‘อันชู ราชบุตร’ จากใบหน้าที่ถูกผลักไส สู่สัญลักษณ์แห่งศักดิ์ศรีและไม่ยอมจำนน

‘อันชู ราชบุตร’ จากใบหน้าที่ถูกผลักไส สู่สัญลักษณ์แห่งศักดิ์ศรีและไม่ยอมจำนน

‘อันชู ราชบุตร’ เหยื่อผู้ถูกสาดน้ำกรดและสังคมกีดกันสู่นักเคลื่อนไหวเพื่อช่วยเหลือและปกป้องสิทธิของผู้รอดชีวิต

KEY

POINTS

รัฐอุตตรประเทศ คือรัฐที่ถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่อันตรายที่สุดของผู้หญิงชาวอินเดีย เพราะเป็นรัฐที่เต็มไปด้วยคดีอาชญากรรมซึ่งมีเหยื่อเป็นผู้หญิง ตั้งแต่คดีลักทรัพย์ คุกคามด้วยวาจา ทำร้ายร่างกาย ไปจนถึงความรุนแรงและการล่วงละเมิดทางเพศ

‘อันชู ราชบุตร’ คือหนึ่งในเหยื่อจากคดีสาดน้ำกรด ซึ่งเกิดขึ้นขณะที่เธอมีอายุเพียง 15 ปี

และคนที่ก่ออาชญากรรมในคดีนี้ คือชายสูงอายุที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ซึ่งคอยสะกดรอยตามเธอทุกครั้ง จนเด็กสาวเกิดความกลัว ในเวลานั้น วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดที่เธอนึกได้ คือเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ครอบครัวรับรู้ และครอบครัวของอันชูก็พร้อมที่ปกป้อง และเข้าไปคุยกับที่บ้านของฝ่ายชายถึงพฤติกรรมคุกคามของเขา 

แต่ใครจะคาดคิด ว่าการปฏิเสธและปกป้องตัวเองของอันชูให้ปลอดภัยจากพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายและศีลธรรมนี้ จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์อันเลวร้ายที่สร้างบาดแผลทางร่างกายและจิตใจของเธออย่างมหาศาล

 

*บทความต่อไปนี้มีการบรรยายลักษณะอาการและภาพของผู้ที่ถูกสาดน้ำกรด 

 

อันชูเกิดและเติบโตในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในรัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย มีพ่อเป็นชาวนา แม่เป็นแม่บ้าน และมีพี่น้องร่วมกันอีก 4 คน 

ในขณะที่พ่อแม่ต้องออกไปทำนา อันชูและพี่น้องจะใช้เวลาไปกับการเรียนหนังสือ ถึงแม้เธอจะรู้อยู่แก่ใจว่า ต้องถูกจับแต่งงานตามธรรมเนียมของหมู่บ้านทันทีที่เรียนจบชั้นมัธยมปลาย หรือเมื่ออายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ และแม้ว่าบ้านของเธอจะไม่ได้เป็นครอบครัวที่ร่ำรวย แต่อันชูก็ยังคงตั้งมั่นที่จะเรียนหนังสือให้สูงที่สุดเท่าที่เธอจะไปถึง 

อันชูเรียนจบชั้นมัธยมต้น แต่เพราะไม่มีโรงเรียนมัธยมปลายในหมู่บ้าน เธอจึงสอบเข้าชั้นมัธยมปลายในโรงเรียนที่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 7 กิโลเมตร และต้องขี่จักรยานไปโรงเรียนเองทุกเช้า ชีวิตของเธอดำเนินไปอย่างปกติสุข 

กระทั่งวันหนึ่ง ความไม่ปกติก็คืบคลานเข้ามาในชีวิต ทุกครั้งที่อันชูขี่จักรยานกลับมาจากโรงเรียน เธอมักจะเห็นชายสูงวัยรุ่นลุงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านในหมู่บ้านเดียวกันคอยเดินตามหลังเธอ และเขาทำแบบนี้นานกว่า 10 วันโดยที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร 

