‘เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน’ ตำนานแมนฯ ยูฯ ‘อัศวินลูกหนัง’ ต้นฉบับ False 9

‘เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน’ ตำนานแมนฯ ยูฯ ‘อัศวินลูกหนัง’ ต้นฉบับ False 9

‘เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน’ ตำนานนักเตะสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และทีมชาติอังกฤษ เขาถูกผู้คนเรียกขานว่า ‘อัศวินลูกหนัง’ จากความสำเร็จและความสามารถที่ยอดเยี่ยม และถือเป็นผู้เล่นต้นฉบับ ‘False 9’ อันเป็นตำแหน่งที่เรียกกันในฟุตบอลสมัยใหม่

“ผมอยากรู้จริง ๆ ถ้าโรเบิร์ต ได้เล่นในสนามหญ้ามาตรฐานพรีเมียร์ลีกจะเป็นอย่างไร สมัยเรา การจะได้เล่นในสภาพสนามที่ดีเยี่ยมแบบนี้ ก็มีแค่นัดชิงที่เวมบลีย์เท่านั้น อย่างไรก็ดี แม้สภาพสนามจะยอดเยี่ยมเพียงไร และมีนักเตะมหัศจรรย์เกิดขึ้นมากเพียงไร แต่ผมคิดว่า พวกเขาเหล่านั้นยังเทียบไม่ได้กับโรเบิร์ต หรือจอร์จเลย”

‘เดนิส ลอว์’ หนึ่งในตำนานนักเตะผู้มีรูปปั้นหน้าสโมสรแมนฯ ยูฯ เคยพูดถึง ‘โรเบิร์ต’ หรือ ‘เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน’ เมื่อครั้งเปิดตัวอัฒจันทร์ฝั่งทิศใต้ ‘เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน สแตนด์’

แน่นอน ‘จอร์จ’ ย่อมหมายถึง ‘จอร์จ เบสต์’ ส่วน ‘บ็อบ’ หรือ ‘บ็อบบี้’ เป็นชื่อเล่นที่ฝรั่งใช้เรียกแทน ‘โรเบิร์ต’ ก็คือ ‘บ็อบบี้ ชาร์ลตัน’ และ ‘เดนิส ลอว์’ คือ ‘พระเจ้า 3 องค์แห่งปีศาจแดง’ หรือ Holy Trinity ผู้สร้างตำนานให้กับ ‘แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด’

แน่นอนอีกเช่นกัน ทั้ง ‘เดนิส ลอว์’ และ ‘บ็อบบี้ ชาร์ลตัน’ เป็นปูชนียบุคคลที่ ‘แมนฯ ยูฯ’ สร้างอนุเสาวรีย์ให้ตั้งแต่ยังไม่เสียชีวิต (‘จอร์จ เบสต์’ เสียชีวิตไปก่อน) เป็นบทพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ของ ‘3 Ballon d'Or’ หรือ ‘นักฟุตบอลยอดเยี่ยมโลก’ รางวัล ‘บอลทองคำ’ ที่มีต่อสโมสร ‘ปีศาจแดง’

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘บ็อบบี้ ชาร์ลตัน’ เป็นผู้รอดชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินผู้เล่นทีม ‘ปีศาจแดง’ ในมิวนิก เป็น ‘แชมป์ฟุตบอลโลก’ ครั้งเดียวของทีมชาติอังกฤษเมื่อปี 1966 และเป็นผู้พา ‘แมนฯ ยูไนเต็ด’ คว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 (ปัจจุบันคือพรีเมียร์ลีก) 3 สมัย ยูโรเปี้ยนคัพ (ปัจจุบันคือยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก) 1 สมัย และเอฟเอ คัพ 1 สมัย

“เขาเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือนักเตะเยาวชน ถ้าคุณเป็นนักเตะเยาวชนของแมนฯ ยูฯ แล้วมีอดีตนักเตะแมนฯ ยูฯ เข้ามาพูดคุยกับคุณ และทำให้คุณรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม มันมีความหมายที่ยิ่งใหญ่มาก และถ้าคนคนนั้นคือเซอร์บ็อบบี้ ชาร์ลตัน มันยิ่งมีความหมายมากเป็นพิเศษ เพราะเขาคือตำนานของเรา เขามีความหมายอย่างมากต่อผู้คนมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแฟน ๆ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และทีมชาติอังกฤษ”

