B.DAY Forever : การเฉลิมฉลองความทรงจำที่ไม่เคยพอของ Bakery Music

B.DAY Forever : การเฉลิมฉลองความทรงจำที่ไม่เคยพอของ Bakery Music

ความรู้สึกต่อคอนเสิร์ต B.DAY Forever ความยาวกว่าสิบชั่วโมงที่เฉลิมฉลองความทรงจำที่ไม่เคยพอของ Bakery Music

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2004 คือการฉลองครบรอบ 10 ปีค่ายเพลง ‘เบเกอรี่ มิวสิค’ (Bakery Music) ได้ขนศิลปินทั้งค่ายจัดขึ้นแสดงรอบเดียวที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน และอีกรอบที่เซ็นทรัลแอร์พอร์ทเชียงใหม่ ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้ แม้กระทั่งศิลปินเองว่านี่คือคอนเสิร์ตบอกลาค่ายเพลงแห่งนี้ เพราะภายหลังจากนั้น ทั้งสามผู้บริหารที่ร่วมกันก่อตั้งเบเกอรี่ฯ ขึ้นมากับมือก็ตัดสินใจที่จะลาออก

เวลาผ่านไปร่วมกว่า 20 ปี จนมาถึง B.DAY 2025 คอนเสิร์ตครั้งนี้พาบรรดาเบเกอเรี่ยนย้อนกลับไปในห้วงเวลา 10 ปี (1994-2004) ที่ ‘ร้านขนมปัง’ แห่งนี้ผลิตผลงานเพลงซึ่งยังประทับอยู่ในหัวใจแฟนเพลง ด้วยประสบการณ์และช่วงวัยของศิลปินและแฟนเพลง ทำให้ชัดเจนว่าคงไม่สามารถกลับไปแสดงที่เดิมได้แล้ว จึงตัดสินใจใช้ Impact Arena ฮอลล์ในตำนานที่เคยจัด Bakery The Concert เมื่อปี 2000 โดยในครั้งนี้เป็นการจัดต่อเนื่อง 4 รอบ (5-8 ธันวาคม) และบัตรขายหมดภายใน 10 นาทีแรก

สำหรับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ทุกอย่างเป็นไปตามคาดตั้งแต่รอบ 1 ผ่านไป พี่ป๊อดบอกว่าจะเล่น ‘รอบละอัลบั้ม’ เริ่มจากวันแรกที่เริ่มด้วยชุด 1 แล้วรอบต่อมาก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ที่จะมีเพลงจากชุด 2, 3, 4 เพลงที่เล่นทุกรอบเหมือนกันคือเพลง ‘…ก่อน’ และปรากฏว่าไม่ใช่แค่วง Moderndog เท่านั้น บอย โกสิยพงศ์เอง ก็เอาด้วย รอบ 1 จะเน้นเพลงในอัลบั้มชุดแรก (Rhythm&Boyd) รอบ 2 จะได้ฟังเพลงจากชุด 2 (Simplified) และรอบ 3 ก็ได้ฟังเพลงจากชุด 3 (Million Ways to LOVE part1)

สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติของศิลปินที่ต้องเล่นคอนเสิร์ตติดกัน 4 รอบ วิธีฮีลใจตัวเองอย่างหนึ่งคือถ้ามีเพลงให้เลือกเยอะพอ เขาต้องกระจายเพลงให้ต่างกันในแต่ละวัน เพราะมันจะเกิดการเปรียบเทียบในความรู้สึกของตัวเองอยู่ แต่สำหรับแฟนเพลงแล้ว นี่คือ ‘บัตรจุ่ม’ ที่ต้องสุ่มเลือกว่าวันนี้ฉันจะได้เจออะไร และต้องเตรียมใจว่าฉันจะพลาดอะไรในวันที่ฉันไม่ได้ไป…ยกเว้นเพื่อนผม 2 คน ที่ซื้อบัตรเข้าชมทุกรอบ

การเรียบเรียงเรื่องราวของคอนเสิร์ตครั้งนี้ เรียงศิลปินตามปีที่ออกอัลบั้มแรก และจะมีวิดีโอสั้น ๆ เกริ่นเล่าเหตุการณ์ในยุคสมัยนั้น ๆ ว่ามีเรื่องอะไรเด่นในประเทศไทยหรือระดับโลก เช่น วิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง การมาถึงของเครื่องวิดีโอเกม Famicom และ PlayStation หรือการระเบิดความดังของเจ้าหญิงเพลงป๊อป Britney Spears เพื่อให้ผู้ชมมีอารมณ์ร่วมกับ ‘ยุคสมัย’ ไม่ใช่การมองแค่เลขปี

