06 ธ.ค. 2568 | 20:00 น.

ความรักของคุณหน้าตาเป็นแบบไหน?
สำหรับบางคน ‘ความรัก’ อาจหมายถึงสิ่งที่ทำให้เราลุ่มหลงในใครสักคนอย่างสุดหัวใจและต้องการเขาคนนั้นมาเดินเคียงข้างต่อไปบนเส้นทางชีวิต บางคนก็อาจมองความรักอาจหน้าตาคล้ายกับความหวังดีที่ไม่คาดหวังสิ่งใดมาตอบแทน ความรักอาจหมายถึงพวกพ้องที่หล่อหลอมด้วยความผูกพัน สำหรับครอบครัว ความรักอาจมีหน้าตาคล้ายกับหินผาที่แข็งแกร่งและมั่นคงยากจะทุบทำลาย หรือในบางคราว ความรักก็อาจหมายถึงการหันกลับมาโอบกอดตัวเองให้แนบแน่นกว่าที่เคย
จะกล่าวก็ได้ว่าผู้นับล้านมีความแตกต่างหลากหลายเพียงใด บรรดาความรักบนโลกก็แตกต่างหลากหลายเพียงนั้น ขึ้นอยู่กับว่าคุณค่าที่สำคัญของ ‘ผู้อยากจะรัก’ นั้นคือสิ่งใด แต่ที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าความรักของใครสักคนจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร มันก็แฝงเร้นไปด้วยแง่งามเฉพาะตัวเสมอ นั่นอาจเป็นเหตุผลสำคัญที่เราบนโลกนับล้านคน ต่างก็มีความรักในแบบของตัวเองนับล้านวิธี
ปี 2003 นับเป็นช่วงเวลาที่ค่ายเพลงอย่าง ‘เบเกอรี่มิวสิค’ (Bakery Music) เดินหน้าเข้าสู่ปีที่ 9 ผ่านพ้นอุปสรรคหลายระลอกทั้งจากวิกฤตฟองสบู่แตก ซ้ำซัดด้วยขนาดองค์กรที่ใหญ่เกินไปจนนำไปสู่การปลดพนักงานมากมายหลายคน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะถูกถาโถมด้วยอุปสรรคมากมายเพียงใด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาก็ยังคงเดินหน้าเข็นเพชรเม็ดงามออกมาให้โสตประสาทของชาวไทยได้อิ่มเอมกันเรื่อยมา
แม้ในช่วงที่แผลจากวิกฤตยังคงสดใหม่และ ‘สุกี้ - กมล สุโกศล แคลปป์’ หนึ่งในผู้ก่อตั้งเบเกอรี่ฯ ก็รู้สึกว่า “ปี 2001 ไม่มีใคร believe ในเบเกอรี่ฯ แล้ว ผมท้อมาก” แต่ท้ายที่สุด ด้วยวงที่เขาได้ก่อตั้งใหม่ในช่วงเวลาดังกล่าว ผนวกกับวงสายเลือดใหม่สวนสนามกันออกมาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันอย่าง Groove Riders และ Flure หรือแม้แต่การกลับมาอีกครั้งของ Soul After Six ในอัลบั้มที่สองหลังจากห่างหายไป 6 ปี จึงทำให้ในห้วงปีสุดท้าย ความหวังและความเชื่อมั่นในความเป็นเบเกอรี่ฯ หวนกลับมาอีกครั้ง
