สุกี้ บอย สมเกียรติ : Bakery Music เตาอบเสียงดนตรีที่เปลี่ยนเพลงไทยไปตลอดกาล

สุกี้ บอย สมเกียรติ : Bakery Music เตาอบเสียงดนตรีที่เปลี่ยนเพลงไทยไปตลอดกาล

บทสัมภาษณ์ สุกี้ - กมล สุโกศล แคลปป์, บอย - ชีวิน โกสิยพงษ์ และ สมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์ สามผู้บริหารแห่ง ‘เบเกอรี่ มิวสิค’ (Bakery Music) เตาอบเสียงดนตรีที่เปลี่ยนเพลงไทยไปตลอดกาล

 

หลายคนบอกว่าเรามาเปลี่ยนวงการ เราก็ภูมิใจ
แต่เราไม่ได้ตั้งใจจะมาเปลี่ยน มันเกิดขึ้นเอง
แล้วไม่ใช่แค่เรื่องเพลงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงวิธีคิด

 

ไม่มากก็น้อย ค่ายเพลงเล็ก ๆ ค่ายหนึ่งที่เริ่มต้นจากคนเพียงห้าคน ที่ประกอบไปด้วยผู้บริหารสี่คน และผู้ช่วยอีกหนึ่งคน ที่ออฟฟิศในสยามนามว่า ‘เบเกอรี่ มิวสิค’ (Bakery Music) ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนและเปลี่ยนวงการเพลงไทยไปตลอดกาล แต่ก็ไม่ใช่เพลงเท่านั้นที่จิตวิญญาณของพวกเขาถูกส่งต่อมาถึงยุคปัจจุบัน แต่ยังรวมไปถึงวิธีการทำงานอีกด้วย

ตั้งแต่โมเดิร์นด็อก, โยคีเพลย์บอย, พอส, อรอรีย์, โจอี้ บอย, โซล อาฟเตอร์ ซิก ไปจนถึงศิลปินวัยรุ่นจากค่ายโดโจซิตี้ (Dojo City) มากมายไม่ว่าจะเป็น Triumphs Kingdom, Niece, H, หรือ Mr. Sister ก็ล้วนเป็นผลผลิตจากชายคาของบ้านที่มีนามว่า เบเกอรี่ มิวสิค 

เส้นทางของ สุกี้ - กมล สุโกศล แคลปป์, บอย - ชีวิน โกสิยพงษ์ และสมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์ ได้เดินทางมาบรรจบกันในช่วงปี 1993 ก่อนที่มันจะก่อตัวกลายเป็นค่ายเพลงที่บ่มเพาะศิลปินและผลงานคุ้นหูชาวไทยอีกมากมาย และแม้ว่าค่ายเพลงดังกล่าวจะมีอายุอยู่เพียง 10 ปี แต่เสียงเพลงของพวกเขากลับก้องกังวาลมาถึงยุคปัจจุบัน

 

สุกี้ทำหน้าที่มองทุกอย่างเปรียบเหมือนสมองที่คอยดูทุกอย่าง
สมเกียรติทำหน้าที่เหมือนหัวใจคอยบอกทิศทาง
ส่วนผมที่เป็นนักแต่งเพลงก็จะแต่งตามที่สมองและหัวใจบอกมา

 

นอกเสียจากชื่อเสียงและความสำเร็จ สิ่งหนึ่งที่กินสัดส่วนใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์ของ Bakery Music คือ ‘วิกฤต’ ที่พวกเขาต้องเผชิญหน้า โดยเฉพาะวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 1997 ที่กลายเป็นอุปสรรคครั้งใหญ่ที่ค่ายเพลงแห่งนี้ต้องเผชิญ

ทว่าท่ามกลางวิกฤตที่หนักหนานั้น ไม่เพียงแต่พวกเขาสามารถก้าวผ่านมันมาได้ แต่ยังมีผลงานอันเป็นที่จดจำถูกสร้างสรรค์ต่อมาโดยไม่หยุดพัก รวมไปถึงค่ายย่อยอย่าง Dojo City ที่กลายเป็นภาพจำและปรากฎการณ์แห่งยุคสมัยนั้น

 

เราอยากทำเพลงในแบบที่เราอยากฟัง
โชคดีที่เราได้มาเจอกันแล้วมีโอกาสได้ทำ

 

ในบทสัมภาษณ์นี้ The People จะชวนทั้งสามคน สุกี้ บอย และสมเกียรติพูดคุยถึงเรื่องราวในวันวานกับค่ายเพลงเบเกอรี่ มิวสิค ที่ไม่ได้เป็นแค่บริษัทสร้างสรรค์เสียงเพลง แต่เป็นครอบครัวที่ยังเหนียวแน่นมาจนถึงทุกวันนี้ 

 

สุกี้ บอย สมเกียรติ : Bakery Music เตาอบเสียงดนตรีที่เปลี่ยนเพลงไทยไปตลอดกาล

 

 

The People : ย้อนกลับไป ณ จุดเริ่มต้นของ เบเกอรี่ มิวสิค จำได้ไหมว่าความรู้สึกและพลังของตัวเองในตอนนั้นเป็นอย่างไร?

บอย : ในตอนนั้นไม่รู้อะไรเลยครับ รู้สึกอย่างเดียวคือความอยากจะทำ ยิ่งพอเจอเพื่อนที่มารวมกลุ่มกันแล้วลงตัวก็ลุยกันอย่างเดียว ไม่ได้มีความคิดอะไรข้างหน้า มีแต่คิดว่าอยากจะทำ 

สมเกียรติ : ถือเป็นเรื่องโชคดีที่เราได้มาเจอกัน แล้วพอเรามาเจอกันก็จะคุยกันอย่างเดียว พอคุยกันแล้วเราก็ทำแต่เพลงเลย แล้วเรื่องที่คุยก็คุยกันแต่เรื่องเพลง เรียกได้ว่าทุกวินาทีที่เจอกันคุยกันแต่เรื่องดนตรีกับชีวิตปนคู่กันไป พอคุยเสร็จก็จะทำไปด้วย ตอนนั้นเราก็อายุ 24-25 ปีกัน ซึ่งไม่ค่อยจะมีอะไรทำกันมาก (หัวเราะ) เวลาเราเจอกันก็จะคุยกันไม่หยุด หัวสมองเราก็จะสนใจแต่เรื่องพวกนี้

สุกี้ : จากมุมมองของผม ย้อนกลับไปในตอนนั้น ตลาดดนตรีบ้านเราจะเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่ผมรู้สึกว่ามันยังมีความเป็นไปได้แบบอื่น ๆ อีกมากเลย ซึ่งผมเป็นคนนิสัยแบบแบบที่อยากจะบอกว่า “มันมีแบบอื่นด้วยนะเว้ย! เดี๋ยวเราจะทำให้ดู” ความรู้สึกผมในตอนนั้นจะเป็นแบบนั้นเลย

บอย : สุกี้เป็นคนชอบทะเลาะครับ (หัวเราะ)

