29 ธ.ค. 2568 | 17:31 น.

KEY
POINTS
ช่วงปลายปีคือช่วงเวลาที่ค่อนข้างโหดเหี้ยมสำหรับอุตสาหกรรมคอนเสิร์ต เพราะผู้บริโภคมักมีตัวเลือกมากมาย ตั้งแต่งานเทศกาลดนตรี การท่องเที่ยวพักผ่อน ไปจนถึงการนอนอยู่เฉยๆ เพื่อพักฟื้นจากความเหนื่อยล้าสะสมตลอดปี
หากงานไหนไม่แข็งแรงพอ หรือไม่มีเสน่ห์ดึงดูดมากพอ ก็มักจะถูกตัดออกจากลิสต์ลำดับความสำคัญทันที
คอนเสิร์ต BABYMONSTER “LOVE MONSTERS” ASIA FAN CONCERT 2025 IN BANGKOK ของวงไอดอลเกาหลีรุ่นใหม่ BABYMONSTER ที่มี 2 สมาชิกชาวไทยอยู่ในวงนั่นคือ ภริตา และ ชิกิต้า ก็เผชิญความท้าทายนั้นด้วยเช่นกัน ว่าจะสามารถดึงดูดคนมาดูได้ไหม
แต่สุดท้าย คอนเสิร์ตที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 27 และ 28 ธันวาคม 2025 ที่ผ่านมา ณ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าแม้ราคาบัตรเข้างานจะสูง ผังเวทีไม่ค่อยหวือหวา และเพิ่งผ่านคอนเสิร์ตใหญ่ของวงมาเพียงไม่กี่เดือน แต่พลังของพวกเธอก็ดึงดูดคนมาดูได้ถึง 90% ของความจุ มันอาจไม่ได้ Sold out อย่างที่ตั้งใจไว้ก็จริง แต่ด้วยยอดขายในระดับนี้ไม่ถือว่าน่าเกลียดเลย เมื่อเทียบกับปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ
และแสดงให้เห็นว่าบรรดาแฟนคลับหรือ Monstiez ชาวไทยเชื่อมั่นในศักยภาพของพวกเธอแค่ไหน สมแล้วกับการเป็นทายาทปีศาจของค่าย YG Entertainment ที่น่าจับตาที่สุดแห่งยุค
หากมองเผินๆ หลายคนอาจคิดว่า BABYMONSTER คือวงที่เก็บประสบการณ์มานานจนเจนเวที แต่จริงๆ แล้วพวกเธอเพิ่ง Debut อย่างเป็นทางการได้เพียง 2 ปีเศษ ภายใต้สังกัด YG ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ที่ความสำเร็จดังไกลระดับโลกจากฝีมือของรุ่นพี่ที่นำโดยวง Big Bang และ BLACKPINK
เส้นทางของวงเริ่มต้นจากรายการเรียลลิตี้โชว์ Last Evaluation ที่ออกอากาศทาง YouTube ซึ่งบอสใหญ่ของค่าย YG หยางฮยอนซอก (Yang Hyun-suk) ต้องการใช้เป็นสมรภูมิคัดเลือกศิลปินหน้าใหม่ ในขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องมือทางการตลาด ที่ช่วยสร้างความผูกพันระหว่างแฟน ๆ และวงได้ตั้งแต่ยังไม่เปิดตัว
แต่ขึ้นชื่อว่ารายการแนว Survival มันมักจะมาพร้อมกับดราม่าและหยาดน้ำตา รายการนี้ก็เช่นกัน แม้จะเป็นทั้งเวทีโชว์ความสามารถของเด็กปั้นในค่าย YG ที่แต่ละคนต่างมีดีและมีความน่าสนใจแตกต่างกัน แต่ความตั้งใจแรกของ ‘ลุงหมวก’ ตั้งใจจะเลือกสมาชิกเพียง 5 คนที่จะได้ไปต่อและขึ้นเป็นศิลปินเต็มตัว
