15 มิ.ย. 2568 | 11:22 น.
KEY
POINTS
ฉันไม่เคยเข้าใจว่าความหมายของสัญลักษณ์คืออะไร?
ทำไมเวลาพูดว่า ‘สีน้ำเงิน’ เราจะต้องรู้สึกเศร้า ทำไมเวลานึกถึง ‘สีแดง’ จะต้องเป็นความกล้าหาญ
ทั้งหมดนี้ใครเป็นผู้กำหนด แล้วมนุษย์เราจำเป็นต้องยึดติดกับภาพจำของสัญลักษณ์เหล่านั้นไปเพื่ออะไร นั่นเป็นคำถามตอนที่ฉันอายุ 10 ขวบ ในช่วงยุค 2000s เป็นยุคที่เต็มไปด้วยคอนเทนต์ออริจินอล เรามีช่องในยูทูบมากมาย มีเรื่องราวให้เสพแทบจะตลอดเวลาเพราะเป็นช่วงอินเทอร์เน็ตเฟื่องฟู ทำให้เด็กที่โตมาในยุคนั้นซึมซับสื่อจากหลายช่องทาง ฉันเป็นหนึ่งในคนที่ตั้งคำถาม
ทำไมคนเราถึงรักกัน? เราเห็นพระ-นางในละครหลังข่าวครองคู่กัน
เราเห็นตอนจบที่ทั้งสวยและไม่สวยของตัวร้าย เราเห็นทุกอย่างหมุนรอบความรักที่กำหนดว่าใครสมหวัง ใครไม่สมหวัง แล้วเราใช้สัญลักษณ์อะไรในการวัด? ว่าคน ๆ นี้สมหวัง เพราะว่าเขาได้คู่กับนางเอกเหรอ หรือเพราะว่าเขาได้ทำในสิ่งที่รัก สุดท้ายแล้วเขาก็มีคนอยู่ข้างกาย ทุกเรื่องราวลงเอยเช่นนั้นเสมอ ฉันมองภาพจำของคู่รักในทีวี มือถือ โรงหนัง ได้แต่ตั้งคำถามคนเดียวว่า มันคืออะไร?
ตอนสิบขวบเป็นช่วงประถม เด็กในวัยเดียวกันที่ได้รับอิทธิพลจากสื่อมักจะไล่ถามเพื่อนในชั้นเรียนเหมือนเป็นการสัมภาษณ์ ฉันเป็นเด็กผู้หญิงที่แสดงออกไม่เหมือนผู้หญิง ฉันไม่ชอบกระโปรง ฉันไม่อินการ์ตูนหญิงสาวหรือคติเรื่องผู้หญิง เพื่อนผู้หญิงเองก็เริ่มตั้งคำถามกับฉันเช่นกัน “แกเป็นทอมเหรอ?” ฉันตอบไปโดยนึกถึงคำบางคำในยูทูบที่เคยดู
“เป็นเลสเบี้ยนต่างหาก” แต่มันไม่เป็นความจริง ฉันเป็นแค่เด็ก ฉันยังห่างไกลคำว่ารักนัก ฉันไม่เคยชอบผู้หญิง หรือผู้ชาย มันเป็นคำที่จำมาจากในอินเทอร์เน็ตโดยไม่ได้สนใจความหมายที่แท้จริง แต่อย่างน้อย มันก็ทำให้ฉันมีตัวตน ในฐานะเพศหนึ่ง
ต่อมา เมื่อฉันอายุ 19 ฉันยังคงตั้งคำถาม เพื่อนหลายคนผ่านความรักตอนมัธยม หลายคนมีความรัก มีแฟน บ้างก็ค้นพบตัวเอง ดีจัง เมื่อไหร่ฉันจะค้นพบตัวเอง ฉันยังคงหลงทาง ฉันไม่ได้ชอบผู้หญิง ดังนั้นเวลามีคนถาม ฉันจึงไม่ได้อิงคำตอบเดิมสมัยสิบปีที่แล้ว
ฉันไม่ได้ชอบผู้ชาย มีหวั่นไหวบ้าง แต่ที่ทำเป็นชอบ เพราะฉันแค่หวังว่าตัวเองจะรู้สึก ฉันหวังว่าตัวเองจะไม่ได้ประหลาด ฉันอยากค้นพบตัวเองได้บ้าง แต่ฉันไม่เคยได้คำตอบ ฉันพยายามและพยายามทำให้ตัวเองเข้ากับคนในสังคมได้ สังคมที่ทุกอย่างยังคงหมุนรอบความรัก ปลายทางของทุกคนคือการมีแฟน
