ลีซอ-ธีรเทพ วิโนทัย : ผมเปลี่ยนคาแรกเตอร์เพื่อคุณไม่ได้ คุณรู้จักผมน้อยเกินไป

ลีซอ-ธีรเทพ วิโนทัย : ผมเปลี่ยนคาแรกเตอร์เพื่อคุณไม่ได้ คุณรู้จักผมน้อยเกินไป

“สุดท้ายเนี่ย ผลงานในสนามก็เป็นตัวพิสูจน์ ทำออกมาให้เห็น เดี๋ยวเขาก็เลิกด่าไปเอง”

25 ปีที่แล้วที่สนามธูปเตมีย์ เราพบกับเด็กหนุ่มคนนี้มาในชุดสีชงโคม่วง ในรายการฟุตบอลเยาวชนกองทัพอากาศในรุ่นอายุไม่เกิน 12 ปี และมาในฐานะที่เป็นคู่แข่ง ที่เขาโดดเด่นเกินกว่าใครในสนาม ทำผลงานยิงแทบจะคนเดียวทั้งเกม ทั้งที่เรามีเพื่อนที่เป็นดาวเด่นจากมุกดาหารอย่าง ‘ศราวุธ จันทพันธ์’ ที่พยายามแบกทีมช่วยแล้วก็ยังเอาไม่อยู่ จนพวกเรายังต้องแซวว่า...เขาไม่ได้โกงอายุมาเล่นใช่ไหม?  

ใช่…เขาคนนั้นเมื่อ 25 ปีที่แล้ว ในตอนนี้คือว่าที่ตำนานของวงการฟุตบอลไทยอีกรายอย่าง ‘ลีซอ’ ธีรเทพ วิโนทัย ในวัย 37 ปี วันนี้เขาได้กำลังจะกลายเป็นตำนานของฟุตบอลไทยอย่างเต็มตัว ด้วยพลังงานชีวิต ความมุ่งมั่น และความฝันที่มีเป้าหมายจากเดิมที่เคย โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะขอเป็นนักฟุตบอลไทยคนแรกที่ยิงในลีกสูงสุดของประเทศให้ 100 ประตู ( ปัจจุบัน 95 ประตู) 

แม้ว่าวันนี้ สังขารและโอกาสที่อาจจะเริ่มโรยราตามธรรมชาติ จนถึงวันที่เขาเลือกตัดสินทางเลือกชีวิตที่ดีที่สุดในเวลานี้ ด้วยการประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการ นัดสุดท้ายคือการลงเล่นกับทีมที่เขาเริ่มต้นอาชีพ โปลิส เทโร (อดีตทีมบีอีซี เทโรศาสน) พบกับ นครราชสีมา มาสด้า วันที่ 27 พฤศจิกายน 2565 

นี่คือส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ คำพูดที่ออกจากปากของชายที่มีพลังงานความร้อนแรงในตัวตนของเขาเเบบเต็มอิ่ม จากจุดเริ่มต้นไปจนถึงวันที่ติดธงชาติ เสียงตะโกนด่าถาโถมชีวิต นี่คือเสียงจากใจที่ถ่ายทอดมาเป็นตัวหนังสือ ของ ‘ลีซอ’ ธีรเทพ วิโนทัย 

The People :  จุดเริ่มต้นมาจาก ‘พ่อ’ เป็นผู้มีอิทธิพลที่เปิดประตูความฝันตั้งแต่ตอนเด็ก

ลีซอ : คือตั้งแต่ตอนเล็กเนี่ย คือคุณพ่อผมเป็นผู้สื่อข่าวกีฬาอยู่แล้วตั้งแต่แรก ช่วงที่เขามีโอกาสได้เจอเรา หรือเจอลูก ก็คือจะเป็นช่วงเวลาที่หลังเลิกเรียน ที่ผมจะเลิกเรียนแล้วเขาก็มารับ แล้วก็พาไปทำข่าวที่สนามกีฬา เพราะว่าก็จะเป็นช่วงที่เขาต้องออกไปทำข่าวกีฬาส่วนใหญ่จะเป็นฟุตบอล เขาก็จะมารับไปดูฟุตบอล จริง ๆ ก็ไม่ได้กะจะให้เราไปดูหรอก แต่ว่า เขาต้องไปทำงานที่นั่น แต่ก็เพื่อให้เราอยู่ในสายตาเขา ได้เจอเขา

เราก็อยู่ข้างสนาม วิ่งเล่นตาม ตามลู่วิ่งอะไรอย่างนี้ แล้วคุณพ่อก็จะอยู่บนอัฒจันทร์ทำข่าวอย่างเนี้ย เขาก็ได้เห็นเรา เขาก็จะปล่อยเราเล่น ก็จะแบบ เหมือนทำให้เราซึมซับกีฬาฟุตบอลเยอะหน่อย 

