22 มิ.ย. 2568 | 08:53 น.
KEY
POINTS
ฉันมักจะรู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากเพื่อนคนอื่น ๆ ในกลุ่ม มันให้ความรู้สึกเหมือน ‘ดาวเคราะห์’ ที่ถูกห้อมล้อมไปด้วย ‘ดาวฤกษ์’ ที่ส่องสว่าง แต่การที่ฉันไม่เหมือนพวกเขา มันแปลว่าฉันไม่มี ‘คุณค่า’ บ้างเลยเหรอ?
ฉันในวัยสิบเจ็ดปี ไม่ได้ต่างจากเด็กทั่วไปที่ต้องการ การถูกยอมรับ การเป็นที่รัก หรือการที่ได้รู้สึกว่ามีความหมายต่อใครสักคน รวมไปถึงการเป็นที่ต้องการของคนในสังคม เรียกได้ว่า.. พวกเราต่างต้องการ การเป็น ‘จุดสนใจ’
แต่ยิ่งฉันพยายามจะเป็นแบบนั้นมากเท่าไหร่ ฉันยิ่งสูญเสีย ‘ตัวตน’
มันเริ่มชัดเจนเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากต้องกลายมาเป็นรุ่นพี่ของรุ่นน้องที่เพิ่งเข้ามาเรียนในภาคการศึกษาใหม่ การต้องกลับมานั่งคุยกับตัวเองอยู่บ่อยครั้งข้างในใจ การต้องคอยมองเพื่อนในกลุ่มแสดงความสามารถที่เป็นแสงโดดเด่นออกมาอย่างไม่เกรงกลัวใคร ๆ สิ่งนั้นทรมานจิตใจของฉันเหลือเกิน
พวกเขาดูเหมือนคนที่รู้อยู่แล้วว่าตัวเองมาอยู่บนโลกใบนี้เพื่อทำอะไร หรือเพื่อเป็นสิ่งใด ถึงแม้ว่าพวกเราจะมี ‘เพศสภาพ’ ที่ถูกกำหนดว่าแปลกแยก แต่ถึงอย่างไรก็ยังโดดเด่นอยู่ดี
ต่างแค่ฉันที่เครื่องหน้าครบองค์แต่จิตใจดูเลื่อนลอย ไม่มีสิ่งใดจะยึดเหนี่ยวให้มั่นคง เหมือนลูกโป่งที่ล่องลอย รอคอยให้เจ้าของตัวจริงอย่างฉันไขว่คว้าหรือพบเจอ แม้ว่ามันจะยังไม่เกิดขึ้นสักที
ในกระเป๋านักเรียนฉันพกมาแค่ความคาดหวังและความเชื่อมั่นปลอม ๆ ว่าตัวเองต้องมีอะไรสักอย่างที่เป็น ‘ของดี’ สามารถเทียบเท่ากับพวกเขาได้อย่างไม่อาย ถึงแม้จะยังค้นหาไม่เจอ แต่ความพยายามมันค่อย ๆ ลดทอน Self-esteem ในตัวฉันให้ลดลง
และเพราะสิ่งเหล่านั้น ความสามารถของพวกเขา ทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองต้องสู้ ต้องเขย่งให้สูงขึ้น เร่งรีบ และวิ่งตามพวกเขาให้ทัน ก่อนตัวตนจะไร้ค่า เพราะเพศสภาพของฉันอย่างเดียวคงสู้กับอะไรไม่ได้ ฉันจึงฝาก ‘คุณค่า’ ของตัวเองไว้บน ‘ความสามารถ’ ของคนอื่น
แต่ยิ่งฉันออกแรงวิ่งโดยไม่ไตร่ตรองอะไรสักนิด ยิ่งทำให้สมองและหัวใจไม่ได้หยุดพัก
จนถึงวันที่ร่างกายทรุดโทรมจากความกดดัน ความเครียด และความเหนื่อยล้า ฉันถึงได้ค้นพบว่าฉันไม่เหมาะจะเป็นเหมือนใครหรืออาจไม่เก่งในเรื่องอะไรเลย ซึ่งแย่หน่อยที่ฉันเองเลือกที่จะเชื่อแบบนั้น และมันเจ็บนะ ที่พยายามแทบตาย แต่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย
คาบว่างช่วงบ่ายวันอังคารและเย็นในวันศุกร์ ฉันเฝ้ามองเพื่อนในกลุ่มที่กำลังเปล่งแสงเเห่งความเป็นตัวเองออกมาอย่างเต็มที่
อย่างคนนี้ ฉันมักจะคอยอิจฉาที่เธอมีนิสัยชอบเรื่องท้าทายและชอบความรุนแรง แต่กลับดูอ่อนโยนเมื่ออยู่กับงานฝีมือ การแกะสลัก หรือแม้กระทั่งการร้อย ถัก ปัก เย็บ แม้จะเป็นเพศที่ยังไม่ถูกยอมรับ แม้จะไม่ถูกใจใคร แต่เธอกลับมีความสามารถจนกลายเป็นที่ยอมรับ เธอกลายเป็นตัวแทนการส่งเข้าประกวดไปยังเวทีต่าง ๆ
การได้อิจฉาและชื่นชมเธอ ให้ความรู้สึกเหมือนการได้เป็นคนสำคัญของใครสักคน และยังทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงได้อีกว่า “เพศสภาพแบบฉันก็มีความสามารถ โดดเด่นและมีออร่าเปล่งประกายออกมาไม่ต่างจากการเป็นเพศอะไร” เธอคงภูมิใจกับความเป็นเธอและความสามารถของตัวเองจริง ๆ
ผู้อ่านอาจรู้สึกว่านิสัยของเธอกับความสามารถ มันดูขัดกันใช่ไหมล่ะ แต่กลับรวมกันเป็นคนหนึ่งคนได้อย่างลงตัว เธอเหมือนไฟเมื่อรู้สึกถูกทำร้าย แต่ก็อ่อนโยนได้กับสิ่งที่เธอจะทำมันให้ดี
การรับมือกับเรื่องเหล่านั้น.. นั่นแหละความสามารถของเธอ
พอหันหน้ามาเจอเพื่อนอีกคนที่เป็นเจ้าแม่วิชาการ ฉันมักจะรู้สึกเจ็บที่กลางหน้าอกอยู่บ่อยครั้ง เธอเป็นทั้งนักเอนเตอร์เทน มีความเป็นผู้นำ เธอตลก เธอเสียงดัง ร้องเพลงเพราะ เป็นที่รักของทุกคน และเธอยังเป็นที่พึ่งพาให้กับเพื่อน ๆ ในห้อง จะการบ้านหรือเรื่องสอบ ถ้าเกี่ยวกับวิชาในหมวดนี้ เธอมักจะคอยเกร็งคำตอบและตอบทุกคำถามของเพื่อนอยู่เสมอ
การได้เป็นเบอร์หนึ่งของห้องมันรู้สึกยังไงกันนะ? ทำไมเธอถึงได้สมองดี มีความสามารถ และไม่รู้สึกเหนื่อยหน่ายที่ต้องคอยตอบคำถามเพื่อนในห้องเลย ฉันนึกสงสัย หรือว่านั่นคือความสุขของเธอ
แต่เมื่อมองกลับมาที่ฉัน ผู้แตกต่าง ฉันมีอะไรดีล่ะ ไม่มีเลยสักเรื่อง.. ทำไมฉันถึงได้มายืนอยู่กับคนเหล่านี้ที่มีความมั่นใจและมีความสามารถโดดเด่นกันทุกคนเลยนะ พวกนั้นเห็นอะไรในตัวฉัน หรือแค่มี Empathy สูงพอจะเว้นที่ว่างให้กับคนอย่างฉันได้อยู่ร่วมกันกับพวกเขา หรือพวกเราคือกลุ่มคนที่ถูกตราหน้าโดยสังคมว่าแปลกแยก ถึงได้ถูกดึงดูดมาอยู่ร่วมกัน
ยิ่งเวลาผ่านไป ฉันยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองไร้ค่า เมื่อหัวใจเอาแต่เปรียบเทียบว่าฉันไม่มีอะไรสู้พวกเขาได้เลย แต่ฉันก็ยังมีความหวังและยังเชื่อว่าต้องทำได้สิ มีอะไรสักอย่างที่เทียบเคียงพวกเขาได้ อย่างน้อยสิ่งนั้นจะทำให้ฉันรู้สึกถึงการมีคุณค่าขึ้นมา
