‘ลูเซียโน่ สปัลเล็ตติ’ โค้ชสไตล์ ‘ก้าวไกล’ นำ ‘นาโปลี’ ที่เคยล้มละลาย เถลิงแชมป์ลีกอิตาลี

‘ลูเซียโน่ สปัลเล็ตติ’ โค้ชสไตล์ ‘ก้าวไกล’ นำ ‘นาโปลี’ ที่เคยล้มละลาย เถลิงแชมป์ลีกอิตาลี

ลูเซียโน่ สปัลเล็ตติ โค้ชฟุตบอลสไตล์ ‘ก้าวไกล’ นำสโมสร ‘นาโปลี’ ทีมที่เคยล้มละลาย กลับมาเถลิงแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี อย่างยิ่งใหญ่ในรอบ 33 ปี

  • ลูเซียโน่ สปัลเล็ตติ กุนซือที่พานาโปลี กลับมาคว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ครั้งแรกในรอบ 33 ปี จากที่เดิมทีสโมสรเคยล้มละลายมาก่อนด้วยซ้ำ
  • สปัลเล็ตติ เคยเป็นกุนซือพเนจร คุมทีมต่าง ๆ ในอิตาลี แต่ยังไม่สามารถประสบความสำเร็จระดับสูงอย่างต่อเนื่อง กระทั่งมีโอกาสกับนาโปลี 

เมือง ‘เนเปิลส์’ ร้างจากเกียรติยศฟุตบอลลีกนานเนิ่นถึง 33 ปี หลังจากชายชื่อ ‘ดีเอโก้ มาราโดนา’ พาทีม ‘นาโปลี’ และ ‘ชาวเนเปิลส์’ เถลิงบัลลังก์ ‘กัลโช่ เซเรีย อา’ ฤดูกาล 1989/90

ขณะที่ ‘ชาวเนเปิลส์’ รอคอยแชมป์ลีกของพวกเขาเนิ่นนานถึง 33 ปี ‘ลูเซียโน่ สปัลเล็ตติ’ ผู้จัดการทีม ‘นาโปลี’ คนปัจจุบัน ก็รอคอยความสำเร็จของเขานานเนิ่นถึง 29 ปี เช่นกัน

จากการนำ ‘นาโปลี’ เถลิงบัลลังก์ ‘กัลโช่ เซเรีย อา’ ฤดูกาล 2022/2023 ในฤดูกาลที่ไม่มีใครคาดคิด ว่า ‘นาโปลี’ จะมาไกลถึงขั้นทวงเกียรติยศคืนจากบรรดา ‘ยอดทีมทางเหนือ’

จากนักเตะโนเนม ไต่เต้าสู่ทำเนียบโค้ช ระหกระเหินไขว่คว้าความสำเร็จนานเนิ่น พเนจรไปทั่วดินแดนในบท ‘พระรองอดทน’ ครั้งแล้วครั้งเล่า กว่าจะได้ลิ้มรสความสำเร็จอันหอมหวาน

‘สปัลเล็ตติ’ พา ‘นาโปลี’ ชนะ 27 เสมอ 5 แพ้แค่ 4 แมตช์ ยิงได้ 73 ประตู เสียแค่ 28 ลูก ได้ 86 แต้ม คว้าแชมป์ก่อนการแข่งขันสิ้นสุดถึง 5 นัด พา ‘ชาวเนเปิลส์’ เฉลิมฉลองกัน 3 วัน 3 คืน

เอาชนะ ‘ยอดทีมทางเหนือ’ ที่มอง ‘นาโปลี’ เสมือน ‘ลูกไล่’ ตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นยูเวนตุส, โตริโน่, เอ.ซี. มิลาน, อินเตอร์ มิลาน, โรม่า, ลาซิโอ, ฟิออเรนติน่า, ซามพ์โดเรีย กระทั่งอูดิเนเซ่ ทีมเก่าของเขาเอง