ในขณะที่เบเกอรี่ฯ กำลังทวงคืนความสำเร็จกลับมาอีกครั้ง อีกซีกโลกหนึ่ง ‘บอย โกสิยพงษ์’ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง นักเขียนเพลง และศิลปินของค่ายก็กำลังงัดข้อกับอุปสรรคในตัวของเขาเอง ซึ่งปัญหาที่กำลังเผชิญหน้าอยู่นั้นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เขาต้องบินลัดฟ้าไปอาศัยอยู่ที่ต่างประเทศ
“ส่วนหนึ่งที่ผมบินไปเมืองนอกตอนนั้นเป็นเพราะหนีล้วน ๆ เลย หนีตัวเอง และบอกทุกคนว่า ‘เดี๋ยวกลับมางานเสร็จแน่’ ก็หลอกกันไป (หัวเราะ)”
ในบางคราวก็ถอยห่างออกจากปัญหาหลายพันไมล์อาจช่วยบรรเทาเงามืดที่รายล้อมได้ แต่เมื่อปัญหาอุบัติขึ้นภายในจิตใจ การลัดฟ้าไปสักกี่ไมล์ก็อาจไม่สามารถหนีมันไปได้ บอยเล่าว่าในช่วงเวลาที่ตัวของเขาอาศัยอยู่ที่ต่างประเทศนั้น ไม่เพียงแค่เขียนเพลงไม่ออก แต่แม้เขียนออกมาแล้วก็ยังไม่ได้เรื่อง
บอย โกสิยพงษ์ เคยเล่าถึงปัญหาในห้วงเวลาดังกล่าวบนเฟสบุ๊กของเขาว่าเกิดขึ้นจากอัลบั้มก่อนหน้าอย่าง ‘Simplified’ ที่ไม่ประสบความสำเร็จทางยอดขายมากนัก จึงก่อเกิดเป็นความกลัวว่าผลลัพธ์เช่นนี้อาจเกิดขึ้นอีกในครั้งถัดไป นอกจากนั้น ความคิดบางอย่างก็เริ่มก่อตัวในความคิดของเขาอีกด้วย ซึ่งเป็นความคิดที่ว่า “ผมได้เดินมาถึงทางตันของการเป็นนักแต่งเพลงแล้ว”
การที่ตัวของเขาต้องแต่งเพลงจำนวนมากให้ศิลปินเบเกอรี่ฯ เพราะผู้คนต่างก็เชื่อว่าน้ำเสียงของเขาย่อมมาพร้อมกับความฮิต ทว่าผลข้างเคียงของสิ่งนี้คือความเครียดสะสม การที่การเขียนเพลงการเป็นกิจวัตรและหน้าที่ บทบาทของหัวใจเริ่มลดทอนถอยหลัง
“ท่อจากหัวใจของผมซึ่งปรกติแล้วจะต่อตรงมาสู่เพลงเลย แต่ตอนนั้น ผมหยุดใช้มันทำงานแล้วเปลี่ยนมาที่หัวสมองเพียงอย่างเดียว และแน่นอนเมื่อมันไม่ถูกใช้งานนานๆ เข้า ผมก็เริ่มฟังเสียงจากหัวใจไม่ออกเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว!!!”
แต่นอกจากความรู้สึกดาวน์ที่ทำให้ตัวของเขาไม่สามารถเขียนเพลงได้ ก่อนจะเดินทางไปเมืองนอกคุณยายของเขาก็จากไป พ่อและแม่ก็เผชิญกับปัญหาสุขภาพ กลายเป็นว่าปัญหาภายในใจที่เผชิญ ผสานเข้ากับสิ่งแวดล้อมที่หนักหนาต่อจิตใจยิ่งทำให้สภาพจิตใจของเขาเลวร้ายลงกว่าเดิม
“ปัญหาของเราก็ไม่เคยบอกใครเลย ตอนนั้นกลัวดูไม่เก่ง ยังติดกับเรื่องโง่ ๆ แบบนี้อยู่ มีนภ (พรชำนิ) คนเดียวที่ช่างสังเกต เขาก็รีบไปหาผมแล้วก็บิวต์ว่า ‘พี่ทำได้อยู่แล้วไม่ต้องห่วงเลย’ แต่ก็ไม่สำเร็จครับ เพราะช่วงนั้นมันเป็นลึกแล้ว เรารู้สึกเศร้าลึกแล้ว…”
