11 ต.ค. 2567 | 11:39 น.
KEY
POINTS
นับว่าเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ภาคแรกด้วยการกวาดรายได้กว่า 500 ล้านบาท และยังได้ออกฉายใน 20 ประเทศทั่วโลก สำหรับภาพยนตร์สยองขวัญสัญชาติไทย ‘ธี่หยด’ ซึ่งเคยเป็นเรื่องเล่าจากกระทู้พันทิป ถูกนำมาเป็นสารตั้งต้นในการทำนวนิยายที่เขียนโดยปากกาของ ‘กฤตานนท์’ และเป็นเรื่องผียอดฮิตในช่อง ‘เดอะ โกสต์ เรดิโอ’
หลังจากภาพยนตร์เป็นที่นิยม ก็เลยทำให้กฤตานนท์เขียนภาคต่ออีก 2 เล่ม โดยใช้ชื่อว่า ‘ธี่หยด… แว่วเสียงครวญคลั่ง’ และ ‘ธี่หยด… สิ้นเสียงครวญคลั่ง’ และเรื่องราวเหล่านั้นก็ถูกนำมาถ่ายทอดผ่านภาพยนตร์ ‘ธี่หยด 2’ อีกครั้ง
แล้วหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำให้เราผิดหวัง การรวบรัด ตัดตอน กระชับ ทำให้คนดูอย่างเรา นั่งติดเก้าอี้ ลุ้นจนนาทีสุดท้ายของเรื่อง
เพราะธี่หยดเป็นหนังผีที่มีฉากแอ็คชั่นเยอะพอ ๆ กับหนังแอ็คชั่นไปพร้อมกับพาเราออกเดินทางไปกับพี่ยักษ์ สำรวจประวัติศาสตร์ ความรัก และความตายระหว่างทาง
'ธี่หยด 2' จึงกลายเป็นมากกว่าหนังสยองขวัญ แต่เป็นการผจญภัยผ่านอารมณ์ ความรัก และความเชื่อ ซึ่งยืนยันให้เรารู้ว่าท่ามกลางความวุ่นวายและอันตราย ยังมีความหวังสำหรับชีวิตธรรมดาที่ทุกคนปรารถนา
/บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์ธี่หยด 2 (2567)/
ถึงจะปูทางมาตั้งแต่ภาคแรกว่า ผีชุดดำ เอาเข้าจริง ภาษาชาวบ้าน ก็คือ ปอบผู้หิวโหยที่กำลังมองหาร่างที่เหมาะสม
สำหรับภาคต่อ ธี่หยด 2 ก็ยังคงให้ความสำคัญกับผีชุดดำเช่นเคยไปพร้อมกับการออกล่าผี โดยมียักษ์เป็นแกนนำ พาจ่าปพันธ์และทีมพกปืนและเครื่องรางมุ่งหน้าจากบ้านในกาญจนบุรีไปเมืองลับแล อุตรดิตถ์
ทั้งหมดเพื่อตามหา ‘ปอบตาพวง’ เพื่อทำลายวิญญาณและปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกจากบ้าน ให้ทุกคนในครอบครัวมีความสุขและมีชีวิตธรรมดา ๆ สักครั้ง
แต่ถ้าย้อนดูตามประวัติศาสตร์ที่เล่าขานกันมา ‘ปอบตาพวง’ เป็นตำนานที่ทำให้คนไทยรู้จักคำว่า ‘ปอบ’ เพราะเรื่องเล่านี้ถูกจารึกไว้ใน ‘วชิรญาณวิเศษ’ ราวร.ศ. 111 หรือสมัยรัชกาลที่ 5 แถวเมืองอุตรดิตถ์
มีข้อมูลรายงานว่า ผู้ที่ส่งเรื่องเพื่อตีพิมพ์ในวชิรญาณวิเศษเล่าว่า มีชายคนหนึ่งชื่อ “ตาพวง” ถึงจะเป็นคนแก่ แต่ก็ยังดูหนุ่ม ซึ่งมีเอกสารบรรยายรูปลักษณ์ของชายคนนี้ไว้ว่า
"ผมหงอกขาวทั้งศีรษะ รูปร่างแหละผิวเนื้อเกลี้ยงเกลาผิดกว่าปรกติลาวโดยมาก ใครได้เห็นแกแม้แต่หนเดียว ถึงจะไปเจอที่ไหนอีก ก็เป็นต้องจำได้"
แล้วก็สืบเรื่องราวต่อพบว่า ตาพวงเป็นคนต่างถิ่นที่มาปลูกกระท่อมอยู่แถววัดปากฝาง เวลาต่อมา ก็มีชาวบ้านป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่พูดไม่จา เหมือนผีเข้า แล้วหมอผีก็ทำนายว่า ปอบเข้า ชาวบ้านรวมทั้งพระสงฆ์ก็มารวมตัวกันเผาบ้านขับไล่ตาพวง จนเขาต้องย้ายเมืองไป
และดูเหมือนปอบตาพวงจะเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องและเป็นบ่อกำเนิดของเรื่องราวทั้งหมดที่ทำให้แรงแค้นในใจของพี่ยักษ์เพิ่มสูงขึ้น เพราะสำหรับเขา เพื่อน้องสาวที่เขารักมากคนหนึ่ง เขาทำได้ทุกอย่าง เพื่อทวงคืนความสงบสุขให้กับครอบครัว
