‘ดีเจพี่อ้อย’ แห่งคลับฟรายเดย์ กับมุมมองต่อปัญหาความรักที่ไม่มีสูตรสำเร็จ

‘ดีเจพี่อ้อย’ แห่งคลับฟรายเดย์ กับมุมมองต่อปัญหาความรักที่ไม่มีสูตรสำเร็จ

มุมมองและแนวคิดที่มีต่อ ‘ปัญหาความรัก’ ของ ‘ดีเจพี่อ้อย’ นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล แห่ง ‘คลับฟรายเดย์’

  • คลับฟรายเดย์กำลังจะขึ้นสู่ปีที่ 20 แล้ว พี่อ้อยเผยว่า ‘นอกใจ’ ยังเป็นปัญหาอันดับ 1 อยู่ 
  • พี่อ้อยเป็นคนที่ทำคลับฟรายเดย์มาโดยไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นโค้ชเรื่องความรัก เพราะเรื่องความรักไม่มีใครเก่งกว่าใคร อยู่ที่ใครตั้งสติได้ก่อนกัน ที่สำคัญคือ ‘ความรักไม่มีสูตรสำเร็จ’ 
  • ในมุมมองของพี่อ้อย ถ้าเมื่อใดก็ตามที่มีความสุขจากความรักไม่ได้แล้วผูกขาด ต้องใช้คำว่าอดทนไปตลอดชีวิต ถือว่าคนคนนั้นไม่รักตัวเองมากพอ 

“เมื่อใดก็ตามที่มีความสุขจากความรักไม่ได้ ต้องใช้คำว่าอดทนไปตลอดชีวิต ถือว่าคนคนนั้นไม่รักตัวเองมากพอ”

เป็นหนึ่งในคำคมบาดลึกที่ ‘ดีเจพี่อ้อย’ นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล ตกผลึกจากการรับฟังปัญหาของทุกสายที่โทรฯ เข้ามาใน ‘คลับฟรายเดย์’

แม้จะออกตัวว่าไม่ได้เป็น ‘โค้ชความรัก’ แต่ประสบการณ์การทำงานเพื่อ ‘แตะเบรก และให้สติ’ คนที่กำลังทุกข์ใจจากพิษรัก ยาวนานเข้าปีที่ 20 ทำให้ The People เลือกเข้าไปพูดคุยกับพี่อ้อย เนื่องในโอกาสเดือนแห่งความรัก 

‘ดีเจพี่อ้อย’ แห่งคลับฟรายเดย์ กับมุมมองต่อปัญหาความรักที่ไม่มีสูตรสำเร็จ

สำหรับใครที่อยากซึมซับคำคมและแนวคิดเรื่องความรักจากพี่อ้อยในรูปแบบ ‘ตัวอักษร’ ที่เจ็บจี๊ดไม่แพ้รูปแบบ ‘เสียง’ ติดตามอ่านบทสนทนาทั้งหมดได้ที่บรรทัดต่อจากนี้ 

The People : เทิร์นนิงพอยต์ที่ทำให้พี่อ้อยเข้าสู่รายการคลับฟรายเดย์  

พี่อ้อย : จริง ๆ จะเรียกว่าเทิร์นนิงพอยต์ซะทีเดียวก็ไม่ถึงขนาดนั้น บังเอิญว่าตัวเองก็จัดรายการที่กรีนเวฟ แล้วก็เปิดเพลง พอดีช่วงนั้นต้องยอมรับว่ามันมีรายการวิทยุที่มาจากต่างประเทศ ซึ่งรายการวิทยุของเขา ก่อนที่เขาจะมาทำรายการในบ้านเรา เขาก็จะมีการรีเสิร์ชว่า รายการวิทยุเมืองไทยอะไรคือสิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดที่ทำให้คนไม่ชอบฟัง 

แน่นอนอันดับหนึ่งโฆษณา อันดับสองดีเจพูดเยอะ คราวนี้เวลาที่เขาจะเข้ามาทำรายการเพื่อจะให้ประสบความสำเร็จในบ้านเรา เขาก็เลยเอาสองอย่างนี้ออก ซึ่งเอาจริง ๆ มันออกยากมากนะ เพราะโฆษณาคือผู้มีอุปการคุณของพวกเรา แต่เขาก็คิดว่าไม่เป็นไร เขาจะยังไม่ค่อยมีโฆษณา สายป่านยาว แต่เขาจะทำให้รถทุกคันในกรุงเทพฯ ฟังเขาให้ได้หมดเลย แล้วพอหลังจากโฆษณาน้อย ๆ แล้ว อีกอันหนึ่งคือดีเจของเขาพูดน้อยมาก จุดขายเลยกลายเป็นว่าแค่สองอย่างนี้ประสบความสำเร็จแล้ว รถทุกคันในกรุงเทพฯ ฟังคลื่นนี้ 

‘ดีเจพี่อ้อย’ แห่งคลับฟรายเดย์ กับมุมมองต่อปัญหาความรักที่ไม่มีสูตรสำเร็จ

คราวนี้พี่ฉอดเองก็ยังมาคุยกันว่า พี่ว่าคนเรายังอยากฟังคนคุยกันนะ แต่มันอยู่ที่ว่าคุยอะไร ไม่มีหรอกใครจะมาแข่งกันเปิดเพลงอย่างเดียว ถ้าเกิดมีใครสักคนหนึ่งมาบอกว่า พี่อ้อยคะ หนูชอบพี่จังเลยค่ะ พี่ไม่ค่อยพูดดี จุดขายของดีเจคือการไม่ค่อยพูดหรือ พี่ฉอดบอกว่าเดี๋ยวเราจะทำทอล์กโชว์ 

คราวนี้ก็เลยทำทอล์กโชว์รายการแรกที่ EFM ก่อน คือ ‘แฉแต่เช้า’ อันนั้นก็จะมี ‘มดดำ’ กับ ‘กฤษณ์ ศรีภูมิเศรษฐ์’ ไม่มีการเปิดเพลงเลย แต่รายการประสบความสำเร็จมาก อันนั้นก็จะแฉวงการบันเทิง 

คราวนี้ก็มาดูว่า เอ๊ะ! แล้วถ้ากรีนเวฟจะมีทอล์กโชว์ กรีนเวฟจะทอล์กอะไร จะแฉเย็นเหรอ บุคลิกดีเจก็ไม่ใช่คนที่อยากรู้เรื่องบันทงบันเทิงขนาดนั้น ก็เลยคิดเอาว่าตอนนั้นเวลาที่คนฟังฟังรายการอย่างกรีนเวฟขอเพลง Easy Listening เรามักจะมีเรื่องส่วนตัวของเราอยู่ในเพลงอยู่แล้ว ขอเพลงนี้เพราะว่าเพลงนี้มันตรงกับชีวิตหนูจังเลยค่ะพี่ หนูชอบเพลง ‘คนไม่จำเป็น’ จังเลยค่ะ เพราะหนูเป็นคนไม่จำเป็นอยู่เลยค่ะ มันก็จะต้องมีเรื่องของตัวเองอยู่ในเพลงเพลงนั้นอยู่แล้ว 