สุกี้ : ในสมัยก่อน เพลงที่ถูกทำออกมาจะมีวิธีการผลิตเหมือนโรงงาน ผมเลยอยากจะทำเพลงในแบบของเราเอง ไม่ใช่ว่าเราวางแผนจะเป็นแบบไหนนะ เพียงแต่เราแค่อยากจะทำเพลงแบบที่เป็น ‘ตัวเรา’ แค่นั้น

สมเกียรติ : ผมคิดว่ามันจุดประกายมาจากการที่เพลงไทยสมัยก่อนเป็นเพลงที่ผลิตออกมาเป็นเพลงที่ศิลปินไม่ได้เป็นคนทำเอง โดยพวกเราก็อยากจะทำเพลงในแบบที่เราอยากได้ยินจากเมืองนอกหรือจากรสนิยมของแต่ละคน ซึ่งก็โชคดีที่เราได้เจอกันแล้วมีโอกาสได้ทำ แล้วพอได้ทำเราก็จะอยากทำในสิ่งที่เราอยากได้ยิน ทั้งชีวิตของเราในช่วงนั้นจึงวนเวียนอยู่กับสิ่งนี้

 

สุกี้ บอย สมเกียรติ : Bakery Music เตาอบเสียงดนตรีที่เปลี่ยนเพลงไทยไปตลอดกาล

 

The People : ทำไมถึงกลายมาเป็นชื่อ ‘เบเกอรี่ มิวสิค’ ได้?

บอย : เราอยากมีชื่อที่มีความโฮมเมด นึกถึงเวลาแม่ทำอาหารก็ต้องมีเครื่องปรุง มีสูตรเฉพาะ แล้วก็คิดว่าต้องการชื่อที่เรียกง่าย ขับรถมาก็มี S&P เบเกอรี่, Little Home เบเกอรี่, ประจักษ์ เบเกอรี่ อะไรแบบนี้เต็มไปหมดเลย เลยคิดว่าคำว่า ‘เบเกอรี่’ น่าจะเหมาะสมที่สุด

สุกี้ : เท่าที่ผมจำได้ตามที่บอยเคยพูด เขาบอกว่าอยากได้ชื่อที่มีความนุ่ม เพราะสมัยก่อนชื่อของค่ายเพลงจะมีความแข็งแกร่ง เก่งกาจ เลยอยากได้ชื่อที่นุ่ม

บอย : อยากได้ชื่อที่ไม่เกี่ยวกับดนตรี

สุกี้ : และอยากได้ชื่อที่สามารถพูดทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยได้แล้วออกมาลื่นปาก

 

สุกี้ บอย สมเกียรติ : Bakery Music เตาอบเสียงดนตรีที่เปลี่ยนเพลงไทยไปตลอดกาล

 

The People : ในช่วงแรกบรรยากาศของออฟฟิศเบเกอรี่เป็นอย่างไรบ้าง?

บอย : มีอยู่ห้าคนเองครับ ผู้บริหารสี่คน เลขาหนึ่ง (หัวเราะ) ออฟฟิศตั้งอยู่ที่สยาม เริ่มต้นจากห้องเก็บของของครอบครัวสุกี้ แล้วเราก็ไปช่วยกันรื้อทำเป็นออฟฟิศ ซึ่งสุกี้เขาก็มีห้องอัดอยู่แล้วที่ชั้นล่าง เราเลยได้ใช้ห้องอัดกันด้วย

สุกี้ : ตอนแรกเริ่มจากชั้นเดียว แล้วก็ค่อย ๆ ขยายไปเรื่อย ๆ 

สมเกียรติ : สมัยก่อนเป็นห้องเล็ก ๆ นะครับ ซึ่งการอัดเสียงก็ยาก ไม่เหมือนในสมัยนี้ ที่บ้านสุกี้ก็จะมีเครื่องรีล (เครื่องอัด) นิ้วหนึ่ง ฉะนั้นเวลาจะทำอะไรก็ต้องมีคนที่ทำเป็น ซึ่งสุกี้ก็เป็นคนทำ เวลาเรามีอะไรก็จะไปอัด demo อัดอะไรที่นั่น อยู่กันแค่สามสี่คน ยังไม่ได้คิดว่าจะทำเป็นค่ายหรืออะไรเลย เราจะทำเป็น Music Production เลยได้ทำเป็น Fly Now ขึ้นมา

สุกี้ : ตอนนั้นแหล่งเด็กวัยรุ่นที่ฮิตที่สุดคือ Center Point 

บอย : ไม่ Center Point มาหลังเรา

สุกี้ : ใช่ มาหลังแต่พูดให้เห็นภาพว่ามันคือตรงนั้น ซึ่งบังเอิญเราไปอยู่ตรงนั้นพอดีเลย นี่คือบังเอิญเลยนะ บังเอิญเราไปอยู่มุมนั้นด้วย มันเลยกลายเป็นที่แฮงก์เอาท์เลย ใครไม่รู้จะไปไหนก็มาเบเกอรี่ฯ มันกลายเป็นศูนย์รวมเลย เพราะว่าสถานที่แหละครับ 

 

The People : ในช่วงเวลานั้นก็เดินหน้าด้วย ‘สัญชาตญาณ’ เลยใช่ไหม?

สุกี้ : ส่วนใหญ่ในสมัยนั้น วงการเพลงไทยทุกอย่างจะถูกเซ็ทมา คุณจะร้องแบบนี้ คุณจะแต่งตัวแบบนี้ คุณจะพูดแบบนี้ สมัยนั้นเขาไม่ได้เรียกศิลปินว่าศิลปินนะ เขาเรียกศิลปินว่า ‘พรีเซนเตอร์’ (Presenter) นี่เรื่องจริง แล้วพรีเซนเตอร์มันแปลว่าอะไรล่ะ? มันก็ตายคำ 

อย่างตอนโมเดิร์นด็อก (Moderndog) เข้ามา เขาก็เป็นแบบนั้นของเขา ผมพูดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลาว่าในสมัยก่อน ส่วนใหญ่ค่ายจะเอาศิลปินมาแล้วก็แปะตัวตนให้ แต่ของเราจะตรงกันข้าม เพราะเราเอาศิลปินมาแล้วเราพยายามดึงตัวตนของเขาออกมา… แต่ก็ต้องมีอะไรให้ดึงด้วยนะ (หัวเราะ)

บอย : เอาความเป็นตัวของตัวเองของพวกเขาออกมา

สุกี้ : แล้วกับโมเดิร์นด็อกเนี่ย ผมจำได้เลยว่าหนแรกที่ไปดูพวกเขาซ้อมกันที่จุฬาฯ ผมก็เดินเข้าไปห้องซ้อมแล้วมันก็เละตุ้มเป๊ะนิดนึงนะ จำได้ว่าเขาเล่น Red Hot Chili Peppers แต่มันมีเอเนอร์จีที่ไม่เหมือนคนอื่น พลังของพวกเขามันแผ่ออกมา ซึ่งส่วนตัวผมนะ Music is all about energy. ซึ่งโมเดิร์นด็อกมีตรงนี้ที่ตอนนั้นไม่มีใครเหมือน ไม่มีใครใกล้เลยด้วยซ้ำ มันมาอีกจุดหนึ่งเลย มันมาจากข้างใน มันคือสัญชาตญาณจากข้างใน