ท่ามกลางห้วงเวลาที่แรงบันดาลใจเหือดหายและไร้ซึ่งแห่งหนใดจะเติมเต็มพลังในใจของเขาได้ บอยก็ได้ค้นพบ ‘ชีวิตใหม่’ ที่ดำเนินไปตามคำสอนของ ‘พระเจ้า’ ที่ทำให้เขาสามารถเปลี่ยนแปรความเจ็บปวดของตัวเองเป็นแรงบันดาลใจ บทเพลง และพลังในการใช้ชีวิตที่ถูกแบ่งปันออกมาในสตูดิโออัลบั้มชุดที่สามนามว่า ‘The Million Ways To Love, Part 1’
“เพลงหลายเพลงในอัลบั้มนี้จึงถูกแต่งขึ้นมาเพื่อจะให้กำลังใจตัวเองและครอบครัว ที่จะให้รู้สึกว่ามีหวังที่จะเดินผ่านเส้นทางที่ยากลำบากไปให้ได้และหลายเพลงก็ได้บันทึกวิถีชีวิตและแนวคิดต่างๆที่ผมเชื่อเอาไว้เพื่อเตือนใจตนเอง และเพื่อเอาไว้มองย้อนกลับมาอีกทีเมื่อเวลาผ่านไปแล้ว”
ภายหลังจากก้าวเดินบนเส้นทางความเชื่อในพระเจ้าแบบคริสเตียน เพลงแรกที่บอยเขียนออกมามีชื่อว่า ‘เพลงรัก’ ที่แต่งขึ้นมาเพื่อสื่อสารไปถึงแฟนเพลงในเจตนารมณ์ของตัวเขาที่จะ “ฉันจะร้องเพลงทุกเพลง ตราบใดที่เธอยังคงรับฟัง ฉันจะเขียนคำทุกคำ บรรยายความจริงจากในหัวใจ” ซึ่งก็ได้กลายเป็นแทร็คสุดท้ายของอัลบั้ม
แต่เพลงที่เสร็จสมบูรณ์เป็นลำดับแรกในอัลบั้มคือบทเพลงที่มีชื่อว่า ‘พอ’ โดยเป็นมี ‘น้อย วงพรู’ และ ‘นาเดีย สุทธิกุลพานิช’ ผสมผสานเสียงร้องจนกลายเป็นบทเพลงที่มีความไพเราะแบบเรียบง่าย ผ่านเนื้อเพลงที่ถูกร้อยเรียงมาอย่างสวยงาม เฉกเช่นเดียวกับเสียงของน้อยและนาเดียที่ประกอบกันอย่างลงตัว พอจึงกลายเป็นซิงเกิลแรกที่ถูกปล่อยออกไปในเดือนพฤศจิกายนเป็นทัพหน้าของ Million Ways to Love
“ระหว่างการทำอัลบั้มชุดนี้ผมได้ผ่านการเรียนรู้ชีวิตมากมาย อย่างชนิดที่ว่า น้ำตากับผมนี่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นของคู่กันเลย”
แต่แล้ว คุณพ่อของบอยก็จากไปหลังจากที่เพลงนี้เสร็จไม่นาน ทำให้ตัวเขาต้องรู้สึกแย่ จึงต้องพักการทำอัลบั้มนี้ไปก่อน บอยเคยบอกเล่าว่าในช่วงเวลาที่สร้างสรรค์อัลบั้มนี้ ตัวของเขาต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดและสูญเสียนับไม่ถ้วน ตั้งแต่การสูญเสียคุณยายอันเป็นที่รักที่สุด พี่เขยในปีเดียวกับที่เสียโจ้ วงพอส พี่ชายผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องที่เติบโตมาด้วยกัน คุณพ่อผู้เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ตามด้วยคุณแม่ผู้ที่ “ผู้ที่รักลูกๆทุกคนยิ่งกว่าชีวิตและจิตใจ”