ผลที่ออกมาได้ไลน์อัพ 5 คนแรก ประกอบด้วย อาฮยอน (Ahyeon), รุกะ (Ruka), ชิกิต้า (Chiquita), ฮารัม หรือ รามิ (Haram/Rami), และ ภริตา (Pharita) ขณะที่ โรร่า (Rora) และ อาสะ (Asa) ถูกคัดออก
เหตุผลที่ทั้งคู่ไม่ได้รับเลือก เพราะ YG ต้องการเก็บ โรร่า ไว้สำหรับใช้ในการปั้นเกิร์ลกรุ๊ปวงต่อไป และวางแผนส่ง อาสะ ไป Debut ในโปรเจกต์เกิร์ลกรุ๊ปที่ญี่ปุ่น
แต่การตัดสินใจของเขาก็เกิดกระแสต่อต้านค่อนข้างรุนแรง เมื่อแฟนๆ เรียกร้องให้ YG เลือกทั้ง 7 คนไปเลย เพราะเห็นได้ชัดว่าเคมีของพวกเธออยู่ด้วยกันแล้วมันลงตัว เสน่ห์รวมถึงความสามารถที่ อาสะ กับ โรร่า มีนั้นเป็นส่วนเติมเต็มของวงที่จะขาดไม่ได้
สุดท้าย ลุงหยาง ก็ต้านทานเสียงของแฟนๆ ไม่ได้ ยอมประกาศให้ โรร่า และ อาสะ ได้ร่วมเป็นสมาชิก BABYMONSTER แล้วเตรียมเขย่าโลกทั้งใบให้สั่นสะเทือน
สิ่งที่เป็นจุดขายของ BABYMONSTER ไม่ใช่ภาพของรุกกี้หน้าใหม่ไร้ประสบการณ์ รอวันพัฒนาไปตามเส้นทาง แต่ หยางฮยอนซอก ประกาศว่าสมาชิกทุกคนของ BABYMONSTER จะเป็นไอดอลที่ครบเครื่องรอบด้าน ทั้งร้อง เต้น แร็ป และมีภาพลักษณ์โดดเด่นขายความสามารถที่ใช้งานได้จริงตั้งแต่วันแรก
และ BABYMONSTER ก็เป็นจริงอย่างที่ YG พูด เมมเบอร์แต่ละคนไม่เพียงมีความหลากหลายทั้งด้านพื้นเพและความสามารถพิเศษ แต่ยังมีสีสันเฉพาะตัวที่เมื่อรวมกัน กลายเป็นภาพรวมที่สมบูรณ์แบบ
เริ่มจาก รุกะ (Ruka) สาวญี่ปุ่นพี่ใหญ่ของวง รับหน้าที่นักเต้นหลัก เธอฝึกเต้นมานานกว่า 10 ปี ทำให้ท่วงท่าที่เปี่ยมด้วยพลัง ขณะเดียวกันเธอยังเป็นแรปเปอร์ที่มีเอกลักษณ์การแร็ปน่าสนใจ
ภริตา (Pharita) หรือ แพร สาวไทยเจ้าของน้ำเสียงใสไพเราะ ได้รับตำแหน่ง Main Vocal ของวง และยังได้รับฉายาว่าเป็นองค์หญิงผู้สง่างามด้วย
อาสะ (Asa) เมมเบอร์ชาวญี่ปุ่นรายที่ 2 เธอเป็นสายแร็ปที่มาพร้อมความเท่และแข็งแกร่ง เสียงของเธอตัดกับเสียงร้องหวาน ๆ ของสมาชิกคนอื่นได้อย่างลงตัว
อาฮยอน (Ahyeon) หลายคนตั้งสมญานามเธอว่าเป็น "Little Jennie" เพราะเสน่ห์และความสามารถยังชวนให้หลายคนคิดถึงเมมเบอร์ตัวแม่ เจนนี่ BLACKPINK รุ่นพี่ในค่ายด้วย ซึ่งเธอกล่าวว่ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ถูกเรียกเช่นนั้น อาฮยอน ทำได้ทั้งร้อง เต้น และแร็ป สมคอนเซ็ปต์ไอดอลที่เก่งครบเครื่องรอบด้านของแท้ แต่เธอก็ไม่หยุดค้นหาสไตล์ของตัวเองให้เจอเพื่อสร้างความแตกต่างเช่นกัน
