อำลา ‘เจอร์เก้น คล็อปป์’ ผู้นำ Liverpool คว้าแชมป์ลีกที่ The Kop รอคอยถึง 30 ปี

อำลา ‘เจอร์เก้น คล็อปป์’ ผู้นำ Liverpool คว้าแชมป์ลีกที่ The Kop รอคอยถึง 30 ปี

เปิดชีวิต ‘เจอร์เก้น คล็อปป์’ ผู้จัดการ Liverpool กับเส้นทางตั้งแต่นักเตะสู่กุนซือ ถึงวันที่ต้องโบกมือลาหงส์แดงตลอดหลังร่วมทางตลอด 9 ปี

เมื่อ Brendan Rodgers ผู้จัดการทีม Liverpool คนก่อนเดินออกไปจากถิ่น Merseyside เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ปี ค.ศ. 2015 สโมสร Liverpool ก็ได้ว่าจ้าง Jürgen Klopp ให้มาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ในวันที่ 8 เดือนตุลาคม ปีเดียวกัน หรือเพียง 4 วันให้หลัง

แน่นอนว่า การเจรจานำ Klopp เข้ามาเป็นนายใหญ่ Liverpool ได้ใช้เวลามากกว่า 4 วัน คือก่อนหน้านั้นนานมากแล้ว กว่าที่กระบวนการต่าง ๆ จะเสร็จสิ้นลง เพราะการพาผู้จัดการทีมหนุ่มใหญ่ไฟแรง ที่กำลังมีชื่อเสียงในวงการฟุตบอล จากการทำทีม Borussia Dortmund ให้ก้าวเข้าสู่รั้ว Anfield ในตอนนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากหลายทีมแถวหน้าของโลก ทั้งทีมชาติและระดับสโมสร ต่างก็ต้องการตัว Jürgen Klopp ไปคุมทีมเช่นกัน

ย้อนกลับไปในวัยหนุ่ม ดูเหมือนว่าเส้นทางนักเตะของ Jürgen Klopp จะไม่สดใสนัก แม้เขาจะเริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลระดับเยาวชนด้วยวัยเพียง 5 ขวบ ที่ SV Glatten ในปี ค.ศ. 1972 และอยู่ที่นั่นถึง 10  ปี ก่อนจะย้ายไป  TuS Ergenzingen ในปี ค.ศ. 1983จากนั้นได้เทิร์นโปรขึ้นชั้นเป็นพ่อค้าแข้งชุดใหญ่ให้กับสโมสร FC Pforzheim ในฤดูกาล 1987 ร่อนเร่พเนจรไปอยู่กับอีก 4 ทีม Eintracht Frankfurt ทีม B, Viktoria Sindlingen และ Rot-Weiss Frankfurt จนไปหยุดอยู่ที่ Mainz 05 และที่ Mainz นี้เอง ที่เป็นจุดเริ่มต้นวิชาชีพผู้จัดการทีมฟุตบอลของ Jürgen Klopp หลังจากเล่นให้กับทีมชุดใหญ่นานถึง 10 ปี คือระหว่างฤดูกาล 1990 - 2001
 

Jürgen Klopp ก็ก้าวขึ้นสู่เก้าอี้ผู้จัดการทีม Mainz 05 ในที่สุด เมื่อฤดูกาล 2001 ผลงานชิ้นโบแดงของเขาคือการพาทีมสุดรักเลื่อนชั้นจากลีกา 2 หรือบุนเดสลีกา ดิวิชั่น 2 ในฤดูกาล 2003 - 2004 แม้จะไม่มีถ้วยแชมป์ติดมือ แต่วงการฟุตบอลเยอรมัน และแวดวงลูกหนังระดับโลก ต่างพากันจับจ้องกุนซือดาวรุ่งคนนี้กันอย่างตาไม่กะพริบ

และก็เป็น Borussia Dortmund ที่กระชาก Jürgen Klopp ออกจากถิ่น Opel Arena ของ Mainz 05 ในฤดูกาล 2008 เสกถาดแชมป์บุนเดสลีกาให้กับ ‘เสือเหลือง’ 2 สมัยติดต่อกัน แถมด้วยเดเอฟเบโพคาล หรือ เอฟ.เอ.คัพเยอรมัน และเยอรมันซูเปอร์คัพอีกอย่างละใบ

ด้วยผลงานอันร้อนแรง ทำให้หลายทีมแถวหน้าของโลก ทั้งทีมชาติและระดับสโมสร ล้วนต้องการตัว Jürgen Klopp ดังได้กล่าวไป แต่แล้วกลายเป็น Liverpool ที่ได้ลายเซ็นของ Jürgen Klopp มาในที่สุด

นับจากวันที่ 8 ตุลาคม ปี ค.ศ. 2015 จวบจนกระทั่งจบฤดูกาล 2015 - 2016 แม้ว่า Jürgen Klopp จะพาทีมจบเพียงอันดับ 8