แต่ด้วยศรัทธาที่คงมั่นต่อคำสอนของพระเจ้าจึงเกิดเป็นความเชื่อที่ยึดมั่นอย่างสุดหัวใจว่า “แล้วสักวันหนึ่งเราจะได้เจอกันแน่บนสวรรค์” จึงทำให้บอยสามารถก้าวเดินต่อไปได้
ถึงกระนั้น การใช้ชีวิตต่อไปโดยไม่มีพ่อก็ทำให้ชีวิตของบอยเคว้ง ตัวเขาไม่สามารถจะจินตนาการได้ว่าจะอยู่อย่างไรโดยไม่มีพ่อ จะสามารถมีความสุขได้อย่างไร แต่แม้พ่อจะไม่ได้อยู่แล้ว แต่คำสอนที่พ่อให้ไว้กับบอยยังคงอยู่เสมอ เป็นคำสอนที่บอกว่า “อย่าตั้งความหวังกับสิ่งใดมากจนเกินไป เพราะในที่สุดแล้วถ้าเราไม่ได้มันมา เราก็จะมานั่งเสียใจกับความผิดหวัง คนเราต้อง learn how to live with it ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน เรียนรู้ที่จะอยู่ยังไงให้มีความสุข และทำสิ่งที่เรานั้นมีให้ดีที่สุด”
จากบทเพลงจากอัลบั้มแรกในชื่อ Season Change (ฤดูที่แตกต่าง) ที่ก่อร่างมาจากคำสอนของแม่ที่บอกว่าชีวิตคนเราก็เหมือนกับฤดูที่ผันเปลี่ยนปะปนไปด้วยทุกข์และสุข สู่คำสอนของพ่อที่บอกให้โอบรับปัจจุบัน และมีสุขกับสิ่งที่มีอยู่ให้ดีที่สุด จึงเป็นเชื้อเพลิงไอเดียที่บันดาลให้บอยเขียนเพลงเพลงหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า ‘Live & Learn’
“อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด”
แน่นอนว่าบทเพลงดังกล่าวไม่เพียงทำหน้าที่เป็นการจารึกคำสอนของพ่อที่คอยย้ำเตือนการใช้ชีวิตให้กับ บอย โกสิยพงษ์ แต่ยังเป็นถ้อยคำที่เตือนสติและให้กำลังใจผู้ฟังอีกมากมายในการเดินทางบนชีวิตของตัวเอง ซึ่งการจะหาน้ำเสียงที่จะเหมาะกับเนื้อหาที่ถูกบอกเล่าผ่านเพลงย่อมต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์ชีวิตมามาก บอยจึงได้เชิญให้ ‘กมลา สุโกศล’ มาขับร้องในเพลงนี้
“เชิญคุณกมลามาร้องเพลงนี้ให้ เพราะว่าเขาเสียงเหมาะมาก และเขาก็เป็นคนที่มีประสบการณ์สั่งสมมาเยอะ ด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิที่เพียบพร้อม คิดว่าคนฟังน่าจะเชื่อในสิ่งที่เขาถ่ายทอดออกไป เพราะถ้าเป็นเด็ก ๆ มาพูดเรื่องนี้น้ำหนักอาจจะได้ไม่เท่ากัน”
ดังที่เห็นว่ากว่าจะออกมาเป็น Million Ways to Love, Part 1 อัลบั้มลำดับที่สามอันแสนอบอุ่นหัวใจของ บอย โกสิยพงษ์ นั้น กลั่นมาด้วยความเจ็บปวดและคราบน้ำตา แต่ก่อนที่เราจะเจาะลึกไปในความรักนับล้านที่ถูกบรรจุอยู่ในอัลบั้มนั้น หลายคนอาจมีความรู้สึกคล้ายกันว่า ‘ปกอัลบั้ม’ ก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน
ภาพของชายคนหนึ่งยืนยิ้มอย่างอบอุ่น สวมเสื้อผ้าธรรมดา โดยมีฉากหลังเป็นปาร์ตี้บาร์บีคิวในสนามหญ้าหน้าบ้านของใครสักคน นับเป็นด่านแรก ๆ ที่ตีแผ่ความเรียบง่ายและอบอุ่นของอัลบั้มนี้ โดยบอยเล่าว่าตัวเขาอยากให้ปกมีความง่าย ไม่ต้องเน้นหนักไปในทางอาร์ตเหมือนกับสองอัลบั้มก่อนหน้า เพราะเนื้อหาในอัลบั้มนี้ไม่ได้ผ่านการปรุงแต่งอะไร คิดอย่างไรก็สื่อออกมาอย่างนั้น จากความรู้สึกในหัวใจ
อาร์ตไดเร็กเตอร์ก็หาใช่ใครที่ไหนไกล แต่เป็น ‘บลู - ธนา โกสิยพงษ์’ น้องชายของตัวเขาเองที่มารับหน้าที่คิดคอนเซปต์ ซึ่งโจทย์สำคัญที่บอยมอบให้คือความติดดิน แต่งตัวบ้าน ๆ สะท้อนตัวตนของบอยออกมาอย่างจริงแท้ที่สุด ไม่ต้องการให้หล่อเกินจริง เพราะไม่ใช่ตัวตนของเขา
อย่างไรก็ตาม เดิมทีนั้นบลูก็ได้คิดไอเดียอื่นที่ตั้งต้นจากชื่อของอัลบั้มไปเสนอกับบอยด้วย ซึ่งบลูก็ได้บอกเล่าเอาไว้ว่า “แรก ๆ ที่ทำปกนี้ ผมคิดไปถึงเพชรที่มีหลายเหลี่ยม หลายมุม เป็นล้านมุมในหนึ่งเม็ด แต่พอเรามองจากมุมไหนมันก็ไม่เหมือนกันสักครั้ง แต่ว่ามันก็คือเพชรเม็ดเดียว มันก็ตอบโจทย์นี้คือ มีล้านวิธีจะรัก”
เมื่อบลูได้นำไปเสนอกับบอยก็เป็นไปตามสิ่งที่ได้บอกเล่าไปก่อนหน้าที่ตัวเขาอยากได้ความบ้าน ความธรรมดา ความจริงใจ นอกจากนั้นในชุดนี้ตัวเขาก็อยากจะขึ้นปกด้วยตัวเองด้วย บลูก็เสนอว่าถ้าขึ้นปกคนเดียวอาจดูแข็งและโดดเกินไป จึงเกิดไอเดียว่าจัดปาร์ตี้อะไรเสียหน่อย แล้วชวนนักร้องที่มีส่วนร่วมกับอัลบั้มนี้มาพูดคุย กินข้าว ใช้เวลาร่วมกัน โดยให้ช่างภาพเป็นเก็บภาพบรรยากาศ จนได้กลายมาเป็นปกที่เราเห็นดังทุกวันนี้
“ผมรู้สึกมีความสุขที่ได้แต่งเพลงนี้มาให้กับแฟนเพลงโดยตรง เพราะเขาให้เรามากจนเรารู้สึกผิด” บอยเล่าถึงสิ่งที่ตัวเขาเคยรู้สึกขณะที่เขียน ‘เพลงรัก’ “หลังจากเพลงนี้ เพลงที่เหลือก็ค่อย ๆ ไหลมาอีกหนึ่งเดือนนับจากที่เราพบพระเจ้า” กล่าวได้ว่าพระเจ้าไม่เพียงพาให้บอยสามารถก้าวข้ามผ่านอุปสรรค แต่ยังพาให้เขาได้ตีแผ่ความรักสารพันรูปแบบให้กับผู้ฟังมาจนถึงทุกวันนี้
“คนที่เหงาคนหนึ่ง นั้นรอใครที่จะเข้าใจ…”