ซึ่งเราเองก็เป็นศิลปิน เราเป็นนักดนตรี ผมคิดว่า direction ของเราก็ต้องมาจากตรงนั้น เราก็ต้องการทำอะไรที่ออกมาจากตัวศิลปินไม่ใช่สร้างอะไรไปใส่ให้เขา 

บอย : ตอนนั้นเราคิดเพียงว่าสิ่งที่เราได้ยินนั้นมันดีไหม ถ้าเรารู้สึกว่ามันดี มันก็คือดีแล้วครับ เพราะเราก็เป็นเจ้าของเองก็ไม่มีใครมาบอกแทนเราแล้ว ก็สบายไป

สมเกียรติ : เราอยากทำอะไรเราก็จะทำสิ่งนั้น ทำสิ่งที่เราอยากได้ยิน การที่มีน้อง ๆ เข้ามาในการทำเพลงในช่วงนั้นก็เหมือนเป็นการส่งพลังให้ เราก็ทำไปด้วยกัน คิดอะไรก็คิดไปด้วยกัน เวลาศิลปินคิดอะไรมา พวกเราก็จะเพิ่มพลัง ลองชี้ทางให้ลองนู่นลองนี่ดู การทำงานของพวกเราก็จะเป็นในลักษณะนั้น 

 

สุกี้ บอย สมเกียรติ : Bakery Music เตาอบเสียงดนตรีที่เปลี่ยนเพลงไทยไปตลอดกาล

 

The People : การทำงานกับเพื่อนที่สวมหมวกคนละใบมีปัญหาบ้างไหม หรือมีความยากอย่างไรบ้าง?

บอย : ส่วนตัวผมคิดว่ามันง่ายมากเลย เพราะทุกคนมีบทบาทของตัวเองหมด แล้วเราก็วางใจในบทบาทเหล่านั้น สุกี้จะทำหน้าที่เป็นคนมองทุกอย่างเปรีบมเสมือนกับสมอง สมเกียรติจะทำหน้าที่เหมือนหัวใจที่คอยกำหนดทิศทาง ส่วนผมเป็นนักแต่งเพลง ผมก็ทำหน้าที่ที่จะแต่งตามที่สมองและหัวใจบอกมา แต่ละคนก็ทำหน้าที่ของตัวเอง

สุกี้ : สิ่งหนึ่งที่อาจจะต้องพูดคือ ณ จุดเริ่มต้นนั้นเรามีกันสี่คน ซึ่งจะรวมพี่เอื้อง (สาลินี ปันยารชุน) ซึ่งก็ในช่วงแรกก็เป็นพี่เอื้องที่ต่อพวกเราเข้าสู่วงการเพลงไทย เพราะตอนนั้นพวกเราก็ฝรั่งแดกกัน มีพี่เอื้องที่มาช่วยตบให้มันเข้าที่ 

บอย : นอกจากนั้นพี่เอื้องก็จะมีหน้าที่ของการพาเราไปเชื่อมกับที่ต่าง ๆ เป็นพีอาร์ จะเห็นได้ว่าพอทุกคนมีหน้าที่ของตัวเอง เราก็เคารพหน้าที่ของกันและกัน

 

สุกี้ บอย สมเกียรติ : Bakery Music เตาอบเสียงดนตรีที่เปลี่ยนเพลงไทยไปตลอดกาล

 

The People : เมื่อกล่าวถึงเบเกอรี่ฯ ก็จะนึกถึงความเป็นครอบครัว คุณมองเรื่อง ‘สัญญาใจ’ อย่างไร?

สุกี้ : No ผมตรงกันข้ามเลย อาจจะเป็นเพราะ background ผมเป็นฝรั่ง สัญญาใจผมเลยไม่มี มีหลายทีมากที่ผมต้องต่อสัญญากับศิลปิน มีหลายทีมากที่พวกเขาบอกว่า “แล้วแต่พี่สุกี้เลย” ผมก็บอกว่า “ไม่ได้ ยูต้องอ่าน” ผมไม่เชื่อในสัญญาใจ เอาสัญญากระดาษ แต่ยูต้องอ่าน ยูต้องเข้าใจในสิ่งที่ยูจะทำให้ไอ 

โจอี้ บอย ไปอยู่แกรมมี่ ผมไม่รู้สึกแย่เลย เขาโตแล้วเขาก็ต้องไป แต่ถ้าเกิดผมไปบอกว่า “เฮ้ย เรามีสัญญาใจ มึงทิ้งกูนะ” แบบนั้นผมไม่เอา ทวงบุญคุณเมื่อไหร่จบกันเมื่อนั้น สัญญาใจไม่เอา ของให้ทุกคน win-win ขอให้ทุกคนเข้าใจกัน ขอให้ทุกคนตรง ๆ กัน ซึ่งผมก็ภูมิใจนะที่เบเกอรี่ฯ ไม่มีใครที่ทิ้งเราเลย ยกเว้นโจอี้ แต่ถ้าผมเป็นมัน… ผมเข้าใจมันนะ ผมไม่โกรธเลย

พอโจอี้ไปแล้วอีกปีมาเจอกัน โจ้ก็มาบอกว่า “พี่สุกี้ ผมเข้าใจพี่แล้ว!” (หัวเราะ) 

เราไม่ใช้สัญญาใจ แต่เราจริงใจต่อกันและกัน แล้วจะอยู่ด้วยกันได้นาน จริงใจต่อกัน คุณไม่ติดอะไรผมเลย ผมก็ไม่ติดอะไรคุณเลย

บางวงก็ยังเคยคุยกับผมนะว่าขอเบรคสัญญาก่อน เพราะที่ทำไปไม่ค่อยเวิร์ค ซึ่งก็คือ Soul After Six แล้วอีกสองปีก็กลับมาใหม่ ซึ่งผมก็เข้าใจเขา ตอนเขาเบรคผมก็ไม่ได้คิดว่าเขาไม่ได้อยากทำกับเรา ผมไม่ได้คิดแบบนั้น แล้วเบรคไปสองปีอยู่ดี ๆ ก็โทรมาว่าขอลุยต่อ 

บอย : อย่างเรื่องพวกนี้ผมจะไม่รู้เรื่องเลย เพราะเป็นหน้าที่เขา ซึ่งจริง ๆ สุกี้เขาก็ไม่ได้อยากทำหรอก แต่อีกสองคนไม่ทำจริง ๆ เขาก็ต้องทำ

 

สุกี้ บอย สมเกียรติ : Bakery Music เตาอบเสียงดนตรีที่เปลี่ยนเพลงไทยไปตลอดกาล

 

The People : จะเห็นได้ว่า เบเกอรี่ มิวสิค เผชิญหน้ากับวิกฤตใหญ่ ๆ ถึงสองครั้งด้วยกัน คุณพอจะอธิบายได้ไหมว่าแต่ละครั้งมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง?

