03 ก.ย. 2568 | 11:30 น.
วันที่ 18 สิงหาคมของทุกปีที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ "วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ" รู้หรือไม่ว่า การกำหนดวันสำคัญนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเลื่อนลอย หากแต่มีเรื่องราวเบื้องหลังอันน่าทึ่ง
หากแต่เป็นเรื่องราวของเหตุการณ์สำคัญ เกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระจอมแกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยามหาราช รัชกาลที่ 4 กษัตริย์นักวิทยาศาสตร์ผู้ทรงมีสายพระเนตรยาวไกล ผู้ที่ทรงวางรากฐานวิทยาศาสตร์ให้กับสยามประเทศ และยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นหลังจวบจนปัจจุบัน
ย้อนกลับไปเมื่อ 157 ปีก่อน ณ ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในหลวงรัชกาลที่ 4 ทรงแสดงพระปรีชาสามารถในการคำนวณการเกิดสุริยุปราคาได้อย่างแม่นยำ และล่วงหน้าถึงสองปี!
ซึ่งปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่แค่เรื่องความแม่นยำทางดาราศาสตร์ แต่เป็นการตอกย้ำถึงพระอัจฉริยภาพและความใฝ่รู้ที่ไม่เคยหยุดนิ่งของพระองค์
เมื่อวิทยาศาสตร์คือประทีปแห่งความรู้ ที่ช่วยให้มนุษย์เข้าใจธรรมชาติและสิ่งรอบตัว ในฐานะสถาบันการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นนำของประเทศ ได้ตระหนักถึงพระคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของ "บิดาแห่งวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ไทย"
จึงเป็นที่มาการริเริ่มโครงการปรับปรุงอาคารนวัตกรรมเฉลิมพระเกียรติ ลานอุทยานพะจอมเกล้าและภูมิทัศน์โดยรอบ เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นต้นแบบแห่งการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม ในวาระครบรอบ 65 ปี ของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.)
รศ.ดร.คมสัน มาลีสี อธิการบดี สจล. กล่าวถึงที่มาของการจัดกิจกรรมครั้งนี้ว่า โครงการนี้มีเป้าหมายสำคัญคือการเป็น "แหล่งเรียนรู้ใหม่" ที่จะสื่อถึงพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวใน ด้านดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ รวมถึงสหวิทยาการความรู้ในมิติต่างๆ เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามาสัมผัสและเกิดแรงบันดาลใจ
“สจล. มีความตั้งใจในการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ในโอกาสที่พระองค์ทรงได้รับการสถาปนาเป็นองค์ 'มหาราช' ของปวงชนชาวไทย ซึ่งตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ทรงริเริ่มและปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมายแก่ประเทศชาติและพสกนิกร ท่านทรงมีพระราชดำริและลงมือปฏิบัติด้วยพระองค์เองจนสำเร็จ และเผยแพร่องค์ความรู้สู่โลกด้วยแนวคิดแบบจักรวาลนิยม ซึ่งนั่นคือคุณค่าและจิตวิญญาณของความเป็นพระจอมเกล้าลาดกระบัง
"ในฐานะสถาบันที่ได้รับพระราชทานพระนามของพระองค์ท่านมาเป็นชื่อสถาบัน เราก็อยากให้ชาวพระจอมเกล้า และลูกพระจอมทุกคนได้เรียนรู้พระราชประวัติ และประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับของพระองค์ท่านอย่างภาคภูมิใจด้วยครับ”