จาก ‘นักเตะไร้ชื่อ’ ถึง ‘โค้ชนามอุโฆษ’

‘ลูเซียโน่ สปัลเล็ตติ’ เกิดที่ ‘เซอทัลโด้’ เมืองหลวงของ ‘ฟลอเรนซ์’ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ปี ค.ศ. 1959 เริ่มต้นเส้นทางเดินบนถนนลูกหนังจากสถานะนักฟุตบอลกึ่งอาชีพช่วงอายุ 20 กลางๆ ค่อนมาทางปลาย ซึ่งถือว่า ‘เริ่มต้นช้ามาก’ หากเทียบจากมาตรฐานพ่อค้าแข้งทั่วไปในปัจจุบัน

แม้จะอายุค่อนข้างมาก ทว่า ‘สปัลเล็ตติ’ มีฝีเท้าที่พอใช้ได้ เพราะสามารถเซ็นสัญญาเล่นให้กับหลายทีมใน ‘เซเรีย ซี’ เช่น เอนเตลล่า, สเปเซีย, เวียเรจโจ้ กระทั่ง ‘เอ็มโปลี’

อย่างไรก็ดี ‘สปัลเล็ตติ’ ไม่สามารถทะยานขึ้นไปเล่นระดับที่สูงกว่านั้นได้ ไม่ว่าจะ ‘เซเรีย บี’ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘เซเรีย อา’ ซึ่งเป็นลีกสุดหิน ทำให้เขาแขวนสตั๊ดในเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจากรู้ตัวดีว่า ‘ไม่ไหวอย่าฝืน’

‘สปัลเล็ตติ’ อำลาบทบาทนักเตะในปี ค.ศ. 1993 โดยเริ่มต้นเส้นทางโค้ชที่สโมสร ‘เอ็มโปลี’ ทีมสุดท้ายที่เขาแขวนสตั๊ดนั่นเอง

บทบาท ‘มิดฟิลด์’ สมัยเป็นนักเตะ คือปัจจัยที่ทำให้ ‘สปัลเล็ตติ’ มีแววเป็นโค้ชที่ดี เฉกเช่นนักเตะระดับซุป’ตาร์จำนวนมาก ที่ประสบความสำเร็จเป็นโค้ชนามกระเดื่อง จากภูมิหลังที่เคยเป็น ‘มิดฟิลด์’ มาก่อน

‘ลูเซียโน่ สปัลเล็ตติ’ เหนือชั้นกว่านั้น เพราะเขาเป็นโค้ชที่แหวกขนบของวงการ ‘ฟุตบอลลีกอิตาลี’ ที่เชิดชูระบบการเล่น ‘คาเตนัคโช่’ หรือ ‘ตีหัว-เข้าบ้าน’ ที่เป็นสไตล์การเล่นแบบอุดประตู แล้วโต้กลับ ขอเพียงเอาชนะแค่ 1 ประตูก็เพียงพอ ทำให้รูปแบบการเล่นของ ‘กัลโช่ เซเรีย อา’ หรือ ‘ลีกสูงสุด’ ของ ‘อิตาลี’ โดยภาพรวมมีความน่าเบื่อมาก

แต่ ‘สปัลเล็ตติ’ ปรับขนบใหม่ด้วยการให้ลูกทีมเน้นครองบอล และสร้างสรรค์เกมบุกแบบเต็มอัตราศึก!