สุกี้ : ในรอบแรกเราเจอกับฟองสบู่ในช่วงปี 1997 ถึง 1999 จนทำให้เรารู้ว่าเราต้องหาทุนเพิ่ม ต้องหาพาร์ทเนอร์ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือต้องขายหุ้นบริษัท ตอนนั้นเลยทำ ตอนนั้นก็เลยทำ road show ไปฮ่องกงและไปพบกับบรรดา Venture Capitalist กับค่ายเพลงต่างประเทศ เราไม่รู้พวกยู (บอยและสมเกียรติ) จำได้หรือเปล่า เราไปเจอ VC เจ้าหนึ่งที่โคตรดูถูกพวกเราเลย โคตรหัวสูงเลย 

ผมจำคำพูดเขาได้เลยนะ “ถ้าเกิดไอเอาร้อยล้านใส่เข้าไปในบริษัทยู แต่ถ้าเกิดเก็บไว้ในธนาคารไอได้ดอกเบี้ยที่มีผลตอบแทนเยอะกว่าอีกนะ” อะไรแบบนั้น ตอนนั้นผมหัวเราะเลย ผมก็เลยไม่เอาแล้ว กูไปดีกว่า เพราะคุยกันไม่รู้เรื่องแน่ ไปคุยกับค่ายเมเจอร์อื่น ๆ พอฟังคำพูดแล้วก็รู้สึกว่าไม่ดีกว่า แต่ตอนไปเจอ BMG แล้วนั่งคุยกับเขา แล้วเขาพูดหลายอย่างที่เข้าหูผม 

เท่าที่ผมจำได้เขาบอกว่า “ค่ายเพลงมันต้องลงทุนระยะยาว มันจะระยะสั้นไม่ได้” เขาบอกผมว่าจะเอานักบัญชีมาคุมค่ายเพลงไม่ได้ ต้องเป็นคนดนตรี เขาพูดหลายอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกว่าน่าจะเข้ากันได้ ท้ายที่สุดก็เลยเลือกพวกเขา ซึ่งก็กลายเป็นความสัมพันธ์ที่ดี คือภายในระยะเวลาห้าปี ทะเลาะกันแค่สองที เขาค่อนข้างเข้าใจเรา

ในสมัยนั้นผมอนุมัติเองได้ถึงสองล้านโดยไม่ต้องไปขออนุญาต ซึ่งผมถือว่าเยอะมากนะ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่บอยจะไปอัดเพลงที่เมืองนอก ผมก็ต้องไปขออนุมัติจากพวกเขา เขาก็ตอบว่า “โอเค แต่ถ้าเกิดยูทำไม่ถึงเป้ายูก็เสียเครดิตนะสุ” ก็เป็นอะไรที่ตรงไปตรงมา ผมก็เลยรู้สึกว่าเข้ากับพวกเขาได้ เขาจึงกลายเป็นบริษัทที่เราเลือกที่จะใส่เงินเข้ามาในเบเกอรี่ฯ 

แต่เราก็ทำฉิบหายหมดเลย… (หัวเราะ)

สมเกียรติ : หมดไปด้วยความรวดเร็ว 

 

 

The People : หมายความว่าพอได้เงินมาแล้วพวกเราก็จัดเต็มกับมันอย่างมาก?

บอย : โอโห จัดเต็มเลยล่ะครับ 

สุกี้ : เด็กโง่เลยล่ะ อธิบายง่าย ๆ เลย จากนั้นก็ ฉิบหายแล้ว เงินหมด ตอนนั้นเขาก็มีผู้ใหญ่คนหนึ่งชื่อว่า ‘มาร์ติน’ ที่ถูกส่งตัวมา หน้าที่ของเขาก็คือมาช่วยเด็กพวกนี้ เขาก็ถามผมว่าเกิดอะไรขึ้น ผมก็บอกเขาว่าคงต้องขออนุมัติเงินก้อนที่สอง แล้วเราต้องขออนุมัติจากนิวยอร์ก แต่ตอนนั้นสำนักงานในนิวยอร์กยังไม่เปิด จำได้เลยว่าผมนั่งอยู่ในล็อบบี้อยู่กับมาร์ตินสองคน (ทำท่าทางกระวนกระวายระหว่างรอคอย) แล้วโทรศัพท์ก็สายหนึ่งก็เข้ามา แล้วมาร์ตินก็บอกผมว่า “Sukie, they approved.” ผมก็โล่งใจ (หัวเราะ)

เหตุการณ์นี้มันเหมือนกับในหนังเลย แต่สองคนนี้ (บอยและสมเกียรติ) ไม่ได้อยู่นะ คือนั่งกัดฟันรอ

บอย : (พูดกับสมเกียรติ) นี่พวกเราไม่รู้เรื่องกันเลยเนอะ

 

The People : ช่วงนั้นเงินหมดได้อย่างไร?

สุกี้ : ส่วนหนึ่งคือเอาไปล้างหนี้เก่าครับ เล่าให้ฟังเท่านี้แล้วกัน (หัวเราะ) มันคือการเรียนรู้เลยครับ คือถ้ามาในปัจจุบันนี้เราคงไม่ทำอะไรแบบนั้น แต่ตอนนั้นเราไม่รู้เรื่องเลย มันเหมือนกับไป Business School เลย

 

The People : กล่าวถึงการอัดเพลงที่ต่างประเทศ เคยอ่านมาว่า ครั้งที่พี่บอยอัดเพลงที่สหรัฐอเมริกา เผชิญหน้ากับอุปสรรคหลายอย่างเลย?

บอย : มีหลายเรื่องเลยครับ ตอนนั้นเป็นช่วงที่กำลังอัดอัลบั้มที่จะกลายมาเป็น Rhythm & Boyd อยู่ จำได้ว่าตอนนั้นกำลังอัดซึ่งจะใช้เป็นเทปรีล ผมก็ไม่ยอมไปจ้างคนมา align ก่อนที่เราจะอัด (วิธีการอัดกับเทคโนโลยีในอดีตที่ต้องอัดใส่เทปรีลที่จะต้องมีขั้นตอน ‘alignment’ ที่หมายถึงการตั้งตำแหน่งของระบบต่าง ๆ ในเครื่องเทปรีล เพื่อให้เทปวิ่งถูกทาง และเสียงออกมาถูกต้องตามต้นฉบับ ซึ่งตามปกติหากต้องการความสะดวกหรือความแน่นอนในการอัดก็สามารถจ้างทีมงานเฉพาะที่จะดูแลในส่วนนี้ - กองบรรณาธิการ) 

สุกี้ : ขี้เหนียวว่ะ ไม่ยอมไปจ้างคนมาทำ

 

สุกี้ บอย สมเกียรติ : Bakery Music เตาอบเสียงดนตรีที่เปลี่ยนเพลงไทยไปตลอดกาล

 

