แดริล เดวิส : ชายผิวดำที่ใช้การพูดคุยโน้มน้าวให้สมาชิก KKK ออกจากลัทธิกว่า 200 คน

แดริล เดวิส : ชายผิวดำที่ใช้การพูดคุยโน้มน้าวให้สมาชิก KKK ออกจากลัทธิกว่า 200 คน

เรื่องราวของ ‘แดริล เดวิส’ (Daryl Davis) ชายผิวดำที่ใช้การพูดคุยเปลี่ยนความเกลียดชังทางเชื้อชาติของสมาชิกคูคลักซ์แคลนต่อคนดำให้กลายเป็นมิตรภาพ

KEY

POINTS

ย้อนกลับไปในทศวรรษ 1950–1960 ช่วงเวลาที่สังคมอเมริกันมีระบบการแบ่งแยกคนดำออกจากคนขาว (Segregation) และการบังคับใช้กฎหมายจิม โครว์ (Jim Crow Laws) ยิ่งเป็นเครื่องมือที่ตอกย้ำให้การแบ่งแยกสีผิวให้มีความชอบธรรมทางกฎหมาย ซึ่งปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วทุกหนแห่งของสังคมในขณะนั้น ตั้งแต่ตู้กดน้ำ รถบัส ห้องสุขา โรงแรม หรือแม้แต่โรงเรียน…

ท่ามกลางความอยุติธรรมในสังคม อีกหนึ่งบาดแผลที่คนผิวดำไม่อาจลืม และถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์อเมริกา นั่นคือการกำเนิดขบวนการต่อต้านคนดำสุดโต่งอย่าง ‘คูคลักซ์แคลน’ (Ku Klux Klan: KKK) เงามืดของสังคมที่ซ่อนตัวตนใต้เสื้อคลุมและหมวกทรงแหลมสีขาว พวกเขามีเป้าหมายเดียวกันคือ ‘กำจัดคนผิวดำให้หมดสิ้น’ ด้วยสารพัดวิธี ทั้งคุกคาม ขว้างระเบิด วางเพลิง ทรมาน และสังหาร เพื่อธำรงอำนาจของคนผิวขาว เชื้อชาติอันบริสุทธิ์และอยู่เหนือกว่าสีผิวใด

แดริล เดวิส’ (Daryl Davis) เองก็เติบโตขึ้นในยุคที่การแบ่งแยกสีผิวยังฝังรากลึก และได้รับผลกระทบจากระบบนี้ตั้งแต่ที่เขายังเรียนชั้นประถม แต่เพราะความไร้เดียงสาของเขาที่ยังไม่เข้าใจความคิดที่ผสมอคติทางเชื้อชาติ และได้แต่สงสัยถึงความรังเกียจเดียดฉันท์ที่คนผิวขาวมีต่อเขา 


โลกแห่งการแบ่งแยก
 

คุณจะเกลียดผมได้ยังไง
ในเมื่อคุณกับผมยังไม่รู้จักกันเลย

 

เด็กชายแดริล เดวิสเกิดวันที่ 26 มีนาคม ปี 1958 ณ เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ด้วยความที่ผู้เป็นพ่อทำงานอยู่ในกระทรวงการต่างประเทศ แดริลในวัยเด็กจึงต้องย้ายถิ่นฐานตามพ่อไปยังประเทศต่าง ๆ อยู่เสมอ เขาได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่มีบุตรหลานของนักการทูตจากหลากหลายประเทศ ทำให้เขาเติบโตท่ามกลางบรรยากาศ และสังคมที่มีเพื่อนต่างเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม

เด็กน้อยแดริลยังไม่รู้จักคำว่า ‘การเหยียดเชื้อชาติ’ (Racism) หรือ ‘การแบ่งแยกสีผิว’ (Segregation) ด้วยซ้ำ จนกระทั่งในปี 1968 แดริลก็ย้ายกลับมาบ้านเกิดที่สหรัฐฯ 

