‘บราน-กองต็องแน็ก’ ความประณีตของ Margaux ที่ไม่เคยเปลี่ยน

บ่ายวันที่ 20 ตุลาคม 2025 ที่ร้าน The Wine Merchant ทองหล่อ ผู้แทนจาก ‘ชาโต บราน-กองต็องแน็ก’ (Château Brane-Cantenac) เดินทางมาจัดมาสเตอร์คลาส พร้อมไวน์สามวินเทจ 2018, 2017 และ 2008 เพื่อเล่า ‘ตัวตนของชาโต’ มากกว่าการชิมแบบทั่วไป

Brane-Cantenac เป็นชาโตระดับ ‘เดอซิแอม ครู’ Deuxième Cru (1855 Classification) ตั้งอยู่ในเขต Cantenac, Margaux มีพื้นที่ปลูกประมาณ 75 เฮกตาร์ และผลิตไวน์สองตัวคือ Grand Vin และ Baron de Brane

ต้นกำเนิดของชาโตเริ่มในศตวรรษที่ 18 ก่อนถูกซื้อโดย Baron de Brane ในปี 1833 หลังจากขาย Château Mouton เพื่อมุ่งสู่พื้นที่ซึ่งเขามองว่ามีศักยภาพสูงกว่า จากข้อมูลในหนังสือ ‘บารง เดอ บราน’ คือผู้ทำให้ชื่อเสียงของไวน์จากไร่นี้โดดเด่นจนได้รับการจัดอันดับเป็น Second Growth ในปี 1855

จุดแข็งสำคัญของ Brane-Cantenac มาจาก Plateau de Brane แปลงกรวดลึกยุค Quaternary (ชั้นดินกรวดที่แม่น้ำการอนพัดพามาทับถมเมื่อหลายแสนปีก่อน)  ที่มีชั้นดินเหนียวคั่นเป็นช่วง ๆ ให้โครงสร้างไวน์ที่ “ละเอียด มีความยาว และให้เนื้อแทนนินแบบนุ่ม” ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของไวน์ชั้นดีจากเขต มาร์โกซ์ (Margaux) 

ภายใต้การบริหารของ ‘อองรี ลูร์ตง’ (Henri Lurton) ตั้งแต่ปี 1992 เป็นต้นมา มีการยกระดับคุณภาพอย่างเป็นระบบ เช่น ยกเลิกการเก็บเกี่ยวด้วยเครื่องจักร, มีการปรับปรุงการจัดการดิน, ใช้ optical sorting ตั้งแต่ปี 2011, การคัดเลือกเข้มงวด (Grand Vin เฉลี่ยไม่เกิน 40% ของผลผลิตทั้งปี) และบ่ม 18 เดือน ในถังใหม่ราว 65% ผลลัพธ์คือไวน์ที่เน้นความสง่างามและความละเอียด (finesse) มากกว่าพลังแบบเข้มจัด

นี่คือแก่นหลักที่ผู้แทนชาโตนำมาอธิบายในมาสเตอร์คลาสครั้งนี้ ก่อนเข้าสู่การชิมสามวินเทจ ซึ่งแต่ละปีสะท้อนจุดร่วมเดียวกัน นั่นคือ ความประณีตของ Margaux แต่มีความแตกต่างเชิงบุคลิกตามสภาพภูมิอากาศของแต่ละปีอย่างชัดเจน

สามวินเทจที่เผยบุคลิก

การชิมแบบเรียงปีในมาสเตอร์คลาสครั้งนี้ ทำให้เห็นภาพชัดเจนว่า แม้แต่ละวินเทจของ Brane-Cantenac จะสะท้อนสภาพอากาศที่ต่างกัน แต่โครงสร้างกลางของไวน์ ความละเอียด ความยาวของแทนนิน และความสงบนิ่งที่เป็นลายเซ็นของ Margaux ยังคงอยู่ครบถ้วน