“ฉันกำลังปั่นจักรยานไปโรงเรียน เขาก็เดินเข้ามาขวางทางแล้วสารภาพรักกับฉัน บอกว่าอยากจะ ‘คบหาดูใจ’ กับฉัน ฉันช็อกมาก เพราะตอนนั้นฉันเพิ่งอายุ 15 ส่วนเขาก็อายุปาเข้าไป 55 ปีแล้ว 

“ตอนแรกฉันพยายามไม่สนใจ แต่พอเขาทำแบบนี้ซ้ำกันทุกวัน ฉันก็เริ่มเอะใจว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติ สุดท้ายแล้ว ในวันที่เขาเอ่ยปากขอคบหา ความสงสัยของฉันก็เป็นจริง”

อันชูเตือนกึ่งขู่กับชายรุ่นลุงว่า เธอจะบอกกับพ่อแม่ หากเขายังไม่หยุดทำแบบนี้ แต่อีกใจหนึ่ง เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะบอกที่บ้านยังไง กลัวว่าถ้าบอกไป พ่อกับแม่ของเธอจะไม่เชื่อ หรือจะสั่งให้หยุดเรียนแล้วบังคับให้แต่งงานหรือเปล่า เธอเลยเลือกที่จะเก็บเรื่องนี้เอาไว้คนเดียว 

พูดไปแบบนั้นแล้ว หวังว่าชายคนนั้นคงจะหยุด แต่ไม่เลย เขาก็ยังคงก่อกวนเธอมากขึ้น เธอทำได้เพียงเลี่ยงสถานการณ์แต่ละวันไป โดยที่ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง 

และทุกอย่างก็เริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ อันชูเริ่มมีภาวะซึมเศร้า เธอไม่ค่อยพูดกับใคร กินอะไรไม่ลง ไม่กล้าออกจากห้อง และบางวันก็ไม่ไปโรงเรียน จนแม่ของอันชูเห็นว่าลูกสาวเปลี่ยนไปจึงเข้าไปถามตรง ๆ 

ทันทีที่ครอบครัวรู้เรื่องราวทุกอย่างจากผู้เป็นลูก ทุกคนพร้อมใจกันไปที่บ้านของชายคนนั้น กล่าวตำหนิการกระทำที่ไร้ยางอายของเขาด้วยความเดือดดาล แต่ภรรยาและลูกทั้งสามของเขากลับไม่เชื่อในสิ่งที่อันชูถูกกระทำ พร้อมกับต่อว่าเธอว่าเป็นเด็กโกหก 

และแล้ว ข่าวลือก็แพร่สะพัดไปทั่ว ผู้ใหญ่บ้านและเพื่อนบ้านในละแวกนั้นต่างช่วยสอดส่องและต่อว่าเพื่อไม่ให้เขาเข้าใกล้อันชู ทำให้ชายคนนั้นไม่ได้เข้าใกล้เด็กสาวอีกเลยตลอดหนึ่งสัปดาห์ แม้สถานการณ์ภายนอกแลดูจะปลอดภัย แต่ความกังวลและลางสังหรณ์ของอันชูกลับบอกเธอว่าบางสิ่งเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น 

“ในคืนนั้น ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะมีบางอย่างคล้ายน้ำร้อนราดใส่หน้าของฉัน ฉันรีบลุกออกจากเตียงด้วยความสับสนและหวาดกลัว หน้าของฉันเริ่มแสบร้อน ฉันกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดจนครอบครัวฉันตื่นขึ้นมา แม่พยายามเช็ดใบหน้าของฉัน แต่มือของเธอก็ถูกลวกไหม้ไปด้วย ตอนนั้นเองที่เรารู้ว่า มีใครบางคนสาดน้ำกรดใส่ฉัน!”

ในคืนวันที่ 12 กุมภาพันธ์ปี 2014 หลังจากที่ครอบครัวราชบุตรทานข้าวเย็นด้วยกันเสร็จ พวกเขาเข้านอนกันประมาณหนึ่งทุ่มที่ลานบ้าน 

ขณะที่อันชูหลับ เธอก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่งราดบนหน้าเธอ แล้วค่อย ๆ ทวีความแสบร้อน เธอจึงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะรู้ว่าเธอถูกราดด้วย ‘น้ำกรด’

และในตอนนั้นเองที่อันชูเหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งกระโดดข้ามกำแพงบ้าน พี่ชายของเธอพยายามจะจับเขาไว้ แต่สุดท้ายก็หนีรอดไปได้ 

“ดวงตาทั้งข้างของฉันเหมือนจะหลุดออกมา ผิวหนังเริ่มละลาย ถ้าใครสัมผัสตัวฉันก็จะได้แผลไหม้ไปด้วย” อันชูเล่าต่อว่า พ่อของเธอรีบขับรถของเพื่อนบ้านเพื่อไปแจ้งความเอาไว้ก่อนที่สถานีตำรวจในช่วงตี 4 เพราะกลัวว่าชายคนนั้นจะวกกลับมาทำร้ายเธออีกครั้ง ก่อนจะนำตัวเธอส่งโรงพยาบาลที่เมรฐะ (Meerut) ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางเกือบ 3 ชั่วโมง

อันชูต้องนอนในห้องฉุกเฉินและพักรักษาตัวที่วอร์ดเป็นเวลา 12 วัน ตาซ้ายของเธอสูญเสียการมองเห็น หูสูญเสียการได้ยินเล็กน้อย ปากของเธอเชื่อมติดกัน และฤทธิ์ของน้ำกรดยังส่งผลลึกไปถึงชั้นกระดูก ด้วยอาการที่สาหัสนี้ ทำให้เธอต้องย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนอีกแห่งอยู่พักใหญ่ 

หลังจากอยู่ที่โรงพยาบาลร่วม 2 เดือน บททดสอบชีวิตบทใหม่ก็ได้เริ่มขึ้น แม้เธอจะยังมองไม่เห็น แต่เธอก็ยังได้ยินและรู้สึกได้ในทุกสถานการณ์รอบข้าง คนในหมู่บ้านจ้องมองใบหน้าที่พันด้วยผ้าพันแผลและต่างพากันซุบซิบนินทา หรือบางทีก็จงใจตะโกนให้เธอได้ยิน อย่างเช่น ‘หน้าตาเธอเละอย่างกับผี’ ‘เธอจะเป็นภาระของที่บ้าน’ ‘หน้าแบบนี้ใครจะมาขอเป็นเจ้าสาว’

ระหว่างที่กำลังรักษาตัวอยู่ที่บ้าน อันชูยังต้องไปที่ศาลเพื่อฟังการพิจารณาคดี เธอเล่าว่า แม้คนที่ทำร้ายเธอจะใส่กุญแจมือนั่งอยู่ในห้อง แต่สีหน้าของเขากลับไร้ความเศร้าหมอง มิหนำซ้ำ เขายังจ้องมองเธอพลางยิ้มเยาะโดยไม่มีสำนึกเลยสักนิด

“ฉันเคยมีความคิดอยากจบชีวิต เพราะฉันมองตัวเองเป็น ‘ภาระ’ ของครอบครัว  แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะการจบชีวิตก็ต้องใช้สายตาในการมองเห็น ซึ่งฉันไม่มี”

7 เดือนผ่านไป อันชูกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง แต่เมื่อส่องกระจกครั้งแรก เธอรับไม่ได้กับใบหน้าที่เปลี่ยนไป นับเป็นช่วงเวลาที่หดหู่และสิ้นหวังอย่างมาก ความคิดอยากจะหยุดลมหายใจตัวเองจึงผุดเข้ามาอยู่ในหัว

โชคดีที่พ่อแม่ของเธอยังอยู่เคียงข้างลูกสาว พวกเขาบอกกับอันชูว่า “การที่ลูกยังมีชีวิตอยู่ก็เพื่อทำให้คนอื่นเห็นว่าลูกยังทำอะไร ๆ ได้ แต่ถ้าลูกตายไป จะไม่มีใครจดจำลูก และลูกไม่รู้ได้เลยว่าจะมีใครมาทำร้ายน้องสาวของลูกอีก” กำลังใจและคำพูดจากครอบครัว อันชูจึงตั้งสติอีกครั้ง และสัญญากับตัวเองว่าต่อไปนี้เธอจะมีชีวิตอยู่เพื่อคนรอบข้าง