ฉันเริ่มลุกขึ้นวิ่งให้เร็วขึ้นอีกครั้ง พยายามจะเป็นเหมือนพวกเขาให้ได้ พัฒนาศักยภาพของตัวเองให้ดีขึ้น แม้จะพัฒนาไปพร้อมกับความไม่มั่นใจ แต่ผลก็ยังออกมาว่าฉันยังทำได้ไม่ดี ฉันขยันทำข้อสอบและกลับมาอ่านหนังสือให้หนักขึ้น แต่ก็ยังสู้เพื่อนอีกคนไม่ได้ แม้แต่การเล่นมุกตลก ฉันยังทำให้คนหัวเราะไม่ได้เลย เหมือนจังหวะและความมั่นใจของฉันมันไม่เท่ากัน ให้พูดถึงเรื่องความสวยความงาม การประดิษฐ์ ประดอย ปัก ถัก ร้อยเรียง เรียกได้ว่าคะแนนติดลบศูนย์
และยังมีเรื่องที่แย่กว่านั้นอีก แค่ให้สื่อสารกับใครสักคนยังยากที่จะเข้าใจกันเลย คล้ายกับว่าฉันเข้าใจอย่างหนึ่ง อีกคนกลับเข้าใจอีกอย่างหนึ่ง การสื่อสารให้เข้าใจกันกลายเป็นเรื่องยากสำหรับฉัน และทั้งหมดนั้นทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเป็นคนไร้ค่า
แล้ววันหนึ่งความรู้สึกบางอย่างก็วนกลับมาทิ่มแทงใจฉัน ซ้ำอีกครั้ง “สิ่งเหล่านั้นไม่เป็นตัวของฉันเลย..” “ทำไมพวกเขาถึงได้โดดเด่นโดยไม่ต้องพยายามเป็นตัวใคร แล้วทำไมถึงเป็นฉันที่ต้องหาแสงให้ตัวเอง” “แล้วฉันคือใคร ความสามารถคืออะไร ทำไมฉันถึงต้องอยากเป็นพวกเขาด้วยนะ มันทั้งเหนื่อยทั้งท้อในหัวใจ”
แต่ถ้าฉันไม่เร่งสปีดให้เร็วกว่านี้ ฉันจะแพ้แล้วใช่ไหม.. ฉันจะล้มเหลว และไม่มีคุณค่าอะไรในตัวเองเลย
และฉันก็วิ่งตรงมาถึง สถานี Burn Out : สถานที่สำหรับคนที่เร่งรีบกับทุกอย่างจนเกินไป ทำบางอย่างหนักเกินไป และยังเครียดบ่อยเกินไป
ฉันเบื่อที่ต้องออกตัววิ่งแล้วล้มลุกคลุกคลานเปื้อนกับเศษดินบนพื้นถนน และต้องพยายามประคับประคองร่างกายให้ลุกขึ้นมาวิ่งอีกครั้งในช่วงเวลาสั้น ๆ แล้ว
เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นแบบเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าจะพยายามลุกขึ้นแล้ววิ่งครั้งที่เท่าไหร่ เท้าของฉันก็แตะไม่ทิ้งเส้นชัยสักที
ฉันยอมแพ้.. และทำได้เพียงยอมรับว่าฉันไม่เก่งพอจะสู้กับความสามารถของเพื่อนเหล่านั้นได้ ไม่มีอะไรจะเทียบเคียงความเก่งของพวกเขาได้เลย แม้จะเจ็บปวดและเสียใจ แต่ก็จำเป็นจะต้องอยู่กับความล้มเหลวครั้งนี้ให้ได้ หรือบางที.. ฉันอาจอยู่ไม่ได้
โลกใบเดิมที่เคยสดใสกลายเป็นสีที่ดูหม่นหมอง ฉันไม่ยินดีหรือยินร้ายกับเรื่องใดหรือกับใครทั้งนั้น ฉันเริ่มปลีกตัวออกมาจากสังคม กินข้าวคนเดียว เดินคนเดียว กลับบ้านคนเดียว ใช้ชีวิตภายใต้ความรู้สึกเนกาทีฟ บนโลกที่วุ่นวายและเร่งรีบ