สำหรับอาคารหอพระราชประวัติฯ ได้รับการออกแบบเป็นอาคารทรงไทย 1 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอยกว่า 2,600 ตารางเมตร ประกอบด้วยส่วนจัดแสดงต่างๆ 4 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 ห้องเทิดพระเกียรติรัชกาลที่ 4 ด้านดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ ภายใต้แนวคิด “เมื่อดาราประกายแสงแห่งปัญญา” ในฐานะองค์มหาราชและพระอัจฉริยภาพในด้านวิทยาศาสตร์ ศิลปะศาสตร์ และรัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ส่วนที่ 2 ลานนวัตกรรมดาราศาสตร์ ภายใต้แนวคิด "แผนที่ฟ้าเฉลิมพระเกียรติ" จัดแสดงแผนที่ท้องฟ้าตามมาตรฐานราชสมาคมดาราศาสตร์ไทยและสากล ซึ่งแสดงตำแหน่งดวงดาวที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงคำนวณการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงที่บ้านหว้ากอ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 สำเร็จ
ส่วนที่ 3 หอพระนิรันตราย(จำลอง) ขนาดหน้าตัก 40.19 นิ้ว จัดสร้างขึ้นใหม่ เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเพื่อเป็นพระประจำสถาบันฯ เนื่องจากเป็นพระพุทธรูปที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นสะท้อนแนวคิดพุทธศาสนาแบบสัจนิยม ธรรมยุติกนิกาย ที่พระองค์ทรงก่อตั้งเมื่อครั้งทรงผนวช
ส่วนที่ 4 หอประวัติสจล. จัดแสดงประวัติการก่อตั้งสถาบันฯ ผลงานนวัตกรรมและงานวิจัยที่โดดเด่น ผู้สร้างชื่อเสียงให้กับสถาบันในด้านต่างๆ ภายใต้แนวคิด “จากประวัติศาสตร์สู่การเป็นผู้นำนวัตกรรมระดับโลก”
เมื่อก้าวเข้าสู่นิทรรศการในหอเทิดพระเกียรติฯ สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาคือพระนาม "วชิรญาโณ" ซึ่งเป็นพระนามเมื่อครั้งทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ในระหว่างปี พ.ศ. 2367 – 2394 บนบอร์ดนิทรรศการ พระนามนี้มีความหมายลึกซึ้งว่า “ผู้มีความสามารถประดุจเพชร”
ตลอดช่วงเวลาแห่งการครองร่มกาสาวพัสตร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมิได้เพียงศึกษาพระธรรมวินัยอย่างลึกซึ้งเท่านั้น หากแต่การออกผนวชในครั้งนั้นยังเป็นเสมือนประตูในการเปิดโลกทัศน์ครั้งสำคัญของพระองค์สู่โลกแห่งการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด และยังขยายโลกทัศน์กว้างไกลออกไปจากนอกขอบเขตสยามประเทศ สู่ระดับสากล
“สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพุทธแท้ ทรงเป็นผู้สนพระทัยในแก่นศาสนา" อาจารย์ภูธร ภูมะธน นักประวัติศาสตร์ ผู้ร่วมออกแบบนิทรรศการที่หอเทิดพระเกียรติแห่งนี้ นิยามถึงบุคลิกภาพด้านหนึ่งของพระองค์
"ทรงเป็นผู้ที่มีพระปัญญาจากการทรงเรียนรู้ด้วยตัวเอง ซึ่งการจะเป็นผู้มีปัญญานั้น ไม่ใช่แค่หยิบจับอะไรมาก็จบ หากต้องเป็นผู้ที่ศึกษาทั้งเชิงกว้างและเชิงลึกอย่างถ่องแท้"
อาจารย์ภูธรเป็นผู้มีความสนใจค้นคว้าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ และดาราศาสตร์ ซึ่งนำมาสู่ความสนใจเกี่ยวกับพระราชประวัติของพระองค์ จนบังเกิดความประทับใจลึกซึ้งในพระกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ 4 นำมาสู่การจัดทำหนังสือ ชื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว : จากความสนพระทัยในวิทยาศาสตร์สู่ความเป็นพระมหากษัตริย์นักดาราศาสตร์