บอย : แล้วม้วนหนึ่งปกติเขาจะใส่กันแค่สามเพลง แต่ผมใส่ไปถึงหกเพลงจะได้ประหยัดเทป เพราะมันหนักและแพงมาก

สุกี้ : ยุ่งฉิบเป๋งเลยเนอะสมัยก่อน 

บอย : เลยทำเองทั้งหมดเพราะเรียนมา แต่ทำได้ไม่ดี ผลสุดท้ายคือเครื่องก็กินเทป พอเทปถูกกินก็ตกใจ panic ทำอะไรก็ไม่ถูก กดแล้วก็ไม่หยุด ชักปลั๊กออก ปรากฎว่าเทปก็พังไปเยอะ สิ่งอยู่ในเทปก็หายไปด้วย ซึ่งก็ไม่ได้ทำแบ็คอัพอะไรไว้เลย นี่คือครั้งแรก หลังจากนั้นก็ต้องขอเงินพ่อแม่มาทำใหม่

มาทำรอบที่สองก็เลยทำแบ็คอัพไว้อย่างละห้าชุดเลย ซึ่งในรอบนี้ได้ถูกเปลี่ยนเป็น DA-88 หรือว่าแบบเทปเล็กแล้ว เราเลยแบ็คอัพเอาไว้ได้เยอะ ก็เลยวางแผนว่าจะกระจายไว้ตามบ้านเพื่อน ฝากเขาเอาไว้ เผื่อว่าเกิดอะไรขึ้นมาจะได้ไม่เป็นอะไร แต่วันนั้นดันจอดรถรีบขึ้นบ้านแล้วไม่ได้หยิบกระเป๋าที่ใส่เทปไปด้วย (ระหว่างที่จอดรถและอพาร์ทเมนต์ของบอยมีความห่างกันระดับหนึ่ง ทำให้การจอดรถอาจไม่ได้มีความเป็นส่วนตัวหรือรักษาความปลอดภัยเหมือนบ้านเดี่ยว นอกจากนั้นพื้นที่จอดรถยังเป็นพื้นที่ที่หลายคันจอดรวมกัน  - กองบรรณาธิการ)

ในคืนนั้นมีผู้ไม่หวังดีบุกเข้ามาในบริเวณดังกล่าวเพื่อที่จะทุบรถขโมยของ เขาคงเห็นสเตริโอจึงทุบรถผมเพื่อที่จะมาเอา แต่นอกจากนั้นก็คงเห็นกระเป๋าหนัก ๆ หลังรถก็เลยเอาไปด้วย ก็เป็นเทปเหล่านั้นที่เตรียมจะไปแจกที่บ้านเพื่อนนั่นแหละ

สมเกียรติ : อันนี้ชุดแรกทั้งหมดเลยใช่ไหม

บอย : ใช่ ชุดแรก 

สุกี้ : รวมแบ็คอัพด้วย?

บอย : ใช่ 

สุกี้ : ตัวชาเลยดิ

บอย : โอโห ตอนนั้น (ยืนขึ้นเพื่อสาธิต) ยืนอยู่แล้วเข่าก็ค่อย ๆ ทรุดแล้วลงไปนั่งกับพื้นแล้วร้องไห้ ไม่รู้จะบอกพ่อกับแม่อย่างไร เพราะยืมเงินพวกท่านมาสองครั้งแล้ว 

สมเกียรติ : แต่ของบอยจำได้ว่าก่อนจะมี Season Change นะ

บอย : ใช่ ก็เลยเป็นที่มาในการแต่งเพลงนี้ เพราะว่าตอนนั้นหมดสภาพแล้ว เลยโทรบอกแม่ว่าขอโทษ คงทำต่อไปไม่ไหวแล้ว 

สุกี้ : แต่เพราะว่ามันหายไป ก็เลยได้เพลงฮิตมา Alright! ถ้ามันไม่หายไปก็คงไม่ได้เพลงฮิตมา

บอย : ตอนนั้นแม่ก็สอนมาว่า “ชีวิตคนเราก็เหมือนกับฤดูนั่นแหละ เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝน เดี๋ยวหนาว วันนี้มีฝน สักวันก็ต้องมีแสงแดดที่อบอุ่นรอเราอยู่…” คุณแม่ก็ผลักดันให้ทำต่อ 

สุกี้ : ผมเพิ่งรู้วันนี้เลยนะ ไม่รู้มาก่อนเลย ยูไม่เคยเล่าให้ฟังเลย

 

สุกี้ บอย สมเกียรติ : Bakery Music เตาอบเสียงดนตรีที่เปลี่ยนเพลงไทยไปตลอดกาล

 

The People : อย่างนี้ก็ต้องเริ่มใหม่หมดเลยสิครับ?

ทั้งสามคน : เริ่มใหม่หมดเลย! (หัวเราะ)

บอย : แล้วก็ต้องขอสตางค์แม่เพิ่มอีก ซึ่งทั้งหมดใช้ไปสามล้าน 

สุกี้ : เราต้องเข้าใจนะว่าชุดนั้นเขาเล่นสดทั้งหมด ยากมากนะ ถ้าเกิดเป็นคอมพิวเตอร์อาจจะไม่ขนาดนี้ นี่มันสดหมดเลย ต้องเอาดนตรีเข้ามาใหม่หมดเลย

สมเกียรติ : เงินทั้งนั้นเลย 

สุกี้ : ไอก็เคยเป็น ไม่ได้โดนขโมยนะ แต่ไอไม่เคยแบ็คอัพ แล้วชุดนั้นที่ไอทำข้อมูลมันเยอะมาก ตอนนั้นไอทำเสร็จแล้วก็ถอนหายใจ ลุกเข้าไปในครัวไปทำกาแฟดื่มช กลับมาลองกดเล่น (ทำท่ากดแล้วไร้สิ่งตอบรับ) Motherfucker… ตัวชาเลย 

สมเกียรติ : เข้าใจ เหมือนลูกหาย 

สุกี้ : แล้วก็ถามตัวเองว่าทำไมเราถึงโง่แบบนี้ ทำไมเราไม่แบ็คอัพ เราเป็นอะไร แต่เราก็ต้องรีบทำใจแล้วไปต่อ แต่จำได้ว่าตัวผมชาไปเลย คือตายห่าแล้วทำมาเป็นปี โง่มากเลย ผลงานชุดนั้นก็เลยไม่เกิด เลิกไปเลย

บอย : เป็นอัลบั้มเดี่ยวของเขา

สุกี้ : แต่ไอก็เก็บเพลงจากชุดนั้นมาใช้กับพรูชุดใหม่ตอนนี้ ไออัด demo ไว้ตอนนู้น แล้วมันมี lick ที่ไอเก็บมาใช้กับงานชุดใหม่ กี่ปีผ่านไปแล้วล่ะ น่าจะยี่สิบแล้วมั้ง 

 

