30 ธ.ค. 2568 | 11:01 น.

KEY
POINTS
การเมืองไทยดำเนินอยู่ภายใต้วงจรเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกือบหนึ่งศตวรรษ “เลือกตั้ง–รัฐประหาร–ฉีกรัฐธรรมนูญ–เลือกตั้งใหม่”
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็ยังมีวงจรของการถือกำเนิด ตั้งอยู่ และดับไปของ ‘พรรคทหาร’ เข้าแทรกตรงกลางด้วยเช่นกัน
โดยพรรคทหารเปรียบเป็นผลผลิตของอำนาจนอกระบบที่พยายามสวมเสื้อประชาธิปไตย เพื่อยืดอายุอำนาจและความชอบธรรมของคณะรัฐประหาร ในห้วงเวลาที่ไม่อาจปกครองประเทศด้วยกำลังเพียงอย่างเดียว
ในแก่นแท้ ‘พรรคทหาร’ ถือกำเนิดขึ้นจากวัตถุประสงค์เดียวกัน คือการ ‘สานต่ออำนาจ’
ผู้ก่อการในนามทหารย่อมรู้ดีว่าการปกครองประเทศโดยปราศจากประชาธิปไตยนั้นไม่อาจดำรงอยู่ได้ยาวนาน การคืนอำนาจให้ประชาชนผ่านการเลือกตั้งจึงเป็นความจำใจ เพื่อปกป้องสถาบันกองทัพจากแรงเสียดทานทางสังคม
แต่การคืนอำนาจดังกล่าวมิได้หมายถึงการวางมือจากการเมืองอย่างแท้จริง ทหารจึงเลือกเส้นทางตั้งพรรคการเมือง เป็นยานพาหนะกลับเข้าสู่อำนาจอีกครั้ง ตั้งแต่พรรคเสรีมนังคศิลา (พ.ศ. 2498-2500), พรรคสหภูมิ (พ.ศ. 2500-2501), พรรคชาติสังคม (พ.ศ. 2500-2511), พรรคสหประชาไท (พ.ศ. 2511-2514), พรรคสามัคคีธรรม (พ.ศ. 2535) จนถึงพรรคพลังประชารัฐ (ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2561) ในยุคใหม่
หากมองย้อนกลับไป พรรคทหารแทบทุกพรรคยกเว้นพรรคพลังประชารัฐ ได้สูญสิ้นสถานะจากระบบการเมืองไปแล้ว
เหตุผลสำคัญมิใช่เพียงความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง หากคือการที่โครงสร้างและวัฒนธรรมองค์กรของพรรคเหล่านั้นไม่อาจปรับตัวให้เข้ากับภูมิสังคมทางการเมืองไทยที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
พรรคทหารจำนวนมากผูกติดกับอำนาจนอกระบบ ผู้นำ และเครือข่ายเฉพาะหน้า เมื่อบริบทเปลี่ยน ความชอบธรรมเสื่อมถอย พรรคทหารก็ย่อมร่วงโรย
หนึ่งในตัวอย่างที่ใกล้ตัวที่สุดคือ ‘พรรคสามัคคีธรรม’ พรรคการเมืองที่รองรับเครือข่ายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (รสช.) ผู้ทำรัฐประหารโค่นรัฐบาล ‘พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ’ ในปี พ.ศ. 2534 การเลือกตั้งปี พ.ศ. 2535 พรรคสามัคคีธรรมประสบชัยชนะอย่างสวยงาม ทว่าเมื่อ ‘ณรงค์ วงศ์วรรณ’ หัวหน้าพรรคไม่อาจรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ เส้นทางจึงเปิดให้ ‘พล.อ.สุจินดา คราประยูร’ หนึ่งในผู้นำ คสช. ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบกขณะนั้น ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ แทน จนนำไปสู่เหตุการณ์ ‘พฤษภาทมิฬ’ และปิดฉากพรรคสามัคคีธรรมจากสารบบการเมืองไทยอย่างถาวร
พรรคสามัคคีธรรม มีอายุได้เพียง 11 เดือนเศษเท่านั้น
หลังจากนั้น วงจรของพรรคทหารเหมือนจะเลือนหายจากเวทีการเมืองไทยเป็นเวลายาวนาน กระทั่งการรัฐประหารปี 2557 ภายใต้การนำของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรี
ประเทศไทยเข้าสู่การปกครองโดยทหารยาวนานกว่า 5 ปี ก่อนจะคืนอำนาจให้ประชาชนได้การเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2562
การเลือกตั้งครั้งนั้นไม่เพียงเป็นหมุดหมายของระยะเปลี่ยนผ่าน หากยังเป็นการกำเนิดของ ‘พรรคพลังประชารัฐ’ หรือ พปชร. ในฐานะยานพาหนะทางการเมืองใหม่ของ คสช. เพื่อสานต่ออำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2560
ภาพภายนอกของ พปชร. แตกต่างจากพรรคทหารในอดีต ด้วยการพยายามไม่วางตัวเป็นพรรคของทหารที่เน้นความเป็นอำนาจนิยม หากมุ่งสร้างภาพสถาบันทางการเมืองแบบผสมผสาน ระหว่างนักเลือกตั้ง นักวิชาการ และเทคโนแครต โดยมีรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2560 เป็นใบเบิกทางสู่อำนาจ
แม้ พปชร. จะไม่ได้ สส. มากที่สุดในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2562 แต่กลไกวุฒิสภาและสูตรทางการเมืองสุดพิสดาร ก็ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกฯ ได้อีกสมัย
เบื้องหลังการเดินหมากตั้งแต่ยุค คสช.จนถึงการก่อตั้ง พปชร. ส่วนใหญ่ล้วนมาจากมันสมองของ ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่แห่ง 3 ป. ชายผู้อยู่หลังฉากอำนาจมาอย่างยาวนาน
พล.อ.ประวิตร มิใช่ทหารที่ไม่ประสีประสาในทางการเมือง ด้วยความเป็นนายทหารใหญ่แห่งภาคตะวันออก ทำให้เขาคุ้นเคยกับนักการเมืองระดับเจ้าพ่อในภูมิภาค และต่อยอดสู่เครือข่ายระดับชาติ
การทดลองสนามการเมืองของ พล.อ.ประวิตร เริ่มชัดเจนในสมัย ‘รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ ปี พ.ศ. 2551 ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผ่านสมรภูมิการเมืองที่ดุเดือดอย่างเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง และบทเรียนความเจ็บปวดเมื่อ ‘พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ’ น้องชาย ต้องลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2552 ทั้งที่เหลืออายุราชการอีกเพียงไม่กี่วัน ภายหลังถูก ป.ป.ช. ชี้มูลในคดีสลายการชุมนุมของคนเสื้อเหลือง
ความสูญเสียครั้งนั้นถูกประคองด้วยกาวใจอย่าง ‘สุเทพ เทือกสุบรรณ’ รองนายกฯ ผู้จัดการรัฐบาลอภิสิทธิ์ในเวลานั้น
ตลอดเวลาที่อยู่ในอำนาจยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ พล.อ.ประวิตร ได้ปรับปรุงโครงสร้างของกองทัพให้มีความมั่นคงมากขึ้น หลังถูกเซาะกร่อนจากฝ่ายการเมือง เช่น การจัดตั้งกองพลทหารม้าที่ 3 การจัดตั้งกองพลทหารราบที่ 7, การจัดตั้งสำนักงานกิจการพลเรือน สำนักนโยบายและแผนกลาโหม, การจัดตั้งสำนักงานอาเซียน สำนักนโยบายและแผนกลาโหม, การจัดตั้งกรมทหารพรานนาวิกโยธิน กองทัพเรือ, การจัดตั้งสำนักงานประสานภารกิจด้านความมั่นคงกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรในส่วนราชการ กระทรวงกลาโหม, การพัฒนาและการจัดตั้งหน่วยงานรับผิดชอบด้านไซเบอร์ และกิจการอวกาศของกระทรวงกลาโหม ฯลฯ
ถือได้ว่า ในยุคที่บิ๊กป้อมคุมกระทรวงกลาโหม ถือเป็นยุคหนึ่งที่ทหารได้ปกครองทหารด้วยกัน โดยปลอดจากการแทรกแซงของนักการเมือง
อย่างไรก็ตาม เส้นทางการเมืองช่วงแรกของ พล.อ.ประวิตรต้องหยุดลง เมื่อพรรคเพื่อไทยกลับสู่อำนาจและมี ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี พ.ศ. 2554 ก่อนจะกลับมาเรืองอำนาจอีกครั้งหลังรัฐประหาร ปี พ.ศ. 2557
ช่วงเวลานั้น ว่ากันว่าประเทศไทยมีนายกฯ สองคน นอกจาก พล.อ.ประยุทธ์ แล้ว ยังมี พล.อ.ประวิตร ในฐานะผู้คุมเกมอำนาจด้วย
การบัญชาการแม่น้ำ 5 สาย มิได้อยู่ในมือหัวหน้า คสช.เพียงผู้เดียว หากยังอยู่ในมือ พล.อ.ประวิตรมากกว่าครึ่ง
ยุค คสช.จึงเป็นช่วงขาขึ้นสูงสุดของ พล.อ.ประวิตร และการต่อยอดอำนาจจำเป็นต้องอาศัยการเลือกตั้ง พปชร. จึงถือกำเนิดและกลับมาเป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ปี พ.ศ. 2562
แต่เมื่อการเมืองไทยก้าวพ้นระยะเปลี่ยนผ่าน 5 ปี สัจธรรมว่า ด้วยการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของพรรคทหารก็ปรากฏอีกครั้ง
การเลือกตั้ง ปี พ.ศ. 2566 คือจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์หันหลังให้ พล.อ.ประวิตร ไปร่วมงานกับ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ หรือ รสทช.
ความแตกแยกเกิดจากการที่ต่างคนต่างปรารถนาในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตรซึ่งเป็นรองนายกฯ มาเกือบ 10 ปี และเคยรักษาการนายกฯ ในช่วงที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ พล.อ.ประยุทธ์หยุดปฏิบัติหน้าที่ พี่ใหญ่แห่ง 3 ป. ย่อมคิดว่าถึงเวลาแล้วพี่ชายใหญ่คนนี้จะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำตัวจริง
ทว่า ผลลัพธ์กลับออกมาโหดร้าย พปชร. ได้ สส. เพียง 40 ที่นั่ง แบ่งเป็นเขต 39 คน และบัญชีรายชื่อ 1 คน
ตัวเลขนี้สะท้อนชัดว่าพระอาทิตย์ได้อัสดงที่ พปชร. แล้ว แม้พรรคจะพยายามปรับตัว เข้าหาคนรุ่นใหม่ ชูนโยบาย ‘ก้าวข้ามความขัดแย้ง’ และให้บิ๊กป้อมลงพื้นที่หาเสียงด้วยตนเอง แต่ด้วยวัยที่ร่วงโรยและเส้นทางที่ไม่เห็นหนทางกลับยิ่งใหญ่ พรรคจึงแทบไม่เหลือขุนพลที่เจนจัดในสนามเลือกตั้งอีกต่อไป
แม้แต่ตัว พล.อ.ประวิตรเอง ยังต้องถอนตัวจากแคนดิเดตนายกฯ ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2569 หลังเพิ่งประกาศชื่อไปไม่นาน
เหตุผลการถอนตัวจะมาจากปัญหาสุขภาพหรือการยอมรับชะตาอนาคตที่พรรคอาจไม่เหลือ สส. แม้แต่คนเดียว ก็ยากจะฟันธง
แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ พปชร. และเส้นอำนาจของบิ๊กป้อมที่สิ้นสุดลงแล้วอย่างไม่เป็นทางการ สะท้อนความจริงอมตะของการเมืองไทยที่ว่าไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าได้ตลอดไป และพรรคทหารไม่อาจหลีกพ้นวงจรที่ตนเองเป็นส่วนหนึ่งได้เลย
เรื่อง: ธ.พิสิษฐ์
ภาพ: Nation Photo
อ้างอิง:
หนังสือ ‘พี่ป้อม พี่ชายที่แสนดี’
หนังสือ ‘ลับ ลวง พราง’ ภาค 3 THE LAST WAR กองทัพต่างสี ศึกสายเลือด จปร. โดย วาสนา นาน่วม
หนังสือ ‘ทหารกับการพัฒนาการเมืองไทย’ โดย สุจิต บุญบงการ