เดือนตุลาคม ฉันจึงสารภาพรักกับใครบางคน เป็นเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกัน ฉันคิดมาตลอดว่าฉันรู้สึกดีด้วย นี่อาจเป็นความรัก แต่หลังถูกปฏิเสธ ฉันก็รู้ว่าฉันยังไม่พบคำตอบ ทำไมเราไม่รู้สึกเศร้า? ทำไมเราถึงสารภาพแม้ว่าไม่ได้รักเขาจริง? เรารู้จักความรักแน่เหรอ? ทำไมเราไม่ชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย ทำไมเราชอบใครไม่ได้? ฉันหลงทางอีกแล้ว ทั้งที่คิดว่าตัวเองได้ขึ้นฝั่ง ฉันนึกว่าตัวเองค้นพบสิ่งที่ตามหา ความหมายที่ว่าทำไมคนถึงมีสัญลักษณ์แทนความรู้ตัวเอง แต่ฉันคิดผิด
จนกระทั่งอินเทอร์เน็ตพาฉันไปพบกับคำว่า คอมมูนิตีของ LGBTQ+ ดวงตาของฉันเบิกกว้าง คล้ายมีแสงสว่างมาตัดหมอกที่ปกคลุมในของฉัน ในคอมมูนั้นฉันมีตัวตน ในฐานะ ‘Asexual’ คนที่ไม่จำเป็นต้องมีแฟน ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับความรัก ไม่จำเป็นต้องรู้ว่ารักคืออะไร ภายใต้ธงผืนนี้ ทุกคนมีตัวตน
ฉันเคยคิดว่าฉันไม่เข้าใจการมีอยู่ของคำนิยาม ฉันมองว่าอารมณ์ของมนุษย์เป็นสิ่งหลอกลวงที่เขาขายเราจากสื่อต่าง ๆ ฉันไม่เข้าใจว่าคนเราจะดึงดูดเพศไหนไปทำไม และฉันก็เกลียดตัวเองที่ไม่รู้สึกเหมือนคนอื่น การเป็นคนไม่อินบรรทัดฐานและขนบ มันกัดกินตัวตนเราไม่เหลือ แต่ภายใต้คำว่า ‘Asexual’ ฉันมีที่หลบภัย ฉันมีคำตอบให้เวลามีคนถามว่า “เป็นเพศไหน?” ฉันมีคำตอบให้เวลามีคนถามว่า “ชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย?” ฉันมี ‘ตัวตน’ มันไม่ใช่แค่การมีเครื่องหมายแปะบนหน้าตัวเองว่าฉันชอบเพศนี้ หรือไม่ชอบเพศนี้
การมีชื่อเรียกความรู้สึกตัวเองมันคือการมอบคำตอบ แม้ว่าในใจยังคงค้นหามันอยู่ ฉันขอบคุณการมีอยู่ของคอมมูนี้ ฉันขอบคุณเดือนมิถุนายน ที่ทำให้ตัวตนของฉันเริ่มมีคนเข้าใจ และฉันไม่ใช่ตัวประหลาด การเป็น ‘Asexual’ ไม่ได้หมายถึงว่าเราไม่มีความรัก แต่มันละเอียดอ่อนเหลือเกิน บางคนสามารถมีแฟนได้ บางคนเลือกที่จะไม่มี บางคนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ชอบใครเลย หรือยังคงค้นหาตัวเองอยู่ ธงผืนนี้เป็นแบบนั้น
ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมมนุษย์ถึงชอบมอบความหมายให้กับสีน้ำเงิน สีแดง ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมคนเราต้องหาคำนิยามให้กับสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้ความรู้สึกนั้นได้รับการมองเห็น ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีอยู่จริง ไม่ถูกมองข้าม ฉันเชื่อว่ายังมีมนุษย์อีกมากที่ยังตั้งคำถาม สักวันคำตอบจะมาถึงเอง หรือหากยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร อย่างน้อยหาคำนิยามที่ใกล้เคียงที่สุด คุณไม่ได้แปลกประหลาด คุณเท่าเทียมกับทุกคน
เรื่อง: Jaomie