ซึ่งจากการได้ศึกษาถึงพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่าน ในการมีส่วนร่วมออกแบบนิทรรศการครั้งนี้ อาจารย์ได้ให้ความเห็นว่า นอกเหนือจากพระปรีชาสามารถด้านดาราศาสตร์แล้ว ควรที่จะนำเสนอเรื่องของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในบริบทอื่น ๆ ด้วย
นิทรรศการช่วงแรกจึงเป็นการนำเสนอช่วงชีวิตแห่งการเรียนรู้ของพระองค์ท่าน ที่ถ่ายทอดถึงความฝักใฝ่ในการศึกษาหาความรู้อย่างเข้มข้นทั้งทางธรรมและทางโลก ตั้งแต่การทรงศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งทางด้านคันถธุระ คือการเรียนคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทรงพยายามอ่านพระไตรปิฎกให้รอบรู้พระธรรมวินัย
“ในทรรศนะของผม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นตัวอย่างมนุษย์ผู้ประเสริฐ นั่นคือ โดยหลักการมนุษย์ควรจะมีวิถีดําเนินชีวิต ผ่านการกําหนดความคิดเป็น 2 ซีก ซีกที่หนึ่ง คือเหตุผลนิยมซึ่งคือวิธีคิดที่มีรากฐานเป็นวิทยาศาสตร์ ซีกที่ 2 คือ จินตนาการ เป็นวิธีคิดเชิงศิลปศาสตร์ มนุษย์ท่านใดมีทั้ง 2 ส่วนนี้เป็นฐานชีวิต จะทำให้บุคคลนั้นมีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แท้จริง ซึ่งผมมีความรู้สึกว่าพระองค์ท่านมี 2 แบบ ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการหล่อหลอมสืบทอดมาหลายชั่วอายุของราชตระกูล ในด้านพฤติกรรม แนวคิดโลกทัศน์ ค่านิยมต่าง ๆ เพราะบรรพชนของท่านคือชนชั้นปกครองที่ยังสืบทอดความเป็นปราชญ์ ถ้าเปรียบเปรยสิ่งเหล่านี้เป็นเสมือนดีเอ็นเอที่ส่งต่อมากันมา” อาจารย์ภูธรบอกเล่า
เชื่อว่าหลายคนอาจจดจำพระองค์ในฐานะ "กษัตริย์นักดาราศาสตร์" หากแต่พระอัจฉริยภาพของพระองค์ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะเบื้องหลังความสำเร็จด้านวิทยาศาสตร์ ยังมีเรื่องราวการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด ทั้งทางโลกและทางธรรม ที่แนวทางการศึกษาของท่านสามารถเป็นแรงบันดาลใจหรือแบบอย่างให้เราได้ค้นพบศักยภาพของตัวเองได้
โดยในช่วงที่ทรงจำพรรษาที่วัดราชาธิวาส ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ติดกับโบสถ์สามเสน อันเป็นย่านชาวคริสต์ พระองค์ยังได้ทรงสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กับบาทหลวงมิชชันนารี ปาลเลอกัวซ์ นอกจากนี้พระองค์ท่านยังได้เรียนรู้กับชาวต่างชาติอีกหลายท่าน ไม่ว่าจะเป็น ศาสนาจารย์จอห์น เทย์เลอร์ โจนส์ ศาสนาจารย์เจสซี แคสเวล หมอบรัดเลย์ หมอจันดเล และหมอเฮาส์
การที่ทรงมีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้และวิทยาการสมัยใหม่ในยุคนั้น ถือเป็นก้าวสำคัญที่หล่อหลอมให้พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ทันต่อโลก และทรงนำความรู้เหล่านั้นมาพัฒนาสยามประเทศในเวลาต่อมา
ดังเช่นพระองค์ตรัสไว้ว่า "เราติดต่อกับมิชชันนารีอังกฤษและอเมริกันเพื่อความรู้ในทางวิทยาศาสตร์และศิลปะศาสตร์ มิใช่ติดต่อเพื่อชื่นชมและอัศจรรย์ในศาสนา"
"สำหรับฉันเชื่อว่าโลกกลมมาตั้งแต่ 15 ปีที่แล้ว ก่อนที่พวกมิชชันนารีจะมาถึงเสียอีก"