‘สปัลเล็ตติ’ เริ่มต้นบทบาทโค้ชชั่วคราวให้กับ ‘เอ็มโปลี’ ฤดูกาล 1993/1994 ก่อนขึ้นสู่เก้าอี้โค้ชอย่างเต็มตัวในฤดูกาลถัดมา 1994/1995 จากนั้นในฤดูกาล 1996/1997 ‘สปัลเล็ตติ’ พา ‘เอ็มโปลี’ เลื่อนชั้นจาก ‘ซีรีส์ ซี’ ขึ้นสู่ ‘ซีรีส์ บี’ ก่อนย้ายไปคุมทีม ‘ซามพ์โดเรีย’ ฤดูกาล 1998/1999

จากนั้น ‘ลูเซียโน่ สปัลเล็ตติ’ ชีพจรลงเท้า กลายเป็น ‘โค้ชพเนจร’ ร่อนเร่ไปทั่วดินแดนรองเท้าบูท

 

“เอ็มโปลีคือมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดแห่งอิตาลี”

4 ปี 4 สโมสร จาก ‘ซามพ์โดเรีย’ ไป ‘เวนีเซีย’ ‘อูดิเนเซ่’ ถึง ‘อันคอน่า’ จากฤดูกาล 1998 ถึงฤดูกาล 2001 ‘ลูเซียโน่ สปัลเล็ตติ’ ยังไม่หยุดพเนจร เมื่อเขากลับสู่อ้อมอก ‘อูดิเนเซ่’ อีกครั้งในฤดูกาล 2002

‘สปัลเล็ตติ’ เริ่ม ‘ค้นพบตัวตนใหม่’ ที่ ‘อูดิเนเซ่’ นอกจากเขาจะปักหลักอยู่ที่นี่นานถึง 3 ปี คือฤดูกาล 2002–2005 เขายังพาทีมโชว์ฟอร์มสะเด็ดสะเด่า จากทีมระดับกลางค่อนมาทางล่าง ‘อูดิเนเซ่’ กลายเป็นทีมระดับกลางอย่างเต็มตัว จนเกือบจะได้เป็นทีมชั้นนำเมื่อคว้าโควตาไปเตะถ้วย ‘ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก’ ได้เป็นครั้งแรก!

ฝีไม้ลายมือการคุม ‘อูดิเนเซ่’ เข้าตาทีมใหญ่แห่งเมืองหลวง คือ ‘โรม่า’ ทำให้ ‘สปัลเล็ตติ’ ถูกดึงตัวมาเป็นผู้จัดการทีม ‘หมาป่าแห่งกรุงโรม’ และอยู่ที่โรมนานถึง 5 ฤดูกาลด้วยกัน

ที่ ‘โรม่า’ นั้น ‘สปัลเล็ตติ’ สร้างผลงานชนะมากถึง 122 นัด ยิงประตูได้มากถึง 414 ลูก นำ ‘โรม่า’ คว้าแชมป์ ‘โคปา อิตาเลีย’ หรือ ‘เอฟเอคัพอิตาลี’ ถึง 2 สมัยด้วยกัน แถม ‘ซูเปอร์โคปาอิตาเลีย’ หรือ ‘แชริตี้ชิลด์’ อีก 1 ถ้วย

หลังจากอิ่มตัวกับ ‘โรม่า’ เขาถูก ‘เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก’ ซื้อตัวไปคุมทีม และอยู่ที่นั่นนานที่สุดคือ 6 ฤดูกาล นำทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดรัสเซีย 3 สมัยซ้อน แชมป์ ‘รัสเซียคัพ’ หรือ ‘เอฟเอคัพ’ 1 สมัย และ ‘รัสเซีย ซูเปอร์คัพ’ หรือ ‘แชริตี้ชิลด์’ อีก 1 สมัย

ก่อนที่จะกลับคืนสู่แผ่นดินอิตาลี เพื่อไล่คว้าความฝัน กับการเป็นแชมป์ ‘กัลโช่ เซเรีย อา’ ให้ได้สักครั้งในชีวิต

‘สปัลเล็ตติ’ กลับมาอยู่กับ ‘โรม่า’ ช่วงสั้น ๆ และไปแสวงหาความสำเร็จกับ ‘งูใหญ่’ อินเตอร์ มิลาน ถึง 3 ฤดูกาล แต่ผลงานยังไม่เข้าเป้า จนได้ไปคุม ‘นาโปลี’