อัลบั้มล้านวิธีจะรักเริ่มต้นขึ้นด้วยเพลงชื่อสั้น ๆ ว่า ‘ใคร’ ที่ร้องโดย ‘ป๊อด โมเดิร์นด็อก’ ด้วยเสียงที่เปลี่ยวเหงาถึงชีวิตตัวคนเดียวไร้มนุษย์อีกคนมาเคียงข้าง พร่ำคิดว่าหากมีใครสักคนมาอยู่ด้วยกันคงจะดีอย่างไรบ้าง เป็นเพลงที่ตีแผ่ ‘ความเหงา’ ออกมาผ่านทั้งเสียงเพลงและเนื้อหา ซึ่งเพลงนี้เองก็ถูกตัดออกมาเป็นซิงเกิลนอกจากเพลง พอ ที่ปล่อยไปก่อนหน้าอีกด้วย เพราะในช่วงที่ Million Ways to Love วางขายก็เป็นช่วงเดียวกับวันวาเลนไทน์พอดี
บอยเคยเล่าเอาไว้ว่าในการเขียนเพลงนี้เขาได้แรงบันดาลใจมาจากผู้ช่วยของเขานามว่า ‘ดาว’ ที่มีปัญหาชีวิตและกำลังเหงามาก ดาวเคยปรึกษากับบอยเรื่องการหาแฟน และไม่รู้ว่าในชีวิตจะเจอคนในแบบที่เธอต้องการหรือไม่ บอยเลยแต่งเพลงนี้จากเรื่องราวของดาว แง่หนึ่งเผื่อแกล้ง (เพราะสนิทกันมาก) ในอีกแง่หนึ่ง เพลงนี้น่าจะทำให้ผู้ฟังได้เข้าใจว่าการมีความรัก (สักรูปแบบหนึ่ง) สำคัญเพียงใดต่อมนุษย์เดินดินสักคน
ใน ‘ผมแอบชอบคุณอยู่’ เสียงของ นภ พรชำนิ ก็ได้ถ่ายทอดความรักที่ใครหลายคน สักครั้งหนึ่งในชีวิต ย่อมเคยประสบ ซึ่งก็คือการแอบรักใครสักคน ทั้งเสียงดนตรีที่ตื่นเต้น สดใส พร้อมกับเสียงของนภที่ปริล้นไปด้วยความปิติและความรู้สึกแอบชอบที่เอ่อล้นออกมาเป็นบทเพลงนี้ บทเพลงที่สองนี้จึงเป็นรสชาติอันจัดจ้านของความรักที่ใครต่างก็ต้องหลงใหล หรือบ้างก็เปลี่ยนแปรเป็นความรักที่มั่นคงและหยั่งรากลึกต่อไปในอนาคต
แต่ก็ยากจะปฏิเสธว่าหนึ่งในรูปแบบความรักที่คลาสสิกที่สุดเมื่อหวนนึกถึงก็หนีไม่พ้นการแอบรักใครสักคน
“และเธอสูงเกินจะใฝ่ เธอคงจะไม่สนใจ ในคนข้างล่าง
ที่เขาเฝ้ามองอยู่ ถึงแม้จะไม่มีหวัง”
คงไม่ใช่ความรักทุกคราจะสมหวังและเต็มไปด้วยความหวังเสมอไป การแอบรักในบางคราวก็มาพร้อมกับความตระหนักว่า ‘คงเป็นไปไม่ได้’ ราวกับว่าตัวของเรากับเขาอยู่กันคนละชั้น ซึ่งได้ถูกบรรยายออกมาผ่านเพลง ‘คนข้างล่าง’ โดยมี ‘เบน ชลาทิศ’ บรรยายความรู้สึกของ ‘รักที่ทรมาน’ จากการที่ยิ่งรักต้องผลักตัวเองให้ยิ่งเหินห่าง เพราะเป็นความรักที่ผู้รักเองคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้…
แต่ความรักก็หาใช่เป็นเรื่องของหนุ่มสาวและชายหญิงเพียงเท่านั้น เพราะความรักในบางรูปแบบก็ถือกำเนิดขึ้นมานับตั้งแต่เฮือกหายใจแรกที่ใครสักคนเกิดขึ้นมาบนโลก เป็นความรักที่ไร้ซึ่งเงื่อนไข และไม่มีวันเลือนหายไป แม้ผู้มอบความรักเหล่านั้นจะไม่อยู่แล้วก็ตาม