‘เดวิด เบ็คแฮม’ พูดถึง ‘เซอร์บ็อบบี้ ชาร์ลตัน’ เมื่อครั้งเปิดตัว ‘เซอร์บ็อบบี้ ชาร์ลตันสแตนด์’ เช่นกัน

จุดเริ่มต้นของ ‘บ็อบน้อย’

สามารถพูดได้ว่า ‘บ็อบบี้ ชาร์ลตัน’ คือ ‘แม่แบบนักเตะอังกฤษขนานแท้’ ผู้อยู่ในระเบียบวินัยแบบ ‘ผู้ดีอังกฤษ’ เราจะเห็นเขาสอดชายเสื้อใส่ในกางเกงทุกครั้งที่ปรากฏตัวทั้งในสนาม และนอกสนาม

‘บ็อบบี้’ จงรักภักดีต่อบ้านเกิดเมืองนอน และอย่างน้อยก็สโมสรที่เขารัก ‘บ็อบบี้’ ไต่เต้าในทีมชาติอังกฤษ ตั้งแต่ชุดนักเรียนอังกฤษ ปี ค.ศ. 1953 ลงเล่น 4 นัดก็เลื่อนชั้นขึ้นชุดเยาวชนทีมชาติอังกฤษ ต่อด้วยชุด U23 และทีมชาติชุดใหญ่ในปี ค.ศ. 1958 ใช้เวลาเพียง 5 ปีจากชุดนักเรียนจนถึงทีมชาติชุดใหญ่

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปี ค.ศ. 1966 ที่ ‘บ็อบบี้’ และผองเพื่อน พาทีมชาติอังกฤษคว้าแชมป์โลกในบ้านเกิด และเป็นแชมป์บอลโลกหนึ่งเดียวของอังกฤษตราบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้  

‘บ็อบบี้ ชาร์ลตัน’ เกิดเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ปี ค.ศ. 1937 ที่เมืองแอชิงตัน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นช่วงที่ฟุตบอลลีกกำลังเข้าสู่ช่วงพีกในอังกฤษ ‘บ็อบน้อย’ ผู้ที่พ่อพาไปดูเกมลีกทุกสุดสัปดาห์หลงใหลในกลิ่นสาบลูกหนัง ได้สมัครเรียนฟุตบอลที่อีสต์ นอร์ธัมเบอร์แลนด์

จากความสามารถที่เกินวัย ‘บ็อบน้อย’ ได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งขันฟุตบอลรายการต่าง ๆ และด้วยระเบียบวินัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พรสวรรค์ชั้นเลิศ ทำให้ ‘บ็อบน้อย’ เข้าตา ‘แมตต์ บัสบี้’ โค้ชปีศาจแดง จับ ‘บ็อบน้อย’ เซ็นสัญญาในวัยเพียง 15 ปี เข้าในโครงการ ‘บัสบี้ เบบส์’ สร้างรากฐานจากเยาวชนเพื่อครองความยิ่งใหญ่

โดยหลังจากนั้นเพียง 3 ปี ‘บ็อบน้อย’ ในวัย 18 เริ่มเป็นหนุ่มใหญ่เร็วกว่าอายุ ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของแมนฯ ยูฯ แค่ลงสนามนัดแรกก็ยิง 2 ประตู ในเกมชนะชาร์ลตัน 4-2 และปิดฤดูกาลด้วยแชมป์ดิวิชั่นหนึ่งในปีแรกที่ลงสนาม

ปีต่อมา ‘บ็อบน้อย’ ในวัย 19 เถลิงบัลลังก์ถ้วยหูใหญ่ของยุโรป คือ ‘ยูโรเปี้ยนคัพ’ เข้าถึงรอบรองชนะเลิศ แต่เกิดโศกนาฏกรรมทางเครื่องบิน เป็นเหตุให้นักเตะปีศาจแดงต้องเสียชีวิตถึง 23 คน แต่ ‘บ็อบน้อย’ ดวงแข็ง รอดชีวิตกลับมาอย่างปาฎิหาริย์ แบบไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เลย