อย่างไรก็ดี ‘สปัลเล็ตติ’ เคยให้สัมภาษณ์ว่า แม้เขาจะคุมทีมมาหลายสโมสร แต่ที่ ‘เอ็มโปลี’ เขาประทับใจที่สุด จนอยากตั้งฉายาให้ว่า ‘มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดแห่งอิตาลี’

การที่ ‘ลูเซียโน่ สปัลเล็ตติ’ เปรียบเทียบ ‘เอ็มโปลี’ ว่าเป็น ‘มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดแห่งอิตาลี’ ก็เนื่องจากเขาเห็นว่า ‘เอ็มโปลี’ เป็น ‘สถาบันลูกหนัง’ ที่สร้างนักเตะป้อนให้ทีมใหญ่ไม่ขาดสาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โค้ชชั้นแนวหน้าของโลก ล้วนผ่านการปั้นจาก ‘เอ็มโปลี’ ไม่ว่าจะเป็น ‘เมาริซิโอ้ ซาร์รี่’ หรือ ‘ออเรลิโอ้ แอนเดรียสโซลี่’ ก็ตาม

 

โค้ชสไตล์ ‘ก้าวไกล’ นำระบบ False 9 มาใช้ใน ‘ลีกอิตาลี’

ตอนที่คุม ‘โรม่า’ นั้น ‘ลูเซียโน่ สปัลเล็ตติ’ เป็นผู้ริเริ่มนำรูปแบบผู้เล่น False 9 มาใช้กับ ‘ลีกอิตาลี’ หลังจากประสบความสำเร็จกับสไตล์เกมบุกแบบ ‘วันเวย์ติ๊กเก็ต’ หรือ ‘บุกกระหน่ำอยู่ข้างเดียว’ ที่ ‘อูดิเนเซ่’

False 9 เป็นระบบที่ ‘เจอร์เก้น คล็อปป์’ นำมาใช้กับ ‘ลิเวอร์พูล’ ทำให้ ‘หงส์แดง’ บินสูงในยุโรป และพรีเมียร์ลีก กับการให้ ‘โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่’ รับบท ‘กองหน้าตัวหลอก’ เช่นเดียวกับที่ ‘สปัลเล็ตติ’ มอบหมายให้ ‘ฟรานเชสโก้ ต็อตติ’ เล่นในตำแหน่ง False 9

False 9 หมายถึง การใช้ผู้เล่นหมายเลข 10 หรือมิดฟิลด์จอมทัพ สวมเสื้อหมายเลข 9 หรืออีกนัยก็คือ ทำทีให้ขึ้นไปยืนเป็นกองหน้าตัวเป้า แต่ภารกิจที่แท้จริงคือการทำเกมในแดนกลาง เป็นตัวหลอกกองหลัง แถมท้ายด้วยการแอสซิสต์ และยิงประตู!

นี่คือสไตล์การเล่น ที่ทำให้ ‘ลูเซียโน่ สปัลเล็ตติ’ ได้รับการยกย่องจากวงการฟุตบอลอิตาลีในขณะนั้นว่าเป็น ‘อนาคตใหม่’ ที่ ‘ก้าวหน้า’ ของวงการฟุตบอลอิตาลี และได้รับการคาดหวังว่าจะสามารถ ‘ก้าวไกล’ ไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง

นอกจากที่ ‘สปัลเล็ตติ’ จะนำระบบ ‘เกมรุกเต็มรูปแบบ’ มาใช้ที่ ‘อูดิเนเซ่’ และนำแนวทาง False 9 มาใช้ที่ ‘โรม่า’ แล้ว เขายังผสมสานทั้ง 2 ระบบหรือที่เรียกว่าสไตล์ ‘ก้าวไกล’ นำไปทดลองใช้ที่ ‘อินเตอร์ มิลาน’