‘Live & Learn’ บทเพลงลำดับที่สี่ของอัลบั้มไม่ได้พูดถึงสายสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับแม่โดยตรง แต่ถูกสะท้อนผ่าน ‘คำสอน’ ที่จะกลายเป็นเครื่องมือติดตัวใครคนนั้นไปตลอดชีวิต เสียงของ กมลา สุโกศล ทำหน้าที่ส่ง ‘ปัญญาแห่งชีวิต’ ของการดำรงอยู่ด้วยความเข้าใจ เพราะสัจธรรมของชีวิตนั้นความแน่นอนและสวยงามที่จีรังเป็นสิ่งไม่มีจริง มีเพียงแต่ความสามารถในการโอบรับกับสิ่งที่มีอยู่ และมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่นั้นให้ดีที่สุด
“เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป
มีสุขสมมีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน”
จากคำสอนของพ่อที่กลายมาเป็นถ้อยคำของบอยถูกสื่อสารผ่านเสียงของกมลา Live & Learn จึงกลายเป็นบทเพลงที่เป็นภาพแทนของอ้อมอกและความห่วงใยจากพ่อ แม่ หรือแม้แต่ปู่ ย่า ตา ยาย ที่ห่วงใย หวังดี และอยากให้ผู้ฟังเดินหน้าในชีวิตไปอย่างมีความหวังต่อไป
ทั้งเพลง ‘นานแค่ไหน’ ที่ร้องโดย ‘บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์’ และ ‘ล้มบ้างก็ได้’ โดย นภ พรชำนิ และ เบน ชลาทิศ เองก็สื่อสารเรื่องราวของ ‘กำลังใจ’ และ ‘ชีวิต’ ไม่ว่าจะเป็นมุมมองของการให้กำลังใจให้ลุกขึ้นสู้ต่อ หรือแม้แต่การกล่าวบอกว่าอย่าเกรงกลัวความล้มเหลวก็ล้วนเป็นบทเพลงที่บ่งบอกถึงมิตรภาพและความหวังดี
มีอยู่หนึ่งเพลงที่เกือบไม่ปรากฏในอัลบั้มเสียแล้ว เพราะเจ้าของเสียงร้องที่บอยคาดหวังไม่มีเวลามาอัดเสียที จนกระทั่งบอยได้ยกห้องอัดแล้วไปหาเขาเองเสียเลย เพลงดังกล่าวมีชื่อว่า ‘เหมือนเคย’ ร้องโดย ‘เศรษฐา ศิระฉายา’
“ต่อให้โลกจะหมุนสักเท่าไร
เธอยังคงสดใสอ่อนหวานเหมือนเคย”
เสียงดนตรีหลากหลายรูปแบบในเหมือนเคย โดยเฉพาะในด้านของเครื่องเป่าชวนให้ผู้ฟังหลับตาแล้วนึกถึงความรักที่พรั่งพรูและเอ่อล้นไม่เสื่อมคลายลงไป ตัดกับเสียงของเศรษฐาที่เปี่ยมไปด้วยคุณวุฒิและประสบการณ์ จนทำให้ผู้ฟังรู้สึกไปโดยปริยายว่าแม้ว่าโลกจะหมุนไปเท่าไร แต่ความรักที่ยังคงมีอยู่ก็ยังคงเป็นเช่นเดิมตลอดไป
“ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันซ้ำๆ แต่ยิ่งย้ำยิ่งซ้ำยิ่งดี
บรรยากาศแบบเดิมๆ ไม่คิดจะเพิ่มอะไรสักที”
เฉกเช่นเดียวกับในเพลง ‘พอ’ ที่เสียงของน้อยกับนาเดียสะท้อนภาพความรักที่เพียงพอระหว่างกันและกันผ่านกิจวัตรอันธรรมดา ซึ่งทั้งพอและเหมือนเคย บอยเล่าก็เป็นเรื่องราวและความรู้สึกที่ถอดออกมาจากชีวิตของเขากับภรรยาอย่างไปตรงไปตรงมา ทั้งในแง่ของความรักที่ไม่เสื่อมคลาย และความรู้สึกพอในทุก ๆ วันที่มีเธออยู่ข้าง ๆ