แต่ว่าช่วงนั้นเนี่ยก็เป็นช่วงที่เราก็ยังไม่ได้เลือกว่าเราจะเล่นอะไร ยังไม่รู้ว่าเราชอบอะไร แต่คุณพ่อก็จะยังพาไปเล่นเทนนิสก่อน เทนนิสก็เป็นแบบ เหมือนกีฬาที่ไม่ต้องปะทะ เป็นกีฬาคนเดียว เขากลัวลูกเจ็บก็ให้ไปชิมลางตรงนั้นก่อนอย่างเนี้ย ก็ไปดูว่าเราชอบไหม เราก็เล่นได้ประมาณเดือนก็โอเค ไม่ได้ติดใจอะไร แต่ว่าพอได้มาดูฟุตบอลบ่อย ๆ ก็รู้สึกเหมือนชอบบรรยากาศฟุตบอลมากกว่า

คนดูเต็มสนาม เสียงเชียร์ร้องเพลง ตะโกนเรียกชื่ออะไรอย่างนี้ เรารู้สึกว่าเออ เราอยากเป็นหนึ่งในคนในสนาม ให้คนเขาเรียกชื่อเราบ้างอะไรอย่างนี้ เพราะว่าเทนนิสเวลาเราตีมันเงียบไงฮะ เราจะมีเสียงได้เฉพาะตอนที่มันพักอะไรอย่างนี้ เรารู้สึกว่าเหยเราไม่ค่อย ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ละ เราชอบฟุตบอลมากกว่า ก็เลยหลัง ๆ ก็เลยแบบ

คุณพ่อเริ่มเห็นจากที่เราซ้อมเล่นเทนนิสอยู่ แล้วก็เอาลูกเทนนิสมาเตะ มานู่นนี่นั่นอะไรอย่างนี้ เขาถามชอบไหม เราก็บอกว่าชอบ ชอบฟุตบอลอะไรอย่างนี้ แล้วก็ประจวบว่าเราก็เลยไปสมัครเข้าเรียนที่กรุงเทพคริสเตียน ก็ไปสอบเข้าเหมือนนักเรียนทั่วไป

 

The People : ไม่ได้เข้าไปด้วยโควต้าช้างเผือก

ลีซอ : ตอนนั้นยังไม่มีความเป็นนักกีฬาอะไรเลย ยังไม่ได้มีดีกรีอะไรเลยครับ ก็เด็กมาก พอไปสอบที่คริสเตียนก็สอบติด เราก็ทำข้อสอบได้สอบติด ก็เลยได้เป็นนักเรียนของที่กรุงเทพคริสเตียน ตอนนั้นยังไม่ได้เข้าทีมฟุตบอลด้วยนะฮะ ไปเข้าโรงเรียนก่อน สอบเข้าเสร็จก็ ไปเล่นฟุตบอลในตามแบบ สนามบาส หน้าห้องพละ อะไรอย่างนี้ 

เรียนที่คริสเตียนมีพักสามช่วงเวลา ผมเล่นฟุตบอลทุกพักเลย จนเลิกเรียนจนอะไรแบบนี้ กลับบ้านทีทุ่มสองทุ่มอะไรอย่างนี้ แล้วก็ เมื่อก่อนก็เช่าคอนโดอยู่ที่แถวสีลม ก็ใกล้คริสเตียนหน่อย ก็ไม่ต้องรีบ ก็เล่นยาวจนมืดอะไรแบบนี้ครับ บางทีรอคุณพ่อคุณแม่มารับ หรือบางทีก็กลับเองอะไรอย่างนี้ก็เล่นกันยาวเลย ก็แล้วก็ช่วงหนึ่งก็พอเล่นฟุตบอลหนัก ๆ จนแบบจนไม่กินข้าวไม่อะไรแบบนี้ ก็ต้องเข้าโรงพยาบาล เป็นโรคขาดสารอาหาร เล่นเยอะไปหน่อยไม่ค่อยกิน ก็ต้องเข้าโรงพยาบาล มันทำให้เรารู้แล้วว่า เออเราค่อนข้างที่จะชอบกีฬาชนิดนี้ตั้งแต่เล็ก ๆ

จนอาจารย์เขาเห็นแววเรา เขามาถามเราว่าเราอยากเล่นฟุตบอลไหมอะไรอย่างนี้ ชอบไหม เราก็บอกว่าเราอยากเล่นนะ เขาก็พามาเข้าทีมโรงเรียนรุ่น 12 ปี แต่ผมคือประมาณ 8 ขวบ ก็คือยังไม่ได้มีโอกาสเข้าทีมอะ แต่ว่าได้โอกาสแค่ซ้อมกับเขาเฉย ๆ เราก็โอเคถือว่าแฮปปี้แล้ว แล้วก็อาจารย์เห็นว่าเราตัว เหมือนมีความเร็วอะไรอย่างนี้ครับ แล้วก็ แล้วก็รูปร่าง ณ ตอนนั้น ผมค่อนข้างที่จะแบบสูงใหญ่กว่าเพื่อนหน่อยก็เลยแบบโอเคงั้นให้เล่นกองหน้าเลย ก็เลยเป็นที่มาของการเล่นศูนย์หน้าด้วย แล้วก็เริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่ตอนนั้นมา โดยที่จริง ๆ แล้วเนี่ย เราก็ไม่ได้กะว่าต้องเป็นอาชีพจริง ๆ จัง ๆ อะไร ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร แค่ว่าเราเล่นเพราะเรารักเราชอบ

