Rhythm & Boyd - บอย โกสิยพงษ์ : อัลบั้มที่เกือบหายไปตลอดกาล

Rhythm & Boyd - บอย โกสิยพงษ์ : อัลบั้มที่เกือบหายไปตลอดกาล

‘Rhythm & Boyd’ อัลบั้มชุดแรกจาก ‘บอย โกสิยพงษ์’ แห่ง Bakery Music กับเส้นทางกว่าจะถึงหูผู้ฟังที่เกือบจะสูญหายไปตลอดกาล

 

ตอนนี้เหมือนบอยกำลังอยู่ในฤดูฝน 
ยังไงสักวันฝนจะต้องหยุด 
และเมื่อฝนหยุดท้องฟ้าจะกลับมาสวยงาม
ไม่ต้องกลัว
” 

 

ย้อนกลับไปในปี 1994 ได้มีกลุ่มคนสี่คนในวัยยี่สิบกว่า ๆ ผู้รักเสียงดนตรีและปรารถนาที่จะได้ฟังเพลงในแบบฉบับที่เขาอยากจะทำและเชื่อว่า ‘เพลงไทย’ ก็สามารถทำได้ ก่อตั้งมิวสิคโปรดัคชั่นที่ไม่นานก็ได้ก่อตัวกลายเป็น ‘ค่ายเพลง’ ที่ในทุกวันนี้จะถูกจดจำในนาม ‘Bakery Music’ ทั้งสี่คนนั้นประกอบไปด้วย สุกี้ - กมล สุโกศล แคลปป์, บอย - ชีวิน โกสิยพงษ์, สมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์ และ เอื้อง - สาลินี ปันยารชุน โดยมีศิลปินหัวหอกอย่าง ‘โมเดิร์นด็อก’ นำโดย ป๊อด - ธนชัย อุชชิน ที่ชักชวนให้พวกเขาตัดสินใจออกเพลงกันด้วยตัวเองเสียเลย

นับตั้งแต่อัลบั้มแรกของโมเดิร์นด็อกที่มาพร้อมกับเพลงอย่าง ‘บุษบา’ และ ‘...ก่อน’ ก็ถือเป็นการเปิดตัวที่งดงามสำหรับค่ายหน้าใหม่ในตอนนั้นอย่าง Bakery Music แม้ว่าซาวด์ที่ผู้ฟังในยุคสมัยนั้นได้ยินได้ฟังอาจจะให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่ หรือแม้แต่ไม่เข้าใจ แต่รสชาติที่ไม่คุ้นเคยเหล่านั้นก็มีบทบาทสำคัญในการสบัดสีสันใหม่ ๆ ไปผืนผ้าใบของวงการเพลงไทย 

ถัดจากโมเดิร์นด็อก ศิลปินลำดับถัดมาที่สร้างสรรค์ผลงานร่วมกับค่ายขนมปังคือ  โจอี้ บอย (อภิสิทธิ์ โอภาสเอี่ยมลิขิต) ทว่าในคราวแรกก็ไม่ได้ปล่อยเป็นอัลบั้มเต็มแบบโมเดิร์นด็อก แต่เป็นรูปแบบของมินิอัลบั้มประกอบไปด้วย 5 เพลง ที่ปล่อยในช่วงปลายปี 1994 ที่มีเพลงอย่าง ‘รักเธอไม่มีหมด’ โดยมียอดขายประมาณ 200,000 ชุด ก่อนจะปล่อยเป็นอัลบั้มเต็ม ‘Joey Boy’ ในเดือนมีนาคมปีถัดมา ซึ่งก็นับเป็นความสำเร็จที่น่าพอใจไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับการเริ่มต้นของ Bakery Music 

ตั้งแต่อัลเทอร์เนทีฟร็อกไปจนถึงฮิปฮอป ปฏิเสธไม่ได้ว่าปีแรกของเบเกอรี่ฯ ได้พิสูจน์ภาพลักษณ์ความสดใหม่ของค่ายเพลงแห่งนี้ได้อย่างประจักษ์ชัด ชื่อของโปรดิวเซอร์และผู้บริหารค่ายเพลงอย่างสุกี้ก็เริ่มเป็นที่จดจำมากขึ้น รวมไปถึงสมเกียรติที่ได้เคยมีผลงานที่ผู้ฟังมากมายรู้จักจากการสร้างสรรค์ในยุค Z-MYX มาก่อนแล้ว รวมถึงเอื้อง ซึ่งเดิมก็เป็นที่รู้จักในแวดวงวิทยุและเพลงไทยอยู่แล้ว

ทว่าในบรรดาผู้ก่อตั้งทั้งสี่คน (หรือในบรรดาพนักงานของเบเกอรี่ฯ ทั้งหมด ณ ขณะนั้นที่ประกอบไปด้วยผู้ก่อตั้งทั้งสี่คนกับอีกหนึ่งเลขาผู้คอยประสานงาน) ยังเหลืออีกหนึ่งคนที่้ยังไม่เป็นที่รู้จักต่อสาธารณชนเสียเท่าไหร่นัก ซึ่งก็คือ ‘บอย โกสิยพงษ์