ซึ่งทำให้เขาได้สัมผัสรสชาติของอคติและการเหยียดผิวครั้งแรก ขณะที่มีอายุเพียง 10 ขวบ

ตอนนั้นผมกำลังเรียนลูกเสือสำรอง และระหว่างที่กำลังเดินขบวนอยู่ จู่ ๆ ก็มีคนขว้างก้อนหินและสิ่งของใส่ผม” แดริลคิดว่า คนขาวพวกนั้นคงมีปัญหากับโรงเรียน มากกว่าจะเป็นตัวเขาเอง แต่สุดท้ายก็มารู้ทีหลังว่า ‘เพราะเขาเป็นเด็กผิวดำ’ ซึ่งมีอยู่คนเดียวในขบวนลูกเสือ

และไม่เพียงแค่ในพื้นที่โรงเรียนเท่านั้น ทุกแห่งหนที่เขาอยู่มักพบคนผิวดำเช่นเขาจะถูกรังแกและถูกเอารัดเอาเปรียบจากคนผิวขาวเสมอ  

หนูน้อยถามผู้เป็นพ่อถึงสิ่งที่ตนพบเจอมา นั่นเป็นครั้งแรกที่เขารู้จักคำว่าการเหยียดสีผิวในแผ่นดินอเมริกา ประกอบกับประสบการณ์ในโรงเรียนและเหตุการณ์บ้านเมืองที่ทารุณและไร้ความปราณี ทำให้เขาเริ่มเข้าใจว่า ‘สิ่งนี้’ มีอยู่จริง และเป็นชะตาที่คนดำไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในเวลานั้น

แต่ถึงอย่างไร เขาก็ยังไม่เข้าใจถึงตรรกะและเหตุผลในการกระทำของคนขาวอยู่ดี คำถามผุดขึ้นในใจว่า เหตุใดความเกลียดชังจึงเกิดขึ้นได้ง่ายดายเพียงนั้น ทำไมใครบางคนถึงเลือกทำร้าย ทั้งที่ยังไม่รู้จักกันแม้แต่น้อย 

คนผิวขาวมีสิทธิที่จะทำร้าย หรือแม้แต่ฆ่าคนอีกคนได้ เพียงเพราะเขาคนนั้นเกิดมาเป็นคนผิวดำเท่านั้นหรือ?

การสนทนาของชายผิวดำ
และ (อดีต) ปีศาจชุดขาว

เมื่อเวลาผ่านไป แดริลก็เรียนจบปริญญาตรี คณะดุริยางคศาสตร์ สาขาดนตรีแจ๊ส จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ฝีมือการเล่นเปียโนของเขาเป็นที่ชื่นชมของคนรอบข้าง นั่นก็เพราะเขาได้รับการฝึกฝนจากนักเปียโนระดับตำนานอย่าง ไพน์ท็อป เพอร์กินส์ (Pinetop Perkins) และ จอห์นนี่ จอห์นสัน (Johnnie Johnson) ผู้ที่เคยเล่นเปียโนคู่กับบิดาร็อกแอนด์โรลอย่าง ชัค เบอร์รี (Chuck Berry) 

 

แดริล เดวิส : ชายผิวดำที่ใช้การพูดคุยโน้มน้าวให้สมาชิก KKK ออกจากลัทธิกว่า 200 คน

 

นอกจากนี้เขายังเป็นสมาชิกของคณะนักร้องประสานเสียง และวงแจ๊สร้องประสานเสียงของมหาวิทยาลัยฮาววาร์ด ทำให้เขาได้ขัดเกลาฝีมือและพลังเสียงในเส้นทางดนตรีแจ๊สอย่างเข้มข้น 