เริ่มมีทัวร์นาเมนต์ได้แข่งกับเขาบ้าง ติดไป ลงนิด ๆ หน่อย ๆ อะไรอย่างนี้ พอเริ่ม 10 ขวบ ก็รุ่นพี่ ๆ ก็จะขยับขึ้นไปเล่นรุ่น 14 ปีละ เราก็ขึ้นมา โตขึ้น เราก็เริ่ม ที่นี้ก็เริ่มเป็นตัวจริง เริ่มแบบยิงประตูได้ เล่นกับเพื่อนอะไรอย่างนี้ จนแบบได้เป็นกัปตันทีม พาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลกรมพลศึกษา อะไรที่รุ่นนั้นเป็นยุคที่เฟื่องฟูของกรุงเทพคริสเตียนในรุ่น 12 ปี เพราะว่าที่ผ่านมามันไม่เคยมีช่วงไหนที่สู้เขาได้เลย แล้วก็เป็นช่วงที่ผมมาพอดี แล้วก็เพื่อน ๆ หลาย ๆ คนก็รวมตัวกันพอดี ก็เป็น ก็ได้แชมป์กรมพละ บอลกองทัพอากาศอะไรอย่างนี้ครับ

ซึ่งก็สร้างผลงานได้เยอะ ไปนอร์เวย์ก็ไปได้แชมป์นอร์เวย์คัพ 3 ปีซ้อนอะไรอย่างนี้ ก็ ก็เลยถือว่าประสบความสำเร็จในชุด 12 ปีรุ่นนั้นอะไรอย่างนี้ครับ แล้วก็ระหว่างนั้นก็ ก็เริ่มเป็นที่พูดถึงในฟุตบอลนักเรียนค่อนข้างเยอะขึ้นอะไรนี้ครับ แล้วก็ด้วยความที่เราก็ พอรุ่นอายุประมาณ 14 ปี เราก็ต้องขยับขึ้นมา

 

The People : พ่อไปดูที่สนามตอนไปแข่งบ่อยไหม

ลีซอ : ไม่ค่อยบ่อย เพราะว่าที่คริสเตียนเขากลัวเรื่องของความเป็นเด็กเส้นอะไรแบบนี้ คุณพ่อคือไม่อยากให้ทุกคนคิดแบบนั้น โอเคมันมีคนพูดถึง คุณพ่อก็พยายามที่จะไม่เข้าไป แต่ว่ามันก็ยังมีคนพูดถึงอยู่ตลอด ยิ่งตอนนั้นเนี่ย มันกลายเป็นว่าผมเนี่ย เหมือนกับว่าผมไม่ได้เก่งด้วยความสามารถของตัวเอง คุณพ่อผลักดัน คุณพ่อรู้จักคนนู้นคนนี้ก็เลยฝากนู่นนี่นั่นอะไรอย่างนี้ ซึ่งโอเคมันก็เป็นสิ่งที่คนพูดกันได้ คิดกันได้ แต่คุณพ่อก็น่าสงสารเหมือนกัน คือบางทีผมก็คิดว่าเขาอยากไปดูผมในหลาย ๆ เกมอะ ผมก็อยากให้เขาไปเหมือนกัน แต่ว่าบางทีเขาต้องตัดสินใจที่จะไม่ไป อาจจะโอเคให้คุณแม่ไปแทน หรืออะไรอย่างนี้ โดยที่ตัวเองไม่ไปอะไรอย่างนี้ เพราะว่าเดี๋ยวมันจะมีข้อครหาว่า เห้ย ว่าพ่อไปกดดันโค้ชนู่นนี่นั่นอะไรอย่างนี้

ลีซอ-ธีรเทพ วิโนทัย : ผมเปลี่ยนคาแรกเตอร์เพื่อคุณไม่ได้ คุณรู้จักผมน้อยเกินไป
 

The People : เคยถูกปรามาสว่าเด็กฝากเด็กเส้นการคัดตัว

ลีซอ : ตอนนั้นมัน เหมือนกับว่ามันมีทีมชาติเริ่มที่จะเปิดคัดทั่วประเทศรุ่น U17 ซึ่งก่อนหน้านั้นเนี่ยเป็นรุ่นพี่ที่เขาไปเล่นไว้ ที่เขาเหมือนกับว่า โอเคอาจจะใช้แบบรุ่นพี่ที่อายุมากมาเล่นใน U เหมือนกดอายุลงมา มาอะไรอย่างนี้ ก็เลยปรับใหม่ ไปเล่นชิงแชมป์โลกก็เลยคัดใหม่ทั่วประเทศเลย คุณพ่อก็ให้ไปคัดดูอะไรอย่างนี้ ก็คิดว่าเออไปคัดเล่น ๆ ไม่ได้คิดว่าจะต้องติดอะไรอย่างนี้ 