The People : หลายคนมักบอกว่า ‘สมเกียรติ’ เป็นคนที่สามารถมองอะไรได้อย่างเฉียบคม

บอย : ที่คนหลายคนชอบเพลงของเบเกอรี่ฯ ก็มาจากวิสัยทัศน์นี้ของเขาที่บอกให้เราแต่งเพลงที่มีเนื้อหาเชิงบวก อะไรก็ได้แต่ต้อง positive ดังนั้นมันก็กลายเป็นที่มาของการนที่เรากับทีมแต่งเพลง หรือนักดนตรีทุกคนเดินหน้าไปในทิศทางนี้กันหมด ไม่ว่าจะเศร้าหรืออะไรก็ตามจะต้องมีพลังบวกอยู่ในนั้น 

สุกี้ : คนที่ไม่รู้จักสมเกียรติเขาก็จะบอกว่าสมเกียรติคือเจ้าพ่อเพลงแดนซ์ นี่คือภาพจากภายนอก แต่แท้จริงแล้วเขาเป็น A&R man ซึ่ง A&R ก็ย่อมาจาก Artist and Repertoire ซึ่งหน้าที่ของเขาคนนี้คือการหาศิลปิน แล้วชี้ทางของค่ายเพลง ในค่ายเพลง คนนี้สำคัญที่สุด สำคัญกว่าอย่างอื่นหมดเลย 

A&R man ที่ดังที่สุดในโลกคือ ‘ไคลฟ์ เดวิส’ (Clive Davis) เขาเป็นทนาย แต่เขารู้ว่าอะไรจะดัง ซึ่งสมเกียรติรู้ แล้วสิ่งนี้เป็นสัญชาตญาณ เป็นสิ่งที่ต้องใช้กึ๋นไม่น้อยเลยนะ ผมคุยกับค่ายเพลงในยุคปัจจุบันผมก็บอกพวกเขาว่า “You better have an A&R man ไม่งั้นยูไปไม่รอดหรอก” แล้วจะไปรอดได้ไงถ้าเกิดไม่มีใครที่จิ้มเป็น? 

บอย : ใช่ ตอนผมเรียนก็จะมีคลาสหนึ่งชื่อ ‘A&R : Heart of the Industry’ มีเป็นหนังสือปึกเบ้อเร่อเลย มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ สำหรับทีมทำเพลงเช่นพวกผม สมเกียรติเขาจะคอยอัดเทปและซีดีแจก ซึ่งเป็นเพลงที่ควรจะฟัง แต่ละคนก็จะได้เพลงที่ไม่เหมือนกัน เหมือนกับเราก็ได้ศึกษาในสิ่งที่เขาอยากให้เราศึกษา 

 

สุกี้ บอย สมเกียรติ : Bakery Music เตาอบเสียงดนตรีที่เปลี่ยนเพลงไทยไปตลอดกาล

 

สมเกียรติ : ผมคิดว่าผมโชคดีที่เรามีทิศทางที่ใกล้กัน เราได้แรงสนับสนุนและเชื่อมั่นในกันและกัน ว่าสิ่งที่กำลังจะทำมันดี ยิ่งคุยกันก็ยิ่งเห็นว่าเรากำลังเดินไปในทางเดียวกัน มันเป็นความเชื่อมั่นระหว่างกันและกัน ในการที่มันออกมาเป็นแบบนั้นได้ ก็เพราะมีแรงสนับสนุนจากทุกคน

สุกี้ : ไม่ยอมเทคเครดิตนะ เขาเป็นคนแรกที่บอกผมว่าป๊อดจะดัง แล้วก็ ไอว่ายูจำไม่ได้ ตอนนั้นอัด demo ของโมเดิร์นด็อกชุดแรก เราอัดกันดิบมาก เล่นกันสดและดิบ แล้วสมเกียรติก็บอกผมว่าตอนอัดจริงต้องเอาแบบนี้นะ ยูห้ามไป polish นะ ต้องดิบ ๆ แบบนี้ ถ้าสมัยนั้นคงไม่มีใครอัดกันแบบนั้น 

สมเกียรติ : ในช่วงเวลานั้นสนุกมาก ได้เจอแต่ของใหม่ บางทีสุกี้ก็เข้ามาแล้วเปิดเครื่อง MPC หรือเครื่อง sequencer ของเพลงฮิปฮอป ซึ่งสุกี้ก็เข้ามาสอนวิธีใช้ คือทุกอย่างมันน่าสนใจหมด มันเป็นสิ่งที่จุดประกายในการทำงานและใช้ชีวิตในยุคนั้น อะไรแบบนั้นทำให้เห็นว่าเราสามารถไปได้อีกไกล จากการให้แรงบันดาลใจกันและกัน หรือแม้แต่ครั้งที่พี่บอยมาแร็ป มันทั้งตลกทั้งสนุก การได้ยิน ได้เห็น ได้ทำ ทำให้ทุกอย่างไปข้างหน้าอย่างเดียว

 

สุกี้ บอย สมเกียรติ : Bakery Music เตาอบเสียงดนตรีที่เปลี่ยนเพลงไทยไปตลอดกาล

 

The People : ในช่วงที่สถานการณ์ของเบเกอรี่ฯ ยังคงวิกฤตอยู่ โดยเฉพาะในด้านการเงิน แต่สุกี้ก็ยังอนุมัติงบให้บอยได้ทำซิงเกิลให้แก่ลูกสาวของบอยด้วย?

สุกี้ : ผมจำไม่ได้เลย

บอย : ไอจำได้แม่นเลย แล้วไอซึ้งใจยูมากด้วย

สุกี้ : ไอจำไม่ได้เลย เล่าให้ฟังหน่อยดิ

บอย : ในตอนนั้นผมเพิ่งจะมีลูก แล้วเราได้มีโอกาสร่วมงานกับคนที่ทำออร์เคสตราให้กับ Sting 

สมเกียรติ : ริชาร์ด ไนล์ (Richard Niles)

บอย : ใช่ ซึ่งเขาก็มาทำออร์เคสตราให้กับเพลง ‘ดีใจ’ (Delite) แล้วผมก็รู้นะว่าบริษัทยังจนอยู่ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าสถานการณ์มันหนักเพียงไหน แต่สุกี้ก็อนุมัติให้ผม ซึ่งตอนนั้นผมซึ้งมาก จำได้ว่าเสียไปสามแสน 

สุกี้ : สามแสนเลยหรอ?! เงินเดือนพนักงานกี่เดือนวะนั่น 

บอย : แต่สุกี้ก็บอกว่าโอเค เพราะอยากให้ผมทำให้ลูกผม

 

 

 

สุกี้ บอย สมเกียรติ : Bakery Music เตาอบเสียงดนตรีที่เปลี่ยนเพลงไทยไปตลอดกาล

 

The People : เวลาสร้างผลงาน เบเกอรี่ฯ จะวางกรอบให้ศิลปินไว้ประมาณไหน มีครั้งไหนที่เจองานเพลงจากศิลปินที่เรารู้สึกว่ามีความซับซ้อนหรือยากเกินไปไหม?

