ได้แปลว่าศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยจะต้องถูกโยนทิ้งตามไปด้วย