ผมไปคัดตลอดทุกครั้งเนี่ย ผมก็ไปคัดด้วยตัวผมเองนะ คุณพ่อไปส่ง คุณพ่อต้องนั่งในรถอะไรอย่างนี้ ไม่สามารถลงไปได้อะไรอย่างนี้ เราก็ใช้ความสามารถของเราที่มี ณ ตอนนั้นน่ะ เราก็คัดไปเรื่อย ๆ เราก็ไม่ได้ซีเรียสอะ เราก็เล่นด้วยความสนุกสนาน เราก็เออไม่ติดก็ไม่เป็นไร เพราะมันแบกอายุประมาณ 3 ปี U17 กับรุ่นอายุ 14 ตอนนั้นแต่ว่าด้วยความที่โค้ชเขาก็คงเห็นอะไรอย่างนี้อะ เราก็ติดเข้าไปเรื่อย ๆ อะไรอย่างนี้ครับ

ตอนนั้นเป็นโค้ชคือ ‘น้าติ๊ก’สมชาติ ยิ้มศิริ ผมคัดไปจนติดเข้าไปรอบหลัง ๆ ก็มีกระแสแรงเยอะขึ้นเยอะเลย เป็นคงเป็นข่าว จนคุณพ่อต้องแบบไปหาน้าติ๊กแล้วก็ไปคุยกับท่านว่าแบบ เออถ้าลูกผมมันไม่ได้ก็ไม่ต้องเอานะพี่ อะไรอย่างนี้ ไม่ใช่ว่า มาเอาเพราะผมเพราะอะไรอย่างนี้ ไม่เอาเลยนะ คือต้องไปแบบ ต้องบอกเขาแบบนี้เลย

ช่วงนั้นโดนกระแสเรื่องเส้นเนี่ย ผมไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่เนี่ย มัน คือผมก็มองว่า อะพูดตรง ๆ ว่าก็กูเป็นคนเล่นเนี่ย กูก็รู้นิว่ากูเล่นได้อะไรอย่างนี้ เราเล่นในสนามเราก็รู้ว่า เหมือนเราก็สู้กับเขาก็ได้ เราก็คิดว่าเออมันก็ไม่น่ามีปัญหา ก็ไม่เป็นไร ก็ไม่ได้ซีเรียสตอนนั้น แต่ว่า ที่จะซีเรียสตอนนั้นก็คือว่า พอไปติด U17 เนี่ย มันเหนื่อยกับการซ้อมเนี่ยมันแบกอายุเขา 3 ปี

 

The People : ติดธงทีมชาติไทยชุดเยาวชน U17 ครั้งแรกด้วยวัย 14 ปี 

ลีซอ : โห ซ้อมเหนื่อย เหนื่อยมาก ผมแบบมีอยู่ประมาณ 3 ครั้งอะที่ผมโทรหาคุณพ่อว่าผมจะถอนตัวแล้วนะอะไรอย่างนี้ ผมไม่ไหวจริง ๆ อะไรอย่างนี้ คือเหมือนว่าตอนนั้นเนี่ย ด้วยความที่มันเป็นฟุตบอลที่ค่อนข้างจะสมัยเก่านิดหนึ่ง ก็จะเน้นเรื่องสภาพความฟิตเป็นหลัก เรื่องเทคนิค ทักษะ หรือเรื่องวิธีการเล่นมันอาจจะน้อยหน่อย ก็จะเน้นเรื่องสภาพร่างกายที่แบบ ต้องฟิตเกินร้อย

ก็แบบวิ่ง ซ้อมก็มีแต่วิ่งอะไรอย่างนี้ ฟุตบอลไม่ค่อยได้ใช้อะไรอย่างนี้ ก็แบบมันเหนื่อยจนแบบ โห มัน ไม่เอาดีกว่า  ก็โทรจากแคมป์ก็โทรหาคุณพ่อ ตอนนั้นแคมป์อยู่ที่ชลบุรีก็บอก พ่อไม่ไหวแล้ว ถ้าวิ่งขนาดนี้ผมไม่ไหวหรอก มันไม่ไหวรับไม่ไหวจริง ๆ ร่างกายมันไม่ไหว

เขาก็พูดว่า คือตอนนั้นเนี่ยผมเคยพูดไปแล้วว่าผมอยากที่จะติดทีมชาติ อยากที่จะพาทีมชาติไทยเนี่ยไปฟุตบอลโลก อยากเป็นเหมือนเบ็คแฮม ตอนนั้นมีเบ็คแฮมเป็นไอดอลอะไรอย่างนี้ คุณพ่อก็ไม่ได้ห้ามอะไร แต่คุณพ่อก็บอกว่า โอเค เขาก็เหมือนย้อนถามกลับมาว่า สิ่งที่เราต้องการน่ะ ความฝันของซอคืออะไร ผมก็บอกว่าเนี่ย อยากพาทีมชาติไทยไปบอลโลกรอบสุดท้าย อยากเป็นเหมือนเบ็คแฮม