รามิ (Rami) เมนโวคัลชาวเกาหลีที่มีพลังเสียงจัดและเทคนิคแน่น เธอเชี่ยวชาญการร้องสไตล์ R&B สามารถควบคุมเสียงได้ละเอียดทีเดียว
โรรา (Rora) สมาชิกชาวเกาหลีอีกคนที่มีเสียงใสและเสน่ห์แบบคลาสสิก เธอเป็นตัวแทนของความนุ่มนวลและอ่อนหวานในวง ช่วยสร้างสมดุลให้กับพลังแร็ปและเต้นที่หนักหน่วง
คนสุดท้าย ชิกิต้า (Chiquita) หรือ แคนนี่ มักเน่ชาวไทย สมาชิกที่อายุน้อยที่สุดของวง แต่ความสามารถของเธอไม่ได้น้อยตามอายุ เธอเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และพลังขณะโชว์บนเวที จนได้รับฉายาว่าเป็นเพชรเม็ดงามที่ YG ภาคภูมิใจ
เมื่อสมาชิกทั้ง 7 คน 7 สีสันนี้มารวมตัวกัน ทำให้พวกเธอกลายเป็นทีม Idol World Group อย่างที่ YG ตั้งใจโปรโมทสู่เวทีสากลอย่างเต็มรูปแบบ
BABYMONSTER อาจมีแฟนคลับ หรือที่เรียกว่า Monstiez ตามมาจากรายการ Last Evaluation พร้อมสนับสนุนตั้งแต่แรก เรียกได้ว่าฐานของวงเริ่มต้นมาได้ค่อนข้างดี ถึงอย่างนั้น การเดินทางของพวกเธอไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป
เพราะก่อนจะเริ่มก้าวแรกอย่างเป็นทางการ วงกลับเจอปัญหาติดขัดหลายรอบ
เดิมที YG วางแผนเปิดตัว BABYMONSTER ในเดือนกันยายน 2023 โดยชิมลางปล่อยเพลง DREAM เพลงช้าไพเราะ สื่อใจความสำคัญถึงการบรรลุความฝันให้ได้ แม้จะต้องเจออุปสรรคอะไรก็ตามออกมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2023 แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ออกมาเพิ่ม จนการ Debut ล่าช้าออกไปเป็นเดือนพฤศจิกายนแทน ซึ่งค่ายให้เหตุผลว่าต้องปรับปรุงคุณภาพ และคัดเลือกเพลงที่เหมาะสมที่สุดก่อนจะปล่อยงานออกไป
แล้วพอถึงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2023 BABYMONSTER ปล่อยซิงเกิ้ลชื่อว่า Batter Up เพลงแนว Hip-hop ที่มีจังหวะหนักแน่นตามสไตล์ YG แบบดั้งเดิม เนื้อเพลงสื่อถึงความมั่นใจและการพร้อมลงสนาม
แต่จริงๆ แล้วนี่เป็นเพียงการ Pre-Debut อย่างไม่เป็นทางการเท่านั้น สาเหตุเพราะ อาฮยอน ต้องพักงานเพื่อดูแลสุขภาพก่อน ทำให้วงต้องเดินหน้ากันไปเพียง 6 คน ยาวไปถึงตอนที่ปล่อยเพลงใหม่ Stuck In The Middle ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 หากย้อนกลับไปดูมิวสิควิดีโอจะเห็นว่ามีเมมเบอร์อยู่แค่ 6 คนเท่านั้น