ตัวเวทีถูกจัดเป็น 2 ระดับ โดยให้นักดนตรีแบ็กอัพอยู่ชั้น 2 ผู้ชมมองเห็นได้ชัด และมีประตูบานใหญ่กลางเวทีไว้สำหรับเซ็ตอัพเครื่องดนตรีของศิลปินที่ไม่ได้ใช้วงแบ็กอัพ พอถึงเวลาโชว์ พื้นก็จะเลื่อนเครื่องดนตรีทุกชิ้นออกมาจากประตูบานใหญ่ ภาพกราฟฟิกหลักถูกฉายบนกล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ยกขึ้นลงได้เสมอ ความโดดเด่นของกล่องนี้ทำให้ผู้ชมที่มองจากมุมข้างเห็นมิติที่สวยงามจากภาพที่ฉายด้านข้างได้ด้วย

อีกอย่างที่ทำได้ดีมากคือจอฉายภาพในฮอลล์ ทีมตัดต่อและมุมกล้องทำได้น่าสนใจ รวมถึงการขึ้นเนื้อเพลงตลอดเวลา เพราะบางเพลงที่เราเคยร้องได้ มันอาจนานเกินไปจนจำเนื้อบางท่อนไม่ได้ 

ผู้เขียนไป B.DAY รอบที่ 3 ในวันที่ 7 ธันวาคม 2568 และตั้งแต่เปิดตัวก็รู้เลยว่าคืนนี้ ‘เล่นจริง’ สมาชิก Moderndog แต่ละคนใส่เสื้อยืดวงอื่นในเบเกอรี่—Flure, YKPB, DojoCity—เหมือนเป็นสัญญาณทักทายกันตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเพลง ไม่ผิดคาดว่าเพลงจากอัลบั้มที่ 3 (Love Me Love My Life) ถูกหยิบมาใช้ เปิดด้วยเพลง ‘เวตาล’ตามด้วย ‘สิ่งที่ไม่เคยบอก’ ที่ไพเราะมาก ต่อด้วย ‘…ก่อน’ บุษบา และปิดด้วยตาสว่าง รวมแล้ว 5 เพลง ใช้เวลา 30 นาทีเป๊ะ

เมธีเปลี่ยนกีต้าร์ไป 3 ตัว และนี่คือ Moderndog ปี 2025 ที่เพิ่มเสียงคีย์บอร์ดเข้ามาแล้ว ทำให้บางเมโลดี้ในเพลงใช้เสียงคีย์บอร์ดแทนกีต้าร์ เมธีจึงได้เล่นดนตรีในย่านเสียงและรูปแบบที่กว้างขึ้นกว่าเดิมเมื่อเทียบกับเวอร์ชันต้นฉบับ

ต่อด้วยโชว์ของ Joey Boy ที่รีมิกซ์แดนซ์แบบ non-stop รัว ๆ แต่ละเพลงคัดท่อนมาแบบเน้น ๆ มีมือ turntable ทำเสียงสแครชแผ่น และมีเสียงเครื่องเป่าจริงจากวงดนตรีหลัก คริสตินมาแจมเสียงผู้หญิงด้วย เพลงเร็วดัง ๆ ยุคเบเกอรี่จัดมาหมด—ลอยทะเล รักเธอไม่มีหมด ฟันฟันฟัน ไปจนถึงกากีนั้ง—ทำให้ผมนึกย้อนกลับไปถึงความดังของเพลงตอนผมอยู่แค่ ป.5

มีทั้งสาละวันเตี้ยลงที่ดังจนกลายเป็นเพลงกิจกรรมสันทนาการของคนไทยในหน่วยงานต่าง ๆ และเพลงกะหล่ำปลีที่ทำให้ผมเริ่มน้ำตาซึม เหมือนโดนย้อนเวลาไปช่วงเป็นนักศึกษามหาลัย เพราะเพลงนี้มักอยู่ใน set-list ผับกลางคืนทุกครั้งที่ไปเที่ยวกับเพื่อน นี่คือโชว์ของ Joey Boy ในเซ็ตเพลงที่ผมไม่เคยมีโอกาสได้เห็นการแสดงสดมาก่อน (เพราะเกิดไม่ทัน)

จากนั้นเป็นโชว์ของ BOYd Kosiyabong รอบนี้จัดอัลบั้ม 3 (Million Ways to Love part 1) เริ่มด้วยเพลงรัก ร้องคู่กับนภ พรชำนิ ต่อด้วยเพลงคนข้างล่าง ที่เบนและบี (พีรพัฒน์) มาแจมกันเอนเตอร์เทนคนดู เพลงพิเศษของรอบนี้คือ ‘เหมือนเคย’ ที่อาต๋อย วินัย พันธุรักษ์มาขับร้อง ต่อด้วยหัวใจผูกกัน โดย บอย อนุวัต แล้วก็ถึง Live&Learn จากคุณแม่กมลา