หลังจบการศึกษา เขายังคงโลดแล่นอยู่บนเวทีดนตรี เล่นแบ็กอัปให้กับศิลปินระดับตำนาน ทั้งชัค เบอร์รี (Chuck Berry) เจอร์รี ลี ลูวิส (Jerry Lee Lewis) แซม มัวร์ (Sam Moore) และอีกนับสิบชื่อที่ฝากผลงานไว้ในประวัติศาสตร์บลูส์และร็อกแอนด์โรล

เรียกได้ว่าเส้นทางดนตรีของแดริลกำลังไปได้สวย เขาเดินทางไปทั่วประเทศ เล่นดนตรีร่วมกับศิลปินมากมาย จนกระทั่งคืนหนึ่งที่เขาไปเล่นดนตรีในสถานบันเทิงชื่อ Silver Dollar Lounge ในเมืองเฟรเดอริก รัฐแมรี่แลนด์ เขาก็ได้พบกับชายผิวขาวสูงวัยที่นั่งฟังเขาเล่นดนตรีจนจบ ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตเขาไปตลอดกาล

หลังจากการแสดงจบลง ชายผิวขาวคนนั้นเดินเข้ามาหาแดริล พร้อมกล่าวชื่นชมฝีมือการเล่นอย่างสุภาพ ทั้งคู่เริ่มพูดคุยกันด้วยบรรยากาศผ่อนคลาย ก่อนจะนั่งสนทนาเรื่องดนตรีบลูส์และร็อกแอนด์โรลที่แดริลเล่นบนเวที กระทั่งชายคนนั้นเอ่ยขึ้นว่า

 

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยนะ
ที่ผมนั่งร่วมโต๊ะและดื่มเหล้ากับคนผิวดำ


    
เมื่อถามถึงเหตุผลกับคนตรงหน้า ชายผิวขาวนิ่งไปครู่หนึ่ง เหมือนลังเลจะพูดออกมา จนเพื่อนที่มาด้วยกันเร่งเร้าให้พูดออกไป เขาจึงหันมามองหน้าแดริลตรง ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นว่า

 

ผมเป็นสมาชิกของคูคลักซ์แคลน” 

 

ทีแรกแดริลคิดว่าคงเป็นมุขตลกที่หวังให้เขาตกใจเล่น ๆ แต่เมื่ออีกฝ่ายยื่นนามบัตรที่มีทั้งชื่อ-สกุล ตราสัญลักษณ์ และชื่อองค์กรให้กับเขา ซึ่งก็ประจักษ์ชัดแจ้งแล้วว่า เขาคนนี้คือหนึ่งในสมาชิกปีศาจชุดขาวที่เคยเข่นฆ่าคนผิวดำอย่างโหดร้ายและป่าเถื่อน 

หากย้อนกลับไปตอนนั้น ภาพของคนผิวขาวที่นั่งร่วมโต๊ะและสนทนากับคนผิวดำไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่ในตอนนี้มันกลับกัน คนตรงหน้าเขาคือชายผิวขาวคนหนึ่ง ที่อีกฐานะคือสมาชิกของคูคลักซ์แคลน กลุ่มที่สังคมเชื่อว่าไม่มีวันจะยอมเปิดใจต่อคนอย่างเขา

และในตอนนั้นเอง แดริลก็เกิดไอเดียว่าเขาอยากออกไปพบสมาชิกคูคลักซ์แคลนคนอื่น ๆ ให้ได้มากที่สุด เพราะเขาเชื่อว่า ‘การพูดคุยให้เกิดความเข้าใจกัน’ คืออาวุธที่ทรงพลังที่สุดในการสลายความเกลียดชังผิด ๆ นี้ และยังหวังลึก ๆ ว่าคนกลุ่มนี้จะสามารถเป็นเพื่อนกับเขาได้ คงถึงเวลาแล้วที่จะใช้ความกล้าและความเข้าใจของตัวเองสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมเสียที

 

อาวุธที่ดีที่สุดคือ ‘การเข้าใจ’

 

ผมไม่เคยตั้งใจจะเปลี่ยนใคร
ผมแค่อยากเข้าใจพวกเขาเท่านั้นเอง
” 