และแล้วในวันที่ 1 เมษายน 2024 ค่าย YG ก็ปล่อยมินิอัลบั้มชุดแรกของ BABYMONS7ER พร้อมการกลับมาของอาฮยอนอย่างเป็นทางการ เป็นวันแรกที่ BABYMONSTER รวมตัวกัน 7 คนเต็มวงอย่างแท้จริง โดยในอัลบั้มมีเพลง Sheesh เพลงไตเติ้ลแนว Dark Hip-Hop ที่เน้นท่อนฮุคติดหูและท่าเต้นมือที่เป็นเอกลักษณ์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก กลายเป็นไวรัลใน TikTok และติดชาร์ตเพลงทั่วโลก
อีกเพลงที่ได้รับการจดจำคือ Like That เพลงหน้า B ที่แต่งโดย Charlie Puth ซึ่งนักวิจารณ์ชมว่ามีทิศทางดนตรีที่สดใหม่ และแสดงศักยภาพที่แท้จริงของวงได้ดีกว่าเพลงหลักเสียอีก
ช่วงปลายปี 2024 วงยังปล่อยอัลบั้มเต็มครั้งแรกชื่อว่า DRIP ซึ่งมีเพลงเด่นคือ DRIP, CLIK CLAK และ Love in My Heart และล่าสุดปล่อยอัลบั้มใหม่ที่มีชื่อว่า WE GO UP ที่มีเพลงเด่นอย่าง WE GO UP, PSYCHO และ SUPA DUPA LUV และ WILD
แม้ BABYMONSTER จะมีเพลงติดหู ฟังสนุกหลายเพลง แต่เพลงที่ได้รับความนิยมทั้งในเกาหลี และในระดับอินเตอร์แบบเอกฉันท์ ที่หลายคนจะนึกถึงทันทีอาจจะมีแค่ Sheesh กับ DRIP เท่านั้น ขณะที่หลายเพลงเด่นอาจในญี่ปุ่น ในไทย หรือที่อเมริกา แต่ไม่ได้กระแสมากเท่าไหร่ในแดนกิมจิ
หรือในกรณีของ WE GO UP หลายคนมองว่าแม้จะเป็นเพลงสนุก แต่ก็มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า หากเลือก PSYCHO ซึ่งมาพร้อมดนตรีเดือดๆ เร้าใจ เป็นเพลงเปิดแทนอาจจะฮิต และสร้างกระแสได้ดีกว่า
แต่สิ่งที่ไม่มีใครกังขา BABYMONSTER เลย คือทักษะการแสดงสดบนเวทีถือว่าเหนือชั้นมากๆ เกินคำว่ามือใหม่ เมื่อพวกเธอมีความพร้อมมากกว่าที่ใครคิด ทุกโชว์เต็มไปด้วยพลังและความมั่นใจเหลือล้น เพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับผู้ชมผ่านการเต้นที่สมบูรณ์แบบ
พวกเธอทั้ง 7 ดูไม่เหมือนศิลปินมือใหม่ และพวกเธอทำให้คนจำนวนมากจดจำได้ว่า พวกเธอคือ BABYMONSTER อสูรกายเบบี้ที่น่ารัก เก่ง และมีความสามารถ เป็นตัวของพวกเธอเอง ที่แข็งแกร่ง โดดเด่น และเปี่ยมเอกลักษณ์ ไม่ใช่แค่รุ่นน้องของ BLACKPINK หรือเกิร์ลกรุ๊ปใหม่จาก YG การใช้ความสามารถของตัวเองพูดแทนทุกอย่าง ทำให้ทุกคนเชื่อว่าพวกเธอคือความหวังครั้งสำคัญของ YG อย่างแท้จริง โดยไม่ต้องอ้างอิงรุ่นพี่หรือพึ่งพาชื่อเสียงของค่าย
ความสัมพันธ์ระหว่างค่ายเพลงยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้อย่าง YG Entertainment และตลาดประเทศไทยนั้นถือว่าดี แข็งแกร่งและหยั่งรากลึกมาโดยตลอด โดยมีจุดเริ่มต้นความสำเร็จของ ลิซ่า (LISA) ลลิษา มโนบาล ในฐานะเมมเบอร์วง BLACKPINK ที่ได้ปูทางและสร้างมาตรฐานความนิยมของศิลปิน K-Pop ในไทยไว้ในระดับสูงสุด