ในช่วงปีแรกของเบเกอรี่ฯ บอยทำงานอยู่ที่สหรัฐอเมริกาเกือบทั้งปี จนกระทั่งวันหนึ่งที่เขาเดินทางกลับมาพร้อมกับมาสเตอร์เพลง ๆ หนึ่งที่ใช้ชื่อว่า ‘รักคุณเข้าแล้ว’ เพลงที่ขับร้องโดยป๊อดจากโมเดิร์นด็อกที่เป็นการหยิบเพลงอมตะเพลงหนึ่งของเพลงไทยในชื่อเดียวกันจากปี 2493 ที่ร้องโดย ‘สุเทพ วงศ์กำแหง’ โดยมี ‘ครูสุนทรียา ณ เวียงกาญจน์’ ประพันธ์คำร้อง และ ‘ครูสมาน กาญจนผลิน’ สร้างสรรค์ทำนอง มาเรียบเรียงในสไตล์ใหม่ครึ่งหนึ่ง และเรียงร้อยด้วยท่วงทำนองและคำร้องโดย บอย โกสิยพงษ์ ต่อในอีกราวครึ่งหนึ่ง

บอยเคยอธิบายไว้ในจุดเด่นของเพลงรักคุณเข้าแล้วฉบับดั้งเดิมเอาไว้ในปกอัลบั้มฉบับพิเศษหนึ่งเอาไว้ว่า “จุดเด่นของเพลงนี้ นอกจากความเรียบง่ายของท่วงทำนองแล้ว เนื้อเพลงที่เขียนโดยครูสุนทรียาโดดเด่นเป็นพิเศษ ด้วยการใช้สรรพนามในเพลงใหม่จากที่เคยใช้คำว่า “พี่-น้อง” มาเป็น “คุณ-ผม” ซึ่งนับว่าเป็นเพลงแรกที่ใช้สรรพนามแบบใหม่ในวงการเพลงไทย

Rhythm & Boyd - บอย โกสิยพงษ์ : อัลบั้มที่เกือบหายไปตลอดกาล

 

 

เมื่อสุกี้ได้ฟังมาสเตอร์บทเพลงดังกล่าวแล้ว ตัวเขาก็ได้กล่าวกับบอยว่า “ถ้าเพลงนี้ออกเมื่อไหร่นะ เราสี่คนนี่ยูจะดังที่สุด” และแน่นอนว่าในช่วงปลายปีแรกข้ามสู่ปีใหม่ของเบเกอรี่ฯ ทั้งเพลง ๆ นี้ และเพลงอื่น ๆ ที่ประกอบรวมกันจนกลายเป็นอัลบั้มแรกของ บอย โกสิยพงษ์ ในชื่อ ‘Rhythm & Boyd’ ก็ได้กลายเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของค่ายเพลงเล็ก ๆ แห่งนี้ แม้จนถึงปัจจุบัน เมื่อกล่าวถึงเบเกอรี่ฯ หนึ่งในอัลบั้มที่ปรากฏขึ้นก็หนีไม่พ้นที่จะเป็นปกอัลบั้มสีขาวพร้อมภาพคิวปิดนั่งระทมกับความรักของตนอยู่

ทว่ากว่าที่อัลบั้มนี้จะเสร็จสมบูรณ์ บอย โกสิยพงษ์ ได้เล่ากับ The People ว่าตัวเขาต้องผ่านสารพันความหฤหรรษ์หลายคราจนเกือบจะล้มเลิกการทำอัลบั้มนี้ไปแล้ว

เริ่มต้นจากวิธีการอัด บอยย้อนเล่าถึงวิธีการอัดกับเทคโนโลยีในอดีตที่ต้องอัดใส่เทปรีลที่จะต้องมีขั้นตอน ‘alignment’ ที่หมายถึงการตั้งตำแหน่งของระบบต่าง ๆ ในเครื่องเทปรีล เพื่อให้เทปวิ่งถูกทาง และเสียงออกมาถูกต้องตามต้นฉบับ ซึ่งตามปกติหากต้องการความสะดวกหรือความแน่นอนในการอัดก็สามารถจ้างทีมงานเฉพาะที่จะดูแลในส่วนนี้ แต่เนื่องจากตัวของเขาเรียนมา รวมถึงต้องการประหยัดต้นทุนจึงตัดสินใจที่จะทำมันด้วยตัวเอง นอกจากนั้น ในเทปม้วนหนึ่งที่โดยปกติแล้วจะบรรจุได้ราวสามเพลง แต่บอยเลือกที่จะอัดเอาไว้ถึงเทปละหกเพลง

 

ตอนนั้นก็ทำเอง align เอง เพราะเรียนมา แต่ก็ทำได้ไม่ดี เครื่องมันเลยกินเทปไป จากนั้นก็เลยตกใจ ทำอะไรไม่ถูก กดให้หยุดมันก็ไม่หยุด เลยชักปลั๊กออก สุดท้ายก็เทปพังไปหลายม้วน… ซึ่งไม่ได้ทำแบ็คอัพอะไรเอาไว้เลย