ภายใต้ความสนุกและแอ็คชั่นแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย สิ่งที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้บอก คือ การมองหาชีวิตธรรมดา ชีวิตที่ครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา หัวเราะ ร้องไห้ และจับมือกันในยามลำบาก
เพราะเราเชื่ออย่างหมดใจว่า ถ้ายักษ์ไม่รักน้อง และถ้าครอบครัวตัว ย ไม่ได้รักกัน ยุทธการล่าผีก็คงไม่เกิดขึ้น
“อีผีส้นตีน”
คือ คำพูดติดปากของยักษ์ พี่ชายคนโตและพี่ใหญ่ของบ้านที่หวังให้บ้านของเขาได้มีความสุขเหมือนก่อน
เพราะเขาไม่อยากให้น้องสาวตายฟรี ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เขาจึงไม่เคยรามือจากเรื่องผีได้เลยสักครั้ง เดินเข้าป่าวงกต ด่าผี ต่อยหน้าด้วยผ้ายันต์ และลั่นไกลปืนสู้ เขายอมทำมาหมดแล้ว
คำว่า “อีผีส้นตีน” ในความหมายของยักษ์ อาจเป็นคำด่า แต่ก็คงเป็นคำเตือนใจยักษ์ด้วยเช่นกันว่า เพราะอีผีส้นตีนนี่แหละที่พรากน้องสาวไปจากเขา
แล้วมันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้ามนุษย์และครอบครัวหนึ่งจะเฝ้าฝันถึงชีวิตธรรมดา ชีวิตที่ไม่ได้ต้องสู้กับผี และไม่ต้องเป็นตัวแทนให้กับใคร
ไม่ว่าเขาคนนั้นจะมีตัวตน หรือเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ และไม่มีใครมองเห็น
ถ้าถามว่าความสนุกของธี่หยด 2 อยู่ตรงไหน คำตอบ คือ ความสะใจที่เราได้เห็นผีสู้กับคน
ไม่ว่าจะเป็นการสู้แบบวิ่งสู้ฟัดกลางป่าในเมืองลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ หรือการสู้กับผีครั้งสุดท้ายในโรงแรมที่จัดงานแต่งงานของหยาดและประดิษฐ์
ทำไมถึงสนุก เพราะผู้กำกับ นักเขียนบท และตัวละครค่อย ๆ ไต่ระดับความพีคของตัวละคร แยกตัวละครไปยังสถานที่ต่าง ๆ และหาทางสู้กับผีในฉบับตัวเอง
แต่ที่ทุกคนรู้ คือ เมื่อได้ยินธี่หยด พวกเขาจะต้องแข็งใจไว้ และจ้องไฟเข้าไว้ ถึงจะทำสำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง แต่ทุกตัวละครสู้ผีกลับหมด บางคนถือปืน บางคนพกร่ม หรือบางคนก็ใช้หมัดมือนี่แหละสู้กับผี
สำหรับเรา ธี่หยด 2 จึงดูเหมือนหนังแอ็คชั่นที่มีผีเป็นตัวดำเนินเรื่องเท่านั้น แต่ก็สนุกเท่าที่หนังอนุญาตให้คนดูหัวเราะเสียงดังได้โดยไม่ต้องอายคนข้าง ๆ และก็ซับน้ำตาได้อยู่บ้าง
มากกว่านั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นหนังไทยไม่กี่เรื่องที่มี ‘ห้องเลือด’ ซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของหนังสยองขวัญในต่างประเทศ ถือว่าเป็นอีกวิธีการเล่าเรื่องรูปแบบใหม่ในวงการหนังไทย
จึงไม่แปลกที่บางคนจะบอกว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์แนวผจญภัยที่พาคนดูหน้าจออย่างเราไปสู้กับผีในแต่ละด่านของความสยองขวัญ
ถ้าเป็นสายชอบดูภาพยนตร์ ธี่หยด 2 อาจดูเป็นหนังสูตรที่ทุกคนพอจะรู้จุดจบเรื่อง แต่เส้นทาง การปูเรื่อง ภูมิหลังตัวละคร และความเข้มข้นระหว่างทางก็นับได้ว่า เป็นภาพยนตร์ที่สื่อสารเรื่องราวของความเชื่อ ความรักของครอบครัวได้ดี
และถึงจะเป็นภาคที่ 2 แต่ก็ถือเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้คนดูอย่างเราปิดตาในบางฉาก และยังประทับใจอยู่ แม้จะเดินออกจากโรงภาพยนตร์มาแล้วก็ตาม
อ้างอิง
การเดินทางของ 'ปอบ' ร.ศ.111 ถึง 'ปอบ' ยุค 4.0 / Voice Online