 

แม้ดนตรีจะเป็นอาชีพที่เขารักแล้วสร้างความสุขในทุก ๆ วัน แต่การเข้าใจผู้คนที่มีเชื้อชาติต่างจากตนคือสิ่งที่เขาอยากทุ่มเททั้งชีวิต เป้าหมายของเจ้าตัวคืออยากทำความเข้าใจรากเหง้าของความเกลียดชังซึ่งฝังอยู่ในจิตใจของพวกเขา 

ระหว่างที่ไปพบปะกับสมาชิก เขาก็เขียนหนังสือเพื่อบันทึกเรื่องราวการเดินทางในครั้งนี้ไปด้วย

เขามีโอกาสได้สัมภาษณ์และพูดคุยกับสมาชิกเคเคเคหลายร้อยคน เมื่อเวลาผ่านไป หลายคนที่เขาเคยคุยด้วยตัดสินใจลาออกจากกลุ่ม และกลายมาเป็นเพื่อนของเขา บางคนมอบของจากองค์กรให้แดริลเก็บไว้เป็นที่ระลึก จนตอนนี้เสื้อคลุมและเครื่องแต่งกายต่าง ๆ ที่เขาได้รับมีมากกว่าสองโหล 

 

แดริล เดวิส : ชายผิวดำที่ใช้การพูดคุยโน้มน้าวให้สมาชิก KKK ออกจากลัทธิกว่า 200 คน แดริล เดวิส : ชายผิวดำที่ใช้การพูดคุยโน้มน้าวให้สมาชิก KKK ออกจากลัทธิกว่า 200 คน

 

ความน่าสนใจอีกข้อที่ไม่พูดไม่ได้ คือ ‘วิธีการโต้ตอบ’ ของแดริลที่เน้นโต้ตอบให้อีกคนเห็นความไม่สมเหตุสมผลของตัวเอง บางครั้งเขาจะพูดด้วยน้ำเสียงเย้าหยอกเพื่อไม่ให้บทสนทนากลายเป็นการปะทะอารมณ์ แต่สารของเขายังคงชัดเจน ซึ่งนับเป็นวิธีการสะท้อนความคิดของอีกฝ่ายอย่างชาญฉลาด

พวกเขาจะคิดก่อนเลยว่าถ้าคุณไม่ใช่คนขาว คุณจะมีสถานะต่ำต้อย เพราะ [พวกเขาเชื่อ] ว่าคนดำมีสมองเล็กกว่าและไม่มีทางไปถึงความสำเร็จสูง ๆ ได้

และเกือบทุกคนมีความคิดไปในทางเดียวกันว่า “คนดำมักมียีนฆาตกรซ่อนอยู่ เพียงแต่ยังไม่ปรากฏออกมา” ครั้งหนึ่ง แดริลเคยถามคนขาวคนหนึ่งให้ลองยกตัวอย่างคนดำที่เป็นฆาตกรต่อเนื่องสักสามคน แน่นอนว่าอีกฝ่ายคิดอยู่นานและตอบไม่ได้ ขณะที่แดริลสามารถเอ่ยชื่อคนขาวที่เป็นฆาตกรต่อเนื่องได้แทบไม่ต้องคิด ทั้งเท็ด บันดี้ (Ted Bundy) เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ (Jeffrey Dahme) ชาร์ลส์ แมนสัน (Charles Manson) และ จอห์น เวย์น เกซี (John Wayne Gacy)

ถ้าเป็นอย่างนั้น คนขาวก็มียีนที่ทำให้เป็นฆาตกรต่อเนื่องเหมือนกันน่ะสิ” ประโยคปิดท้ายของแดริลเป็นดั่งภาพสะท้อนอคติของอีกฝ่าย ทำให้อีก 5 เดือนต่อมาชายคนนั้นก็เป็นอีกคนที่ลาออกจากองค์กร และเป็นคนแรกที่มอบเสื้อคลุมให้แดริล