ฉันถูกกลืนกินจากหมอกควันสีเทาดำ ฉันค่อย ๆ ปล่อยให้มันกัดกินตัวฉัน หรือจะพูดให้ถูกคือกัดกินความผิดหวังในหัวใจฉัน จนสีชมพูแปรเปลี่ยนเป็นก้อนหินสีดำเงา และเวลาก็ผ่านไปแบบนั้น ผ่านไปแบบที่ฉันไม่มีเรื่องน่าจดจำสักเรื่องเลย ฉันพลาดช่วงเวลาที่โดดเด่นและล้ำค่าในช่วงวัยนั้นไปแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน การเป็นเฟรชชี่ในบ้านหลังใหม่ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกเบื่อหน่ายหัวใจมากเหลือเกิน ฉันแค่อยากเร่งรีบที่จะเข้าเรียนและรีบกลับหอพักให้ช่วงเวลาในแต่ละวันมันจบลงอย่างรวดเร็ว ฉันเบื่อที่ต้องถูกเรียกให้มารวมตัวกันอยู่ทุกวัน และคำที่ดูเหมือนจะอธิบายสถานการณ์ตอนนั้นสำหรับฉันได้ดีที่สุด ก็คือ “แค่ทำมันให้จบ ๆ ไป” น่าเสียดายที่หัวใจของฉันถูกปลกคุมด้วยหมอกสีเทาดำมาก่อนหน้า ไม่อย่างนั้นฉันคงสนุกกับชีวิตช่วงแรกเริ่มในรั้วมหาวิทยาลัยมากกว่านี้
แม้หัวใจจะเย็นเฉียบเทียบเท่าภูเขาน้ำแข็ง กัดกร่อนความเป็นคนให้มีรอยร้าว ดูเหมือนไร้ความรู้สึก และหนักเหมือนหิน แต่ก็มีหลายครั้งที่มันรู้สึกเหงา เศร้า อึดอัด และโดดเดี่ยว คอยโทษตัวเองซ้ำ ๆ ว่าทำไมถึงทำได้ไม่ดีพอ แล้ววันหนึ่งฉันก็วิ่งจากสถานี Burn out มายืนอยู่หน้าป้าย “ทิ้งของเสียในร่างกาย”
ประตูสีขาวในโลกสีดำถูกเปิดทิ้งไว้ อยู่ที่ฉันจะเลือกตัดสินใจเดินผ่านเข้าไปในประตูนั้นไหม หรือฉันยังจะโอบกอดความรู้สึกสีหม่น ๆ นี้เอาไว้ ขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างคอยสะกิดใจหรือบางทีฉันอาจต้องอยู่กับมันตลอดไป ถ้าไม่ตัดสินใจทำอะไรสักที
เพราะเหตุนั้น ฉันจึงตัดสินใจจดบันทึกความรู้สึกเหล่านี้ลงไปบนกระดาษสีขาวในโปรแกรมสีน้ำเงิน บรรยายทุกความรู้สึกลงไป แต่กลับแปลกใจที่ฉันอยู่กับมันได้หลายชั่วโมง
ฉันทำมันอยู่อย่างนั้น กับทุกเรื่องราวที่กระทบกับความรู้สึกในใจ มันทำให้ฉันได้เรียนรู้ปัญหาที่ซ่อนอยู่ภายในและมองเห็นตัวตนของตัวเองอย่างแท้จริง
ฉันเริ่มเรียนรู้การจัดระบบความคิดผ่านการเขียน เลิกติดนิสัยเร่งรีบกับทุกอย่างจนเกินไป
โลกของฉันกลับมามีสีสันมากขึ้น ฉันเริ่มใช้เวลาอยู่กับตัวเองแบบโพซิทีฟอย่างช้า ๆ ในที่สุดมันก็ทำให้ฉันกลายเป็นใครอีกคนที่ฉันไม่คิดว่าฉันจะเป็นได้
ฉันกลับมารู้สึกมั่นใจมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากฉันลงมือทำเรื่องบางอย่างโดยไม่แข่งขันกับเวลาหรือสิ่งใด แม้มันจะไม่เหมาะกับฉัน แต่ถ้าทำมันไปแบบไม่กดดันหรือเร่งรีบ ฉันก็ทำมันได้นี่ บางอย่างทำไปช้า ๆ ก็ได้ และผลลัพธ์มันก็ออกมาดี อย่างงานถักพวงกุญแจที่ถักจากไหมพรมชิ้นนี้ ใช้เวลาแต่ก็เสร็จเหมือนกัน
ฉันเริ่มภาคภูมิใจกับความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ ของตัวเองในแต่ละวัน รู้สึกมีคุณค่ามากขึ้นจากการได้เรียนรู้และการกลับมาเข้าใจตัวเอง
แล้วฉันก็เริ่มสงสัย แล้วอะไรล่ะที่เหมาะกับฉัน อะไรที่ฉันชอบทำ เป็นตัวเองและรู้สึกสบายใจ
แล้วมันก็มาถึง ช่วงเวลาที่ฉันเริ่มค้นหาว่าสิ่งใดที่ฉันจะทำมันได้อย่างถนัดและเหมาะสมกับตัวเอง ฉันลองทำอะไรหลายอย่างอยู่พักใหญ่ แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันยังไม่เป็นตัวของฉันเลย จนกระทั่ง ฉันได้เริ่มเขียนบรรยายลงเว็บเพจเล็ก ๆ เพจหนี่ง แล้วฉันก็พบว่าการเขียนบรรยายคือสิ่งที่ฉันถนัด! ลองเขียนแล้วมันสนุก! และช่วงเวลาเหล่านั้นยังทำให้ฉันเรียนรู้ที่จะใช้คำพูดเพื่ออธิบายได้เก่งขึ้นด้วย ฉันสื่อสารได้ดีขึ้น เริ่มปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากขึ้น
และแน่นอนว่า ฉันยังเขียนบรรยายต่อมาเรื่อย ๆ
ช่วงค่ำวันหนึ่ง ระหว่างทางกลับหอหลังจากฉันไปกินข้าวที่สมอล มาร์เก็ต ฉันเห็นนิสิตกลุ่มหนึ่งถือหนังสือเข้ามาอ่านกันในมหาวิทยาลัย พร้อมกับเห็นภาพรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ส่งให้กัน มันทำให้ฉันฉุกคิดได้ว่า ทำไมฉันและกลุ่มเพื่อนในสาขาตัวเองไม่มีช่วงเวลาแบบนี้บ้างเลย อย่างเดียวที่ฉันสัมผัสได้คือพวกเขากำลังแข่งขันกัน
อีกครั้งที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากคนเหล่านั้น ความรู้สึกคล้ายกับตัวฉันในวัยสิบเจ็ดปี แต่ตอนนี้เป็นความต่างคนละแบบกันเลย
เมื่อก่อน “ฉันพยายามแข่งกับคนอื่นเพื่อที่จะได้มีคุณค่า” แต่ตอนนี้ “ฉันหยุดแข่ง ค้นหาตัวเองให้เจอและยืนอยู่ในจุดที่พอใจ”
ตอนนี้ฉันเข้าใจได้แล้วว่าตัวฉันในอดีตแตกต่างกับฉันในช่วงเวลานี้แค่ไหน และฉันสัญญากับหัวใจ ว่าจะไม่ย้อนกลับไปเป็นใครคนเดิม
หลังจากงานรับปริญญาผ่านไป ฉันนอนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมสีฟ้าอ่อนบนเตียงนอนกึ่งแข็งกึ่งนุ่ม พร้อมกับจิ้มนิ้วลงบนหน้าจอสมาร์ทโฟน ไล่ตอบแชตเพื่อนวัยสิบเจ็ดปีกลุ่มเดิมที่ตอนนี้ฉันเปลี่ยนจากความรู้สึกไร้ค่าเป็นความรู้สึกคิดถึงผสมปนไปกับความอบอุ่นสุดหัวใจ โชคดีจังที่พวกเรายังติดต่อกัน ขณะเดียวกันก็เฝ้าถามตัวเองว่า มัธยมปลายกับฉันในตอนนี้ ฉันเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนแล้ว แล้วก็พบว่า ฉันค้นพบสิ่งที่ชอบและทำได้ดีอยู่เรื่อย ๆ