อันที่จริง ความสนใจของกษัตริย์ไทยกับดาราศาสตร์ในประเทศไทยมีมาอย่างยาวนาน มีหลักฐานปรากฏชัดเจนตั้งแต่ยุคสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แต่เหตุการณ์สำคัญที่ตอกย้ำบทบาทของไทยบนเวทีวิทยาศาสตร์โลกคือ การที่รัชกาลที่ 4 ทรงคำนวณการเกิดสุริยุปราคาที่หว้ากอได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนในสยามประเทศ
การศึกษาดาราศาสตร์ยังเป็นสิ่งที่สะท้อนว่า พระองค์ท่านเป็นผู้ศึกษาความรู้และมีวิธีคิดอย่างนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งยังเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ต่อยอดไปสู่การศึกษาศาสตร์และศิลปวิทยาในแขนงอื่น ๆ อีกมากมายของพระองค์ท่าน
อาจารย์อารี สวัสดี ประธานมูลนิธิสมาคมโหรแห่งประเทศไทยในพระสังฆราชูปถัมภ์ และอดีตนายกสมาคมดาราศาสตร์ไทย เป็นอีกหนึ่งในคณะผู้ร่วมออกแบบและแนะนำแนวคิดในการจัดทำ “ลานนวัตกรรมดาราศาสตร์” อาจารย์อารีย์ให้ข้อมูลว่า การจะเป็นนักดาราศาสตร์ได้นั้นไม่ง่าย เพราะต้องศึกษาและมีพื้นฐานจากศาสตร์วิชาหลากหลาย
“เพราะดาราศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ประกอบด้วยความรู้พื้นฐานจากหลากหลายสหวิชามาประกอบกัน โดยเฉพาะด้านฟิสิกส์ ซึ่งเป็นหลักการคำนวณ”
“แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ท่านทรงเป็นผู้ขวนขวายการศึกษาด้วยพระองค์เองอย่างแตกฉาน”
“ในเวลานั้นทรงพยายามสรรหาในสิ่งที่ไม่มีในประเทศ อุปกรณ์เครื่องมือทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องดูดาว ทั้งกล้องส่องดูดาว เครื่องวัดมุมดาว ท่านสั่งซื้อมาจากต่างประเทศและแลกเปลี่ยนความรู้กับนักดาราศาสตร์หรือผู้รู้ชาวต่างชาติในยุคนั้นอยู่เนือง ๆ ” อาจารย์อารีย์กล่าว
เหตุการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในปี พ.ศ. 2411 จึงถือเป็นประจักษ์พยานอันสำคัญยิ่งต่อพระปรีชาสามารถด้านดาราศาสตร์ของพระองค์ นักดาราศาสตร์ชาวตะวันตกต่างพากันเดินทางมายังสยามเพื่อสังเกตการณ์ปรากฏการณ์ครั้งนี้ และผลการสังเกตการณ์ก็เป็นไปตามที่พระองค์ทรงคำนวณไว้ทุกประการ สร้างความประทับใจและความเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์ให้กับชาวสยามและชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก
จากการค้นคว้าเอกสารหลักฐานต่าง ๆ เป็นที่แน่ชัดว่าพระองค์นั้นทรงคํานวณด้วยพระองค์เอง และยังทรงพยากรณ์ที่จะเกิดคราสไม่ว่าจะจันทน์ทรุปราคา หรือสุริยุปราคามาแล้วกว่าสิบปีก่อนหน้า ในนิทรรศการนี้ได้มีการบันทึกไว้หมดโดยละเอียด รวมทั้งมีคลิปจำลองภาพเหตุการณ์ในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2411 อีกทั้งเราจะเห็นการคำนวณที่จะเกิดขึ้นในอีกหลาย 10 ปี ข้างหน้า ซึ่งได้มีการคํานวณไว้แล้วเช่นกัน
นอกจากนี้ การที่พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับดาราศาสตร์ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การศึกษาและคำนวณส่วนพระองค์เท่านั้น หากแต่ยังทรงส่งเสริมให้มีการศึกษาดาราศาสตร์ในวงกว้าง ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างหอดูดาวขึ้นในพระบรมมหาราชวัง เพื่อใช้ในการศึกษาและสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์อย่างเป็นระบบ นี่คือรากฐานสำคัญของการพัฒนาวิทยาศาสตร์ในประเทศไทย