การโชว์ครั้งแรกของคุณกมลาเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วก็แสดงที่นี่ ครั้งนั้นเป็น magic moment เพราะไม่เคยมีใครดูการแสดงสดของท่านในเพลงนี้มาก่อน คนดูยืนปรบมือนานหลายนาที เป็นประสบการณ์ที่ผมไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน ครั้งนี้ผมคิดอยู่ในใจมาตลอดว่า B.DAY อาจเป็นครั้งสุดท้ายของท่านใน Impact Arena แต่ความคิดผมก็ถูกทะลายลง เมื่อท่านประกาศว่า “อีก 10 ปีเจอกันอีก!” ท่านจะอายุครบ 100 ปี นี่คือความหวังที่แท้จริงของผู้สูงอายุที่มีอายุยืนยาว พี่บอยยังเรียกพี่ป๊อดมาแถมเพลง ‘ใคร’ จบโชว์อย่างเต็มอิ่ม

แล้วศิลปินที่มากล่อมเหมือนเป็นช่วงพักเบรกทางอารมณ์คือพี่ธีร์ ไชยเดช ใช้กีต้าร์โปร่ง 2 ตัวกับคีย์บอร์ด เริ่มด้วยเพลงรัก ตามด้วยเพลง ‘…20202…’ ที่แต่งเพื่อระลึกถึงโจ้ วงพอส เซอร์ไพรส์ด้วย ‘ผ้าเช็ดหน้า’ ที่คนฟังไปเรื่อย ๆ ก็กลั้นขำกันไป เพราะเพลงชาติแห่งเจ้าแม่ Dojo City ยังอุตส่าห์มาร้องช้า ๆ ตามสไตล์ตัวเองได้ ก่อนจบด้วยฝันไป

จากนั้นหักดิบไปต่อด้วยอรอรีย์ เจ้าแม่เพลงกรันช์ นักดนตรีมาจากยุคดั้งเดิมซึ่งปัจจุบันคือวง Zeal และเทดดี้มือกีต้าร์จาก Flure มารวมตัวกันสำหรับโชว์ใน B.DAY เท่านั้น อรอรีย์จัดเต็ม 4 เพลง (แล้วเธอ, ไกล, มีเธอ, ระหว่างเรา) เป็นร็อกที่ดิบและสะใจมาก ๆ แฟนเพลง Bakery Rock อย่างผมโยกหัวตามทุกเพลง การมีไลน์กีต้าร์ไฟฟ้า 2 คนและแบ่งไลน์กันชัด ทำให้บทเพลงทรงพลังมากใน Impact Arena เทดดี้ถึงกับลงไปนอนกลิ้งที่พื้น เสียงพี่อรก็มีเอกลักษณ์ เข้าทางสไตล์ดนตรีจนผมต้องควักมือถือออกมาอัดเก็บไว้เพื่อกลับไปดูใหม่ได้

คอนเสิร์ตแบ่งช่วงการแสดงออกเป็น 3 chapter ใช้เวลากว่า 10 ชั่วโมง พี่บอยให้กำลังใจด้วยการมอบเหรียญรางวัลให้ผู้พิชิตแต่ละ chapter เป็นเหรียญภาพดิจิทัลทางหน้าจอ (bronze, silver, gold)

หลังจบคอนเสิร์ตมา 1 วัน ผมลองเอาภาพเหรียญมาใส่กับภาพตัวผมเองกับพี่ ๆ ที่มาคอนเสิร์ตด้วยกัน โดยใช้ AI : Gemini ให้เหมือนกำลังถือเหรียญจริง ๆ ปรากฏว่าหลังแชร์ภาพออกไป มีหลายคนที่ไป B.DAY ถามผู้จัดงานว่าจะรับเหรียญนี้ได้อย่างไร จนผู้จัดให้ผมช่วยเพิ่มข้อความว่าภาพถือเหรียญเจนมาจาก AI และพี่บอยเองก็เห็นว่าเหรียญมีกระแสดี เลยกำลังจัดหาผู้ผลิตเหรียญจริงเป็นของที่ระลึกให้ศิลปินและผู้มีส่วนร่วมในการจัด B.DAY

ความตั้งใจของเราคือดูศิลปินให้ครบ (ไม่หนีไปกินอาหารข้างนอก) และก็มาถึงวง ‘ซีเปีย’ แนวเพลงแหวกกระแส พื้นฐานเป็นร็อกและใช้ภาษาหยาบ ๆ หน่อย (สุกี้เตือนพี่โอ๋ซีเปียว่าอย่าใช้คำหยาบในงานนี้) เนื้อเพลงเป็นแนวสองแง่สองง่าม วงซีเปียออกกับเบเกอรี่เพียงอัลบั้มเดียว (Two Egg) เปิดโชว์ด้วยคลิปสัมภาษณ์ศิลปินอีกคนในวงที่กำลังบวชพระอยู่และมาร่วมไม่ได้ พร้อมอวยพรให้ทุกท่านมีความสุขในการรับชมคอนเสิร์ต แต่วงเริ่มกบฏตั้งแต่เพลงแรก โดยใช้เพลง ‘อยากอยู่กับเธอทั้งคืน’ จากอัลบั้มไม่ต้องใส่ถุง (ออกกับ Indy Café) ก่อนค่อยกลับมาอัลบั้มของเบเกอรี่ (อกหักเพราะรักแป๋ว, หวานเย็น)

เสียงผู้หญิงมีลูกหว้า พิจิกามาสร้างความสดใสให้โชว์ ต่อด้วยสายชล ระดมกิจมาเล่น 2 เพลง (ฝากรัก, เพียงกระซิบบอก) วง Tea for Three เล่นเพลงที่ทุกเดือนธันวาคมทุกคลื่นวิทยุต้องหาเพลงนี้มาเปิด (ลมหนาว) แล้วจบด้วยผู้ชายในเงาจันทร์ เพื่อระลึกถึงคุณผี นักร้องนำที่จากไป ต่อด้วยวง Soul After Six จัดมา 3 เพลง (รู้, ข่าวร้าย, ก้อนหินละเมอ - เพลงที่มือเบสทุกคนต้องเคยฝึก)

โชว์ของ โป้ โยคีเพลย์บอย เป็นหนึ่งในช่วงที่ผมรอคอย เพราะโป้มีเพลงฮิตเยอะ และผมไม่ได้ไปดูการแสดงมานาน ได้แต่ติดตามใน YouTube จึงตื่นเต้นที่จะได้เจอ การเรียงเพลงค่อย ๆ ไต่ระดับอารมณ์จากซึ้งไปรุนแรง โดยที่ไม่ได้เล่นเพลงเร็ว เริ่มจาก ‘ขอให้ผม’ ไป ‘อยากมองเธอในแง่ร้าย’ ต่อด้วย ‘คืนนี้ขอหอม’ แล้วมาถึง ‘ทำร้าย’ ผมหยุดไม่ได้ที่จะร้องตามตะโกนดัง ๆ พอจบด้วย ‘อีกแล้ว’ ผมก็ยังร้องตามไม่หยุด เป็นช่วงที่ผมได้ปลดปล่อยอารมณ์ร่วมกับศิลปิน พี่โป้บอกว่า B.DAY เหมือนเป็นห้องคาราโอเกะขนาดใหญ่ ให้ทุกคนมาร้องเพลงและโยนความเหงาออกไป และชวนไปร้องด้วยกันอีกในคอนเสิร์ตใหญ่ YKPB ปี 2026

ต่อด้วยโชว์ของวง Pause ที่เริ่มด้วยอินโทร ‘ที่ว่าง’ แค่บรรทัดแรกของบรรยากาศนี้ก็เหมือนเป็นการคืนพี่โจ้กลับมาบนเวทีอีกครั้ง แล้วเฟ้นท์นักร้องนำคนปัจจุบันร้อง ‘ข้อความ’ ขึ้นมา ซึ่งทุกคนยอมรับแล้วว่าเฟ้นท์เหมาะสมกับการเป็นเสียงร้องนำของวง Pause ต่อด้วยเพลงจังหวะกลาง ๆ ขยับตามได้อย่าง ‘กอดหมอน’ แล้วไฮไลท์คือ ‘ที่ว่าง’ เหมือนคอนเสิร์ตเบเกอรี่หลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมา วงมักนำเสียงพี่โจ้กลับมาร่วมร้อง ในครั้งนี้ก็เช่นกัน และการวางไมค์โครโฟนเปล่า ๆ ที่เคยทำเมื่อ B.DAY หลายสิบปีที่แล้ว ก็ทำในครั้งนี้ด้วย แต่ production ชัดเจนขึ้น

ผมได้รู้จากคนดูรอบ 1 ว่ารอบ 3 มีการปรับให้มากขึ้น โดยการยิงไฟ follow เคลื่อนตามทางเดินกลางฮอลล์ เหมือนพี่โจ้กำลังเดินร้องเพลงอยู่กลางผู้ชม มีคนที่ยืนข้างเวทียื่นมือไปแตะไฟ follow นั้น ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนกำลังดูคอนเสิร์ตที่พี่โจ้แสดงอยู่จริง ๆ ซึ่งผมไม่เคยสัมผัสโอกาสนั้นมาก่อน และไฟ follow ก็มาจบที่เฟ้นท์ ราวกับเป็นการยินดีให้วง Pause ที่เดินทางมาถึงจุดนี้ได้สำเร็จแล้ว

ต่อด้วยคริสติน ต้นฉบับเพลงดาว (ที่หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าเป็นเพลงของ Pause) ออกมาร้องเดี่ยว ทำให้ผู้ชมเคลิ้มกับเสียง original version ที่แทบไม่เคยมีใครได้ฟังในคอนเสิร์ตมาก่อน เธอพาลูกชายสองคนขึ้นเวที เหมือนเป็นการอัปเดตชีวิตกับคนดูแบบตรงไปตรงมา ต่อด้วยนักร้องหญิงทรงพลัง ‘รัดเกล้า’ DIVA ประจำค่ายเบเกอรี่ กับเพลงเร็ว ‘ใจสองใจ’ ต่อด้วย ‘โปรดเถอะ’ 

ต่อด้วย ริค วชิรปิลันต์ เปิดด้วยอัลบั้มแรกของเธอชื่ออัลบั้ม ‘ปฐม’ ที่ผมเดาว่าคงตั้งใจไม่ขึ้นเนื้อเพลง เพื่อไม่ให้คนโฟกัสเนื้อหาจนเกินไป แต่ให้อิ่มเอิบกับโชว์ตรงหน้า จากนั้นไปสู่ ‘เทวี’ เนื้อหาเกี่ยวกับการบูชาพระเจ้าตามศาสนาฮินดู ริคใช้เวทีร่ายรำบูชา เตรียมชฎามาสวม เพิ่มมนต์ขลังสะกดคนดูทั้งฮอลล์

ต่อด้วยโหน่ง พิมพ์ลักษณ์ เริ่มด้วย ‘ยังรักเธอ’ ทำเอาผมขนลุกกับน้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ เหมือนพูดกับแฟนเพลงตรง ๆ ว่าเลิกร้องเพลงไปนานแล้ว แต่ยังคิดถึงอยู่ ต่อด้วย ‘ฉันชอบเธอ’ และ ‘นิ้วโป้ง’ ที่พาลูกสาวขึ้นมาวาดลวดลายเล่นกีต้าร์ไฟฟ้าคู่กับคุณแม่ ก่อนจบด้วย ‘คนเดียวจริง ๆ’ ที่คนดูร้องตามได้ทั้งฮอลล์

แล้วก็ถึงนาเดีย ฤทัย สุทธิกุลพานิช เปิดด้วย ‘Happy Aniversary’ ที่น่าจะเป็นเพลงไทยหนึ่งเดียวที่มีเนื้อเพลงภาษาฝรั่งเศสอยู่ด้วย คนดูตะลึงกับความสวยน่ารักที่ยังเหมือนเดิม เหมือนกาลเวลาไม่อาจทำร้ายได้ และคิวเต้นที่จัดเต็มไม่หยุด พร้อมแดนซ์เซอร์ ท่าเต้นไม่เยอะ แต่มาพร้อมความน่ารักสดใส จนผมกับคนดูหลายคนคิดเหมือนกันว่านี่คือ ‘อิ้งค์ วรันธร ในยุคของเรา’ ช่วงต่อของ ‘โลกใบใหญ่’ นาเดียถอดเสื้อคลุมสีดำออก เผยเดรสขาวเต็มตัว เพิ่มความฟินไปอีก ก่อนจบด้วย ‘คนไม่พิเศษ’ ที่นาเดียบอกว่าขอทวงคืนเพลงนี้จากโต๋ เพราะเสียงของเธอคือต้นฉบับจริง ๆ ของเพลงนี้

ช่วงที่สำคัญที่สุดของ B.DAY สำหรับผม คือการขึ้นโชว์ของวง PRU ถ้าใครติดตามวง PRU ก็น่าจะทราบว่า หลังอัลบั้มชุด 2 วงเลิกเล่นดนตรี หลัก ๆ มาจากสุกี้ (มือกีต้าร์และเจ้าของค่าย) เปลี่ยนความสนใจจากวงการเพลงไปสู่แรงบันดาลใจอื่น คือการขับมอเตอร์ไซค์ทั่วประเทศ ส่วนพี่น้อยก็แต่งเพลงสะสมไว้จนได้ออกอัลบั้มเดี่ยว แต่เมื่อสุกี้กลับมาเล่นดนตรี ก็เกิดการรวมตัวซ้อมเพลงกันอีกครั้ง ต้องออดิชั่นมือกลองคนใหม่ ได้ ‘น้องเดียว’ มาเป็นมือกลองประจำวง และการคัมแบ็กครั้งแรกของ PRU เพิ่งเกิดขึ้นปลายปี 2024 ในคอนเสิร์ต Bakery Rock

ตลอดปี 2025 วงทัวร์ตาม LIVE HOUSE ก่อนจะมาจบสิ้นปีที่ B.DAY ดังนั้น performance ของวง PRU ในตอนนี้ผ่านการซ้อมหนักมาตลอดทั้งปี ในหมู่แฟนเพลงก็ลุ้นอยู่ว่าพี่คณิณ (มือกลอง) จะมาขึ้น B.DAY ไหม รอบแรกผ่านไปไม่มีพี่คณิณ ก็แปลว่าต้องใช้แต้มบุญว่าใครจะโชคดี

PRU เปิดด้วย ‘แค่’ ที่พี่น้อยใส่สุดจนแทบตกบันไดบนเวที ต่อด้วย ‘รักคุณ’ และแต้มบุญของผมครั้งนี้มาเต็ม เพราะพี่คณิณโผล่ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่ง กล้องรู้หน้าที่ดีว่าโฟกัสมือกลองคนนี้เป็นพิเศษ ทำให้แฟนเพลงอย่างผมปลื้มใจสุด ๆ จบด้วย ‘ทุกสิ่ง’ ด้วยเสียงเปียโนอินโทรที่ทุกคนจำได้ ถึงแม้จะรู้สึกว่า 3 เพลงน้อยเกินไป แต่นี่ก็เป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมในการยืนยันว่า PRU เป็นหนึ่งในวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จของเบเกอรี่

วงถัดไป Groove Riders เปิดด้วย ‘ฮอร์โมน’ เสียงทรัมเป็ตจัดมาเยอะสะใจ เพิ่มโน้ตเพิ่มจังหวะจาก original version บุรินทร์มาด้วยชุดคลุมสีแดง แว่นตาดำ ถือแก้วน้ำขึ้นโชว์ คุมธีมสุด ๆ และมีแดนซ์เซอร์ประจำวงที่ไปด้วยทุกครั้ง B.DAY ครั้งนี้เหมือนเป็นปาร์ตี้ย่อม ๆ เพราะเพิ่งผ่านคอนเสิร์ตใหญ่ของวงมา ทางวงเลือกเพลงมาเล่นแบบไม่สนใจว่าจะต้องเป็นเพลงยุคเบเกอรี่เท่านั้น จัด ‘รักไม่ได้’ และ ‘เธอทั้งนั้น’ เข้ามาด้วย ส่วนเพลงเบเกอรี่ใช้ ‘รักที่เพิ่งผ่านพ้นไป’ กับ ‘หยุด’ ปิดโชว์

ต่อด้วย Flure ที่ได้ข่าวจากรอบก่อน ๆ ว่าเป็นวงร็อกที่ใส่พลังที่สุดใน B.DAY แต่รอบที่ผมดูเกิดปัญหาเครื่องเสียง คิวมีอาการชัดถึงลำโพงมอนิเตอร์ที่ไม่โอเค และเสียงกีต้าร์ไม่พุ่งเหมือนวงอื่น กว่าเสียงจะกลับมาเต็มคือ 2 เพลงสุดท้าย Flure เริ่มด้วย ‘เปลี่ยน’ เพลงเปิดตัวอัลบั้มแรก ต่อด้วย ‘เรื่องเดียว’ และ ‘ปล่อยไปตามหัวใจ’ เพลง ‘ยื้อ’ ที่ Flure นำมา cover จนโด่งดัง ได้พี่เอ มือกีต้าร์วงพอส มาร่วมแจมด้วย และปิดด้วย ‘ฤดูที่ฉันเหงา’ อย่างสมศักดิ์ศรี วงร็อกวงสุดท้ายของเบเกอรี่ที่มีสุกี้เป็น producer

ถ้าเป็นงานอื่นคงจบไปแล้ว แต่ B.DAY รอบนี้เริ่ม 16:10 น. และตอนนี้เกือบเที่ยงคืน เราผ่านมาประมาณ 7 ชั่วโมง เกินครึ่งทางแล้ว สำหรับแฟนเบเกอรี่ตัวจริง คงไม่อยากพลาดช่วงไหนไปเลย มันเหมือนการออกเดินทางร่วมกับเพื่อนเก่าที่บางคนไม่ได้เจอกันมานาน บางคนก็ยังเจอกันเสมอ

เพื่อนเก่าคนถัดไปคือ ‘บอย ตรัย ภูมิรัตน์’ นักแต่งเพลงประจำค่ายเบเกอรี่ เพลงของเขาไปอยู่แทบทุกศิลปิน และเพลงแรกที่เปิดคือ ‘เพลงเศร้า’ โดยเฉพาะท่อน ‘ปิดทีได้ไหมไม่อยากได้ยิน’ ผมคิดว่าแฟนเพลงเบเกอรี่แต่ละคนน่าจะมี ‘เพลงเศร้า’ เป็นของตัวเอง ที่ไม่อยากฟังเพราะมันพาเราย้อนกลับไปสู่ความหลังที่เจ็บปวด
สำหรับผม เพลงของ PRU ที่พี่น้อยแต่งอย่าง ‘ทุกสิ่ง’ ก็เหมือนเป็นเพลงเศร้าของพี่น้อย ซึ่งพี่น้อยต้องก้าวผ่านความเจ็บปวดนั้นให้ได้ เราทุกคนก็ต้องก้าวผ่านเพลงเศร้าไปด้วยกัน ต่อด้วย ‘ส่งแค่นี้’ แล้วเสียงเมโลดี้ของกล่องเพลงดังขึ้น ผมอ่อนไหวกับ ‘พื้นที่เล็ก ๆ’ มาก น้ำตาคลอจนไหลออกมา ว่าความเป็นเด็กในหัวใจเรายังคงอยู่ และการเป็นผู้ใหญ่มันไม่ง่ายเลยจริง ๆ จากนั้นปิดโชว์ด้วยสมาชิกวง Two Days Ago Kids มาเล่น ‘กลับมา’ ที่คนทั้งฮอลล์ร้องตามสุดเสียง

แล้ววง Crescendo ก็เริ่มต้น สิ่งที่พิเศษคือมีมือเพอร์คัชชั่น เสียงกลองตีมือเปล่าประกอบบทเพลงอย่างลงตัว เปิดด้วย ‘ใจกลางความเจ็บปวด’ ต่อด้วย ‘วีนัส’ และจบด้วย ‘ความจริงในใจ’ แฟนเพลงเบเกอรี่น่าจะรู้สึกคล้ายกันว่าเสียงร้องนำต้นฉบับของ Crescendo ยุคเบเกอรี่คือเสียงของบี พีระพัฒน์ วันนี้จึงเสียดายที่ไม่ได้ยินเสียงของบีจากวงนี้ แต่สิ่งที่เซอร์ไพรส์ที่มารู้ทีหลังคือ B.DAY รอบ 4 บีได้ขึ้นเวทีกับ Crescendo ในเพลง ‘ความจริงในใจ’ เพราะพี่บอย โกสิยพงศ์โทรหาพี่เอก มือกลองของวง ขอให้บีร่วมร้องด้วย กลายเป็นการตัดสินใจวินาทีสุดท้าย ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีระหว่างอดีตนักร้องนำกับสมาชิกปัจจุบัน ก่อนจบคอนเสิร์ต B.DAY ด้วยความชื่นใจของแฟนเพลงที่ได้เห็นภาพที่คาดหวังมาตลอดว่าอยากให้เกิดขึ้น

ต่อด้วยโชว์ของ B5 มาเรียมพูดระลึกความหลังว่าวง B5 ได้แจ้งเกิดจาก Impact Arena จากนั้นจึงเริ่มบรรเลงบทเพลงจากอัลบั้ม event (บางสิ่ง, รักคุณเข้าแล้ว, อีกที, ขอให้ผม, ดาว, คนไม่พิเศษ, แค่เธอก็พอ, ดอกไม้, คะแนนแห่งชีวิต, ตัดสินใจ) ต่อเนื่องไม่มีเบรกจนจบโชว์

และนี่คือลำดับศิลปินจากช่วงปีแรกถึงปีสุดท้ายของเบเกอรี่มิวสิก ก่อนที่พี่บอย โกสิยพงศ์จะนำทีมศิลปินขึ้นเวทีเพื่อไว้อาลัยศิลปินที่จากไป 5 ท่าน ได้แก่
โต้ง มณเฑียร แก้วกำเนิด มือกีตาร์ P.O.P


โจ้ อัมรินทร์ เหลืองบริบูรณ์ นักร้องนำวง Pause


ผี ศุภวัฒน์ รัตนโกเมน นักร้องวง Tea For Three


David Brochstein มือกลอง อรอรีย์ อัลบั้มแรก


อาต้อย เศรษฐา ศิระฉายา เจ้าของเสียงในเพลง ‘เหมือนเคย’


ผู้ที่ได้รับเกียรติให้ถ่ายทอด ‘รักเธอทั้งหมดของหัวใจ’ คือเบน ชลาทิศ และเขาถ่ายทอดได้อารมณ์ ตราตรึงใจมาก

เหมือนจะเป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ตเบเกอรี่ของใครที่ตั้งใจใช้เพลงเต้นรำของ Mr.Z มาร่วม มักจะวางไว้ช่วงท้าย และ B.DAY ก็เป็นแบบเดียวกัน เริ่มแดนซ์ด้วย ‘รักคือสิ่งเดียว’ และ ‘ใจสองใจ’ ร้องนำโดยรัดเกล้า (แน่นอนว่าต้องเปลี่ยนชุดให้อลังการเช่นเดิม) ต่อด้วย ‘สงสัย’ ของนาเดีย ที่มากับเดรสขาวกระโปรงบานเหมือนกลีบช่อดอกไม้ ปล่อยพลังความน่ารักสดใสอีกครั้ง จบโชว์ด้วย ‘อยากหลับตา’ นภ พรชำนิ

แล้วช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอยคือการกลับมารวมตัวของศิลปิน Dojo City สไตล์ป๊อปแดนซ์ ‘น้องสาวข้างบ้าน’ เริ่มต้นด้วยการที่ศิลปิน Dojo City ทุกคนปรากฏตัวบนเวทีใน ‘ต่อให้ใครไม่รัก’ สาว ๆ มาพร้อมท่าเต้นประจำเพลงอย่างพร้อมเพรียง จนผมไม่รู้จะโฟกัสมองใครดี เพราะเต็มเวทีไปหมด

