นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ จากเสียงปรบมือสู่คำสั่งปลด 

นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ จากเสียงปรบมือสู่คำสั่งปลด 

จากเสียงปรบมือสู่ความท้าทายครั้งใหญ่ ชีวิตการต่อสู้ของ นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ประธานชมรมแพทย์ชนบท กับเส้นทางเต็มไปด้วยความขัดแย้ง การย้าย การสอบวินัย และการเผชิญหน้ากับระบบ  

KEY

POINTS

หลังเลิกจากงานดูแลรักษาผู้ป่วย คุณหมอคนหนึ่งใช้เวลาว่างที่มีอยู่เพียงน้อยนิดในแต่ละวัน แปลเอกสารภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย เพื่อบรรยายให้ชาวบ้านในจังหวัดสงขลาเข้าใจผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากโครงการใหญ่ของภาครัฐ 

ข้อมูลในเอกสารลับที่ใครบางคนแอบส่งมาให้ชี้ว่า โครงการนี้จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนในพื้นที่อย่างใหญ่หลวง 

หมอผู้นั้นชื่อ ‘สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ’ หรือ ‘หมอจุ๊ก’ ประธานชมรมแพทย์ชนบท

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องเลือกระหว่าง ‘การเงียบเฉย’ กับ ‘การพูดความจริง’ และก็จะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เพราะตั้งแต่วันที่ได้ปริญญาแพทย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมา ชีวิตของเขาก็เป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยการต่อสู้อย่างไม่หยุดหย่อน

ชีวิตของหมอสุภัทรเป็นเรื่องราวของการเลือกที่จะอยู่ข้างประชาชนอยู่เสมอ และวันที่ 31 สิงหาคม 2567 เมื่อ ‘ขบวนการแพทย์ชนบท’ ได้รับรางวัล ‘แมกไซไซ’ หรือ ‘โนเบลแห่งเอเชีย’ จากการทำงานเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพของประเทศไทย โดยเฉพาะการผลักดันหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และการช่วยเหลือประชาชนในช่วงการระบาดของโควิด-19 

ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าเส้นทางที่เขาเลือกเดินนั้นถูกต้องแล้ว

แต่เพียงปีเดียวหลังจากนั้น วันที่ 16 สิงหาคม 2568 เขาต้องโพสต์ข้อความสะเทือนใจที่ขึ้นต้นด้วยประโยคที่ว่า “ผมกำลังจะถูกให้ออกจากราชการ!!” หลังถูกตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงจากการจัดซื้อ ATK สมัยโควิด 

ต่อไปนี้คือชีวิตของคนที่เลือกจะต่อสู้กระทั่งได้รับเสียงปรบมือชื่นชมจากประชาชน แต่กลับต้องเสี่ยงสูญเสียงานที่รัก

เด็กชายสุภัทร เกิดวันที่ 9 มกราคม 2513 ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เขาเป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก และเมื่อต้องเลือกระหว่างเป็น ‘หมอ’ หรือ ‘วิศวกร’ เขาเลือกอย่างแรก โดยไม่มีใครล่วงรู้ว่า การตัดสินใจครั้งนั้นจะนำเขาไปสู่เส้นทางที่ไม่เคยคิดฝัน

การมาเรียนที่จุฬาฯ และได้ทำกิจกรรมมากมาย โดยเฉพาะการเข้าค่ายอาสา นับเป็นการเปิดโลกใหม่ให้กับสุภัทร ช่วงวัยที่เต็มไปด้วยพลังและความฝัน เขาได้เห็นชีวิตคนจริง ๆ ที่ไม่มีตำราเล่มไหนเคยสอน จากสลัมคลองเตยไปจนถึงหมู่บ้านป่าสงวนที่ไม่มีไฟฟ้า ไหนจะได้พบปะกับชาวไร่ชาวนาที่เดินลุยโคลนเท้าเปล่าจนพยาธิชอนไชผิวหนัง ประสบการณ์เหล่านี้ปลุกไฟให้ลุกโชติช่วงในใจ เขารอคอยวันเวลาที่จะได้สร้างการเปลี่ยนแปลงให้ชีวิตของผู้คนเหล่านี้ 

ในรั้วมหาวิทยาลัย ในที่สุดสนามแห่งการสร้างการเปลี่ยนแปลงแรกก็มาถึง เขารวมตัวกับเพื่อนต่างคณะตั้ง ‘พรรคจุฬาฟ้าใหม่’ และลงสมัครเป็นนายกองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาฯ ด้วยความฝันที่จะเปลี่ยนบรรยากาศกิจกรรมจากสนุกสนานร่าเริงให้เป็นการทำประโยชน์เพื่อสังคม 