คุณพ่อก็เลยบอกว่า นี่คือแค่ต้นทางเองนะ คือเหมือนสเต็ปก้าวแรกเอง ถ้าเราไม่ผ่านตรงนี้ โอกาสจะไปถึงตรงนู้นไม่มีเลย ก็พูดไปหว่านล้อม เราก็คิดได้ โอเคสู้อีกสักตั้งหนึ่ง ก็สู้จนมันผ่านมาได้ จนสุดท้ายเนี่ยก็ได้มีโอกาสติดเป็น 20 คนสุดท้าย ไปแข่งที่นิวซีแลนด์ก็บินไปกับเขา ก็เป็นเด็กที่อายุน้อยสุดในใน ในทัวร์นาเมนต์นั้น

 

The People : จริง ๆ ตอนนั้นก็เหมือนทำตามความฝัน (ฟุตบอลเยาวชนโลก) ได้ในระดับหนึ่งแล้ว

ลีซอ : ใช่ ๆ มันมาค่อนข้างเร็วเหมือนกัน ใช่ครับ มาเร็วมากแต่ว่าก็อาจจะยังไม่ได้แบบ ถึงขนาดเป็นตัวหลักของทีมอะไรมาก แต่ว่าก็ ก็ถือว่าได้มีส่วนร่วมกับทีมอยู่เรื่อย ๆ ไปที่ที่ชิงแชมป์โลกก็ได้มีโอกาสลงเล่น ทั้งหมดก็มันมี 3 เกม รอบแรก ก็มีโอกาสได้ลงเล่น 2 เกม อะไรอย่างนี้ สอง น่าจะสองสามเกม ก็มีโอกาสได้ลงเล่นเกือบทุกเกม 

แต่ว่าก็เป็นเกมสุดท้ายที่เจอกานาที่มีโอกาสได้แบบ สร้างผลงานนิดนึง แต่ว่าก็ไม่ได้เป็นลูกที่เราทำอะไรที่มันแบบประหลาด ๆ แต่ว่าเหมือนเราไปแย่งกองหลังขามา แล้วเขาเตะอัดเรา เราไปวิ่งเพลสซิ่ง แล้วบอลมันกระดอนไป พี่สุริยะ อมตเวทย์ เลี้ยงไปทำประตูอะไรอย่างนี้ มันก็เลยเหมือนกับ เออเราก็มีผลงานนิดนึง เหมือนเราก็ไปทำประโยชน์ให้กับทีมได้


The People : บอกกับตัวเองว่าเลือกแล้วจะไปสุดทางกับฟุตบอล

ลีซอ : ก็รู้สึกว่าเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่า เออ…เราน่าจะแบบเลือกได้แล้ว ว่าเราจะไปทางไหน ตอนนั้นก็เลยคิดว่า ในเมื่อเรามีชื่อติดทีมชาติในทำเนียบทีมชาติแล้วเนี่ย ถ้าเราพยายามต่อ หรือว่าเรามุ่งมั่นต่อเนี่ย ผมเชื่อว่าก็มีโอกาสที่จะติดชุดอื่น ๆ ไปอีก ก็เลยคิดว่า หลังจากนั้นก็เลยคิดว่า เออ โอเค เอาละ เราก็เดินทางเส้นนี้แหละอะไรอย่างนี้ครับ ก็เลยตัดสินใจตั้งแต่ตอนนั้นว่า จะเล่นฟุตบอลเป็นอาชีพ

แต่ตอนนั้นก็ยังไม่รู้จะไปไหนนะ แต่คิดว่า แต่ว่าอยากไปต่างประเทศ จนก็มีโอกาสที่จะได้ ได้ ทุนจากคุณลุงระวิ โหลทอง จากสยามกีฬา ก็พอตอนนั้นเริ่มมีผลงานจากทีมชาติด้วย แล้วก็คุณลุงระวิก็พยายามหาเด็กที่อยู่ในรุ่นอายุประมาณนี้ 14-15 แล้วก็ที่บ้านสนับสนุน

แล้วก็มีผลงานโดดเด่นในการเล่นให้กับฟุตบอลระดับนักเรียนอะไรอย่างนี้ ซึ่งตอนนั้นผมก็น่าจะค่อนข้างโดดเด่น คนหนึ่งอะไรอย่างนี้ แล้วก็คุณพ่อก็อยู่ในวงการกีฬาด้วย สนับสนุนเต็มที่ ก็เลยมาถามว่าอยากไปไหมอะไรอย่างนี้ครับ เราก็บอกว่า เออ เราอยากไปคือเป็นคนเดียวด้วยที่ตอบว่า…ไปเลย 
ลีซอ-ธีรเทพ วิโนทัย : ผมเปลี่ยนคาแรกเตอร์เพื่อคุณไม่ได้ คุณรู้จักผมน้อยเกินไป

The People : จาก Brentwood School ไปสู่ คริสตัล พาเลซ อะคาเดมี่

ลีซอ : สโมสรตอนแรกเนี่ยตอนแรกคือเป็นทุนเราเองก่อน เรา เราสัญญาตอนแรกเป็นสัญญา 6 สัปดาห์ ทดสอบฝีเท้า 6 สัปดาห์ 6 สัปดาห์นี้เนี่ย ก็คือทดสอบฝีเท้า หลังจาก 6 สัปดาห์แล้วเนี่ย เราถึงจะได้เซ็นสัญญา 6 เดือน 6 เดือนเนี้ยคือเริ่มเข้าการแข่งขันในระดับเยาวชนของสโมสรได้ละ ก็คือตอนนั้นรุ่นประมาณ 15 ครับผม ก็มีโอกาสได้เข้าไป

แล้วก็ แต่ว่าก่อนที่เราจะเข้า จริง ๆ เนี่ย เรา ผมถือว่าโชคดีนิดนึง เพราะว่าตอนแรกที่คุย มองไว้กับลุงระวิว่า คือว่าอยากให้เข้าทีมโรงเรียนก่อน ทีมโรงเรียนเสร็จ เล่นให้ เล่นฟุตบอลนักเรียน เสร็จแล้วก็ให้แมวมองเนี่ยมาดูผลงานเราแล้วก็ดึงไป แต่เราเนี่ยประมาณว่า กลายเป็นว่าเราโชคดี มันกลับหัวกัน เราสมัครเข้าโรงเรียนละ เราบินไปถึงนู่น ก่อนโรงเรียนเปิดเทอมสองเดือน เราก็ไปเหมือนไปเรียนภาษา แล้วประจวบว่าไปเจอกับพี่ยา ซึ่งเป็นลูกหรือหลานของ ของตระกูลมีสุวรรณที่เขาเคยทำฟุตบอลเยาวชนเหมือนกัน

เขาก็เจอผม แล้วเขาก็รู้จักกับโค้ชคนหนึ่งในคริสตัลพาเลซ ช่วงระหว่างก่อนที่จะเข้าโรงเรียนเนี่ย เขาก็ไปแนะนำกับโค้ชคริสตัลพาเลซว่า เนี่ยมีเด็กไทยนะ มีดีกรีทีมชาติรุ่นนี้ ลองเอาไปฝึกซ้อมดูไหม ก็จังหวะว่าได้มีโอกาสไปฝึกซ้อมพอดี ก็คือเหมือน เราก็เริ่มมาฝึกซ้อมกับที่คริสตัลพาเลซก่อนที่จะเข้าโรงเรียน ทีนี้ก็เลยเหมือเข้าโรงเรียนไปก็เริ่มมีดีกรีของสโมสรนิดนึงกับทีมชาติ ละเข้าไปอยู่ในโรงเรียน

มันก็เลยเล่นทีมโรงเรียน ตอนแรกเล่นรุ่นอายุ 15 เล่นนัดแรก ก็โชว์ผลงานได้ดีพอสมควร น่าจะยิงสักลูกสองลูกอะไรอย่างนี้ แล้วก็โค้ชชุดใหญ่ของทีมโรงเรียนบอกว่า ไม่ต้องเล่นแล้ว U15 ยูเล่น U18 ของชุดใหญ่ของโรงเรียนไปเลยอะไรอย่างนี้ ใช่ เพราะว่าเหมือนตอนนั้นผมเล่น U17 ของทีมชาติมาแล้วใช่ไหมครับ เขาก็บอกว่า เหยงั้นไม่ต้องเล่นแล้ว U15 ก็เล่นรุ่นใหญ่ไปเลยอะไรอย่างนี้

ก็ข้ามรุ่นไปเลย ก็ไปเล่นรุ่นใหญ่อะไรอย่างนี้ แล้วก็ระหว่างนั้นก็คือ ทุกวันอังคารกับพฤหัสเนี่ย ผมนอนโรงเรียนประจำที่ที่โรงเรียน Brentwood School ก็คือจันทร์ถึงศุกร์เนี่ยอยู่โรงเรียนประจำ เสาร์-อาทิตย์ถึงกลับเข้าบ้าน ที่บ้านนักข่าวสยามกีฬาที่เขาจะซื้อไว้อะไรอย่างนี้ครับ ก็จันทร์-ศุกร์อยู่ แล้วก็อังคารกับพฤหัสเนี่ย ทุกเย็นหลังเลิกเรียน 4 โมงเนี่ย ผมจะต้องเดินทางจากที่ Brentwood Essex เนี่ย นั่งรถไฟประมาณ 2 ชั่วโมงไปที่คริสตัลพาเลซ สนามอะคาเดมีเยาวชน เพื่อซ้อมสองชั่วโมงที่นั่น ออกจากโรงเรียนสี่โมง ขึ้นรถไฟไปถึงนู่นหกโมง หกโมงเริ่มซ้อมเลย เลิกสองทุ่ม สองทุ่มนั่งรถไฟจากนู่น กลับมาที่โรงเรียน ถึงประมาณเกือบห้าทุ่มอะไรอย่างนี้ แล้วก็กลับไปที่โรงเรียนมานอนโรงเรียนประจำ