“ครั้งนี้จะเห็น...จึงทายเพื่อจะให้รู้ว่า การบนฟ้ามนุษย์สังเกตทายล่วงหน้าไว้ได้ อะไรบนฟ้าไม่ควรที่จะเก็บเอาเป็นเหตุมาตื่นกันต่าง ๆ”
ในยุคสมัยที่ความเชื่อและวิทยาศาสตร์ยังคงทับซ้อนกันอยู่ การที่กษัตริย์ผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศ ทรงให้ความสำคัญกับ "เรื่องของท้องฟ้า" อย่างจริงจัง ย่อมส่งผลกระทบต่อความคิดและความเชื่อของผู้คนอย่างมหาศาล พระองค์ทรงเป็นดั่งแสงดาวที่ส่องนำทางความคิดให้คนในสยามประเทศได้เงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญของวิทยาศาสตร์ ทรงตระหนักดีว่า "วิทยาศาสตร์" ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงทฤษฎีหรือสมการที่ซับซ้อน แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้มนุษย์เข้าใจธรรมชาติและสิ่งรอบตัวได้อย่างลึกซึ้ง รวมถึงนำมาซึ่งการเกิดสติปัญญาที่เป็นเหตุเป็นผล และในระดับประเทศ "วิทยาศาสตร์" และ "เทคโนโลยี" ก็เปรียบเสมือนอาวุธสำคัญในการขับเคลื่อนให้ชาติบ้านเมืองก้าวหน้าอย่างมั่นคง
ดั่งพระราชดำรัสพระองค์ที่ว่า “วิทยาศาสตร์คือประทีปแห่งความรู้ที่ช่วยให้มนุษย์เข้าใจธรรมชาติและสิ่งรอบตัว”
ในนิทรรศการภายในหอเทิดพระเกียรติฯ ไม่ได้เน้นเพียงเหตุการณ์สำคัญอย่างการคำนวณสุริยุปราคาที่หว้ากอเท่านั้น แต่ยังนำเสนอภาพรวมของการเรียนรู้และพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ของสยามประเทศในยุคนั้น ที่มีจุดเริ่มตั้งแต่ความรู้พื้นฐานทางดาราศาสตร์ที่มีมาแต่โบราณ
การติดต่อกับชาวตะวันตกเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ไปจนถึงการนำวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการประเทศของพระองค์ เป็นสิ่งที่สะท้อนว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีสายพระเนตรอันยาวไกล ทรงตระหนักถึงภัยคุกคามจากการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก จึงทรงดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างชาญฉลาด โดยการผูกมิตรกับชาติตะวันตกหลายประเทศ และทรงยอมเสียเปรียบในบางด้านเพื่อรักษาเอกราชของชาติไว้ได้
นอกจากนี้ ยังทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาประเทศในทุกด้าน ทรงริเริ่มการปฏิรูปการศึกษา การคมนาคม การสาธารณสุข และการบริหารราชการ เพื่อให้สยามมีความทันสมัยและสามารถแข่งขันกับนานาอารยประเทศได้
ทั้งยังทรงเป็นผู้ปฏิวัติยุคใหม่ เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศครั้งสำคัญ ทรงยกเลิกธรรมเนียมที่ล้าสมัย และทรงนำเอาวิทยาการและความรู้ใหม่ๆ จากตะวันตกมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับบริบทของสังคมไทย ไปจนถึงการส่งเสริมการศึกษาแบบใหม่ ทรงตั้งโรงเรียนหลวงแห่งแรก และทรงสนับสนุนให้มีการพิมพ์หนังสือและข่าวสารต่างๆ เพื่อเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชน การปฏิรูปเหล่านี้ได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศในรัชกาลต่อ ๆ มา
