08 ก.ย. 2568 | 14:35 น.
KEY
POINTS
มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของ ‘The Conjuring: Last Rites’
แฟรนไชส์ ‘The Conjuring’ ปิดฉากด้วย ‘Last Rites’ ที่ไม่ได้มีดีแค่ทำให้เราสะดุ้งอย่างเดียว แต่กลับชวนให้เรานั่งคิดถึงเรื่องความกลัว ครอบครัว และวิธีที่เราเลือกจัดการกับปัญหา
เรื่องเริ่มจากช่วงที่คู่สามีภรรยา ‘เอ็ด’ และ ‘ลอเรน’ เข้าช่วยหญิงสาวที่สูญเสียพ่อไปอย่างลึกลับ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นกลับเปลี่ยนวิถีการทำงานของทั้งคู่อย่างใหญ่หลวง เอ็ดและลอเรนเจอ ‘กระจกผีสิง’ ที่เกือบทำให้ทั้งคู่สูญเสียลูกสาวในครรภ์ ‘จูดี้’
ความหวาดผวาครั้งนั้นทำให้พวกเขาตัดสินใจไม่หันหลังกลับไปยุ่งเกี่ยวกับบ้านหลังนั้นอีก และเริ่มวางมือจากงานปราบผี ไปเอาดีด้านการเดินสายบรรยายแทน แม้ผลลัพธ์จะออกมาไม่ดีสักเท่าไร
นี่คือจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจ สองสามีภรรยาคู่นี้เลือกที่จะหนี โดยใช้ความรักครอบครัวเป็นเหตุผล แต่ไม่กี่สิบปีต่อมาก็มีอีกครอบครัวที่ต้องรับผลจากการตัดสินใจนั้น ‘ครอบครัวสเมอร์’
สเมอร์เป็นครอบครัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็ก ๆ แต่เมื่อพวกเขานำกระจกผีสิงเข้าบ้าน บ้านที่เคยครื้นเครงและอบอุ่นกลับถูกปกคลุมด้วยความหวาดกลัว ตึงเครียด และกราดเกรี้ยวเนื่องจากไม่สามารถหนีผีไปได้พราะความขัดสน
ตัดมาที่ครอบครัววอร์เรน เมื่อจูดี้เติบโตขึ้นพร้อมกับสัมผัสพิเศษเช่นเดียวกับผู้เป็นแม่ ลอเรนเลือกที่จะสอนให้จูดี้หลีกหนีสิ่งเร้นลับด้วยการแสร้งทำเป็นไม่เห็น และร้องเพลงกล่อมเด็กไล่ความกลัว เพื่อไม่ให้ภูติผีปีศาจมีอำนาจเหนือจูดี้
วิธีนี้ฟังดูสมเหตุสมผล แต่ในทางจิตวิทยาแล้ว นี่คือกลไกการ ‘หลีกเลี่ยงปัญหา’ ที่ช่วยบรรเทาความเครียดได้ชั่วคราว แต่ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นตอ และเมื่อใดที่ผีมีพละกำลังมากขึ้น การหลบหลีกอาจไม่ใช่วิธีที่ได้ผลเสมอไป
เมื่อเรื่องราวมาถึงจุดไคลแมกซ์ คู่แม่ลูกต้องเปลี่ยนแนวทางจากการถอยหนีมาทั้งชีวิต เป็นการเผชิญหน้าโดยตรง การสบตากับผีร้ายและไม่ยอมให้พวกมันมีอำนาจเหนือตนเอง กลับทำให้คู่แม่ลูกเอาชนะสิ่งที่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นได้ราบคาบ
‘โทนี’ แฟนหนุ่มของจูดี้ ก็เป็นอีกตัวอย่างที่ดีของการเผชิญหน้ากับความกลัว เขาลาออกจากงานตำรวจหลังผ่านประสบการณ์เฉียดความตาย และตัดสินใจใช้เวลาที่เหลืออย่างคุ้มค่ากับคนรัก
เขาไม่หนีความจริงที่ว่า “ความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อม” และเลือกเผชิญหน้ากับผลลัพธ์อย่างการถูกตั้งคำถามจากผู้คน
คู่จูดี้กับโทนีเป็นภาพสะท้อนของเอ็ดกับลอเรนในวัยหนุ่มสาว ที่เลือกเผชิญหน้าแทนการหนี การเปรียบเทียบนี้ทำให้หนังภาคสุดท้ายไม่ได้เล่าแค่เรื่องไล่ผี แต่ยังสะท้อนการเปลี่ยนแปลงทัศนคติจากรุ่นสู่รุ่น
การแสดงของ ‘เวรา ฟาร์มิกา’ และ ‘แพทริค วิลสัน’ ยังคงทำให้เราเชื่อมโยงกับตัวละครได้ดี ไหนจะบรรยากาศยุค 80s ที่ถ่ายทอดผ่านเพลง เสื้อผ้า และการตกแต่งบ้าน ที่สร้างรสชาติหวานปนหลอนอันเป็นเอกลักษณ์ของ The Conjuring อีก แต่ทั้งหมดนี้ก็มิอาจทำให้แฟนหนังผีละเลยข้อด้อยเรื่องการดำเนินเรื่องที่เชื่องช้าไปบ้าง กับการใช้กลวิธีซ้ำๆ เดิม ซึ่งทำให้แฟนหนังผีรู้สึกผิดหวังไปสักหน่อย
แต่หากเราอ่านหนังในมิติที่ลึกกว่าความบันเทิง The Conjuring: Last Rites กลายเป็นกระจกสะท้อนที่ดีว่า มนุษย์จัดการความกลัวอย่างไร? บางคนเลือกหนี บางคนเลือกเผชิญ ผลลัพธ์ต่างกันโดยสิ้นเชิง และการสอนลูกหลานให้ปิดตาหันหลังต่อความกลัว อาจเป็นการสืบทอดความกลัวมากกว่าการคุ้มครอง
สุดท้าย The Conjuring: Last Rites อาจไม่สมบูรณ์แบบในแง่ความสยอง แต่หนังเรื่องนี้ก็มีคุณค่าเกินกว่าความบันเทิง มันเต็มไปด้วยความรัก ความกล้า และความหมายลึกซึ้งเหนือความหวาดกลัว
เรื่อง: พาฝัน ศรีเริงหล้า
ภาพ: IMDB