เช้าก็ตื่นไปเรียนอะไรอย่างนี้ก็ตาม ตามโควต้าเขา แต่ว่าผมจะได้สิทธิในการเข้าหอเนี่ย เลทกว่าคนอื่นหน่อย คนอื่นเขาจะเข้ากัน 4 ทุ่ม ผมเนี่ยได้ถึง 5 ทุ่ม เที่ยงคืน หรือกี่โมงก็ได้ถ้ากลับมาแล้วก็ให้แจ้ง อะไรอยา่งนี้ฮะ เพราะว่าผมต้องไปเดินทางไกล ซึ่งวันนั้น

 

The People :  เริ่มลงทีมกับสภาพแวดล้อมใหม่เรารู้สึกถึงความแตกต่างไหม

ลีซอ : ณ ตอนนั้นเนี่ย มันเป็นระดับเยาวชน ซึ่งถ้ามองเรื่องของตอนชุดเล็กกับชุดใหญ่เนี่ย บ้านเราอะ ณ ตอนนั้นอะ การซ้อมเด็กที่อายุน้อย ๆ เนี่ย ซ้อมดีกว่าของเขา ด้วยแพทเทิร์นต่าง ๆ เนี่ย เราจะเริ่มเน้นของทักษะอะไรนู่นนี่นั่น เขาจะเริ่มสอนเยอะ แต่ที่นู่นเนี่ยเขาจะไม่สอนมาก ช่วงเล็ก ๆ เนี่ยเขาจะไม่ใส่อะไรในหัวเราเยอะ เหมือนปล่อยให้เราเล่น โดยธรรมชาติของเรา เเหมือนให้เราปล่อยของ 

เราเล่นยังไงก็แล้วแต่ละคน เขาจะได้ดูแล้วก็ค่อย พอเริ่มโตขึ้นเขาก็ค่อย ๆ จะเริ่มสอนเรื่อย ๆ แต่ของเรามันจะข้ามสเต็ปจากเขา เราจะสอนตั้งแต่เด็กเลย สอนเบสิคพื้นฐาน การรับส่งบอลนู่นนี่นั่น เลี้ยงส่ง โม่ง ยิง

เหมือนให้ดูธรรมชาติของเราเลยว่า ธรรมชาติของเราจริง ๆ เนี่ย เป็นแบบไหนอะไรอย่างนี้ แต่ว่าเราเนี่ยก็อาจจะ เราก็พูดได้ว่า เพราะเราซ้อมระดับโรงเรียน ระดับทีมชาติมาแล้วเนี่ย แพทเทิร์นมันอาจจะไม่เหมือนกับที่เขาซ้อมเด็ก ๆ คนอื่น ๆ อะไรอย่างนี้ ก็เลยเราอาจจะข้ามไปหน่อย ก็เลย ช่วงที่อยู่ ช่วงที่ทดสอบฝีเท้า 6 สัปดาห์เนี่ย โค้ชก็พอใจ ก็ให้สัญญา เซ็นสัญญา 6 เดือน 6 เดือนเนี่ยพอเริ่มเข้าอะคาเดมี่ที่สามารถลงแข่งขันได้ด้วยเนี่ย มันก็จะเป็นซ้อมสองสัปดาห์ แล้วเสาร์-อาทิตย์เนี่ยไปแข่งก็จะเริ่มได้เจอกับสโมสรอื่น ๆ อะไรอย่างนี้ที่อยู่ใกล้ ๆ กัน 

เพื่อนผมก็มีพวก ‘เวย์น เราท์เล็ดจ์’ ที่เคยเล่นสเปอร์ส เล่นสวอนซี เล่นพอร์ตสมัท สปีดเร็ว ๆ อะไรอย่างนี้จริง ๆ แล้วก็มีหลายคนที่ตอนนั้นไปเล่นสโต๊คก็จะมีอย่างเช่น ‘เบน วัตสัน’ ที่จะหัวทอง ๆ หน่อย ‘ทอม โซเรส’ ซึ่งจริง ๆ เขาเรียก ทอม ซอว์เท้าขวา ตัวสูง ๆ อะไรอย่างนี้ ซึ่งก็ ก็จะมีไม่เยอะที่มันสามารถผ่านจากรุ่นนั้นขึ้นไปชุดใหญ่ได้ซึ่งก็มีประมาณนั้น 


The People : ตอนที่ไม่ได้ต่อสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่นั่น ตอนนั้นเรารู้สึกยังไง