และ YG ได้ต่อยอดความสำเร็จดังกล่าวด้วยการเพิ่ม DNA ความเป็นไทย เข้าไปใน BABYMONSTER ถึง 2 เท่า
การที่ BABYMONSTER ปักหมุดให้ไทยเป็นแลนด์มาร์คสำคัญ ไม่เพียงสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นใจว่าไทยจะเป็นฐานที่มั่นสำคัญของวงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างแท้จริง หากจัดทัวร์คอนเสิร์ตเมื่อไหร่ จะต้องเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ขาดไม่ได้
เริ่มตั้งแต่ช่วง Pre-Debut เมื่อ BABYMONSTER มาไทยเพื่อถ่ายทำคอนเทนต์ "Thailand Trip" ในช่วงปี 2023 จากนั้นพอประกาศตารางทัวร์แฟนมีตติ้งครั้งแรก BABYMONSTER PRESENTS: SEE YOU THERE ก็มีกำหนดการมาไทยในวันที่ 29 และ 30 มิถุนายน 2024 ณ พารากอน ฮอลล์ (Paragon Hall) ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน มีความจุประมาณ 5,000 ที่นั่ง ซึ่งเป็นขนาดที่เหมาะสมสำหรับศิลปินหน้าใหม่ที่เพิ่ง Debut
อีก 1 ปีต่อมา หรือวันที่ 7-8 มิถุนายน 2025 คราวนี้ BABYMONSTER ยกระดับจากทัวร์แฟนมีตเล็กๆ เป็นการจัดคอนเสิร์ต World Tour เต็มรูปแบบในชื่อ BABYMONSTER 1st WORLD TOUR IN BANGKOK และก้าวขึ้นไปจัดที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี ซึ่งประจวบเหมาะกับการมีเพลงในอัลบั้มใหม่ DRIP ที่ทำให้วงมีคลังเพลงมากพอจะจัดคอนเสิร์ตเดี่ยวระดับเวิลด์ทัวร์ได้
การได้ขึ้นมาเล่นที่นี่ แล้วดึงดูดผู้ชม 2 วันรวมแล้วกว่า 20,000 คน ได้ตั้งแต่ในปีที่ 2 ของวง ถือเป็นการก้าวกระโดดที่น่าจับตามอง แม้ว่าคอนเสิร์ตในวันนั้น รามิ จะต้องพักงานเพื่อรักษาสุขภาพ จึงไม่ได้มาโชว์ด้วย แต่พลังของ 6 สาวก็สร้างความสนุกสุดมันส์ให้กับ “Thai Monstiez” จนเป็นหนึ่งในโชว์ที่สนุก และน่าประทับใจของปี
หลังความสำเร็จของทัวร์คอนเสิร์ต 1st WORLD TOUR หากเป็นค่ายอื่น BABYMONSTER อาจใช้เวลานี้พักผ่อน ฟื้นฟูตัวเอง เพื่อวางแผนการทัวร์สำหรับปีหน้าอย่างจริงจัง
แต่ YG ตัดสินใจให้ BABYMONSTER จัดแฟนคอนเสิร์ตขนาดย่อมส่งท้ายปีต่อแทบจะทันที ในชื่อว่า BABYMONSTER “LOVE MONSTERS” ASIA FAN CONCERT 2025 โดยจะจัดที่เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, ไทย และไต้หวัน โดยที่ประเทศไทยจะเป็นโชว์สั่งลาปี 2025