อันชูตั้งใจจะกลับไปเรียนต่อให้จบ แต่เธอกลับพบว่าชื่อของเธอถูกถอดออกจากรายชื่อนักเรียนหลังจากที่เธอถูกสาดด้วยน้ำกรด ด้วยเหตุผลที่ว่า “ใบหน้าของเธอจะทำให้เด็กนักเรียนคนอื่นกลัว และไม่มีสมาธิเรียนหนังสือ” เหตุผลนั้นทำให้อันชูทั้งเจ็บปวดและโกรธอย่างมาก 

“จงเชื่อมั่นในตัวเอง แล้วโลกจะปรบมือชื่นชมเราในวันหนึ่ง” 

หลังผ่านมรสุมชีวิตลูกใหญ่มา จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของอันชูก็มาถึง วันหนึ่ง เธอได้อ่านบทความในหน้าหนังสือพิมพ์ที่เขียนเกี่ยวกับ Sheroes Hangout คาเฟ่ที่ตั้งอยู่ในเมืองอัครา (Agra) ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของมูลนิธิ Chhanv Foundation เพื่อความช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกทำร้ายจากน้ำกรด พนักงานทุกคนจะมีอาชีพและรายได้เป็นของตัวเอง เรียนรู้ทักษะพื้นฐานและงานฝีมือต่าง ๆ และมูลนิธิก็จะช่วยออกค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียน และค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดีความให้กับเหยื่อ 

อันชูไม่รอช้า เล่าเรื่องที่เจอในหนังสือพิมพ์ให้พ่อและแม่ฟัง พร้อมกับขอให้พาเธอไปที่อัคราเพื่อเจอกับเหยื่อคนอื่น ๆ ในมูลนิธิ 

ภาพที่อันชูเห็นเมื่อไปถึง คือไม่มีเหยื่อคนไหนคลุมผ้า หรือปิดผ้าพันแผลเลยสักคน ทุกคนเปิดใบหน้าที่มีรอยแผลประดับอยู่ด้วยรอยยิ้มและความมั่นใจ ทุกคนมีความสุขกับปัจจุบันที่เป็นอยู่ และให้การต้อนรับอันชูอย่างดีเสมือนเป็นครอบครัว 

‘อันชู ราชบุตร’ จากใบหน้าที่ถูกผลักไส สู่สัญลักษณ์แห่งศักดิ์ศรีและไม่ยอมจำนน

เธอเข้าร่วม Sheroes Hangout Café ที่เมืองลัคเนา ในปี 2015 ตำแหน่งฝ่ายประสานงาน (Reach out Associate) ซึ่งมีหน้าที่ติดต่อและสนับสนุนผู้รอดชีวิตจากการถูกสาดกรด ช่วยเหลือในการหางาน จัดกิจกรรม และให้คำปรึกษา ต่อมาเธอได้เป็นหัวหน้าห้องสมุดในคาเฟ่ (Library Manager) คอยจัดหาหนังสือและสื่อการเรียนการสอนต่าง ๆ เพื่อสงเสริมการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง 

เวลาผ่านไป อันชูตัดสินใจถอดผ้าพันคอออกเป็นครั้งแรก เธอรู้สึกว่าเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง พร้อมกับตัวตนใหม่ที่มีความมั่นใจมากกว่าเดิม นับตั้งแต่นี้เธอไม่กลัวอะไรอีกแล้ว 

สิ่งต่อไปที่เธอจะไปทวงกลับคืนมา ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอควรได้รับ นั่นก็คือ การศึกษา เธอกลับไปที่โรงเรียนเก่า เธอยื่นคำขาดว่าจะฟ้องร้องทางกฎหมาย หากพวกเขาไม่รับเธอเข้าศึกษา และในที่สุด อันชูสามารถทำคะแนนสูงสุด และจบระดับชั้นมัธยมปลายอย่างงดงาม 