 

จาก ‘บ็อบน้อย’ ก้าวสู่ทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ ปี ค.ศ. 1958 ต้นฉบับ False 9

‘บ็อบน้อย’ ถูก ‘วอลเตอร์ วินเตอร์บอททอม’ ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษในยุคนั้น เรียกติดทีมชุดใหญ่ ในตำแหน่งมิดฟิลด์ ปีนั้นอังกฤษได้ไปฟุตบอลโลกที่สวีเดนปี ค.ศ. 1958 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะตกรอบแรกอย่างรวดเร็ว โดย ‘บ็อบน้อย’ ไม่ได้ลงเล่นเลย

อีก 4 ปี ต่อมา ‘บ็อบบี้ ชาร์ลตัน’ กลายเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติอังกฤษชุดฟุตบอลโลก 1962 ที่ชิลี แต่อังกฤษของเขาก็จบแค่รอบ 8 ทีมสุดท้าย อย่างไรก็ดี อีก 4 ปีถัดมา อังกฤษได้สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1966 ในบ้านเกิด และเป็นแชมป์โลกหนึ่งเดียวของอังกฤษมาจนถึงทุกวันนี้

ด้วยลีลาการเล่นแบบกองกลางกึ่งกองหน้าหรือศูนย์หน้า ‘เบอร์ 9 ครึ่ง’ ของ ‘บ็อบบี้ ชาร์ลตัน’ หรือที่ปัจจุบันเรียกว่า ‘False 9’ ทว่า สมัยนั้น ยังไม่มีศัพท์คำนี้เกิดขึ้นในโลกฟุตบอล

คำจำกัดความของ False 9 หรือศูนย์หน้า ‘เบอร์ 9 ครึ่ง’ ของ ‘บ็อบบี้ ชาร์ลตัน’ คือการเป็นมิดฟิลด์ตัวรุก ที่สามารถจ่ายบอลได้เฉียบคม คอยวิ่งหลอก หาพื้นที่ให้เพื่อน มาพร้อมสมรรถนะการยิงประตูประดุจเครื่องจักร

‘บ็อบบี้ ชาร์ลตัน’ ยิงได้ทั้งเท้าซ้ายและเท้าขวา โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกโหม่งจากส่วนสูงที่เหนือกว่ากองหลังคู่แข่ง นอกจากนี้ เขายังจ่ายบอลอย่างเฉียบขาดแบบ ‘คิลเลอร์พาส’ (Killer Pass) ได้ทั้งเท้าซ้ายและเท้าขวา โดยนอกจากกองหน้า กองกลางทั้งมิดฟิล์ดตัวรับ ตัวโฮลดิ้งบอลหรือจอมทัพ และมิลฟิลด์ตัวรุกหมายเลข 10 เขายังเล่นเป็นปีกได้อีกด้วย ทั้งในทีมปีศาจแดง และทีมชาติ

กับแมนฯ ยูฯ ‘บ็อบบี้ ชาร์ลตัน’ ประสบความสำเร็จไม่แพ้ทีมชาติอังกฤษ ด้วยการกวาดแชมป์เอฟเอ คัพ 1963 แชมป์ดิวิชั่นหนึ่งฤดูกาล 1965 และ 1967 นำโดย 3 ประสาน Holy Trinity หรือ ‘พระเจ้า 3 องค์แห่งปีศาจแดง’ อันประกอบไปด้วย ‘บ็อบบี้ ชาร์ลตัน’ ‘เดนิส ลอว์’ และ ‘จอร์จ เบสต์’

ส่งผลให้ ‘ปีศาจแดง’ เป็นทีมที่เล่นได้สุดยอดมากในยุคนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘บ็อบบี้ ชาร์ลตัน’ โดดเด่นมากในปี ค.ศ. 1968 ที่เขาสามารถนำ ‘แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด’ คว้าแชมป์ ‘ยูโรเปี้ยนคัพ’ ได้เป็น ‘ครั้งแรก’ โดยเป็นทีมแรกจากอังกฤษที่ได้คว้าถ้วยแชมป์ใบใหญ่ที่สุดของยุโรป

