19 ธ.ค. 2568 | 16:45 น.

KEY
POINTS
ตามประวัติศาสตร์ของจีน ในยุคโบราณก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระราชอำนาจหลังม่านไม้ไผ่นั้นอยู่ที่สตรีสูงศักดิ์ ‘ซูสีไทเฮา’
บทบาทในกลเกมราชสำนัก การเมือง การชักใยอยู่เบื้องหลัง ‘ฮ่องเต้ยุวกษัตริย์’ ของนาง ทำให้เกิดความวุ่นวายโกลาหลกลียุค และนำไปสู่การปฏิวัติโค่นล้มบัลลังก์มังกรที่สืบทอดกันมานับพันปี ทำให้เราเห็นว่าไม่ว่าอำนาจยิ่งใหญ่เพียงใดก็สามารถล่มสลายได้ด้วย ‘การเมืองภายใน’
และหากพูดถึง ‘สตรีที่ทรงอิทธิพลทางการเมืองมากที่สุดคนหนึ่งของไทย’ ไม่มีใครเกินผู้หญิงตัวเล็กแต่บ้านใหญ่อย่าง ‘เจ๊แดง เยาวภา วงศ์สวัสดิ์’ เจ้าแม่แห่ง ‘วังบัวบาน’ ที่ยืนยงมาตั้งแต่สมัยยุคพี่ชาย ‘ทักษิณ ชินวัตร’ เริ่มก่อตั้งพรรคไทยรักไทย
‘วังบัวบาน’ วังน้ำตกที่อยู่ในน้ำตกห้วยแก้ว จังหวัดเชียงใหม่ ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่พักผ่อนกลางธรรมชาติ หากแต่ถูกเลือกใช้เป็นพื้นที่เชิงสัญลักษณ์เพื่อแสดงศักยภาพ ‘พลังของพรรคทักษิณ’ ในสาขาภาคเหนือที่แผ่อิทธิพลไปยัง ลำปาง ลำพูน โดยมีเชียงใหม่ของเยาวภาเป็นศูนย์กลาง ถือว่าเป็นเครือข่ายขุมกำลังที่แข็งแกร่งแห่งหนึ่งในพรรค
แม้ช่วงหลังจะไปบัญชาการหลังม่าน แต่เมื่อเพื่อไทยเปิดชื่อของ ‘ศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์’ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเยาวภา ชื่อของเจ๊แดงกลับมาเป็นที่จับจ้องอีกครั้ง ว่าในครั้งนี้จะกลับมามีอิทธิพลเหนือพรรคอีกครั้งหรือไม่ ทำไมชื่อของเธอจึงเป็นที่จับตาแทบเป็นเงาตามตัวลูกชาย หรือนี่คือ ‘ซูสี(เพื่อ)ไทยเฮา’ ตัวจริง (คำว่า ‘เฮา’ ในภาษาเหนือแปลว่า พวกเรา)
บุตรคนที่ 6 จาก 10 คน ของ ‘นายเลิศ ชินวัตร’ อดีตส.ส.เชียงใหม่ และนางยินดี จากสายเลือดเดียวกับสองอดีตนายกรัฐมนตรี เยาวภามีศักดิ์เป็นน้องสาวของทักษิณ และพี่สาวของยิ่งลักษณ์ ด้วยความเติบโตมาในครอบครัวที่ทำการค้าที่ส่งเสริมให้บุตรธิดามีโอกาสเข้าศึกษาต่อในระดับสูง เยาวภาเลือกเรียนด้านพยาบาลที่โรงเรียนพยาบาลผดุงครรภ์และอนามัยแมคคอร์มิคเชียงใหม่
กามเทพเล่นกลแผลงศรรักให้พยาบาลสาวเหนือ กับหนุ่มใต้ที่ต้องมาประจำการตำแหน่งผู้พิพากษาจังหวัดเชียงใหม่อย่าง ‘สมชาย วงศ์สวัสดิ์’ ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรมและนายกรัฐมนตรีคนที่ 26 ของประเทศไทย
ทั้งคู่มีบุตรรวมกัน 3 คน ซึ่งทั้งสามก็มีโปรไฟล์ที่ไม่ธรรมดา ลูกชายคนโตอย่าง ‘เชน ยศชนัน’ ก่อนที่จะก้าวมาเป็นแคนดิเดตนายกฯเพื่อสู้ศึกเลือกตั้งปี 2569 ก็เป็นถึงรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ลูกสาวคนโต ‘เชียร์ ชิณณิชา’ เคยเป็นสส.พรรคเพื่อไทยมาแล้วในการเลือกตั้งปี 2554 และสูกสาวคนสุดท้องอย่าง ‘เชอร์รี่ ชยาภา’ หลายคนคุ้นหน้าจากการเป็นศิลปินออกอัลบั้ม ‘Secret C’ โดยครั้งนั้นคุณแม่ลงทุนเปิดค่ายเพลงเพื่อลูกสาวคนนี้ ก่อนที่จะเชื่อมสัมพันธ์ ไทย-กัมพูชาโดยได้สมรสกับ ‘นัม ลีนาล’ ชาวกัมพูชา บุตรชายของ ‘เซียง นัม’ นักการเมืองของกัมพูชา คนสนิทของ ‘สมเด็จฮุนเซน’ ถึงแม้ตอนนี้จะมีการแยกทางกันแล้ว ทั้งหมดนี้ทำให้เห็นว่า ‘ตระกูลวงศ์สวัสดิ์’ กับ ‘การเมือง’ นั้นเป็นของคู่กันอย่างเข้มข้น