ซึ่งการได้เดินชมเรื่องราวเหล่านี้ ทำให้เราได้เห็นว่า ความรู้ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่มีการต่อยอดและพัฒนาไปตามยุคสมัย เช่นเดียวกับที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปิดรับความรู้ใหม่ๆ และนำมาปรับใช้ต่อยอดให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ
"นอกจากการรำลึกถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ในด้านวิทยาศาสตร์แล้ว ในโอกาสครบรอบ 65 ปีนี้ เรายังตระหนักถึงพระราชคุณูปการของพระองค์ในด้านศาสนา โดยเฉพาะการก่อตั้งธรรมยุตินิกาย ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย"
อธิการบดี สจล. กล่าวถึงบทบาทสำคัญอีกด้านหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ไม่เพียงเฉพาะการหยั่งรากลึกวางรากฐานแห่งวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมให้กับสยามประเทศ แต่ยังวางวางรากฐานอันมั่นคงให้กับพระพุทธศาสนาควบคู่ไปด้วย
โดยยังทรงเป็นผู้นำในการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา ทรงก่อตั้ง "ธรรมยุตินิกาย" เพื่อเน้นหนักในเรื่องระเบียบวินัยและการปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ซึ่งส่งผลให้พระพุทธศาสนาในสยามมีความเจริญรุ่งเรืองต่อเนื่องมาเป็นอย่างมาก
ซึ่งจากการที่ในปีที่ผ่านมา ถือเป็นวาระครบรอบ 200 ปีแห่งการผนวชของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) จึงได้ดำเนินการจัดสร้าง พระนิรันตราย องค์จำลอง ซึ่งเป็นพระพุทธรูปสำคัญในสมัยรัชกาลที่ 4 ที่มีความหมายลึกซึ้ง สื่อถึงการปกป้องคุ้มครองและนำพาความสงบสุขแก่ผู้ที่ศรัทธา ซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ "หอเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" แห่งนี้
"วิทยาศาสตร์กับธรรมะเป็นสิ่งที่ไปด้วยกันได้อย่างดี ผมมองว่าเป็นความกลมกล่อมด้วยซ้ำไป จะเห็นว่าการปฏิรูปของพระองค์เป็นต้นกำเนิดของพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ" เสียงสะท้อนจากผู้บริหาร สจล.
“ท่านทรงศึกษาในด้านศาสนา ท่านมีการปฏิบัติมุ่งมั่นอย่างยิ่งยวดจริง นำมาสู่การมีสติปัญญาที่เฉียบคมของพระองค์ท่าน ซึ่งในการเรียนรู้ต่าง ๆ ผมมองว่า ถ้าจิตเรานิ่ง มีสมาธิก็จะเกิดการเรียนรู้ และจะเกิดการเชื่อมโยงจนกลายเป็นประสบการณ์ นั่นคือคําว่า ปัญญา ซึ่งแน่นอน ไม่ใช่การนั่งอยู่เฉย ๆ แล้วจะเกิดปัญญาได้ แต่เราสามารถเอาสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ มาคิดแล้วมาวิเคราะห์ต่อ ทําให้เกิดมุมมองอย่างต่อเนื่อง ถึงเรียกว่าเกิดปัญญา “
อธิการบดี สจล. กล่าวต่อว่า ในการเข้ามารับตำแหน่งอธิการบดี ผมได้เดินตามรอยพระองค์ท่าน โดยเฉพาะการสร้างความสุขให้เกิดขึ้นในองค์กรด้วยศาสนา ดังนั้น เราตั้งใจให้โครงการและนิทรรศการที่จัดขึ้นนี้ เป็นการระลึกถึงพระองค์ท่าน และเป็นโอกาสสำหรับการค้นหาความสงบทางจิตใจจากการได้สักการะพระนิรันตราย องค์จำลอง เพื่อได้มีโอกาสเรียนรู้ทางด้านการปฏิบัติธรรมะไปในตัว”
รศ.ดร.คมสัน กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้สืบสานพระราชปณิธานของ "ลูกพระจอมฯ" อย่างแท้จริง โดยมุ่งมั่นขับเคลื่อนประเทศด้วย "นวัตกรรม" และตั้งเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมในระดับโลกภายในอีกสิบถึงยี่สิบปีข้างหน้า