เราก็เลยรู้สึกว่าหรือในที่สุดแล้ว เราก็เอาเรื่องราวของผู้คนที่โทรฯ เข้ามานี่แหละ มาเป็นเรื่องและเป็นประเด็นในการคุยกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ง่ายที่สุดก็คือ เป็นไงคะ ชอบเพลงไหนอยู่คะ ทำไมถึงชอบเพลงนี้ล่ะคะ จำได้เลยว่าตอนแรกของคลับฟรายเดย์ชื่อตอนว่า  ‘รักเขาเท่าเพลงไหน’ พอดีตอนนั้นมีหนังสือของตัวเองแล้วก็ใช้ชื่อว่า ‘รักเขาเท่าเพลงไหน’ พอดี ก็คือเอาเรื่องเรารีเลทกับเพลงแล้วก็เล่าเรื่องส่วนตัว 

หลังจากนั้นก็เลยรู้สึกว่า คลับฟรายเดย์คืออันนี้แหละ เราจะคุยเรื่องของความรักกันทุกวันศุกร์ ก็เติบโตจากวันนั้นยาวมาถึงตรงนี้ ถ้าจะถามว่ามันเป็นถึงขั้นเทิร์นนิงพอยต์ไหม ไม่ถึงขนาดนั้น เพราะปกติก็เป็นดีเจที่ชอบคุยเรื่องของความรักความสัมพันธ์อยู่แล้ว เพียงแต่แค่คลับฟรายเดย์มันทำให้ภาพตรงนี้ชัดเจนขึ้น 

จนกระทั่งแตกต่าง เขาเรียกว่าต่อยอด แต่การต่อยอดนั้นมันมาจากการต่อยอดจากคนอื่น ไปอยู่ในหนัง ‘กวนมึนโฮ’ ทุกคนก็เลยเรียกเป็นพี่อ้อยพี่ฉอด เพราะว่าตัวแสดงในเรื่องเรียกพี่อ้อยพี่ฉอด แล้วก็ยาวนานมาเรื่อย ๆ ทำเป็นหนังสือ ทำเป็นละคร ทำเป็นคอนเสิร์ต แล้วก็จนกระทั่งมาถึงทุกวันนี้

‘ดีเจพี่อ้อย’ แห่งคลับฟรายเดย์ กับมุมมองต่อปัญหาความรักที่ไม่มีสูตรสำเร็จ

The People : พี่อ้อยฟังเรื่องคนอื่นมาเยอะ เรื่องดิ่ง ๆ ก็เยอะ พี่อ้อยมีวิธีจัดการอารมณ์ตัวเองอย่างไร

พี่อ้อย : วิธีจัดการอารมณ์ตัวเองเหรอ คือเวลาต่อให้ฟังเรื่องดิ่งไม่ดิ่ง อาจจะด้วยคุณสมบัติพิเศษชอบฟังเรื่องชาวบ้าน คือการชอบฟังเรื่องของคนอื่นส่วนหนึ่งเหมือนเราได้เรียนรู้มนุษย์ด้วย แต่ละคนเป็นตำราแต่ละเล่ม ๆ มนุษย์คือตำราเล่มใหญ่ที่สอนเรื่องใจได้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นมันเหมือนกับเราไม่ได้เข้าไปเป็นสิ่งที่คนคนนั้นเป็น แต่เรายืนมองแล้วก็ได้เรียนรู้สิ่งที่เขาเจอมากกว่า เพราะฉะนั้นก็เลยไม่ค่อยได้มีปัญหากับการที่รู้สึกว่าเราจะรับมือกับอารมณ์ตัวเองไม่ได้ 

เนื่องจากเวลาที่เราฟังเขา เรายังทำรายการวิทยุอยู่ เราไม่ได้ลงไปเหมือนกับ โอ้ จริงด้วย ทุกข์จังเลย ระทมทุกข์มาก ๆ เลย แต่การทำรายการวิทยุของเราก็คือ บังเอิญมีชีวิตของเขาเป็นคอนเทนต์หนึ่งในรายการ เรายังต้องพูดคุยกับเจ้าของเรื่อง ในขณะเดียวกันเรายังต้องพูดคุยกับคุณผู้ฟังคนอื่น ๆ ที่นั่งฟังเรื่องราวของคนคนนี้อยู่ ก็เลยไม่ค่อยได้มีความดิ่ง 

แต่มันจะเป็นวิธีการเรียนรู้มากกว่าว่า เออเนอะเราเจอเรื่องแบบนี้ ถ้าเป็นเรา เราทำอย่างไร หรือแม้แต่การฟังเรื่องของคนอื่นทำให้เราเข้าใจเรื่องของตัวเองมากขึ้น หรือแม้แต่การฟังเรื่องของคนอื่นทำให้เรายังรู้สึกดีกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเรามากขึ้น ถ้าเจอหนักแบบคนนั้นแย่เลยเนอะ เจอแค่นี้ไหวแล้วละ หรือแม้แต่โชคดีแค่ไหนที่ขณะเราเจอเรื่องของเรา เรายังสามารถเป็นพลังให้กับคนอื่นได้ด้วย มันก็เลยกลายเป็นสิ่งที่เราได้วิธีคิดจากชีวิตของคนอื่น ๆ และเราก็ยังสามารถรู้สึกภูมิใจในความเป็นงานของเราที่เราไม่ได้ดิ่งไปกับเขา แต่เรายังสามารถช่วยประคองหัวใจของเขาได้

The People : มีเคสไหนที่พี่อ้อยรู้สึกว่าหนักจังเลย

พี่อ้อย : จริง ๆ ทุกเคสหนักเหมือนกันหมดแหละ ทุกเรื่องในโลกถ้ามันสามารถทำร้ายความรู้สึกของคนคนหนึ่งได้ มันก็คงจะหนักหนาประมาณกัน เคยคุยกับน้องคนหนึ่ง น้องคนนี้เป็นคนที่บอกกับตัวเองเสมอว่า ไม่ว่าอย่างไรเขารับการนอกใจไม่ได้แน่ ๆ แล้วไปเจอว่าสามีนอกใจ แล้วพอสามีนอกใจปั๊บ ตัวเองก็มีลูกด้วย วิธีการตัดสินใจในตอนนั้นคือเลิกเลย เพราะคนที่สามีเราไปนอกใจดันเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังจะเข้าสู่พิธีแต่งงาน 

คราวนี้ตัวเองก็เลยบอกว่า เธอ…เรารับเรื่องนอกใจไม่ได้จริง ๆ เพราะฉะนั้นเราขอสิ้นสุดความเป็นสามีภรรยา เราเป็นแค่พ่อของลูกและแม่ของลูกนะ โอเคตามนั้น ปรากฏผู้หญิงคนใหม่ของผู้ชายของเรานั้นก็บอกเลิกสามีเราพอดีเพื่อจะไปแต่งงานกับคนของเขา ก็เป็นไปตามสิ่งที่รู้มาตั้งแต่ต้น สามีหันกลับมาขอคืนดี แต่เจ้าของเรื่องไม่สามารถแล้ว เพราะมันรู้สึกว่าเขาไม่สามารถรับมือกับความระแวงของตัวเองได้อีกต่อไป ถ้าเกิดคนคนหนึ่งเดินออกจากชีวิตเราแล้ว แล้วยังจะวนกลับมาอีก 

ที่สุดแล้วผู้ชายฆ่าตัวตาย น้องผู้หญิงเจ้าของเรื่องตั้งคำถามกับตัวเองว่า ตกลงที่สามีเก่าฆ่าตัวตาย เพราะเราไม่รับการคืนดี คือไม่คืนดีกับเขา หรือเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้นทิ้ง ที่สำคัญตัวเองถูกครอบครัวฝ่ายชายกระหน่ำด่า ทำไมเรื่องแค่นี้มันยอมรับกันไม่ได้ ทำไมให้อภัยกันไม่ได้ นั่นคือคำถามของเขาว่า สรุปคนที่ยอมรับเรื่องการนอกใจไม่ได้ เป็นคนผิดหรือ 

ทำไมถึงรู้สึกว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องหนัก เรากำลังอนุญาตให้การทำผิดพร้อม ๆ กัน แล้วบอกว่าสิ่งนั้นไม่ผิด เฮ้ย ทำไมไม่ให้อภัย ใคร ๆ เขาก็นอกใจกัน เหรอ? มันใช่แบบนั้นจริง ๆ หรือ? คือที่บอกว่าเรื่องนี้มันใหญ่คือ เข้าใจหัวใจของน้องผู้หญิงคนนั้นเลยที่เขาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เขาจะรู้สึกนอยด์ขนาดไหนว่าทำไมอยู่ ๆ กลายเป็นเขา คือสาเหตุที่ทำให้สามีฆ่าตัวตายเหรอ ซึ่งบางทีอาจจะไม่ใช่เรื่องของเขาเลยก็ได้ 

แล้ววันนี้ปัญหาหลายเรื่องในโลกมันเป็นอย่างนี้ มันหาคนถูกร้อยเปอร์เซ็นต์หรือผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่เจอ มันเกิดจากจังหวะที่มันพอดี สิ่งนั้นเกิดขึ้นพอดี สิ่งนี้เกิดขึ้นพอดี ก็ยังยืนยันกับน้องเจ้าของเรื่องไปว่า หนูไม่ผิดลูก พี่ไม่คิดว่าหนูผิด ไม่รู้สิ ถ้าคิดว่าการนอกใจเป็นเรื่องธรรมดา การเสียน้ำตาก็เป็นเรื่องปกติสิ ถ้าทุกคนคิดว่าการนอกใจเป็นเรื่องปกติ ก็ไม่ต้องโทรฯ มาคลับฟรายเดย์กันแล้ว แต่ที่ทุกวันนี้ที่คลับฟรายเดย์จะขึ้นสู่ปีที่ 20 แล้วเนี่ย เรื่องนอกใจยังเป็นปัญหาอันดับ 1 อยู่เลย เพราะแต่ละคนยังเจ็บปวดจากการนอกใจไง 

เนี่ยมันเป็นเรื่องที่ทำให้เราตั้งคำถามกับตัวเองว่า เหรอ เราต้องเปลี่ยนมายด์เซตแล้วเหรอว่า เฮ้ย นอกใจก็ต้องให้อภัยสิ ใคร ๆ ก็นอกใจทั้งนั้น แต่ไม่รู้ต่อให้เป็นคนสุดท้ายในโลกที่จะพูดว่า นอกใจมันไม่ใช่ความปกตินะ มันยากตรงไหน ถ้าเรารักใครเราก็ไม่อยากทำให้เขาเสียใจเพราะเรา จริง ๆ แล้วมันยากตรงไหนเหรอ

‘ดีเจพี่อ้อย’ แห่งคลับฟรายเดย์ กับมุมมองต่อปัญหาความรักที่ไม่มีสูตรสำเร็จ

The People : เหมือนกับว่าผู้คนในสังคมชาชินกับเรื่องนอกใจ เขาชาชินหรือเปล่า ถ้าเขาชาชินเรื่องนี้มันสะท้อนอะไร

พี่อ้อย : หนึ่ง ถ้าชาชินต้องไม่เจ็บปวด แต่นี่เขาไม่ได้ชาชิน แค่รู้สึกว่ามันห้ามไม่ได้แล้ว หรือแม้แต่ทุกเรื่องในโลกวันนี้แห่งความรวดเร็วว่องไว มันเอื้ออำนวยต่อการนอกใจได้ โดยที่บางคนไม่รู้สึกผิด เช่น มีแฟนในโลกความเป็นจริงคนหนึ่ง มีแฟนในโลกออนไลน์คนหนึ่ง หรือแม้แต่เวลาที่มีคนพูดเรื่องนี้พร้อม ๆ กัน แล้วก็บอกว่า เฮ้ย มันก็วอกแวกกันได้แหละ อ้าว เหรอ? เพราะฉะนั้นเราต้องยอมรับใช่ไหมว่าไม่เป็นไรหรอก เขาก็วอกแวกไปเดี๋ยวเขาก็กลับมา 

ถามว่ามันสะท้อนอะไร มันสะท้อนหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันมีความเปราะบางในสถาบันครอบครัวมากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย หรืออีกส่วนหนึ่งเราถือสาเรื่องการมีเจ้าของน้อยลงมากเลย แต่ก่อนในคลับฟรายเดย์ แค่เธอมีคนของเธอแล้วไปนอกใจก็ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่มากแล้ว ปัจจุบันฉันมีคนของฉัน เธอมีคนของเธอ แล้วยังนอกใจกัน มารักกัน มันเลยกลายเป็นว่าเรามีคนในความสัมพันธ์เยอะจังเลย อ้าว ทำไมมันต้องอนุญาตให้ตัวเองมีคนในความสัมพันธ์เยอะขนาดนั้น พอบอกว่า เฮ้ย ถ้าเกิดเธอรักคนนั้นมากกว่า เธอก็ไปเลิกกับคนของเธอสิ พี่คะเขาไม่ผิดอะไร อ้าวไม่ผิดแล้วเราทำผิดกับเขาทำไม 

ถามตรง ๆ เราซ้ายก็มีคนหนึ่ง ขวาก็มีคนหนึ่ง แล้วถ้าเกิดคนของเรามีแบบนี้บ้าง หนูโอเคไหม ไม่โอเคค่ะ อ้าว แล้วทำไมถึงไม่แฟร์ต่อคนที่เราเลือกมา ทำไมล่ะ การรักใครให้ซื่อสัตย์มันยากตรงไหน เอ่อพี่ แต่ว่าเขาไม่มีเวลาให้หนู เขาแค่ไม่มีเวลา แต่น้องนอกใจ อะไรผิดกว่า 

มันก็เป็นเรื่องที่เราต้องตั้งคำถามกันอยู่แบบนี้เรื่อย ๆ หรือแม้แต่เราบอกว่า พอสามีไม่มีเวลาให้เราก็เลยนอกใจไปกับอีกคนหนึ่ง แล้วอีกคนหนึ่งก็มีคนของเขาแล้วด้วยนะ ก็หนูไม่ได้อยากจะไปแย่งเขามาจากใคร โอ้โห ยิ่งยากใหญ่เลย เราก็เลยสามารถจะอยู่กันเป็นครอบครัวขยายแบบนี้ได้จริง ๆ หรือ 

เราสามารถที่จะเอาแต่ใจ โดยการทำร้ายใครต่อใครได้จริง ๆ หรือ เนี่ยมันก็จะวน ๆ อยู่กับสิ่งเหล่านี้ เพราะเราสามารถอนุญาตให้ตัวเองทำผิดได้ เพราะฉันมีเหตุผลรอบตัวเต็มไปหมดเลย แต่พอให้เลือกใครสักคนหนึ่ง ไม่รู้จะเลือกอย่างไร เพราะว่าสามีก็ดีกับหนู อย่างนี้มันก็จะเป็นเรื่องอึกอัก ๆ คลับฟรายเดย์เราจะได้ฟังเรื่องซ้ำ ๆ ที่พยายามจะให้เป็นสติ 

จนกระทั่งมีคนชอบถามว่า แล้วถ้าเกิดว่าพี่พูดไปแล้วเขาไม่เชื่อ อ๋อ ไม่จำเป็นต้องเชื่อ ทุกคนคือกองหน้า พี่เป็นกองเชียร์ ถ้าพี่เชียร์ให้หยุดแล้วน้องไม่หยุด น้องก็ยอมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เพราะในที่สุดแล้ว ไม่มีใครมีความสุข จากการที่มีความรักที่ต้องแบ่งและหารกับคนอื่น

The People : ความสัมพันธ์ที่หลากหลายในยุคนี้ การติดต่อสื่อสารที่สะดวกกว่าแต่ก่อน พี่คิดอย่างไรกับคำว่า ‘คนคุย’

พี่อ้อย : มันเป็นแค่คำคำหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสนองตอบความไม่ต้องรับผิดชอบต่อคนที่เราคุยด้วย วันนี้ไม่ใช่มีแค่คนคุย ๆ นะ มีคนรู้สึกดี มีคนที่โทรฯ ปลุกทุกเช้า แต่พอถามว่า แล้วเราเป็นอะไรกัน ก็พี่น้องไง แต่โทรฯ ปลุกทุกเช้า เพราะฉะนั้นเราจะมีคนในความสัมพันธ์เยอะมาก และใครรู้สึกก่อนเจ็บกว่า เฮ้ย พี่คนคุย ๆ หึงได้ไหม น้องถามเขาสิว่าน้องเป็นแค่คนคุย น้องหึงได้ไหม 

หรือบางคนก็จะมีข้ออ้าง หรือจะเรียกว่าเหตุผลก็ได้ ก็หนูยังไม่ได้เลือกใครเป็นแฟน หนูก็เลยคุยไปเรื่อย ๆ เพื่อจะคัดหาคนที่ดีที่สุด เหรอ น้องอยากได้ความจริงใจแล้วเอาความหลายใจเข้าไปแลกเนี่ยนะ น้องอยากได้คนที่รักเดียว แต่น้องโชว์ความไม่จริงใจให้เขาก่อน เพราะฉะนั้นน้องต้องแฟร์ ๆ ไปเลยนะ แล้วบอกกับเขาเลยนะว่า หนูคุยกับอีก 5 คน เอาปะล่ะ แต่อย่ามาหลอกเขาว่าหนูคุยกับเขาคนเดียว ทั้งที่ในใจเราแอบเก็บเอาไว้ว่า หรือจะคนนั้น หรือจะคนนี้ หรือจะคนโน้น เฮ้ย พี่จะให้ตัดใครตอนนี้ไม่ได้ หนูก็รักมาก รักมากแค่ไหนเชียว มีเขาคนเดียวหนูยังทำไม่ได้เลย 

บางทีทุกคนมีคำตอบหมดแล้ว สิ่งที่พูดไปในรายการทุกคนรู้หมด เหลืออดไม่ได้อย่างเดียว และคิดว่าการเห็นแก่ตัวของเรา จนไม่แคร์หัวใจคนอื่น ๆ คือเหตุผลที่ทำให้เราต้องเลือกหลาย ๆ คน เพราะฉะนั้นคนคุย ๆ ถ้าคุณยอมรับในสถานภาพของคุณได้ ไม่รู้นะวันนี้เขาคงวิน ๆ มั้ง ก็เขาบอกแล้วไงว่าคุณเป็นแค่คนคุย ๆ แต่ถ้าคุณไม่รู้สึกว่ามันไม่วินจริง ๆ คุณก็มีสิทธิ์ในการเลือกความสัมพันธ์ของตัวเอง ทำไมเราจะต้องกินตำแหน่งคนคุย ๆ รู้สึกมากกว่าเจ็บกว่าอย่างที่บอกไว้ เข้าใกล้กว่านี้เขาก็ไม่ให้ ไอ้เราจะเดินออกไปก็เดินไม่ไหวเองอยู่ดี และหวังว่าวันหนึ่งคนคุย ๆ คงจะได้เลื่อนตำแหน่งไปสู่คนที่มีฐานะที่ชัดกว่านี้มั้ง ก็มี 

แต่จริง ๆ ทั้งหมดเรื่องความสัมพันธ์เป็นเรื่องสุดแท้แต่นะ ทุกคนมีสิทธิ์เลือก เพียงแต่คลับฟรายเดย์เล่าให้ฟังว่ามันน่าจะเจอกับอะไรได้บ้าง บางคนเป็นคนคุย ๆ แบบนั้น เพราะคิดว่าเดี๋ยวถ้าเกิดเขาเลิกกับแฟนเขา หนูจะต้องได้เลื่อนขึ้นมา หนูไม่ใช่นางงามรองอันดับ 1 นะ ที่นางงามอันดับ 1 ถ้าทำประกอบภารกิจไม่ได้แล้วรองอันดับ 1 จะถูกเลื่อนขึ้นมา มีคนเยอะมาก เป็นคนคุย ๆ แบบไหนก็เป็นคนคุย ๆ แบบนั้น เขาเลิกกับแฟนเขา เขาก็หาแฟนใหม่ โดยมีคุณเป็นคนคุย ๆ อยู่ดี และทุกคนก็มานั่งตั้งคำถามว่า ทำไมล่ะพี่ เขาก็จะตั้งคำถามกับน้องเหมือนกันว่า แล้วมันต่างจากแต่ก่อนตรงไหน ก็แต่ก่อนเธอยังอยู่ได้ แล้วตอนนี้จะเอาอะไร เนี่ยมันคือสิ่งที่เราได้ยินกันมาตลอดในคลับฟรายเดย์ 

‘ดีเจพี่อ้อย’ แห่งคลับฟรายเดย์ กับมุมมองต่อปัญหาความรักที่ไม่มีสูตรสำเร็จ

The People : เคสแบบไหนที่เจอบ่อย

พี่อ้อย : นอกใจนี่แหละ เคสนอกใจไปกับสารพัดรูปแบบ นอกใจไปกับคนใกล้ตัว นอกใจไปกับหลาน บางคนนอกใจไปกับน้องที่ทำงาน คือเคสของการนอกใจมันมีรายละเอียดของมันในอีกหลายรูปแบบ แต่การนอกใจที่ตอนนี้มันเริ่มมีมากขึ้นคือ ต่างคนต่างมีคนของตัวเอง ต่างคนต่างมีเจ้าของ แต่ต่างคนต่างมาคุยกัน แล้วก็รู้สึกว่า มันไม่เห็นเป็นอะไร เพราะหนูไม่ได้แย่งคนของใคร 

พี่อ้อยเพิ่งดูซีรีส์เกาหลีเรื่องล่าสุด ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเป็นซีรีส์ที่ออกมานานแล้ว คือ ‘My Mister’ พี่อ้อยว่าหลาย ๆ คนคงเคยได้ดู อยู่ ๆ พี่อ้อยได้ยินประโยคหนึ่งในนั้น เป็นจากผู้ชายที่เป็นชู้กับภรรยาชาวบ้าน แล้วเขาพูดประโยคหนึ่งว่า เธอไม่รู้หรอกเหรอว่า ความสัมพันธ์ที่ปลอดภัยที่สุด คือความสัมพันธ์กับเมียคนอื่น แล้วเขาอธิบายตรงนี้ว่า เพราะคนคนนั้นจะช่วยกันปกปิดสิ่งที่เป็นความสัมพันธ์ของเรา เพราะอะไร เพราะเขาก็เดือดร้อนเช่นกัน 

เฮ้ย ซีรีส์นี้เกิดมาบนโลกประมาณ 4 - 5 ปีแล้ว เขาพูดถึงมุมนี้เอาไว้ คือไม่ได้บอกนะว่าประโยคนี้มันดี มันถูก หรืออะไรก็ตาม แต่มันอาจจะมีคนที่คิดแบบนี้จริง ๆ ก็ได้ ความสัมพันธ์ที่ไม่ต้องรับผิดชอบกัน ความสัมพันธ์ที่ไม่ต้องไปบอกกับใคร ๆ ว่าเรารักกัน 

อีกอันหนึ่งคือ ความสัมพันธ์ประเภทรักสนุก แต่ไม่ผูกพัน อันหนึ่งที่ตอนนี้เริ่มมีมากขึ้นในงานของพี่อ้อยคือ การออกไปทัวร์ตามโรงเรียน พี่อ้อยพี่ฉอดออนทัวร์ มันจะมีหลายสถาบันการศึกษา คำถามของน้อง ๆ มัธยมปลายหรือแม้แต่มหาวิทยาลัย มีคำถามเรื่องวันไนต์สแตนด์เยอะขึ้นเรื่อย ๆ เช่น หนูอกหักจากความรัก ถ้าหากเกิดว่าเราเอาหัวใจลงไปฝากไว้ที่เขา แล้วถูกทำร้ายแบบนี้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หนูวันไนต์สแตนด์ คำถามต่อมาคือ หนูผิดไหม ตำรวจไม่จับคนวันไนต์สแตนด์ แต่หนูยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นได้หรือเปล่า 

ไอ้คำว่ารักสนุก แต่ไม่ผูกพัน เปรี้ยว ๆ เนี่ย หนูเปรี้ยวได้ตามนั้นจริงไหม ส่วนใหญ่รักสนุกแต่ไม่ผูกพัน พอนานวันผูกพันแล้วจะเริ่มไม่สนุก แล้วพอเมื่อไหร่ก็ตามที่จะเรียกร้อง อะไรก็ตามที่เกิดขึ้น มันจะย้อนกลับไปที่เงื่อนไขแรก อ้าว ก็ไหนบอกว่าขำ ๆ เจอกันเมื่อเจอกันไม่ใช่หรือ เนี่ยมันก็จะมีคำถามแบบนี้ที่มันมีมากขึ้นเรื่อย ๆ 

The People : เรื่องการนอกใจ สังคมไทยอนุญาตให้ผู้ชายนอกใจได้มากกว่าผู้หญิงเหมือนเดิมไหม

พี่อ้อย : วันนี้ไม่นับเพศแล้ว พี่ว่าถ้าฟังกันจริง ๆ นะ ผู้หญิงเราเวลาโกหกแล้วเนียนกว่า พี่กล้าพูดจริง ๆ เพราะว่าอะไร วันนี้ไม่ต้องไปเกี่ยวกับเพศหรอก แต่ก่อนเราอาจจะได้ยินแบบนั้นเยอะ แต่วันนี้ถ้าเกิดจากการทำคลับฟรายเดย์ พี่ว่าผู้หญิงนอกใจก็ไม่น้อย และมีถึงขั้นนอกใจไปมีแฟนแบบเพศละคนก็มี เพราะอะไร เพราะรู้สึกว่ามันไม่มีความเสียหาย มีคนเยอะมากที่มีสามีแต่ว่าก็วอกแวกไปกับผู้หญิงด้วยกัน ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันก็มี ถ้ามันจะมีมันมีอยู่แล้วละ 

ฟังแบบนี้ไม่ได้แปลว่า โอ๊ย ทำไมสังคมไทยมันอยู่ยากจังเลย สังคมทั่วโลกจะมีคนที่มีความรักที่ดี จะมีคนที่เล่นสนุกกับความสัมพันธ์ของคน ไม่ต่างกัน เพียงแต่แค่เล่าให้ฟังว่า สิ่งที่เจอในคลับฟรายเดย์มันมีอารมณ์อะไรประมาณแบบไหนบ้าง เพราะถ้าคนมีความสุขเขาคงไม่โทรฯ เข้าคลับฟรายเดย์ แต่คนที่มีความทุกข์ก็อยากจะหาใครสักคนรับฟังสิ่งที่เขาเจอ 

เพราะฉะนั้นวันนี้สังคมไทย จะอนุญาตไหม มันอาจจะ เราเห็นตามทีวีหรือเราอาจจะเห็นมาตั้งแต่ยุคไหน ๆ ที่รู้สึกว่า ผู้ชายมีผู้หญิงเป็นบริวาร ผู้ชายคนไหนก็ตามที่สามารถบริหารจัดการให้มีเมียหลาย ๆ คนแล้วอยู่กันอย่างสันติสุข ทุกคนก็จะคิดว่า เจ๋ง ทำไมทำได้ แต่ทุกคนไม่เคยคิดเลยว่า แล้วทุกคนที่อยู่เป็นการใช้สามีร่วมกับคนอื่นมีความสุขจริงหรือเปล่า 

ขนาดตอนนั้นมันมีหนังสือแล้วเอามาทำเป็นละครเยอะมากคือ ‘มงกุฎดอกส้ม’ คงจำได้นะ บ้านเยอะมาก บ้านหนึ่ง บ้านสอง บ้านสาม บ้านสี่ จริง ๆ มีประโยคหนึ่งในหนังสือที่เขาพูดว่า เคยถามผู้หญิงแต่ละบ้านไหมว่าเขามีความสุขจริงหรือเปล่า เพราะหลาย ๆ ครั้ง สังคมไทยอาจจะเป็นสังคมที่ความเป็น ‘ชายเป็นใหญ่’ มันถูกซ่อนอยู่ในทุกยุคทุกสมัย แม้ว่าจะเป็นเจนฯ ปัจจุบันนี้แล้วก็ตาม 

วันนี้เรายังเห็นว่า หลายคนเวลามีลูกก็จะถามว่า เฮ้ย มีลูกชายหรือลูกสาว ลูกชาย โชคดีเนอะ โชคดีกว่าตรงไหนเหรอ ใช่ไหม ขนาดเป็นลูกสาวคนแรกของบ้าน แม่เป็นสะใภ้ใหญ่ของบ้านจีน แม่ร้องไห้แทบตายที่มีลูกเป็นลูกสาวคนแรก เพราะเขารู้สึกว่าทุกคนคาดหวังการมีลูกชาย เลยทำให้เรามีความรู้สึกว่า ผู้ชายเจ้าชู้ทุกคนแหละ เหรอ? เราต้องยอมรับจุดนั้นไปแล้วหรือ เพราะฉะนั้นวันนี้ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน ทุกคนควรมีความสุขจากความรัก ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีความสุขจากความรักไม่ได้แล้วผูกขาด ต้องใช้คำว่าอดทนไปตลอดชีวิต ถือว่าคนคนนั้นไม่รักตัวเองมากพอ 

The People : คนเริ่มมาฟังโค้ชเกี่ยวกับความรักกันมากขึ้น ประเด็นนี้สะท้อนอะไร

พี่อ้อย : พี่อ้อยเป็นคนที่ทำคลับฟรายเดย์มาโดยไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นโค้ชเรื่องความรัก เพราะเรื่องความรักไม่มีใครเก่งกว่าใคร อยู่ที่ใครตั้งสติได้ก่อนกัน เอาจริง ๆ สิ่งที่พี่อ้อยพูดในรายการทั้งหมด คนทุกคนตอบปัญหาความรักได้หมด ถ้าไม่ใช่เรื่องตัวเองอยู่แล้ว นี่คือเรื่องปกติ ปัญหาคนอื่นใช้หัว ปัญหาตัวใช้ใจ เราถึงได้เจอคนที่เรื่องคนอื่นเก่งกาจ ตายอนาถเรื่องตัวเองทั้งนั้น 

การที่เราพยายามจะหาโค้ชเกี่ยวกับเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ เพราะเรารู้สึกว่า ฉันอยากหาอะไรก็ตามเป็นที่ยึดเหนี่ยวสักนิดได้ไหม ว่าถ้าฉันทำตาม 1 2 3 4 แล้วฉันพอจะมั่นใจได้ว่าความรักของฉันมันจะดี แต่เชื่อเถอะจากคนที่ทำคลับฟรายเดย์มาเกือบ 20 ปี ไม่มีสูตรไหนใช้ได้กับทุกความรัก คู่นั้นอาจจะประสบความสำเร็จจากสูตรนี้ แต่คู่คุณอาจจะพังเพราะสูตรเดียวกันก็ได้ 

ยกตัวอย่างเช่น เราต้องไม่ทะเลาะกันข้ามคืน ก็ไม่แน่เสมอไป บางคนง่วงก็ง่วง เหนื่อยก็เหนื่อย ทะเลาะกันก็เหนื่อยแล้ว แต่เนื่องจากฉันได้ยินสูตรนี้มาทั้งชีวิต เราต้องไม่ทะเลาะกันข้ามคืน ฉันก็อุตส่าห์จิกเขาขึ้นมา เพื่อที่จะเคลียร์กันให้จบตอนนั้น คุณอาจจะทะเลาะกันแล้วเลิกกัน ณ วันนั้นเลย หลาย ๆ คู่ ปล่อยเวลาให้ผ่าน มีสติมากขึ้น อาจจะข้ามคืนก็ได้ อาจจะข้าม 2 คืนก็ได้ แล้วเรามาคุยกันในวันที่มีสติมากพอ ขอโทษกัน ขอบคุณกัน และบอกรักกัน แล้วค่อยฟังปัญหาซึ่งกันและกัน อาจจะรอดก็ได้ ไม่มีใครรู้ 

ใช้เวลาดูใจให้นาน จะได้ไม่ต้องทรมานกับการทำใจ ซึ่งใช้เวลานานกว่า ก็มีคนเถียงอีกเหมือนกัน คบกัน 12 ปี แต่งงาน 3 เดือนเลิก กับบางคน คบกัน 6 เดือน อยู่กัน 20 ปี มันไม่มีอะไรเป็นสูตรสำเร็จ มันได้แค่ เอ๊ะ ลองใช้สูตรนี้ แล้วประยุกต์กับจริตของคู่เรา เผื่อมันรอด จริง ๆ เราทำแบบนี้อยู่ เราเรียนรู้กันและกันทุก ๆ วัน และบางคนเวลาผ่านไป บางทีคนที่เปลี่ยนอาจเป็นเรานะ คนที่เปลี่ยนไม่ได้แปลว่าเปลี่ยนต้องไปมีคนอื่นด้วยนะ คนที่เปลี่ยนคือ แหม ถ้าเธอเจอฉันเวอร์ชันก่อนละก็บ้านพัง แต่พอเจอฉันในเวอร์ชันนี้อะไรไม่รู้ที่ทำให้เราตกตะกอนกับความคิดตัวเองมากขึ้น ตกตะกอนกับความรู้สึกว่า เฮ้ย ไม่มีใครได้ดั่งใจเราไปซะทุกอย่างหรอก บางวันเราเองยังไม่ได้ดั่งใจตัวเองเลย แล้วจะคาดหวังกับคนคนหนึ่งอะไรหนักหนา ตายละ เธอมาเจอฉันในเวอร์ชันที่แบบเป็นสุขมากขึ้นเยอะเลยก็มี 

เพราะฉะนั้นการที่เราพยายามจะหาเลิฟโค้ช หาไลฟ์โค้ช เพราะเราเห็นความเปลี่ยนแปลงของชีวิตเร็วเหลือเกิน จนกระทั่งรู้สึกว่าขอสูตรสำเร็จให้ฉันไว้เกาะสักนิดหนึ่งได้ไหม ถ้าจะวิเคราะห์พี่อ้อยจะวิเคราะห์ประมาณนี้

‘ดีเจพี่อ้อย’ แห่งคลับฟรายเดย์ กับมุมมองต่อปัญหาความรักที่ไม่มีสูตรสำเร็จ

The People : ด้วยความสัมพันธ์อันหลากหลาย ความสัมพันธ์วันยิ่งซับซ้อน แนวทางในการให้กำลังใจผู้คนของพี่อ้อยคืออะไร

พี่อ้อย : พี่อ้อยว่าต้องยอมรับก่อนว่าอย่างที่บอก เอาแนวทางแรกก่อนนะ เราต้องคิดไปเลยไม่มีใครได้ดั่งใจเราไปซะทุกอย่าง แม้แต่ตัวเองในบางวัน บางคนเคยเจอไหม ตอนเป็นเพื่อนกันหรือจีบกันแรก ๆ ดี๊ดี พอเป็นแฟนแล้วความคาดหวังเยอะ อะไรก็ไม่ได้ อันนี้ก็ไม่ใช่ อันนู้นก็ไม่ได้ และหลาย ๆ ครั้ง ตอนยังไม่ได้เป็นการตบปากรับคำในเรื่องความสัมพันธ์ที่ชัดเจน เราชิงจะเป็นคนอะไรก็ได้ก่อน เพราะคิดว่าตรงนี้เป็นความน่ารัก แต่พอวันหนึ่งเป็นแฟนกันแล้ว แต่งงานกันแล้ว เป็นสามีภรรยากันแล้ว อะไรก็เริ่มไม่ได้ 

เพราะฉะนั้นวันนี้เราต้องยอมรับว่าตอนเริ่มต้น เรารักกันในต่างคนต่างเป็น ฉันรักเธอในสิ่งที่เป็น แล้วทำไมนาน ๆ เข้ารักกัน แล้วบังคับให้เขาเป็นอย่างที่เราอยากเห็นล่ะ ก็แต่ก่อนมันก็ไม่ได้เป็นจริงจังขนาดนี้ไง ตอนนี้มันจริงจังแล้ว เธอจะทำอันนั้น อันนี้ไม่ได้ บางทีคนที่เปลี่ยนอาจเป็นเราก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเมื่อไหร่ก็ตาม เราลองวางใจไปเลยว่า เลือกให้ดีที่สุด เลือกให้ใกล้เคียงสิ่งที่อยากให้เป็นที่สุด และเป็นตัวของตัวเองกันให้เต็มที่ทั้งสองฝ่ายนะ แล้วหลังจากนั้นเราต้องเข้าใจก่อนนะ ไม่มีใครได้ดั่งใจเราไปซะทุกอย่าง เรารักกันในข้อดี และบางทีก็ต้องให้อภัยในข้อเสียบางข้อ เราเองก็ไม่ได้ดีซะทุกมุม แต่หลาย ๆ ครั้งเวลาที่เรามีข้อเสีย เรามักจะมีเหตุผลในการอธิบายข้อเสียของเรา เพราะสิ่งนั้น สิ่งนี้ เพราะฉันเคยมีปมจากแฟนเก่าก่อนไง ฉันเลยเป็นคนขี้หึง แต่พอเรามองจากอีกข้างหนึ่ง เราลืมมองข้างเขา มองแต่ข้างเรา 

เพราะฉะนั้นบางทีคำว่า ‘ใจเขาใจเรา’ ยังใช้ได้เสมอนะ ใจเขาใจเราคือ ถ้าเป็นเราจะรู้สึกอย่างไร และวิธีคิดที่เพิ่มขึ้นมาคือ เพราะใจเขาไม่ใช่ใจเรา เขาอาจจะมีมุมคิดของเขา เขาอาจจะมีความแตกต่างจากเรา พี่อ้อยว่าคนรักกัน ความต่างไม่ใช่เรื่องผิด แต่จะผิดถ้าเราเหยียดคนที่คิดต่าง ทำไมเธอคิดแบบนี้ อ้าว แล้วทำไมเราคิดแบบนี้ล่ะ บางทีการที่เราต้องบอกตัวเองว่า ความต่างอาจทำให้เรามองเห็นอีกมุมหนึ่ง รถทุกคันมีคันเร่งก็ต้องมีเบรก ถ้ารถเรามีแต่คันเร่งก็ชนวินาศ ถ้ารถเรามีแต่เบรกก็ไม่ต้องเคลื่อนตัวไปไหน เหยียบเบรกกันตลอดเวลา หรือมีคันเร่งอย่างเขา เลยต้องมีเบรกอย่างเรา หรือมีคันเร่งอย่างเรา เลยต้องมีเบรกอย่างเขา ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราใช้สติและยอมรับในความต่างบางข้อได้ พี่อ้อยว่าจะทำให้เรามีปัญหากับความรักเริ่มน้อยลงแล้ว 

อันต่อมา ไม่ว่าจะอย่างไร รักกันกี่ปี ถ้ายังไม่หยุดรักกัน อย่าหยุดการสื่อสารกัน อย่าบอกว่า อุ๊ย เราต้องมองตาแล้วรู้แล้วละ อยู่กันมาขนาดนี้ มองตาก็รู้ ไม่จริงหรอก วันนี้คนเราซับซ้อนขึ้นตั้งเยอะ มองตาไม่ได้รู้ใจเสมอไป เมื่อไหร่ก็ตามที่มีอะไร ขุ่นข้องหมองใจควรสื่อสารกัน และที่สำคัญมีอะไรคุยกัน ไม่สำคัญเท่ามีอะไรฟังกันหรือเปล่า ฟังเขาก่อน เขาเจอแบบนี้ ฟังเพื่อทำความเข้าใจ ไม่ได้ฟังเพื่อเถียง คนเราฟังเถียงอะง่าย ไม่ใช่ญัตติโต้วาที ที่เวลาเขาพูดอะไรมา ฉันต้องหาญัตติในการที่จะต้องแก้แทน เอาเป็นว่าฟังก่อน ต่อให้เราไม่ได้เชื่อแบบนั้นด้วยซ้ำนะ เฮ้ย ฉันเนี่ยนะเป็นคนอารมณ์ร้อน นี่ฉันเย็นลงตั้งเยอะ เดี๋ยวสิ ฟังเขาก่อน 

เพราะฉะนั้นหลายคนจะเจอปัญหานี้ เนี่ยหนูปรับมาเยอะแล้วนะ เขานั่นแหละไม่เคยปรับเลย บางทีคุยมุมเขา อาจจะค้นพบก็ได้ว่า นี่ขนาดเขาบอกว่าเขาปรับแล้วนะ ผมยังรู้สึกว่าเขาแรงเหมือนเดิมเลยก็เป็นไปได้ 

พี่อ้อยว่าสองข้อคร่าว ๆ ก่อน หนึ่งต้องยอมรับว่าคนเราไม่มีอะไรเหมือนกัน ความต่างคือเรื่องปกติ ความเหมือนคือโบนัส แล้วถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ความต่างเริ่มผิดปกติ สื่อสารตามมาด้วยข้อสองนี่แหละ สื่อสารกัน คุยกัน ฟังกัน และเลิกคิดว่า พี่ หนูเป็นคนตรง ๆ หนูไม่ชอบเฟค เปล่า พูดตรงไม่จำเป็นต้องแรง 

ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราสื่อสารกันและฟังกัน อย่างน้อยเปิดโอกาสให้เขาได้เปิดไมค์บ้าง มีผู้หญิงหลายคนที่รู้สึกว่า เขาเป็นคนไม่ค่อยพูด ลืมมองตัวเองว่าคุณก็ไม่เคยเปิดโอกาสให้เขาพูด นี่มันเป็นเรื่องที่เราต้องสื่อสารกันโดยตลอดเวลา พี่อ้อยว่ายังไม่ต้องไปถึงข้ออื่น ๆ แค่สองข้อหลักแค่นี้ มันจะทำให้เราสามารถอยู่กับคนที่มีความต่าง ทำให้เราอยู่กับคนที่อาจจะไม่ได้เห็นด้วยตรงกันทุกอย่างได้อย่างสงบสุขมากขึ้น 

The People : ท้ายที่สุดท้ายแล้วถ้าไปกันไม่รอด พี่อ้อยจะนิยามคำว่ามูฟออนอย่างไร 

พี่อ้อย : เราเข้าใจผิด คิดว่าการมูฟออนแปลว่าต้องมีคนใหม่ จริง ๆ ก่อนจะสู่จุดมูฟออนทำให้ดีที่สุดก่อน อย่างที่บอก คนเราไม่ได้ตรง แหมไอ้ประเภท ความรักเหมือนจิกซอว์ต่อกันพอดีเป๊ะ ไม่มีในโลกหรอก เราแค่พยายามจะต่อให้ติด จริง ๆ แล้วมันมีช่องว่างตั้งเยอะนะ แต่ตอนยังรักไม่มีนะ เราต่อกันติด ที่สุดแล้วไม่มีจิกซอว์บนโลก 

เรามีแค่ความพยายามที่จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขที่สุด ถ้าเรายังรักกันมากพอ ถ้าบังเอิญว่าพยายามก็แล้ว คุยก็แล้ว สารพัดอย่างก็แล้ว มันไปกันไม่ได้จริง ๆ อยู่ใกล้กันแล้วทุกข์ก็แยกย้ายไปมีความสุขกันไกล ๆ ต่อให้ไม่ได้เป็นคนที่เป็นแฟนกัน เป็นสามีภรรยากัน แต่อย่างน้อยก็เคยรักกัน บางคนยังมีสถานภาพของการเป็นพ่อของลูก และแม่ของลูกอยู่เลย ก็ไม่เป็นไร เราแค่เปลี่ยนสถานภาพของความเป็นสามีภรรยาเปลี่ยนไป มูฟออนไม่ได้แปลว่าต้องมีคนใหม่ การมูฟออนอาจจะหมายถึงการอยู่กับพื้นที่เดิม อยู่ในที่เดิม ๆ แต่เจ็บปวดน้อยลง พี่อ้อยถือว่าอันนี้มูฟออนได้แล้ว มันไม่จำเป็นหรอกที่ต้อง เขามูฟออนก่อนหนูเร็วมากเลย เขามีคนใหม่แล้ว บางทีแอบไม่แฟร์ต่อคนใหม่ มีคนเยอะมากที่คนเก่ายังอยู่ในใจแล้วไปดึงคนใหม่เข้ามาเจ็บอีกแล้ว หรือคิดว่าต้องมีคนใหม่ ไม่มีใครอยากเป็นดาราสมทบให้คบเพื่อรอคนเก่านะ หลาย ๆ ครั้งเปลี่ยนความสัมพันธ์เร็วไปเลิกแป๊บหนึ่งมีคนใหม่แล้ว เราอาจจะค้นพบก็ได้ว่าที่สุดแล้วเขายังไม่เคยลืมคนเก่าเลย แค่มีคนใหม่มาอยู่ใกล้ ๆ ให้อุ่นใจ 

พี่อ้อยรู้สึกว่าสงสารคนใหม่ เพราะไม่ว่าจะอย่างไรมีคนใหม่ที่ไม่ใช่ยิ่งทำให้คิดถึงคนเก่า เพราะฉะนั้นการมูฟออนให้ได้คืออยู่กับพื้นที่ของตัวเองแบบเจ็บปวดน้อยลง อยู่กับพื้นที่ตัวเองแบบที่ไม่ทุกข์ทรมานเท่าเดิมแล้ว เวลาจะเลือกคนใหม่จงเลือกวันที่หัวใจแข็งแกร่ง อย่าเลือกเพราะเหงา เพราะไม่รู้ว่าตอนเลิกเหงาจะยังเลือกเขาอยู่หรือเปล่า 

สิ่งเหล่านี้ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ แค่เมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดขึ้นกับเรา เราจะหาวิธีการอะไรก็ตามที่เซอร์ไวใจของตัวเอง หรือแม้แต่ ไปดูไอจีของแฟนเก่า เขามีแฟนใหม่แล้ว แล้วคิดว่าการมูฟออนได้คือการต้องรีบมีคนใหม่ บางทีมันจะสร้างปัญหาใหญ่กว่าเดิม เพราะเอาละสิ คนใหม่ก็ไม่ใช่เท่าไร ครั้นจะสะบัดมือเขาก็สงสารเขา แต่ลืมไปว่าการมีเขาอยู่ใกล้ ๆ แต่ไม่อยู่ในหัวใจสักทีน่าสงสารกว่า 

เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้เราต้องตีความคำว่ามูฟออนใหม่ มูฟออนใหม่ไม่ได้แปลว่าต้องเคลื่อนตัวไปไหนด้วยซ้ำ แค่อยู่กับจุดเดิม ๆ ของเราอย่างที่มีความสุขมากขึ้นและไม่ทุกข์เท่าแต่ก่อน พี่อ้อยถือว่านี่คือการมูฟออนได้ประเภทหนึ่งแล้ว

‘ดีเจพี่อ้อย’ แห่งคลับฟรายเดย์ กับมุมมองต่อปัญหาความรักที่ไม่มีสูตรสำเร็จ

The People : ความสุขในการทำงานของพี่อ้อยคืออะไร

พี่อ้อย : คือพยายามบอกเสมอว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่ต้นทุนต่ำ ต้นทุนต่ำคืออะไร เพราะว่าแต่ก่อนนี้ชีวิตก็ไม่ได้เป็นชีวิตที่มีความร่ำรวย เรียนจบไม่จบแหล่ แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ส่งจนกระทั่งมาถึงวันนี้ได้ เพราะฉะนั้นมันผ่านจุดคุ้มทุนไปหมดแล้ว คนคนหนึ่งที่ได้ทำงานที่ตัวเองรักมาถึง 30 ปี และงานของเรายังเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ก็เลยรู้สึกว่ามันผ่านจุดคุ้มทุนไปหมดแล้ว ตอนนี้เวลาที่มีอะไรก็ตามที่สามารถจะเป็นประโยชน์ เช่น การไปพูดไปคุย ไปเป็นนู้นนี้ให้กับหลาย ๆ คนได้ ไปให้กำลังใจหรือแม้แต่สิ่งที่ให้ง่าย ๆ เช่น มีคนโทรฯ เข้ามาในรายการแล้วบอกว่า วันนี้วันเกิดหนู ยังไม่มีใครอวยพรเลย ไม่รู้จะเล็กขนาดไหน แต่ถ้ามันสามารถทำให้ใจคนคนหนึ่งดีขึ้นได้ ยินดี เพราะว่าชีวิตตัวเองผ่านจุดคุ้มทุนไปหมดแล้ว