 

เผชิญหน้ากับปีศาจ

หนึ่งในการพบปะกับสมาชิกเคเคเค ซึ่งเป็นที่เล่าขานมากที่สุดของแดริล คือ ‘โรเจอร์ เคลลี’ (Roger Kelly) ซึ่งดำรงตำแหน่ง Imperial Wizard ผู้นำสูงสุดของเคเคเคในรัฐแมริแลนด์ 

เขาขอให้ชายผิวขาวที่พบกันในสถานบันเทิงครั้งนั้นหาที่อยู่ติดต่อของโรเจอร์เพื่อที่เขาจะได้นัดพบและพูดคุย แม้จะถูกเตือนว่า “คุณห้ามไปบ้านของโรเจอร์นะ ไม่อย่างนั้นเขาฆ่าคุณแน่” แต่เขาก็ยังยืนกรานที่จะขอที่อยู่ และนัดเวลากับสถานที่ที่จะพบกับโรเจอร์โดยที่ไม่ได้บอกว่าเขาเป็นคนผิวดำ

 

แดริล เดวิส : ชายผิวดำที่ใช้การพูดคุยโน้มน้าวให้สมาชิก KKK ออกจากลัทธิกว่า 200 คน

 

เคลลีที่ไม่รู้ว่าแดริลเป็นคนผิวดำ ฉะนั้นการพบกับแดริลสร้างความตกใจให้กับเขาไม่น้อย แล้วพวกเขาสองคนสนทนากันไปมาอย่างตึงเครียดเป็นเวลาหลายชั่วโมง แต่สุดท้าย การเผชิญหน้ากันในวันนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดี

 

 

 

หากอยากรู้จักใครให้ลึกก็ต้องไปให้สุด ไม่กี่วันต่อมา เคลลีก็เชิญแดริลไปเยี่ยมบ้านของเขา ต่อมาจึงได้ไปงานชุมนุมของคูคลักซ์แคลน ซึ่งเต็มไปด้วยบทสวดพิธีกรรม ไม้กางเขนขนาดใหญ่ถูกเผา และวาจาที่สะท้อนค่านิยมและอคติทางเชื้อชาติ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้แดริลหวาดหวั่น เขากลับตั้งใจฟังความคิดและคำพูด รู้จักตั้งคำถาม และจดบันทึกไปพร้อม ๆ กัน 

 

แดริล เดวิส : ชายผิวดำที่ใช้การพูดคุยโน้มน้าวให้สมาชิก KKK ออกจากลัทธิกว่า 200 คน

 

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่แดริลจะต้องฟังคำดูถูกและคำสบถที่เอื้อนเอ่ยออกมาจากปากปีศาจทั้งหลายที่อยู่ตรงหน้าเขา เขายอมรับว่าหลายครั้งที่ต้องระงับความโกรธเอาไว้ในใจ และบางครั้งก็กลัวว่าตัวเองจะเป็นอันตรายเข้าสักวัน

แต่จากประสบการณ์หลายสิบปีที่ผ่านมา มันสอนให้เขารู้ว่าการคุยในเรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้ต้องทำอย่างไร คำตอบนั้น คือ การเตรียมข้อมูลของอีกฝ่าย ความอดทนอดกลั้น และความจริงใจ

 

อาวุธที่ทรงพลังที่สุดของผม คือข้อมูล” แดริลกล่าว 

 

การกระทำของเขาค่อย ๆ สลายอคติแต่ละข้อ จนในที่สุด โรเจอร์ เคลลีก็ลาออกจากการเป็นสมาชิกคูคลักซ์แคลน พร้อมกับมอบเสื้อคลุม หมวกทรงแหลม และเครื่องแต่งกายอื่น ๆ ให้กับแดริลเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าความเกลียดชังนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว 