พรรคจุฬาฟ้าใหม่ชนะการเลือกตั้ง แต่หลังจากนั้นเพียง 15 วัน คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติเข้ายึดอำนาจ นายก อบจ.หน้าใหม่ จึงประเดิมด้วยการแถลงข่าวเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักศึกษาที่ถูกจับ และเข้าร่วมขับเคลื่อนต่อต้านรัฐบาลทหารอย่างเต็มตัว

บทบาทการเมืองของเขาขยายวงกว้างขึ้นเมื่อได้เป็นเลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยในยุค ‘พฤษภาทมิฬ’ ช่วงเวลาที่นักศึกษาลุกขึ้นสู้กับเผด็จการอีกครั้ง 

แต่แล้วในโลกความจริง เขาก็ได้ค้นพบว่าตัวเองไม่สามารถต่อกรกับโครงสร้างอำนาจที่ยิ่งใหญ่ได้เลย สิ่งที่ทำได้ในตอนนั้นคือการกลับมาตั้งใจเรียนจนจบ แล้วเดินทางกลับไปสู่รากเหง้า 

หมอสุภัทรเริ่มต้นชีวิตการทำงานที่โรงพยาบาลสะบ้าย้อย อำเภอที่อยู่ห่างไกลจากตัวจังหวัดสงขลาถึง 100 กิโลเมตร ทั้งโรงพยาบาลมีหมอแค่ 2 คน เมื่อเพื่อนหมออีกคนไม่อยากเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล เขาจึงต้องรับทำหน้าที่นี้เอง 

แม้จะมีตำแหน่งเป็นถึงผู้อำนวยการ แต่ชีวิตแพทย์หนุ่มก็ไม่ได้หรูหราเหมือนผู้อำนวยการโรงพยาบาลใหญ่ ๆ ทุกวันจันทร์เขาต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อขึ้นรถเมล์คันแรก ใช้เวลาสองชั่วโมงครึ่งกว่าจะมาถึงที่โรงพยาบาล ทำงานเก็บเงินอยู่เป็นปีกว่าจะมีรถขับมาทำงาน 

อยู่ที่นี่ได้ 3-4 ปี เขาก็ได้ย้ายไปเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ ในจังหวัดเดียวกัน แล้วชีวิตก็เริ่มซับซ้อนขึ้น เมื่อมีโครงการโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย เข้ามาในพื้นที่ 

โครงการนี้ทำให้เขาต้องเลือก ระหว่างการ ‘เงียบ’ แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองไป ไม่ต้องเอาอาชีพการงานเข้าเสี่ยง กับ ‘พูด’ เพื่อให้ข้อมูลที่กระจ่างแจ้งกับชาวบ้านในพื้นที่

เขาเลือกทางหลังโดยไม่ลังเล ด้วยการแปลเอกสารลับภาษาอังกฤษ พูดคุยทำความเข้าใจกับชาวบ้านถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ควบคู่กับการลงพื้นที่กับชาวบ้านอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ง่าย ทั้งหมอสุภัทรและชาวบ้านถูกเล่นงานจากทุกทิศทุกทาง ถึงจุดหนึ่งหมอสุภัทรก็ถูกผู้ใหญ่เรียกไปสอบถามว่า “จะเป็นหมอหรือเอ็นจีโอ” จนเกือบโดนย้าย แต่สุดท้ายก็รอดเพราะผู้ใหญ่ท่านนั้นถูกย้ายไปเสียก่อน 

แม้บางขณะชาวบ้านจะรู้สึกพ่ายแพ้เพราะโรงแยกก๊าซสร้างสำเร็จ แต่ท่าเรือกับนิคมอุตสาหกรรมก็ไม่เกิดขึ้นในพื้นที่ ส่วนหมอสุภัทรก็ได้เรียนรู้ปรัชญาสำคัญจากเรื่องนี้คือ “ทำให้เต็มที่ สู้ให้เต็มที่ ไม่ต้องไปสนใจผลลัพธ์” 

ปี 2563 หมอสุภัทรได้รับเลือกเป็น ‘ประธานชมรมแพทย์ชนบท’ เสียงของเขาดังขึ้น การทักท้วงเสนอแนะเรื่องต่าง ๆ ในกระทรวงสาธารณสุข ไม่ว่าจะเป็นการไม่เห็นด้วยต่อนโยบายกัญชาเสรี การโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม การบริหารจัดการโควิดและวัคซีน หรือการซื้อชุดตรวจ ATK ที่มีข้อสงสัย 

แล้ววันที่ 26 มกราคม 2566 ก็มีคำสั่งย้ายเขาจากโรงพยาบาลจะนะไปโรงพยาบาลสะบ้าย้อย ต่อมา กระทรวงสาธารณสุขตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการทำงานในโรงพยาบาลจะนะ นำไปสู่การตั้งกรรมการสอบวินัยรวม 10 เรื่อง ส่วนใหญ่ยุติไปแล้ว มีเพียงกรณีจัดซื้อ ATK ที่ยังคงถูกชี้มูลความผิด

กรณีนี้ต้องย้อนไปในช่วงโควิดระบาด ที่หมอสุภัทรและเพื่อนแพทย์ชนบทตัดสินใจ ‘บุกกรุง’ 3 รอบ ช่วยตรวจ ATK ให้คนกรุงเทพฯ ตรวจไปเกือบสองแสนคน ช่วยคนติดเชื้อได้มากกว่าสองหมื่นคน แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือข้อหาวินัยร้ายแรง “จัดซื้อผิดระเบียบ แบ่งซื้อแบ่งจ้าง”

ในเฟซบุ๊ก หมอสุภัทรเล่าว่า การที่เขาเลือกอยู่โรงพยาบาลชุมชนแทนที่จะขอเลื่อนตำแหน่ง การติด solar cell บนหลังคาโรงพยาบาลโดยไม่ขออนุญาต การใช้รถตู้โรงพยาบาลรับส่งผู้ป่วยเก็บค่าโดยสาร 150 บาท ล้วนเป็นการ “ไต่เส้นแห่งการทำประโยชน์ที่เข้าถึงผู้คนจริง ๆ” แต่ในสายตาของระบบ มันคือการฝ่าฝืนกฎระเบียบ

“ผมตั้งใจมั่นในตัวตนของผมที่จะเป็นแบบนี้ ผมจึงเลือกอยู่อำเภอไกล ๆ เพื่อให้มีเสรีภาพ มีพี่น้องชาวบ้านที่พร้อมร่วมทุกข์ร่วมสุขในการทำหน้าที่ข้าราชการที่ไต่เส้นแห่งการทำประโยชน์ที่เข้าถึงผู้คนจริง ๆ”

วันที่ 17 สิงหาคม 2568 ผู้คนมาให้กำลังใจเขาที่หาดสวนกง อำเภอจะนะ มากมายจนเกินความคาดหมาย “ประเทศไทยไปไหนไม่ได้ไกลก็เพราะระบบราชการถูกมัดตราสังข์ด้วยระเบียบกฎเกณฑ์และการกดทับด้วยอำนาจ จนขยับตัวไม่ได้ พูดทักวิจารณ์ไม่ได้” เขาเขียน

ชีวิตของหมอสุภัทรเป็นเรื่องราวของ ‘การเลือก’ ระหว่างความปลอดภัยกับความถูกต้อง ระหว่างการเงียบกับการพูด ระหว่างการยอมรับกับการต่อสู้ เขาเลือกสู้ จนได้รับการยอมรับและเสียงปรบมือแซ่ซ้องจากประชาชน แต่ก็ต้องเอาหน้าที่การงานมาเป็นเดิมพัน เพื่อพิสูจน์ว่า การเป็นข้าราชการดีที่แท้จริงคือการไม่ยอมเงียบเมื่อเห็นความไม่ถูกต้อง 

“เราสู้ไปด้วยกันนะครับ” หมอสุภัทรยังยืนยันจะสู้ต่อเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

แล้วคุณล่ะ เมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกระหว่างการทำตามคำสั่งกับการทำตามมโนธรรม คุณจะเลือกอย่างไร? 

 

เรียบเรียง: พาฝัน ศรีเริงหล้า

อ้างอิง:

"นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ." The Momentum, themomentum.co/supat-hasuwannakit-interview/. Accessed 18 Aug. 2025.

"สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ หมอจุ๊ก ผอ.รพ.จะนะ ประธานชมรมแพทย์ชนบท." Isranews Agency, 27 Jan. 2023, www.isranews.org/article/south-news/south-slide/115577-supatjana.html. Accessed 18 Aug. 2025.

"หมอจุ๊ก แพทย์ผู้ปฏิบัติงานเพื่อชุมชน." Way Magazine, waymagazine.org/gooddoctor/. Accessed 18 Aug. 2025.

"'หมอจุ๊ก' ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อย ประธานชมรมแพทย์ชนบท." ฐานเศรษฐกิจ, 31 Aug. 2024, www.thansettakij.com/health-wellness/636270. Accessed 18 Aug. 2025.

"นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ." เว็บไซต์ศิษย์เก่าคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, alumni.md.chula.ac.th/alumni_people-detail.php?content_id=27. Accessed 18 Aug. 2025.

"'ขบวนการแพทย์ชนบท' ได้รับ 'รางวัลแมกไซไซ ประจำปี 2567'." Health Focus, 31 Aug. 2024, www.hfocus.org/content/2024/08/31511. Accessed 18 Aug. 2025.

Hasuwannakit, Supat. "ผมกำลังจะถูกให้ออกจากราชการ!!" Facebook, 16 Aug. 2568, www.facebook.com/supathasuwannakit/posts/1192074942959043. Accessed 18 Aug. 2025.