ผมเชื่อว่าแฟนเพลงแต่ละคนมีศิลปินที่ปลื้มเป็นพิเศษ ภาษายุคนี้เรียกว่าเป็นติ่งใครหรือโอชิใคร สำหรับผมเป็นติ่งน้องพิ้งค์ Mr.Sister ก็เลยมองน้องเยอะเป็นพิเศษ แต่ที่ทุกคนยอมรับเป็นเสียงเดียวกันว่าละสายตาแทบไม่ได้คือแอนนี่ H ที่ภาพลักษณ์บนเวทีแทบไม่ต่างจากยุคก่อนเลย

ลำดับการเรียงศิลปินก็ยังไปทางคอนเซปต์หลัก B.DAY คือก่อนไปหลัง เริ่มจาก Niece (คิท, กิ) กับเพลงไปพัก, Kiss, บีบมือ ต่อด้วย Oil shocking Pink กับ ‘อยากได้’ ที่ผมนั่งชั้น 2 แล้วอยากจะหาดอกไม้ลงไปให้หน้าเวทีมอบให้เลย ตามด้วยเพลงเร็ว ‘อึดอัด’ แล้วต่อด้วยสาว ๆ H มากัน 2 คน (กิ๊ฟ, แอนนี่) กับ ‘สุดสัปดาห์’, ‘ไกลเธออยากเจอ’, ‘ความลับ’

ศิลปินเบอร์สุดท้ายของ Dojo City คือ Mr.Sister เตรียมมา 3 เพลง ‘อาม่าดุ’, ‘เพื่อนผู้หญิง’, ‘จิตนาการ’ (ส่วนตัวแอบเสียดายที่ไม่ได้ฟัง ‘จริง’ ที่พิ้งค์กับปุ๋ยต้องเต้นท่าหุ่นยนต์) จบด้วยพี่ใหญ่แห่งค่าย Triumph Kingdom (โบ, จ๊อยส์) จัดมาอีก 4 เพลง ‘อย่าเข้าใจฉันผิด’, ‘อยู่นาน ๆ อีกนิด’, ‘รักรักรัก’, ‘ผ้าเช็ดหน้า’ แล้ว 3 หนุ่ม Nop Be Boytri ขึ้นมารับช่วงต่อใน ‘เผลอ’ และ ‘ลมหายใจ’ (dance version) จนช่วงแดนซ์พีคสุด ๆ

เพลงปิดคอนเสิร์ต B.DAY คือช่วงที่ศิลปินทุกคนขึ้นมาบนเวทีร่วมกันร้อง ‘ส่งต่อความรัก’ (Pass the Love Forward) ซึ่งเป็นเพลงประจำ B.DAY ครั้งที่แล้วที่สนามราชมังคลาฯ แล้วจบด้วยเพลงชาติของเบเกอรี่มิวสิก ‘ฤดูที่แตกต่าง’ บอกลาแฟนเพลงปิดคอนเสิร์ตในวันนี้

มีของแถมปลิวลงมาจากเพดานฮอลล์ เป็นกระดาษชิ้นเล็ก ๆ โลโก้ B.DAY Forever ที่ระบุชื่อศิลปินใบละชื่อ แปลว่าถ้าใครจะเก็บสะสม คุณต้องค่อย ๆ หยิบมาดูว่าได้ชื่อใครมาแล้ว และกำลังตามหาใครอยู่ ยากมากที่จะเก็บให้ครบทุกคน หลังจบคอนเสิร์ตเลยมีคนโพสต์หาแลกชื่อศิลปินที่ตัวเองต้องการ เป็นบรรยากาศที่คอนเสิร์ตจบ แต่ภารกิจยังไม่จบจริง ๆ

คอนเสิร์ต B.DAY Forever จึงเป็นการเฉลิมฉลองของค่ายเพลงนี้ในบริบทที่ต่างออกไป เพราะผลงานของค่ายถูกแช่ไว้ทางกาลเวลาในช่วง 10 ปี ศิลปินแต่ละคนมีเส้นทางที่แตกต่างกันไป และแฟนเพลงก็ยังคงหวนนึกถึงช่วงเวลาดี ๆ เหล่านั้นเสมอ ถึงแม้บางศิลปินจะไม่ผลิตผลงานใหม่แล้ว อย่างน้อยก็ได้มาอัปเดตชีวิตกันในคอนเสิร์ต ส่วนศิลปินที่ยังออกผลงานใหม่ เหล่าสาวกเบเกอรี่ หรือเรียกอีกคำว่า ชาว Bakerian ก็ยังคงติดตามผลงานให้ชุ่มชื่นหัวใจกันต่อไป