เยาวภาลงสมัครเลือกตั้งครั้งแรกในปี 2544 โดยลงเขตเชียงใหม่บ้านเกิด ในช่วงแรกเธอเริ่มเก็บฐานคะแนนความนิยมในพรรคและรวบรวมกำลังพล ก่อนที่ปี 2548 เมื่อ ‘พรรคไทยรักไทย’ อยู่ในกระแสที่สูงที่สุดเป็นรัฐบาลพรรคเดียว เธอได้เป็น สส.ปาร์ตี้ลิสต์ รวมถึงได้รับตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีในสมัยที่ทักษิณ พี่ชาย เป็นนายกฯสมัยที่ 2 ในครั้งนั้นกิตติศัพท์ของกลุ่มวังบัวบานเป็นที่โจษจัน ว่าเธอคือผู้คัดกรองว่าใครจะเป็นผู้ได้ลงเลือกตั้งในเขตภาคเหนือ แผ่อิทธิพลลงมาประชิดกับ ‘กลุ่มวังน้ำยม’ ของ ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ ที่มีอิทธิพลในภาคเหนือตอนล่าง
แต่ความร้อนแรงของเธอถูกเบรกด้วยเหตุการณ์รัฐประหาร 2549 ที่ ‘พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน’ ผบ.ทบ.ขณะนั้นทำการยึดอำนาจ นายกฯทักษิณขณะปฏิบัติราชการในต่างแดน ซึ่งภายหลังมีการใช้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญนำไปสู่การยุบพรรคไทยรักไทย และตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค ‘บ้านเลขที่ 111’ โดยเยาวภาเป็นหนึ่งในผู้ถูกตัดสิทธิ์
เยาวภากับการเมืองไทยห่างกันได้ไม่นาน เมื่อ ‘พรรคพลังประชาชน’ ภายใต้การนำของ ‘สมัคร สุนทรเวช’ ในการสนับสนุนของทักษิณได้กลับมาชนะเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลในปี 2551 เธอขยับไปอยู่หลังฉากและดำเนินกิจกรรมผ่านสมาชิกกลุ่มวังบัวบาน และหลังจากนายกฯสมัครต้องหลุดออกจากตำแหน่งจากกรณี ‘ทำกับข้าวออกทีวี’ ตอนนั้นมีการคาดการณ์ว่าพรรคจะโหวตสมัครกลับสู่ตำแหน่งอีกครั้ง
แต่เมื่อถึงเวลาโหวต สมาชิกพลังประชาชนกลับเสนอชื่อ ‘นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์’ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทนเพื่อดัดหลัง ‘แก๊งค์ 4 คน’ ในพรรคพลังประชาชนอันประกอบด้วย ธีระพล นภรัมภา, เนวิน ชิดชอบ และนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โดยมีสมัคร เป็นแกนกลางที่จะยึดอำนาจในพรรคจากทักษิณที่อยู่เบื้องหลัง และเมื่อสมชายก้าวขึ้นเป็นนายกฯ ก็เท่ากับว่าเยาวภาได้ก้าวขึ้นเป็น ‘สตรีหมายเลขหนึ่ง’ คู่สมรสนายกรัฐมนตรีไปด้วยเช่นกัน ถึงแม้จะจบลงด้วยคำตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน ตัดสิทธิ์ ‘บ้านเลขที่ 109’ นำไปสู่การเกิดขึ้นของ ‘กลุ่มเพื่อนเนวิน’ ที่ต่อมากลายเป็น ‘พรรคภูมิใจไทย’ หนุน ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ เป็นนายกรัฐมนตรี
เยาวภาหายไปจากหน้าจอแต่ไม่เคยหายไปจากเกมอำนาจ เมื่ออภิสิทธิ์ยุบสภาและเลือกตั้งปี 2554 ในครั้งนั้นถึงคิวของ ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ น้องสาวของเยาวภา ก้าวขึ้นตำแหน่ง ‘นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก’ พร้อมกันนั้นลูกสาวอย่างชิณณิชาก็ก้าวขึ้นมาเป็นส.ส.เขตในจังหวัดเชียงใหม่ ชนิดชนะเลือกตั้งขาดลอย ซึ่งต่อมาก็โดนตัดสิทธิ์เพราะแจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ
ในปี 2555 สมาชิกหลายกลุ่มของพรรคเพื่อไทย มีแผนที่จะล้มกลุ่มของเยาวภา จากกรณีที่เข้ามาแทรกแซงการจัดการในการปรับคณะรัฐมนตรีของยิ่งลักษณ์ โดยเฉพาะการเข้ามาเปลี่ยนโผ เช่นกรณีการเซฟเก้าอี้ของ ‘ปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ที่ถือเป็นเด็กในคาถาของเยาวภา และการไปล้วงลูก ‘คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์’ ในการคัดตัวผู้สมัครผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ในครั้งนั้นพรรคระส่ำอย่างหนัก เมื่อสส.ที่นำโดยกลุ่มอีสานใช้พรรค ‘หมู่บ้านเสื้อแดง’ ในการโจมตีเยาวภา
การตอบโต้ของเยาวภาที่แสดงถึงพาวเวอร์อันแข็งโป๊กของเธอ คือการเปิดบ้านต้อนรับกลุ่มวังน้ำยมของสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่เคยแยกออกไปตั้ง ‘กลุ่มมัชฌิมา’ หลังเหตุการณ์รัฐประหาร กลับพรรคเพื่อไทย โดยดึงเข้ามาคานอำนาจกลุ่มสส.อีสาน นี่คือพลังดุจนางพญาของเยาวภา
พลังของเจ๊แดงสำแดงฤทธิ์มากที่สุดในระดับที่เป็นหน้าบันทึกประวัติศาสตร์การเมืองไทยเมื่อปี 2556 เมื่อจู่ ๆ สส.เขต 3 เชียงใหม่ในมุ้งวังบัวบาน ประกาศลาออกจากตำแหน่งดื้อ ๆ ทำให้เกิดการเลือกตั้งซ่อม และเป็นเยาวภาที่ลงสมัครเอง โดยสามารถเอาชนะคู่แข่งอย่างขาดลอยด้วยคะแนนร้อยละ 64.92 เรียกได้ว่าแทบจะกดรีโมทสั่งการได้แม้เยาวภาจะออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนสะกิดให้สส.เดิมลาออกก็ตาม
หลังยิ่งลักษณ์ยุบสภาในเดือนธันวาคมปี 2556 และมีกำหนดการเลือกตั้ง 2557 ในเดือนกุมภาพันธ์ เยาวภาได้ส่งยศชนันลงสนามการเมืองครั้งแรก ถึงแม้ท้ายที่สุดการเลือกตั้งจะเป็นโมฆะ และนำไปสู่การรัฐประหาร 2557 ของ ‘พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ ผบ.ทบ.ในขณะนั้น และได้มีการไล่เช็กบิลเครือข่ายการเมืองครั้งใหญ่ โดยเฉพาะต่อกรณี ‘โครงการจำนำข้าว’ นั้น สองรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและใกล้ชิดกับเยาวภา ทั้ง ‘บุญทรง เตริยาภิรมย์’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ ‘ภูมิ สาระผล’ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีจุดจบในคำพิพากษาจำคุกจากโครงการจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายให้กับรัฐจากกรณีจีทูจี ในครั้งนั้นทำให้เยาวภาต้องเสียขุนพลข้างกายไป
ในช่วงรัฐประหาร บทบาทของเยาวภาอาจจะโลว์โปรไฟล์ลง แต่ไม่ได้หายไปไหน และเมื่อปี่กลองเลือกตั้งลั่นขึ้นอีกครั้ง อิทธิฤทธิ์ของเจ๊แดงก็กลับมาอีก เมื่อ ‘สมพงษ์ อมรวิวัฒน์’ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและคนเก่าแก่ของพรรคประกาศลาออก โดยทิ้งทุ่นระเบิดไว้ว่าเจอการแทรกแซง มีการล้วงลูกโดยไม่เห็นหัว ซึ่งสื่อก็จับตาไปที่ความขัดแย้งกับเยาวภาในการคัดตัวผู้สมัครในเขตภาคเหนือ
ก่อนที่ต่อมาจะมีการเลือก ‘จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์’ ลูกชายสมพงษ์ ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค
น่าสนใจว่า ‘แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี’ จากเพื่อไทยในครั้งนี้ มาจากทั้งลูกชายสมพงษ์ อย่างจุลพันธ์ และลูกชายของเยาวภาอย่างยศชนัน แต่สื่อก็คาดการณ์ว่าลูกชายเยาวภาคือ ‘ตัวจริง’
หากยศชนันได้เป็นนายกรัฐมนตรีจริง หมายความว่า เขาจะเป็นนายกฯคนที่ 5 จากสายตระกูล ‘ชินวัตร-วงศ์สวัสดิ์’
คำถามคือ เขาจะสามารถสลัดหลุดจากเงาของผู้เป็นแม่ได้หรือไม่?
หรือจะยิ่งเป็นการตอกย้ำสถานะ “ซูสีเพื่อไทยเฮาตัวจริง เจ๊แดง Never Dies!!”
เรื่อง: แก้วอัมพร
ภาพ: แฟ้มภาพเครือเนชั่น (Nation Photo)