ภายหลังจากความเสียหายในครั้งนั้น โดยที่ไม่ได้มีการอัดสำรองเอาไว้ บอยจึงต้องตัดสินใจติดต่อไปยืมเงินพ่อแม่เพื่อทำงานชิ้นนี้ขึ้นใหม่อีกครั้ง แต่ว่าพอถึงคราวนี้ตัวเขาได้เรียนรู้บทเรียนจากครั้งก่อนจึงตัดสินใจที่จะทำแบ็คอัพเอาไว้ถึงอย่างละห้าชุด ซึ่งก็ถูกแปรรูปเป็นเทปเล็กเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ลำดับต่อไปบอยจึงวางแผนว่าจะเอาเทปเหล่านี้ไปกระจายไว้ที่บ้านเพื่อนเผื่อถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจะได้มีเทปสำรองเอาไว้อยู่

 

และแล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น…

 

เมื่อในวันหนึ่งที่ตัวของเขาบรรทุกเทปทั้งหมดเอาไว้ในรถ เตรียมที่จะนำไปกระจายต่อ ทว่าในวันนั้นตัวเขาเองเกิดท้องเสียจึงจอดรถและขึ้นที่พักไปพักผ่อน ซึ่งในคืนนั้นเองก็ได้มีหัวขโมยเข้ามาทุบรถเพื่อที่จะขโมยอุปกรณ์เครื่องเสียงต่าง ๆ และในรถนั้นเองก็มีกระเป๋าหนัก ๆ ใบหนึ่งวางเอาไว้อยู่ หัวขโมยจึงหยิบกระเป๋าใบนั้นไปด้วย ซึ่งก็คือเทปทั้งห้าชุดที่อัดมาทั้งหมด

 

ตอนนั้นยืนตัวแข็งอยู่หน้ารถ แล้วเข่าก็ค่อย ๆ ทรุดแล้วลงไปนั่งกับพื้นแล้วร้องไห้ ไม่รู้ว่าจะบอกพ่อแม่อย่างไร เพราะยืมมาสองครั้งแล้ว

 

แต่ท่ามกลางที่เหตุการณ์เลวร้ายในครั้งนั้นกลับมาพร้อมหนึ่งในของขวัญที่มีค่าที่สุด

บอยตัดสินใจที่จะโทรหาแม่เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดพร้อมขอโทษและบอกว่าคงไม่สามารถเดินหน้าต่อกับผลงานชิ้นนี้ได้อีกแล้ว แต่แล้วแม่ของเขาก็ตอบกลับมาว่า 

 

ตอนนี้เหมือนบอยกำลังอยู่ในฤดูฝน ยังไงสักวันฝนจะต้องหยุด และเมื่อฝนหยุดท้องฟ้าจะกลับมาสวยงาม ไม่ต้องกลัว” บอยเล่าถึงคำปลอบโยนและให้กำลังใจจากแม่ของเขาที่ผลักดันให้เดินหน้าต่อไป โดยแม่จะเป็นผู้ที่หาเงินมาช่วยเอง 

 

ได้ยินอย่างนั้น บอย โกสิยพงษ์ จึงเริ่มต้นสร้างงานชิ้นนี้ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แต่การทำอัลบั้มนี้ขึ้นใหม่กลับมีเพลงอีกเพลงเพิ่มเข้ามา เป็นบทเพลงที่บอยเรียงร้อยจากถ้อยคำให้กำลังใจของแม่ที่ผลักดันให้เขาเดินหน้าต่อ เพราะในทุกอุปสรรคและปัญหาในชีวิตก็ไม่ต่างอะไรจากฤดูที่เปลี่ยนเวียนและแตกต่างไปในทุก ๆ วัน จนเกิดเป็นบทเพลงที่ชื่อว่า ‘Season Change’ หรือ ‘ฤดูที่แตกต่าง

 

 

และแล้วเพลง ‘ฤดูที่แตกต่าง’ ที่มี ‘นภ พรชำนิ’ เป็นผู้ขับร้องก็กลายเป็นการออกตัวที่ยิ่งใหญ่สำหรับ บอย โกสิยพงษ์ รวมไปถึง Bakery Music และชีวิตของผู้คนมากมาย เพลง ๆ นี้ไม่เพียงเป็นเพลงที่แทนภาพการล้มลุกคลุกคลานและความสำเร็จผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนของค่ายเพลงแห่งนี้เท่านั้น แต่เป็นกระจกสะท้อนการก้าวเดินบนทางเดินของชีวิตของคนอีกมากมายที่อาจสัมผัสทั้งเสียงหัวเราะและน้ำตา เพราะไม่ว่าจะจังหวะไหน ๆ เพลง ๆ นี้จะย้ำเตือนกับเราเสมอผ่านความไพเราะว่าความเปลี่ยนแปลงคือสัจธรรมที่แท้จริงที่สุดในชีวิต