สุกี้ : เจอตลอดครับ (หัวเราะ) แต่ส่วนใหญ่เราก็จะปล่อยเลย 

สมเกียรติ : เราไม่เคยบังคับพวกเขา มีแต่แนะนำ 

สุกี้ : เราไม่เคยบังคับเขา ซึ่งก็มีบางเคสที่เราแนะนำแล้วประสบความสำเร็จก็คือ Pause ซึ่งเดิมทีของวงนี้นั้นชอบฟังก์ เอะอะก็จะฟังก์กันอย่างเดียว แต่โจ้ (อัมรินทร์ เหลืองบริบูรณ์) เสียงเพราะ วันหนึ่งบอยก็คิดว่าทำไมไม่เอาเพลงของเบเกอรี่ฯ ไปคัฟเวอร์เป็น acoustic ล่ะ จนกลายเป็นอัลบั้ม Mild  แล้วก็ดังเลย นั่นคือวิธีการของ A&R คือชี้เป้า 

 

The People : จำความรู้สึกในคอนเสิร์ต B DAY เมื่อปี 2004 ได้ไหม รู้สึกอย่างไร?

บอย : เนื่องจากว่าตอนนั้นผมไม่ได้เตรียมตัวว่ามันจะต้องโหวง ผมไม่รู้ว่ามันมีการจะจบได้ คือผมรู้ว่า official administration มันจะต้องจบ แต่ก็คิดว่าชีวิตก็คงดำเนินต่อ ทำต่อกันไปเหมือนเดิม ผมก็ไม่ได้รู้เรื่องขนาดนั้น พอไปสักระยะหนึ่งถึงค่อยรู้สึกว่ามันไม่เหมือนเดิมแล้ว แม้จะเป็นบริษัทใหม่ก็ตาม

สมเกียรติ : ปี 2004 เหตุการณ์มันเยอะมาก แล้วช่วงหลังเราเจอวิกฤตมาเยอะมาก ผ่านอะไรมาเยอะมาก แต่ผมก็ไม่รู้ว่าการไม่มีเบเกอรี่ฯ การที่ทุกอย่างจะต้องจบในปลายปีมันจะรู้สึกอย่างไร แต่พอผ่านไปแล้ว ถึงรู้ว่าชีวิตมันมืด ๆ ไม่มีอะไร เมื่อก่อนสิ่งที่เราทำเราจะรู้ว่าเราทำมันไปทำไม แต่หลังจากจบไปแล้วสะพานก็เหมือนถูกตัดไปหมด ไม่มีอะไรที่เคยมีอีกแล้ว เพราะเมื่อก่อนเวลาเราทำอะไร เราสามารถคิดเองแล้วทำได้เลย โดยมีแต่ละแผนกสนับสนุน แต่หลังจากนั้นอะไรแบบนี้ก็เปลี่ยนไป มันเป็นช่วงที่เหนื่อย เพราะเราได้งาน แต่เราไม่ค่อยมีความสุข 

สุกี้ : หลังจาก B DAY เป๊ะ ๆ เลยผมจำไม่ได้ แต่ประมาณ 6 เดือนหลังจากนั้น สิ่งที่ผมจำได้คือมีวันหนึ่งผมไปเดินสยามสแควร์ สมัยนู้นจะมีร้านเทปดังมากที่ชื่อว่า DJ Siam แล้วก็มีชุดใหม่ออกมาจากเบเกอรี่ฯ แล้วผมเข้าไปแล้วก็หยิบแล้วก็แบบ “ปกห่าอะไรวะ?

บอย : คือไม่ใช่ดีไซน์แบบเรา

สุกี้ : แล้วผมก็หันดูลิสต์เพลงแล้วก็แบบ What? เรียงเพลงแบบนี้ทำไม แล้วผ่านไปได้ประมาณ 5 นาทีผมก็นึกขึ้นได้ว่านี่ไม่ใช่ของเรา แล้วผมก็วางแล้วมันก็ hit เรานะ เพราะเบเกอรี่ฯ มันไม่ใช่แค่บริษัทของเรา แต่มันคือหน้าตาและตัวตนของเรา แล้วอยู่ดี ๆ วันหนึ่งมันไม่ใช่ มันก็เคว้ง มันก็งงนะ ผมงงอยู่ปีกว่าเลย แล้วผมก็ไปเจอ passion ใหม่เป็นมอเตอร์ไซค์ แล้วผมก็บอกลาดนตรีเลย ไปแล้ว 

 

สุกี้ บอย สมเกียรติ : Bakery Music เตาอบเสียงดนตรีที่เปลี่ยนเพลงไทยไปตลอดกาล

 

The People : พอมาถึงคอนเสิร์ต B DAY ที่กำลังจะมาถึงนี้ คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง แล้วคิดว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายหรือเปล่า?

บอย : จะว่าไปผมก็กลัวว่าจะถึงวันนั้นเหมือนกันนะครับ กลัวที่จะถึงวันสุดท้ายของคอนเสิร์ต กลัวว่ามันจะหมดแล้ว กลัวว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายของการที่ศิลปินหรือทุก ๆ คนมาเจอกัน เพราะหลังจากนั้นโอกาสมันก็คงลดน้อยลงไป แต่สักวันมันก็ต้องถึงนั่นแหละ 

สมเกียรติ : ผมคิดว่ามันเป็นโมเมนต์ที่ต้องเจอและเราต้องผ่านไป เราโชคดีที่เรามีโอกาสแบบนี้ ฉะนั้นผมก็ไม่ได้คิดว่าจะมีครั้งต่อไปไหม คิดแต่ว่าจะทำครั้งนี้ให้ดีที่สุด เก็บความสุขให้มากที่สุด 

สุกี้ : ตามจริง B DAY Forever จะเกิดก่อนโควิด-19 จะเซ็นสัญญาแล้ว แต่เจอล็อคดาวน์ก่อน แล้วพอจบล็อคดาวน์แรกเราก็มาลุยกันต่อ แล้วก็มีล็อคดาวน์สองอีก หลังจากนั้นผมก็ “กูไม่เอาแล้ว” คือคิดว่าโชคชะตามันไม่ meant to be ดวงมันไม่เอื้อให้เกิดขึ้น ช่างแม่ง ไม่ทำแล้ว แล้วมันก็ผ่านไปประมาณสามปีได้ แล้วผมก็เกิดความรู้สึกว่าถ้าเกิดไม่ทำกันตอนนี้ ก็คงไม่ได้ทำแล้ว ชาตินี้คงไม่ได้ทำแล้ว พวกเราย่างเข้า 60 กันแล้ว ก็เลยมาคุยกันใหม่ และใช้เวลาไม่ถึงปีพยายามหาวิธีให้ธุรกิจมันลงตัวที่สุด