เริ่มจาก ไวน์ ‘Baron de Brane’ ปี 2018 ซึ่งเป็นปีที่ผลไม้สุกดี มีความอุ่นของฤดูกาลที่ช่วยให้ไวน์เปิดตัวง่ายที่สุดในบรรดาวินเทจที่ชิม ผลไม้ดำชัดกว่า ทั้งแบล็กเคอร์แรนต์และพลัม น้ำหนักบนเพดานปากเต็มกว่าเล็กน้อย แต่ยังคงสัดส่วนที่บาลานซ์ ตัวไวน์ให้ความรู้สึกสดและอ่อนเยาว์ แหล่งองุ่นของ Baron de Brane มาจากแปลงที่ให้ไวน์สดกว่าและพร้อมดื่มเร็วกว่า ปี 2018 ทำหน้าที่เป็นประตูเข้าสู่สไตล์ของชาโตได้ดีที่สุด เข้าถึงง่าย แต่ยังรักษาโครงสร้างนิ่ง ๆ แบบ Margaux ไว้ครบถ้วน

ถัดมาที่ ‘Château Brane-Cantenac’ ปี 2017 บุคลิกของ Margaux ปรากฏชัดกว่าปีใดในชุดนี้ เป็นปีที่อากาศเย็นกว่า 2018 เล็กน้อย ส่งผลให้กลิ่นดอกไม้ กลิ่นแดงสด และซีดาร์เด่นขึ้น แทนนินเนียนกว่าและให้ความรู้สึกละเอียดมากเป็นพิเศษ เป็นไวน์ที่ให้ความประณีตและความสด ในแก้ว 2017 ความคมชัดของสไตล์ชาโตโดดเด่น เป็นวินเทจที่อธิบายตัวตนของ Brane-Cantenac ได้แบบตรงไปตรงมา

ส่วน ‘Château Brane-Cantenac’ ปี 2008 ที่เปิดในปี 2025 น้ำไวน์มีพลังยึดเกาะที่ดี มีกรดที่ช่วยให้ฟินิชยาวเป็นพิเศษ สิ่งที่สัมผัสได้ชัดเจน คือกลิ่น tertiary เริ่มเปิดเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นหนังแท้ และซิการ์บ็อกซ์ แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุด คือความสดของกรดที่ยังคงอยู่ครบ ไวน์ไม่ดูหนักหรือปิดตัว แม้อายุเข้าสู่ปีที่ 17 แล้วก็ตาม 2008 ยังเป็นวินเทจที่แสดงให้เห็นว่า Brane-Cantenac ไม่ได้ทำไวน์เพื่อให้พร้อมดื่มเร็วเท่านั้น แต่สร้างไวน์ที่สามารถยืนระยะได้อย่างมีคุณภาพ  

ทั้งสามวินเทจช่วยอธิบายแก่นของแบรนด์ Brane-Cantenac ถึงความเป็นชาโตที่ยึดมั่นในความประณีต ความละเอียดของเนื้อแทนนิน และการรักษาสมดุลระหว่างผลไม้ โครงสร้าง และความสด ไม่ว่าฤดูกาลจะพาไปทางไหนก็ตาม

เมื่อบทสนทนาในมาสเตอร์คลาสสิ้นสุดลง ความประทับใจที่เหลืออยู่ไม่ใช่เพียงรสชาติของสามวินเทจที่ชิม แต่คือ ‘ตัวตน’ ของชาโตที่ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นผ่านข้อมูลและการลิ้มลอง Brane-Cantenac ไม่ได้เป็นชาโตที่อวดความเข้ม หรือทำไวน์ในสไตล์ที่ดึงดูดสายตาตั้งแต่แรกเห็น แต่เป็นชาโตที่มั่นคงกับคุณค่าดั้งเดิมของ Margaux ไวน์ที่มีเสน่ห์และความละเอียด มากกว่าความเข้มแบบ brute power

ในท้ายที่สุด มาสเตอร์คลาสครั้งนี้ไม่ได้เพียงสอนให้รู้ว่า รสชาติของแต่ละปีเป็นอย่างไร แต่ทำให้เห็นภาพใหญ่ของชาโตที่เติบโตจากมรดกทางประวัติศาสตร์ สู่ยุคใหม่ที่บริหารด้วยความแม่นยำ สายตายาวไกล และยังคงยืนอยู่บนหลักการเดียวกับที่ บารง เดอ บราน Baron เคยเชื่อเมื่อเกือบสองศตวรรษก่อน นั่นคือ “ความยิ่งใหญ่ของไวน์ไม่จำเป็นต้องดังกว่าใคร แค่ต้องซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินที่ปลูกมันขึ้นมา”

 

เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์