แม้จะไม่ประสบความสำเร็จกับ ‘งูใหญ่ อินเตอร์ มิลาน’ ทว่า ‘สปัลเล็ตติ’ สานต่อด้วยการนำระบบผสมผสานนี้มาใช้กับ ‘นาโปลี’

เหนือไปกว่านั้น ‘สปัลเล็ตติ’ ได้นำ ‘จิตวิญญาณมาราโดน่า’ กลับคืนสู่ ‘เมืองเนเปิลส์’ และสโมสร ‘นาโปลี’ อีกด้วย

 

33 ปี ‘จิตวิญญาณมาราโดน่า’ ฟื้นคืนชีพ

‘จิตวิญญาณมาราโดน่า’ คือการพลิกฟื้น ‘นาโปลี’ ทีมระดับกลางค่อนมาทางล่างในยุค 90s ซึ่งไม่อาจเทียบกับสโมสรทางตอนเหนือของอิตาลีได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากพิจารณาจากความเหลื่อมล้ำหลายด้านระหว่างทีมจากตอนใต้กับทีมจากตอนเหนือ ไม่ว่าจะเป็นภูมิศาสตร์ ประชากรศาสตร์ เศรษฐกิจ และสภาพสังคม

‘จิตวิญญาณมาราโดน่า’ คือการเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับภาคใต้ของอิตาลี โดยเฉพาะอย่างฟุตบอล ซึ่งก่อนหน้านั้นทีมจากทางใต้ไม่เคยเป็นแชมป์ลีกมาก่อนเลย ‘นาโปลี’ ของ ‘มาราโดน่า’ เป็นทีมแรก!

‘จิตวิญญาณมาราโดน่า’ จึงเป็นสัญลักษณ์ของการก่อเกิด และความสำเร็จของคนใต้ทั้งมวล ‘ดีเอโก้ มาราโดน่า’ กลายเป็นตำนาน และเป็นทุกอย่าง ถึงขนาดได้รับการยกย่องประดุจศาสดา

‘ลูเซียโน่ สปัลเล็ตติ’ ได้สานต่อภารกิจ ‘ดีเอโก้ มาราโดน่า’ และ ‘จิตวิญญาณมาราโดน่า’ ในยุคใหม่ ให้ชาวเมือง ‘เนเปิ้ลส์’ ที่ร้างไร้เกียรติยศเนิ่นนานถึง 33 ปี หลัง ‘มาราโดน่า’ อำลา ‘นาโปลี’ ไป

‘เสื้อหมายเลข’ 10 ของ ‘มาราโดน่า’ ได้ถูก ‘รีไทร์’ และจะไม่มีใครใน ‘นาโปลี’ ได้ใส่อีก เพื่อเป็นเกียรติให้ ‘มาราโดน่า’

และ ‘สปัลเล็ตติ’ ได้กอบกู้ ‘จิตวิญญาณมาราโดน่า’ ให้กลับคืนมา ด้วยสไตล์การคุมทีมแบบ ‘ก้าวไกล’ คือ ‘เน้นเกมรุกบุกแหลก’ ใส่เกียร์ 5 หน้าเดิน และถอยหลังเป็นล้ม ของ ‘ลูเซียโน่ สปัลเล็ตติ’ เข้ากันพอดีกับนักเตะนาโปลีรุ่นเก่า และรุ่นใหม่ที่เข้าคว้าตัวเข้ามาหลังจากได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ‘กุนซือนาโปลี’

การผสมผสานระบบเกมรุกเต็มรูปแบบ False 9 และ ‘จิตวิญญาณมาราโดน่า’ เข้าด้วยกัน สร้างสรรค์ให้ ‘นาโปลี’ กลับไปเป็นทีมชั้นนำของ ‘กัลโช่ เซเรีย อา’ อีกครั้ง!

 

เรื่อง: จักรกฤษณ์ สิริริน

ภาพ: Getty Images