จริง ๆ กับ B DAY ผมแคร์อยู่เรื่องเดียวนะ ผมแคร์ว่าศิลปินอยากมา มากกว่าเรื่องอื่น ถ้าเกิดศิลปินเขาพร้อมมา ทุกอย่างมันสบายใจ แต่ผมไม่อยากให้เขามาแล้วแบบว่า “เดี๋ยวไปช่วยพี่สุกี้ พี่บอย พี่สมเกียรติ” ไม่เอาอะ ผมอยากให้เขามาเพราะตัวเขาเองอยากมา แล้วความรู้สึกที่ผมได้มันก็เป็นแบบนั้นที่ทุกคนอยากกลับมา reunion เหมือนการเลี้ยงรุ่น มาเจอกันใหม่ พนักงานทุกคนอยากมา แค่นี้ผมก็เป็นกำลังใจแล้ว แต่ถ้าเกิดต้องไปบังคับผมคงไม่สนุก 

หลังจากนั้นเราขายบัตร ซึ่งผมรู้ว่ากระแสคงดี แต่ก็ไม่คิดว่าจะขายได้สี่รอบภายใน 10 นาที ตอนที่ผมรู้อย่างนั้น ผมก็รู้สึกซาบซึ้งใจมาก เพราะทำให้เห็นว่าคนรักเบเกอรี่ฯ ขนาดไหน ซาบซึ้งกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น 

บอย : ผมเป็นคนที่อ่อนแอต่อเรื่องแบบนี้ ในวันที่เบเกอรี่ฯ ปิด วันที่ต้องย้ายของออก ผมจะไม่เข้าเลย เพราะกลัวที่จะต้องเจอกับความรู้สึกแบบนั้น เหมือนกับตอนนี้ที่ดีใจที่จะได้เจอกัน แต่ก็ไม่อยากจะต้องมีวันที่ต้องลากัน

 

สุกี้ บอย สมเกียรติ : Bakery Music เตาอบเสียงดนตรีที่เปลี่ยนเพลงไทยไปตลอดกาล

 

The People : รู้สึกอย่างไรที่ผู้คนจดจำเอกลักษณ์ของเบเกอรี่ฯ ในฐานะ เบเกอรี่ ซาวด์? 

สุกี้ : ผมเคยไปสัมภาษณ์มาอีกรายการหนึ่งประมาณปีก่อน เขาถามผมว่าคุณรู้ไหมว่าคนจะฟังเพลงคุณไปอีก 20 ปี อาจดูเป็นการอวดเก่งนะ แต่ผมตอบไปว่าผมรู้ ผมรู้เพราะว่าเบเกอรี่ฯ มีคนเขียนเพลงเก่งเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น บอย โกสิยพงษ์, บอย ตรัย, โป้, หรือป๊อด เรามีคนเขียนเพลงเก่งเยอะมาก แล้วสิ่งที่จะผ่านเวลาไปได้ก็คือเพลง ไม่ใช่แนว แต่เป็นตัวเพลง เนื้อและทำนอง เป็นสิ่งที่จะสามารถก้าวข้ามผ่านเวลาไปได้ ถ้าเกิดเพลงยูห่วย เดี๋ยวคนก็ลืม ผมเลยเชื่อตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ผมเชื่อว่าเพลงเราดี 

สมเกียรติ : เราโชคดีที่มีนักแต่งเพลงเก่ง ๆ มารวมกัน และผมเชื่อว่าสิ่งที่คนฟังต้องการคือดนตรีที่สามารถเชื่อมต่อกับเขาได้ มันเหมือนกับช่วงเวลาที่ดวงดาวมาเจอกัน กลายเป็นว่างานทั้งหมดมันถูกสื่อสารผ่านเพลง เบเกอรี่ฯ เลยมีคาแร็คเตอร์ และคนสามารถเชื่อมต่อกับมันได้ 

 

The People : มองกลับไป รู้สึกอย่างไรกับ เบเกอรี่ มิวสิค บ้าง?

สุกี้ : คือผมว่าบอยชอบเปรียบเทียบเรากับ Motown เราคือคล้าย ๆ Motown นะ Motown เขาก็จะมีลายเซ็นต์ของเขา แล้วเบเกอรี่ฯ เราก็จะมี มันเป็นลายเซ็นต์ของเรา มันเป็นยุคหรือป่าววะ

สมเกียรติ : มันเป็นยุคด้วย แล้วก็เป็นลายเซ็นต์ การทำเพลง การผลิตของพวกเราอย่างนี้ เราไม่ได้บอกตรง ๆ ว่าเราทำอย่างไรนะ เพียงแต่ว่าคนเขามองรูปแบบของเรามันใช้เวลาสักพักหนึ่ง คนเสพเวลาเขามองเขาก็รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้น แล้วเวลาออกมา แน่นอน ใน 10 ปีที่เราทำ มันไม่เหมือนเพลงที่มันก่อนหน้านี้แน่นอน ไม่ใช่ว่าเราอยากทำให้มันไม่เหมือนนะ มันออกมาเองว่ามันไม่เหมือน เมื่อมันเป็นแบบนี้แล้ว หลังจากผ่านมาพวกเรายิ่งหายไปด้วย มันก็เลยต้องมีคนที่ทำออกมาลักษณะนี้ ก็เยอะอะ อย่างสุกี้ตอนไปขี่มอเตอร์ไซค์ตอนนั้นอะ ตอนนั้นซาวน์เพลงแบบเยอะอะ พี่ไม่ยกตัวอย่างละกัน แต่เยอะอะ เสียงเพลงแบบคล้าย ๆ เบเกอรี่ฯ อะ

สุกี้ : มันจะมีหลายคนที่พูดว่าเรามาเปลี่ยนวงการ โดยเฉพาะชุดแรกของ โมเดิร์นด็อก อันนี้ก็ภูมิใจ ไม่ได้ตั้งใจจะมาเปลี่ยนนะ มันเกิดขึ้นเอง อันนี้ภูมิใจ แล้วมันไม่ใช่แค่เรื่องเพลงอย่างเดียวมันเรื่องวิธี ก็เราจะทำแบบนี้ ไม่เอา เราไม่ใช้พรีเซ็นเตอร์ เราจะคิดของเราเอง มันคือวิธีศิลปินเราจะทำเอง มันคือวิธีคิด ใช่ไหม ตรงนี้ภูมิใจ

สมเกียรติ : ฟังสุกี้พูดแล้วนึกได้อย่างหนึ่ง อาจจะเป็นสิ่งที่มองกลับไป คนเขาต้องการแบบหนึ่ง สิ่งที่เราทำอยู่เนี่ย มันบัญเอิญเป็นสิ่งที่มันไม่เคยมี แล้วคนก็หาอยู่แล้วมันมาเจอกันด้วย มันก็เป็นอันหนึ่งที่เบเกอรี่ฯ ผ่านมาได้

สุกี้ : จังหวะมาพอดีเลย มาสายกว่านั้น 2-3 ปีก็ฉิบหายเลย เจอวิกฤต มาก่อนหน้านั้นคนอาจจะยังไม่อิ่มตัวกับแนวที่มาก่อนหน้าเรา ผมว่าเราโชคดีหลายอย่าง ผมถึงบอกมันเป็นเรื่องวัฏจักร มันพอดี โชคดี

 

สุกี้ บอย สมเกียรติ : Bakery Music เตาอบเสียงดนตรีที่เปลี่ยนเพลงไทยไปตลอดกาล