นับตั้งแต่วันนั้นเขากล้าพูดอย่างเต็มปากว่าแดริล เดวิส ชายผิวดำคนนี้คือเพื่อนสนิทของเขา

 

แดริล เดวิส : ชายผิวดำที่ใช้การพูดคุยโน้มน้าวให้สมาชิก KKK ออกจากลัทธิกว่า 200 คน

 

เพียงหันหน้าและพูดคุย

เมื่อศัตรูยอมพูดคุยกัน พวกเขาจะไม่สู้กันอีกต่อไป อาจมีเสียงโต้เถียง ตะโกน หรือไม่เห็นด้วยกันบ้าง แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังเลือกที่จะหันหน้าพูดคุยกัน” แดริลกล่าว

เราต้องแก้ไปถึงแก่นของปัญหา ซึ่งก็คือความไม่รู้ ยาที่รักษาความไม่รู้ก็คือการศึกษา เมื่อความไม่รู้นั้นถูกเยียวยา ก็จะไม่เหลือสิ่งใดให้หวาดกลัว และเมื่อไม่มีสิ่งใดให้หวาดกลัว ก็จะไม่เหลือสิ่งใดให้เกลียด และหากไม่มีสิ่งใดให้เกลียด ก็จะไม่เหลือใครหรืออะไรให้ทำลาย

 

แดริล เดวิส : ชายผิวดำที่ใช้การพูดคุยโน้มน้าวให้สมาชิก KKK ออกจากลัทธิกว่า 200 คน

 

แดริล เดวิส : ชายผิวดำที่ใช้การพูดคุยโน้มน้าวให้สมาชิก KKK ออกจากลัทธิกว่า 200 คน

 

การเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับคนขาวในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ทำให้คำถามที่ค้างอยู่ในใจของแดริลในวัยเด็กคลี่คลายลง เขาค้นพบแล้วว่า ความเกลียดชังที่พวกเขามีต่อคนดำส่วนใหญ่เกิดจากการถูกปลูกฝังความเชื่อผิด ๆ ตั้งแต่ยังเยาว์ หรือบางครั้งก็เกิดจากความกลัวที่พวกเขาไม่อาจอธิบายได้ การได้เป็นเพื่อนกับอดีตสมาชิกจำนวน 200 คน เป็นหลักฐานความสำเร็จที่เขาภูมิใจที่สุดในชีวิต 

เวลาที่แดริลไปบรรยายเกี่ยวกับประสบการณ์ของเขาในการสร้างความเข้าใจระหว่างเชื้อชาติ หากมีโอกาส เขาก็จะเชิญอดีตสมาชิกเคเคเคมาร่วมเป็นแขกรับเชิญด้วย เรื่องราวของเขาพิสูจน์ให้โลกเห็นแล้วว่า

 

จะสีผิวไหน เราก็เป็นเพื่อนกันได้

 

สุดท้ายนี้ แม้การแบ่งแยกสีผิวยังไม่จางหายในสังคม แต่อย่าหลงลืมว่าทุกชนชาติและทุกสีผิวต่างก็เป็นมนุษย์ที่มีหัวใจ ศักดิ์ศรี และคุณค่าเท่าเทียมกัน และอย่าหลงเชื่อในอุดมการณ์ที่เต็มไปด้วยอคติ มิฉะนั้นจะเป็นตัวเราเองที่ติดหลุมพราง และจะเป็นส่วนหนึ่งของการทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเอง 

 

แดริล เดวิส : ชายผิวดำที่ใช้การพูดคุยโน้มน้าวให้สมาชิก KKK ออกจากลัทธิกว่า 200 คน

 

อ้างอิง
How Daryl Davis Befriends KKK Members And Gets Them To Quit
Musician and activist Daryl Davis emphasizes the importance of difficult conversations
This black musician changes minds, one KKK member at a time
How One Man Convinced 200 Ku Klux Klan Members To Give Up Their Robes
Daryl Davis: the black musician who converts Ku Klux Klan members