ชัยชนะที่สำคัญอีกประการเกิดขึ้นในปี 2020 เมื่อคู่กรณีที่ทำร้ายเธอถูกศาลตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต น้ำตาของเธอเอ่อล้นออกมา นั่นคือความยุติธรรมที่เธอรอคอยมาเป็นเวลา 7 ปี (ทว่าในปี 2025 ชายคนนี้ได้รับอภัยโทษ เนื่องด้วยความชราภาพ) เพื่อนพี่น้องใน Sheroes จัดงานฉลองให้กับชัยชนะของอันชู คนที่ฝ่าฟันและไม่ยอมแพ้ในชะตาชีวิต 

ณ วันนี้อันชู มีความสุขกับงานที่ทำอยู่อย่างมาก เธอแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อน และยังรายล้อมไปด้วยคนที่ให้ความหวังและความสุข ถึงแม้เธอจะเจอบททดสอบที่หนักที่สุดในชีวิตแค่ไหน ก็ลุกขึ้นมาใหม่ได้เสมอ 

นอกจากนี้ อันชูถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเองผ่านเวที TEDx Talk และใช้ Instagram ส่วนตัวบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง และเหยื่อคนอื่นเพื่อต่อต้านการใช้น้ำกรดทำร้ายผู้อื่น และปลุกกำลังใจให้ทั้งเหยื่อและคนทำธรรมดาลุกขึ้นมาเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง 

‘อันชู ราชบุตร’ จากใบหน้าที่ถูกผลักไส สู่สัญลักษณ์แห่งศักดิ์ศรีและไม่ยอมจำนน

“สังคมจะทำให้คุณรู้สึกว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของเรา แต่ฉันได้คิดทบทวนเรื่องราวนี้ในใจแล้วว่า คนที่ทำร้ายฉันต่างหากคือคนที่ผิด และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป เพราะฉะนั้น ฉันไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวหรือใช้ชีวิตในเงามืด”

นี่คือเรื่องราวของอันชู เหยื่อจากการสาดน้ำกรดที่ครั้งหนึ่งเคยถูกพรากความสุข และสิทธิพื้นฐานไปจากชีวิต แต่เพราะความไม่ยอมแพ้ กำลังใจและแรงสนับสนุนจากครอบครัว และความช่วยเหลือจาก Sheroes Hangout ทำให้เธอสามารถกลับมามีความเชื่อมั่นในตัวเองอีกครั้ง และพร้อมจะเป็นกระบอกเสียงเพื่อเรียกร้องสิทธิให้เหยื่อสาดน้ำกรดทุกคนให้ใช้ชีวิตด้วยความภาคภูมิใจ และมีความหวังในชีวิต

 

เรื่อง: นุศรา นภาวัฒนากูล 

ภาพ: อินสตาแกรม Anshu Rajput  

 

อ้างอิง:

“Video Title Unknown (YouTube).” YouTube, uploaded by [Uploader Name Unknown], (accessed 20 Oct. 2025).
https://www.youtube.com/watch?v=ReDEaJwvW1M

“Video Title Unknown (YouTube).” YouTube, uploaded by [Uploader Name Unknown], (accessed 20 Oct. 2025).
https://www.youtube.com/watch?v=JhAeQ1MCsAM

Seth, Avantika. “Anshu Rajput – Toward a New Life.” Smart Girl Stories, 3 Apr. 2025, smartgirlstories.com/anshu-rajput-towards-a-new-life/. Accessed 20 Oct. 2025. smartgirlstories.com

Bhattacharya, Abhik. “‘They Asked My Parents to Poison Me, But I Survived’: Acid Attack Survivor Anshu.” Outlook India, 18 Jan. 2024, 11:31 a.m., outlookindia.com/national/-they-asked-my-parents-to-poison-me-but-i-survived-acid-attack-survivor-anshu-news-248471. Accessed 20 Oct. 2025. Outlook India

““I Was 15, He Was 55”, Acid Attack Survivor Anshu Rajput Shares How She Fought the Odds.” SheThePeople, STP Reporter, 27 Nov. 2021, 00:00 IST, updated 27 Nov. 2021 17:20 IST, shethepeople.tv/top-stories/inspiration/acid-attack-survivor-anshu-rajput-shares-how-she-fought-the-odds/. Accessed 20 Oct. 2025.