 

‘อัศวินลูกหนัง’ ชื่อ เซอร์โรเบิร์ต ‘บ็อบบี้’ ชาร์ลตัน

หลังประสบความสำเร็จมากมายในฐานะนักฟุตบอล ‘บ็อบบี้ ชาร์ลตัน’ เคยทดลองเข้าสู่อาชีพโค้ช และผู้จัดการทีม โดยระหว่างปี ค.ศ. 1973 ถึง ปี ค.ศ. 1975 เขาเข้ารับตำแหน่งผู้เล่น-ผู้จัดการทีมที่สโมสร ‘เพรสตัน นอร์ท เอนด์’ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และอีกครั้งในปี ค.ศ. 1983 ที่อาสาไปเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมที่สโมสร ‘วีแกน แอธเลติก’ ซึ่งก็ไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน

กระนั้นก็ดี ‘บ็อบบี้ ชาร์ลตัน’ ยังไม่ทิ้งวงการฟุตบอลไปไหน เขายังวนเวียนอยู่กับวงการฟุตบอลอังกฤษ ทั้งในแง่การให้คำปรึกษา หรือการเล่นฟุตบอลในวาระพิเศษต่าง ๆ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1974 เขาตัดสินใจแขวนสตั๊ด และหันไปทำธุรกิจโรงเรียนสอนฟุตอล

ต่อมา ในปี ค.ศ. 1984 ‘แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด’ ได้เชิญ ‘บ็อบบี้ ชาร์ลตัน’ เข้ามาเป็น ‘ผู้อำนวยการสโมสร’ และต่อมา ‘บ็อบบี้ ชาร์ลตัน’ ได้รับเกียรติให้เป็น ‘บอร์ดฟีฟ่า’ ขณะที่สมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือเอฟเอ (FA) ได้แต่งตั้งให้ ‘บ็อบบี้ ชาร์ลตัน’ เป็นทูตกีฬา เดินทางไปทั่วโลกเพื่อเผยแพร่เกมลูกหนัง

ความภาคภูมิใจสูงสุดในชีวิตของ ‘บ็อบบี้ ชาร์ลตัน’ นอกจากเรื่องฟุตบอล คือการที่เขาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น ‘เซอร์’ จากพระราชวังบักกิ้งแฮม หลังจากสร้างชื่อเสียงให้กับสโมสรแมนฯ ยูฯ แห่งเกาะอังกฤษ และให้กับประเทศชาติมาอย่างยาวนาน

จึงนับได้ว่า ‘บ็อบบี้ ชาร์ลตัน’ คือนักฟุตบอลแม่แบบของนักเตะอังกฤษขนานแท้และดั้งเดิม

ก่อนหน้าจะเสียชีวิตในวันที่ 21 ตุลาคม 2023 ‘บ็อบบี้ ชาร์ลตัน’ ต้องต่อสู้กับโรคสมองเสื่อมมาอย่างยาวนาน อย่างน้อยก็ตั้งแต่ก่อนปี ค.ศ. 2020 เป็นต้นมา

แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน แฟนบอลทั่วโลกยังจดจำการลีลาการเล่น และการยิงประตูอันยอดเยี่ยมของสุดยอดนักเตะเมืองผู้ดี ‘บ็อบบี้ ชาร์ลตัน’ ผู้ยิงประตูในนามทีมชาติอังกฤษได้มากถึง 49 ลูก และยิงให้กับแมนฯ ยูฯ ได้มากถึง 257 ประตู ตลอดไป

R.I.P. เซอร์บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ตำนานแมนฯ ยูฯ ต้นฉบับ False 9

 

เรื่อง: จักรกฤษณ์ สิริริน

ภาพ: (ซ้าย) เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ระหว่างเกมแมนฯ ยูไนเต็ด พบบาร์เซโลนา ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด เมื่อปี 2017 ไฟล์จาก AMA/Getty Images (ขวา) เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ในเกมกับเชลซี เมื่อ 20 ธันวาคม 1958 ไฟล์จาก Evening Standard/Hulton Archive/Getty Images