ฉันคว่ำหน้าสมาร์ทโฟนลงบนกลางอก และยิ้มให้กับความสุขที่ค้นพบความสามารถของตัวเอง ที่เลิกคิดว่าตัวเองไร้ค่าถ้าไม่เหมือนคนอื่น ที่รู้แล้วว่าการเอาตัวเองไปเปรียบเทียบหรือแข่งกับคนอื่นไม่มีประโยชน์และไม่สร้างคุณค่าอะไรเลย
ขอบคุณตัวฉันที่ยังคงมีชีวิตและยังใช้ชีวิตต่อไป
เมื่อเวลาร่วงเลย พอได้มองย้อนกลับไปในอดีตอย่างจริงจัง ฉันในวัยยี่สิบเจ็ดปี อยากจะกลับไปโอบกอดเด็กคนนั้นและพูดปลอบประโลมว่ามันไม่เป็นอะไรเลยที่จะรู้สึกผิดหวัง ไม่เป็นที่ต้องการ หรือไร้ค่าในช่วงเวลานั้น.. ทุกคนต่างมีเรื่องราวให้เจ็บปวดเพื่อเติบโต ทุกความเจ็บปวดจะทำให้เธอโตขึ้นมาเป็นเธอในวันนี้
ทุกเรื่องที่ทุกข์ใจ เมื่อมองให้กว้างขึ้น มันอาจจะกำลังสอนอะไรบางอย่างกับเธออยู่ก็ได้ ถ้าในกลุ่มเพื่อนมีแค่เธอคนเดียวที่ดูเหมือนไม่มีความสามารถหรือโดดเด่นในเรื่องใด นั่นอาจแปลว่าบางอย่างที่พาเธอมาอยู่ตรงนั้นกำลังกระตุ้นให้เธอค้นหาความสามารถของเธอให้เจออยู่ก็ได้ แต่เพียงแค่วัยสิบเจ็ดปีของเธออาจไม่เพียงพอต่อการค้นหาความสามารถและการพัฒนาตัวตนของเธอเท่านั้น และเพื่อนในกลุ่มของเธอก็แค่ค้นพบความสามารถได้เร็วกว่าเท่านั้นเอง
วันนี้ฉันรู้แล้วว่าอดีตกับปัจจุบันมันแทนที่กันไม่ได้ ไม่ว่าในอดีตเธอจะรู้สึกด้อยค่าแค่ไหน ไม่ได้แปลว่าในอนาคตเธอจะยังเป็นคน ๆ นั้น
และมันไม่ใช่เรื่องที่ผิดเลยที่เธอจะรู้สึกไม่เก่งเหมือนใคร เพราะคนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อเก่งในเรื่องเหมือน ๆ กัน ไม่ได้มาจากท้องของแม่คนเดียวกัน อย่าด้อยค่าตัวตนและอย่าลืมว่าไม่ว่าจะเป็นเพศอะไร คุณค่าของเธอไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าต้องมีความสามารถเหมือนใคร เธอแค่ต้องหาให้เจอในสักวัน ว่าตัวเธอถนัดหรือเก่งในเรื่องอะไร แม้จะเป็นในเรื่องง่าย ๆ แต่นั้นก็คือความสามารถของเธอ
และต่อจากนี้ไปฉันจะไม่หาแสงเพื่อเป็นใคร เพราะฉันจะเป็นดาวฤกษ์ที่ส่องสว่างด้วยตัวฉันเอง
ฉันอาจยังไม่รู้ว่ามีความสามารถอื่นที่รอให้ฉันได้ค้นพบและเรียนรู้มันเพิ่มอีกหรือไม่ แต่ฉันไม่กลัวที่จะเดินไป และแค่เพียงความสามารถเดียวที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนใครก็สร้างความมั่นใจว่าฉันก็มีคุณค่าและโดดเด่นได้เหมือนกัน แค่เพียงฉันรู้ว่าตัวเองคือใครและเชื่อในความสามารถที่ฉันมี
แล้วคุณผู้อ่านล่ะ.. เจอตัวเองแล้วหรือยัง
เรื่อง: emnapt