"ทิศทางสังคมโลกทุกวันนี้เชื่อมโยงกันหมดแล้ว ประเทศไทยเราจะขับเคลื่อนอยู่แค่ภายในประเทศไม่ได้อีกต่อไป การสร้างนวัตกรรมของเราต้องเน้นการแข่งขันในตลาดโลก ไม่ใช่แค่ตลาดเมืองไทย" โดยกล่าวย้ำว่านี่คือวิสัยทัศน์ที่ สจล. ยึดมั่น
สำหรับความโดดเด่นในเรื่องแนวคิดนวัตกรรมของ สจล. คือการมุ่งเน้นไปที่ "นวัตกรรมที่ตอบโจทย์" ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในระดับชุมชน ประเทศ หรือระดับโลก ซึ่งสอดคล้องกับพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงนำความรู้มาประยุกต์ใช้เพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกร
ในทุกๆ ปี สจล. จัดงาน "Innovation Expo" ที่นำเสนอผลงานนวัตกรรมของนักศึกษาและคณาจารย์นับพันชิ้น ซึ่งเป็นผลผลิตจากบัณฑิตที่จบการศึกษาไปเฉลี่ยปีละ 6,000 คน และสิ่งที่กำลังเตรียมจัดอย่างยิ่งใหญ่ในปีหน้าคือ งานลาดกระบังนิทรรศน์ 2569 กิจกรรมเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้าง "สังคมนวัตกรรม" และการบ่มเพาะ "Global Citizen" ที่มีความพร้อมทั้งทักษะ ความสามารถ และความเข้าใจในวัฒนธรรมระดับโลก เพื่อให้คนรุ่นใหม่สามารถก้าวไปทำงานและแข่งขันได้ในทุกเวที
ในโลกที่หมุนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว สจล. ตระหนักดีถึงบทบาทของการเป็นสถาบันการศึกษาที่ไม่เพียงแต่ถ่ายทอดความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่ยังต้องปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมให้กับ "ลูกพระจอมฯ" ทุกคน สถาบันจึงมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะของผู้เรียนทุกกลุ่มวัย ผ่านกระบวนการ Reskill, Upskill และการสร้าง New Skill ควบคู่ไปกับการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อให้ทุกคนสามารถก้าวทันความต้องการของตลาดแรงงานและเทคโนโลยีที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
การเดินตามรอยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงไม่ใช่เพียงการรำลึกถึงอดีตอันรุ่งโรจน์ แต่เป็นการสืบสาน "จิตวิญญาณแห่งการเรียนรู้" และ "วิสัยทัศน์แห่งการพัฒนา" เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมที่จะนำพาประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงในโลกยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
"จริง ๆ ประวัติศาสตร์หรือสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วเป็นเครื่องทำให้ระลึก เป็นทั้งการเตือนใจเรา เราเห็นภาพ เป็นการเรียนรู้ที่ดี" อธิการบดี สจล.ให้มุมมอง
การได้มาเยี่ยมชมหอเทิดพระเกียรติแห่งนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้เราได้รู้จักพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมากขึ้น แต่ยังเป็นโอกาสให้เราได้ทบทวนถึงความสำคัญของการเรียนรู้ตลอดชีวิต การเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ และการพัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อก้าวทันโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว