06 พ.ย. 2568 | 18:34 น.

KEY
POINTS
ถ้า ‘ความรัก’ มีแรงมากพอจะข้ามภพข้ามชาติได้จริง มันจะพาเราไปหาคนเดิมอีกครั้ง เพื่อเยียวยาสิ่งที่ค้างคา หรือเพื่อเรียนรู้ว่าจะปล่อยเขาไปได้อย่างไร?
แค่เห็นชื่อ ‘อนงค์’ ก็การันตีได้แล้วว่า นอกจากความน่ารักของ ‘โบว์ เมลดา’ ที่เคมีเข้ากันได้ดีกับ ‘จี๋ สุทธิรักษ์’ เราจะยังได้ดื่มด่ำกับเรื่องราวความรักของสองหนุ่มสาวที่ดูจะผิดที่ผิดเวลา เต็มไปด้วยมุขตลกเรียกรอยยิ้ม ก่อนจะปิดท้ายด้วยความซาบซึ้งจนน้ำตาไหล
อันที่จริง ตอนจบของ ‘อนงค์’ (ภาคแรก) ก็สมบูรณ์ในตัวของมันอยู่แล้ว โดยจบลงตรงที่ ‘ความรัก’ ที่อนงค์กับโจมีให้กันนั้นยังคงอยู่ แม้ทั้งคู่จะต้องจากกันไป
ในภาคต่ออย่าง ‘อนงค์ 2..สามสี่ชาติ’ ก็ไม่ได้ทำลายบทสรุปที่งดงามนั้น เพียงแต่เลือกจะพาเราย้อนกลับไปดู ‘ต้นเหตุ’ ที่ทำให้ทั้งคู่ต้องมาเจอกัน รักกัน แล้วก็พลัดพราก ผ่านเรื่องราว 3 ภพ 3 ชาติ ตั้งแต่ยุคบางระจัน ยุคผีปอบอาละวาด และยุคสุดท้ายที่เชื่อมโยงกับภาคแรก ซึ่งทำให้เราปะติดปะต่อภาพจนเข้าใจว่า ทำไมโจ (ที่เคยเกิดเป็นโจร) ถึงฆ่าอนงค์
**เนื้อหาต่อไปนี้มีการเปิดเผยเนื้อเรื่องของภาพยนตร์เรื่อง ‘อนงค์ 2..สามสี่ชาติ’
ใครที่กังวลว่าจะจำภาคแรกไม่ได้จนดูภาคนี้ไม่สนุก ขอให้เบาใจได้เลย เพราะช่วงต้นของหนังมีการย้อนความทรงจำให้พอเข้าใจ ก่อนจะเซอร์ไพรส์ด้วยตัวละครลับที่รับบทโดย ‘จ๋าย อิชณน์กร’ ตั้งแต่ฉากแรก
บทบาทของจ๋ายในเรื่องนี้ ทำให้นึกถึงงานของเขาใน ‘The Stone พระแท้ คนเก๊’ ตัวละครที่ไม่อาจตัดสินได้จากภาพแรก เปิดตัวมาดูร้าย แต่กลับมีมิติและปมชวนสงสาร ส่วนเรื่องนี้ กลับเปิดตัวมาอย่างคนดี ใส่ชุดขาวสะอาด เดินกวาดใบไม้ในวัดด้วยท่าทีสงบ ตอนท้ายกลับกลายเป็นความสยองที่เกินจินตนาการ
และก็เพราะตัวละครลึกลับนี้เอง ที่เปิดทางให้ ‘โจ’ ได้ย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งที่เคยทำกับอนงค์ในแต่ละภพชาติ ซึ่งโจเองก็ไม่ลังเลเลยที่จะหวนกลับไป เพื่อชดใช้ในสิ่งที่เขาเคยทำผิดพลาด
เริ่มที่ ‘ยุคบางระจัน’ ที่เหตุการณ์ไม่ได้เกิดขึ้นที่บ้านบางระจัน แต่เกิดขึ้นที่ ‘บ้านบางระกัญ’ ซึ่งส่วนตัวคิดว่าเป็นการล้อกับคำว่า ‘กัญชา’ ซึ่งมีส่วนสำคัญกับความเป็นความตายของหมู่บ้านแห่งนี้
ในชาตินี้ โจ เกมเมอร์ เกิดเป็น ‘นายจอม’ ชายหนุ่มผู้มีผิวขาวดุจควายเผือก ที่หนีตายจากบางระจันมาถึงบางระกัญ แล้วเกิดปิ๊งกับ ‘อนงค์’ นักรบสาวผู้เกลียดพม่าเข้าไส้ เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ในชาติแรกเต็มไปด้วยอารมณ์ขันเล็ก ๆ ที่ชวนอมยิ้ม บางฉากอาจไม่ได้สำคัญต่อโครงเรื่อง แต่กลับช่วยให้เราเห็นความผูกพันของตัวละครในแต่ละชาติ ที่ชื่นชอบมากที่สุดคือบทของ ‘ธามไท’ ที่ดูจะสปาร์กเข้ากับจอม ทั้งที่ในเรื่องควรจะหึงอนงค์เสียมากกว่า แก๊กเล็ก ๆ นี้เป็นเหมือนรีวอร์ดให้คนดูที่ยังจำเคมีคู่จิ้นจากภาคแรกได้ดี
แต่ความสนุกของบางระกัญก็ไม่ได้ยืนยาวนัก ตอนท้ายหนังหักอารมณ์ได้เจ็บลึก เมื่ออนงค์ผู้แข็งแกร่งแห่งบางระกัญตระหนักว่า เธอเพลี่ยงพล้ำเพราะความรักที่เกิดขึ้นกลางสนามรบ และต้องเผชิญความเจ็บปวดแสนสาหัสจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต
ชาติต่อมา เรื่องราวพาไปในยุคที่ผีปอบอาละวาด โจเกิดเป็นนายตำรวจชื่อ ‘หลวงจักร’ ที่มาสืบคดีฆาตกรรมในจังหวัดนครพนม แล้วพบเข้ากับพยานสาวนักเล่าเรื่องอย่าง ‘อนงค์’ ชาตินี้มีเสน่ห์จากบรรยากาศชนบทอีสานที่เต็มไปด้วยประเพณี ความเชื่อ และตำนานท้องถิ่น ถ่ายทอดกับเนื้อเรื่องการตามจับคนร้ายได้อย่างแนบเนียน ภาษาที่ใช้ก็กลมกลืนจนเหมือนโบว์ เมลดา เกิดในพื้นที่นั้นจริง ๆ
แต่ความอบอุ่นของชาติที่สองกลับปิดฉากด้วยโศกนาฏกรรมอีกครั้ง เมื่อความลับในครอบครัวของอนงค์ถูกเปิดเผย เธอต้องสูญเสียทั้งความรัก ครอบครัว และชีวิต
ในชาติสุดท้าย ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ประจวบคีรีขันธ์ ดีกรีความเศร้ายิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ในชาตินี้แทบจะเริ่มเรื่องด้วยความหม่นเลยด้วยซ้ำ เมื่อ ‘จ้อย’ (อีกชาติหนึ่งของโจ) ต้องถูกทำโทษเพราะ ‘คุณหนูอนงค์’
แต่นานวันเข้า ความผูกพันของจ้อยกับคุณหนูอนงค์ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น พร้อม ๆ กับความคืบหน้าในการสร้างรถไฟขยายไปที่ประจวบฯ และความสวยงามของ ‘ถ้ำพระยานคร’ ซึ่งเกือบจะเป็นสถานที่ที่คุณหนูอนงค์ทิ้งลมหายใจเอาไว้ แล้วก็เป็นอีกครั้งที่จ้อยถูกทำโทษอย่างหนักเพราะทำให้คุณหนูจากเมืองกรุงเสี่ยงชีวิต
ดูเพลิน ๆ บรรยากาศในชาตินี้คล้ายกันกับ ‘แฟนฉัน’ โดยเฉพาะฉากที่จ้อยวิ่งตามรถคุณหนูอนงค์ที่แล่นกลับกรุงเทพฯ ถือเป็นการฝากลายเซ็นเล็ก ๆ ของ ‘เอส’ คมกฤษ ตรีวิมล ผู้กำกับอนงค์ ที่เคยพ่วงนามสกุล ‘หนึ่งในผู้กำกับแฟนฉัน’ มาก่อน
แต่เรื่องของ ‘จ้อย’ ไม่ได้จบลงด้วยดีแบบ ‘เจี๊ยบ’ (แม้จะชื่อ จ. เหมือนกัน) การกลับมาพบกับคุณหนูอนงค์ตอนโต เค้าไม่ใช่จ้อยคนเดิม แต่เป็น ‘เสือจ้อย’ ที่ถูกสะกดให้ฆ่าและปล้นอย่างโหดเหี้ยม และนี่คือจุดเริ่มต้นของ… อนงค์ ภาคแรก
อีกสิ่งที่เติมเต็มหนังเรื่องนี้คือเพลง ‘Loop’ (ฉันจึงวนกลับมา) จาก ‘ASIA7’ ที่เปรียบเสมือนหัวใจของเรื่อง เพลงนี้ไม่เพียงติดหู แต่ยังสรุปสารทั้งหมดของหนังได้อย่างนุ่มนวลผ่านถ้อยคำว่า
“ฉันจึงวนกลับ วนกลับมา ที่เดิมที่เธอและฉันได้เจอได้พบตั้งแต่ตอนนั้น ฉันยังวนกลับมา วนกลับมา และหวังว่าเธอและฉันจะกลับมาพบมาเจออีกครั้ง ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอหายไป จะเอ่ยคำในหัวใจ”
เสียงเพลงนี้ดังขึ้นราวกับคำสัญญาของคนที่ยังไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา
การกลับมาแก้ไขเรื่องราวในอดีตของโจ เกมเมอร์ ที่พันผูกกับอนงค์ จะสำเร็จหรือไม่ ขอยังไม่เฉลยตรงนี้ แต่สิ่งที่หนังทำให้เราเห็นชัด คือภาพของ ‘ความรัก’ ในแบบของโจ ที่เมื่อรักใครสักคน เขาเพียงปรารถนาให้คนคนนั้นได้พบความสุข ปราศจากความทุกข์ (ไม่ต้องคอหักซ้ำไปซ้ำมาทุกคืนอย่างที่เคยเป็น) และได้อยู่อย่างปลอดภัยที่ไหนสักแห่งบนโลกนี้
แม้ที่ตรงนั้นจะไม่มีคำว่า ‘เรา’ หรือ ‘ความทรงจำ’ ใด ๆ เหลืออยู่เลยก็ตาม
เรื่อง: พาฝัน ศรีเริงหล้า