แม้แฟนๆ จะตื่นเต้นกับการได้ดูไอดอลที่รักถึง 2 ครั้งในเวลาเพียง 6 เดือน แต่ก็มีความกังวลมากมายในหมู่ Monstiez ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพของเมมเบอร์ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าตารางทัวร์ของวงค่อนข้างหนัก และ รามิ เองก็ยังไม่หายดี ทำให้ยังกลับมาขึ้นโชว์ไม่ได้
นอกจากนั้น ยังมีความกังวลเรื่องราคาบัตรค่อนข้างแพงสำหรับการเป็น FAN CONCERT ที่ลดสเกลลงมาจากคอนเสิร์ตหลักประมาณหนึ่ง และประกาศขายบัตรค่อนข้างกระชั้นชิด รวมถึงผังที่นั่งที่ไม่ได้มีส่วนเวทียื่นออกมาใจกลางอารีน่า ทำให้การเข้าถึงดูค่อนข้างยาก
หรือในกรณีของไทยเอง การเป็นคอนเสิร์ตก่อนปิดปี 2025 เพียงไม่กี่วัน ก็ทำให้เกิดมีคำถามว่าบัตรจะขายหมดหรือไม่ตามมา และหากขายไม่หมด ภาพที่เกิดขึ้นในวันจริงจะเป็นการทำให้เหล่า BABYMONSTER ใจเสียหรือไม่
แต่ถึงแม้ บัตรอาจไม่ขายหมด
ถึงแม้ผังเวทีอาจไม่สมบูรณ์แบบ
และถึงแม้ ตารางทัวร์อาจหนักเกินไป
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในอิมแพ็คอารีน่าตลอด 2 วันที่ผ่านมา ยังมีคนมาดูมากถึง 90% ช่วยส่งเสียงกรี๊ดต้อนรับ 6 สาวคนเก่ง ที่ยังทุ่มสุดตัวทั้งร้องทั้งเต้นอย่างทรงพลัง เสียงกรี๊ดและเสียงตะโกนเรียกร้อง "BABY! - MONSTER ! BABY!- MONSTER!" ดังกึกก้องไปทั่วฮอลล์ในช่วง Encore ก็เป็นเครื่องพิสูจน์อย่างดีว่า มี Thai Monstiez จำนวนมากแค่ไหนที่พร้อมจะฝ่าอุปสรรคทุกอย่างเพื่อมาหาพวกเธอ
ผลที่ออกมาก็คือทริปการกลับบ้านของ ภริตา และ แคนนี่ อบอุ่น สนุก และน่าประทับใจส่งท้ายปี
หลังจบคอนเสิร์ตครั้งนี้ เมมเบอร์ BABYMONSTER ต่างให้คำมั่นว่าจะกลับมาเยือนประเทศไทยอีกแน่นอน และอาจไม่ต้องรอนานอย่างที่หลายคนคาดไว้
แต่ในอีกด้านหนึ่ง นี่ก็เป็นบทเรียนสำคัญของ YG เช่นกันว่าต้องวางแผนให้ดียิ่งขึ้น และดูแลสุขภาพของพวกเธอให้ดี เพื่อทำให้สมกับความคาดหวังของแฟนๆ ที่อยากเห็นพวกเธอยืนบนเวทีอย่างครบถ้วนทั้ง 7 คนในครั้งต่อไป
แม้ BABYMONSTER อาจยังไม่ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวเท่าศิลปินรุ่นพี่ในวงการ แต่พวกเธอมีของ และกำลังสร้างเส้นทางของตัวเองอย่างมั่นคง แตกต่าง และยากจะปฏิเสธ
และสำหรับคนที่ได้อยู่ในอิมแพ็ค อารีนาในคืนนั้น พวกเขาไม่ได้แค่ดูคอนเสิร์ต แต่ได้เป็นส่วนหนึ่งของจุดเริ่มต้นของการเติบโต การสร้างตำนาน และการเดินทางที่กำลังจะทำให้ชื่อ BABYMONSTER ไม่ได้เป็นแค่ชื่อวง แต่เป็นสิ่งมหัศจรรย์บทใหม่ของวงการ K-pop ที่โลกกำลังจับตา
ภาพ : YG Entertainment, อินสตาแกรม @babymonster_ygofficial