ทว่า ทิศทางของ ‘หงส์แดง’ ในสายตา The Kop ทั่วโลก เป็นไปในด้านบวก จากการนำ Liverpool เข้าชิงถ้วยลีกคัพ และที่สำคัญที่สุดก็คือ ไปถึงรอบชิงชนะเลิศยูโรป้าลีก หรือยูฟ่าคัพ ที่เต็มไปด้วยสโมสรระดับ ‘เสือ - สิงห์ - กระทิง - แรด’ ไม่แพ้พรีเมียร์ลีกแต่อย่างใด ด้วยต้นทุนมรดกนักเตะ และท่ามกลางปัญหาการจัดการทีมของ Brendan Rodgers ที่ผ่านมา ที่ต้องพูดกันอย่างตรงไปตรงมา ว่า Jürgen Klopp ต้องสร้างระบบการเล่นให้เข้ากับศักยภาพของนักเตะ Liverpool ในตอนนั้น ที่หลายคนบอกว่าเป็นนักบอลเกรด B

กว่าจะเข้าที่เข้าทาง ก็ปาเข้าไปปลายฤดูกาล 2017 - 2018 ที่ Jürgen Klopp พา Liverpool ไปถึงรอบชิงยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก และจบอันดับ 4 พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลนั้น เช่นเดียวกันกับฤดูกาล 2016 - 2017 เรียกได้ว่าใช้เวลาถึง 2 ฤดูกาลกว่าจะปรับจูนนักเตะเก่าให้เข้ากับระบบ Heavy Metal Football หรือ Gegen Pressing คือการไล่บดขยี้ในแดนคู่แข่ง เพื่อแย่งบอลมาอยู่ในการครอบครองให้มากที่สุด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการควานหา Jigsaw สำคัญตัวต่าง ๆ ที่ Jürgen Klopp ต้องการ และเห็นว่าเหมาะสมกับการนำมาใส่ลงในระบบการเล่นของเขา และดูเหมือนว่าทุกอย่างจะสมบูรณ์พร้อม และลงตัวตั้งแต่กลางฤดูกาล 2017 - 2018 เป็นต้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฤดูกาล 2018 - 2019 ที่ Jürgen Klopp นำ Liverpool บินสูงไปคว้าถ้วยยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกสมัยที่ 6 กลับคืนสู่ตู้โชว์สโมสร และเปิดมหากาพย์ความสำเร็จในฤดูกาล 2019 - 2020 ด้วยการคว้าแชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพ และสำคัญที่สุดก็คือ ถ้วย FIFA Club World Cup หรือ ‘แชมป์สโมสรโลก’ ครั้งแรกของ Liverpool

ก่อนที่ในท้ายที่สุด Jürgen Klopp ได้กลายเป็นผู้ปลดล็อกทุกสิ่งทุกอย่างให้กับ Liverpool หลังจากพวกเขาตั้งหน้าตั้งตารอคอยความสำเร็จที่ต้องการมากที่สุด คือแชมป์ดิวิชั่น 1 ‘ลีกสูงสุดของอังกฤษ’ หรือพรีเมียร์ลีกในปัจจุบัน

หลังจากรอคอยกันมาถึง 30 ปี ความทุกข์ทรมานของ The Kop ทั่วทั้งโลกก็สิ้นสุดลงในฤดูกาล 2019 - 2020 ที่ต้องบอกว่า Jürgen Klopp คือกุนซือชาวเยอรมันผู้นำระบบการเล่นแปลกใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจ คือ Heavy Metal Football สู่รั้ว ‘แอนฟิลด์’ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบการจัดตัวที่เรียกว่า False 9

False 9 คือการวาง ‘หมายเลข 9 ลวง’ เอาไว้ในสนาม ท่ามกลางผู้เล่น 11 คน ที่หากย้อนกลับไปดูกติกาฟุตบอลยุคโบราณที่กำหนดหมายเลขเสื้อตายตัวสำหรับนักเตะตัวจริงที่ลงสนาม ‘11 คนแรก’ คือเบอร์ 1 ถึงเบอร์ 11

ในระบบ 4 - 3 - 3 Jürgen Klopp วาง False 9 หรือ ‘หมายเลข 9 ลวง’ คือ Roberto Firmino เอาไว้ในสนาม เพื่อหลอกคู่ต่อสู้ว่าหมายเลข 9 คนนี้คือ ‘ศูนย์หน้าตัวจริง’ ทั้ง ๆ ที่เขาคือเบอร์ 10 ‘จอมทัพ’ ผู้สร้างสรรค์เกมให้กับทีม เพราะตามธรรมชาติของการ ‘วางระบบเกมรับ’ ย่อมต้องมีการมอบหมาย ‘กองหลัง’ 1 คน คอยตามประกบ ‘ศูนย์หน้า’ เบอร์ 9 เพื่อไม่ให้ยิงประตู