หนึ่งในเพลงที่ใครหลายคนน่าจะเป็นที่จดจำของใครหลายคนก็คงหนีไม่พ้น ‘หัวใจผูกกัน’ ผ่านเสียงของ ‘บอย พีซเมคเกอร์’ ที่กลายเป็นภาพแทนของความรักแบบมิตรภาพ ความรักที่เกิดขึ้นในหมู่คณะและสถาบัน เป็นความรักที่เกิดขึ้นจากการก้าวเดินไปพร้อม ๆ กันจนกลายเป็นความผูกพันที่ผูกผู้คนมากมายรู้สึกร่วมกัน
“ให้ทุก ๆ ครั้งที่ได้ฟังเพลงนี้ ก็ขอให้รู้ ที่แห่งนี้นั้นยังมีรักอยู่
เคยเป็นยังไงในตอนนี้ขอให้รู้จะไม่มีเปลี่ยนไป”
ในเพลง ‘Who, What, When, Where, Why’ ที่เป็นเพลงภาษาอังกฤษเพลงเดียวในอัลบั้ม ร้องโดย ‘Ron Aguilera’ ก็เป็นบทเพลงที่กล่าวถึงความปวดร้าวที่ต้องเลิกรากับใครสักคน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการยอมรับและเข้าใจในการตัดสินใจของใครคนนั้น ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของการที่ไม่ได้ยึดตัวเองเป็นหลักในการมองทุกสิ่ง แต่ยังคำนึงถึงเขาอีกคน แม้ตัวเองยังเจ็บปวดเองก็ตาม เฉกเช่นเดียวกับในเพลง ‘ต่างมุม’ ที่ร้องโดย ‘โป้ โยคีเพลย์บอย’ ก็สื่อสารเรื่องราวในแบบที่คล้ายคลึงกัน
ก่อนจะไปถึงเพลงสุดท้ายอย่าง ‘เพลงรัก’ ที่ได้กล่าวถึงไปก่อนแล้วว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของบทเพลงทั้งหมดที่เกิดขึ้นในอัลบั้ม ซึ่งเปรียบเสมือนสาส์นจาก บอย โกสิยพงษ์ ในการมุ่งหน้าเขียนเพลงรักด้วยใจจริงตลอดไป
Million Ways to Love, Part 1 นับว่าเป็นอัลบั้มที่เป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของเบเกอรี่ฯ เพราะได้กลายเป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จ อีกทั้งยังเป็นอัลบั้มที่บรรจุความเป็นไปได้ในการจะรักใครสักคนนับล้านรูปแบบให้ผู้ฟังได้ยิน
อีกทั้งยังเป็นอัลบั้มที่พูดถึงความรักได้อย่างอบอุ่น ผ่านบทเพลงที่ไพเราะ เนื้อหาที่จริงใจ ที่ทำให้เห็นว่าไม่ว่าจะเป็นความรักรูปแบบไหน ก็มีความสวยงามที่สลักสำคัญในแบบของตัวเองอย่างยากจะปฏิเสธ
มนุษย์เรามีวิธีนับล้านในการจะรักใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นวิธีใด การได้รักหรือถูกรัก ก็อาจทำให้ชีวิตมีคุณค่ากว่าที่เคยเป็นมา
ภาพ : ปกอัลบั้ม Million Ways to Love