ดังนั้น การใช้แผน False 9 ก็คือการดึงเอา ‘กองหลัง’ ที่ตามประกบ ‘ศูนย์หน้า’ คนนั้น ออกมาจากพื้นที่เกมรับหน้าประตู เปิดโอกาสให้ ‘ปีก’ หรือ ‘กองหน้าอีกตัว’ มีที่ว่างสำหรับเข้าทำ

นับตั้งแต่ Jürgen Klopp นำระบบ False 9 เข้าสู่ ‘ลิเวอร์พูล’ ก็ดูเหมือนว่า พลพรรค ‘หงส์แดง’ พลอยพากันปรับเปลี่ยน Mindset กันยกใหญ่

เราจึงได้เห็น ‘บทบาทผู้นำ’ ที่เปลี่ยนไปของ ‘ลิเวอร์พูล’ จากผู้จัดการทีมคนเก่า ที่มักแสดงบทบาทเป็นผู้สั่งการ มาเป็นรูปแบบนักบริหารแนวใหม่คือ Jürgen Klopp ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ‘กระตุ้นให้เกิดความกระหาย’ ประดุจ ‘เครื่องจักรสีแดง’

ตามแนวคิดของเหล่าปรมาจารย์ ไล่ตั้งแต่ Bill Shankly บรมครู Bob Paisley หรือมือขวาอมตะ Joe Fagan ผู้ดุดันแต่สนุกสนาน รวมถึง Kenny Dalglish หรือ King Kenny ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในตำนานยุคใหม่

หรืออาจเป็น Gérard Houllier ที่พา Liverpool คว้า Triple Champ ผสมกับการเป็น Rafael Benítez หมายเลข 2 ผู้นำ ‘หงส์แดง’ บินสูงในยุโรป ในฐานะที่ทั้งคู่เป็นผู้จัดการทีมนอกสหราชอาณาจักร

สิ่งที่ไม่แตกต่างก็คือ Jürgen Klopp เป็นคนที่ ‘ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค’ เพราะไม่ว่าจะเป็นองค์กรใดก็ตาม ย่อมมีทั้ง ‘ความสำเร็จ’ และ ‘ความล้มเหลว’ ควบคู่กันเสมอ เพราะ Jürgen Klopp ได้เสก ‘บรรยากาศการมีส่วนร่วม’ เอื้อให้สมาชิกในทีมมีอิสระที่จะคิด - วิเคราะห์ - แยกแยะและปฏิบัติได้ด้วยตนเอง ส่งผลให้ ‘หงส์แดง’ ปรับเปลี่ยนไปสู่การเป็น ‘สโมสรสมัยใหม่’ ในปัจจุบันนั่นเอง

แม้ฤดูกาลที่แล้ว Liverpool จะได้ไปแค่ถ้วยยูฟ่ายูโรป้าลีก จากการจบอันดับ 5 พรีเมียร์ลีก และรองแชมป์ลีกคัพ ส่วน เอฟ.เอ.คัพ ตกรอบ 4 และยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกก็หยุดแค่รอบ 16 ทีมสุดท้าย แต่เขาก็พาทีมคว้าถาดแชร์ริตี้ชิลด์ประเดิมฤดูกาลได้

ส่วนฤดูกาลนี้ที่กำลังจะจบลง ซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้าย หลังจาก Jürgen Klopp ประกาศอำลาสโมสรตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่เขาก็นำทีมคว้าแชมป์ลีกคัพเป็นประเดิม พร้อมอยู่ในเส้นทางลุ้น 4 แชมป์ คือเอฟ.เอ.คัพ ยูฟ่ายูโรป้าลีก และพรีเมียร์ลีก

แต่เมื่อถึงเดือนเมษายน 2024 ลางหายนะเริ่มมาเยือน เริ่มจากตกรอบก่อนรองชนะเลิศ เอฟ.เอ.คัพ ตามด้วยรอบ 8 ทีมสุดท้ายยูฟ่ายูโรป้าลีก และแพ้หลายนัดในพรีเมียร์ลีก ทำให้หมดลุ้นแชมป์ไปทีละรายการ ตามด้วยปัญหาทะเลาะกับ Mohamed Salah สตาร์ดังของทีม

ทำให้ดูเหมือนฤดูกาลอำลา Jürgen Klopp ของชาว The Kop และสโมสร Liverpool จบลงอย่างไม่ประทับใจเท่าใดนัก เหลือก็แต่ความทรงจำเก่า ๆ เมื่อ 9 ปีที่ผ่านมา ที่ยังคงติดตราตรึงใจแฟน ‘หงส์แดง’ ทั่วโลกอย่างไม่มีวันเสื่อมคลาย

ลาก่อน Jürgen Klopp จนกว่าเราจะพบกันอีก