ลีซอ : คือตอนนั้นไม่เสียใจเลยนะผม ผมไม่ได้เฟลอะไรเลย เพราะว่าระหว่างทางที่มันใกล้ ๆ จะไปถึงช่วงนั้นเนี่ย เราเริ่มรู้แล้วว่ามันตันละ มันตันละอะไรอย่างนี้ เพราะว่ามันต้องติดทีมชาติในสองปีล่าสุดเนี่ย 75% จากสองปีล่าสุดต้องเป็นทีมชาติชุดใหญ่ 75% นั้นคือต้องลงสนาม มันไม่ใช่แค่ติดทีมอย่างเดียว แล้วช่วงนั้นเป็นยุคดรีมทีม ยุคลุงหอยทำ โหล้นทีมอะ ตอนนั้นเราก็แบบด้วยอายุเรา 18-19 มันโอกาสที่จะไปแทรกแซง กลับขึ้นไปติดบนนั้นเนี่ยมันยากมาก

ซึ่งก็เราไม่มีโอกาสไปแทรกก็เลยคิดว่าเออมันก็คงจะสุดทางแล้วจริง ๆ แต่เราก็ ตอนที่เราอยู่ตรงนั้น คือเราก็เต็มที่แล้วอะ เหมือนขานึงเราเข้าไปแล้วอะ จะเป็นนักเตะอาชีพที่อังกฤษแล้วอะ แต่อีกข้างนึงเนี่ยมันยกไม่ข้ามอะไรอย่างนี้ฮะ มันก็ มันติดปัญหาตรงนี้ ซึ่งตอนนั้นมันก็เป็นกระแสเยอะเหมือนกันว่า คนก็มองว่าผมความสามารถไม่ถึง นู่นนี่นั่นอะไรแบบนี้ ซึ่งจริง ๆ แล้ว มันแค่เวิร์คเพอร์มิทอย่างเดียว เรื่องปัญหาเรื่องนี้เรื่องเดียวเลย 

The People :  จากไปเจอลีกอาชีพ แต่ต้องกลับมาประเทศเราโดยที่ก็ยังไม่ใช่ลีกอาชีพ
ลีซอ :
เราเหมือนเรารู้อยู่แล้ว เราทำใจไว้อยู่แล้ว แต่ว่าเรารู้สถานภาพบ้านเรากับบ้านเขาอยู่แล้วว่ามันเป็นยังไงมันต่างกันเยอะ เพราะฉะนั้นนี่เราก็พยายามที่จะปรับให้เราให้ได้เร็วที่สุด แต่ว่าก็ไม่ได้ซีเรียส เราแค่ต้องการที่จะเป็นนักฟุตบอลอาชีพเต็มตัวให้ได้ 

เราก็เริ่มคุยกับพี่องอาจ ซึ่งตอนนั้นเขาเป็นผู้จัดการทีมเทโรอยู่ เทโรก็เป็นทีมเจ้าบุญทุ่ม ซึ่งเราก็ดูติดตามทางเว็บไซต์อยู่แล้วอย่างเนี้ย รู้ข่าวตลอดว่า นักเตะทีมชาติเยอะ แล้วเป็นสโมสรที่แบบยิ่งใหญ่ของเมืองไทย ณ ตอนนั้น เราก็บอกว่าทีมนี้คือทีมในฝันเลยที่เราต้องกลับมาเล่นให้ได้ แล้วช่วงระหว่างที่ ก็กำลังจะกลับมาแล้ว ก็ได้มีโทรศัพท์คุยกับพี่องอาจเหมือนกัน ท่านก็โทรมานะครับ

ก็บอกว่าเนี่ยถ้ากลับมาก็อยากให้มาร่วมทีมกับเขา ผมก็บอกว่าโอเคเลยครับ ได้เลย ผมก็ตัดสินใจเลย แล้วผมเป็นคนที่จะไม่คาราคาซังกับสิ่งที่เรา คือจะไม่ลังเล ถ้าผมรู้สึกสบายใจตรงไหน ผมจะเอาตรงนั้นเลย ซึ่งเราก็ตกลงเซ็นสัญญากับเทโรกลับมาก็ร่วมทีมได้เลย ตอนนั้นก็อายุ 19 ปลาย ๆ 

ก็จริง ๆ ก็ ตอนนั้นเราก็พอรู้สถานภาพฟุตบอลไทย ณ ปัจจุบัน ณ ตอนนั้นอยู่แล้วว่า ว่ามันต่างจากฟุตบอลอังกฤษขนาดไหน แล้วฟุตบอลไทยมันกำลังเพิ่งจะเริ่มเอง ตอนนั้นมันมีแบบลีก มีทีมอยู่ 10 ทีมเอง ซึ่งแล้วก็ยังไม่มีทีมที่เป็นทีมเหย้าเยือน ใช้สนามเดียว ก็คือสนามเทพหัสดินที่เดียว ก็มีการเตะวันละสองคู่อะไรอย่างนี้ ซึ่งมันก็ ตอนนั้นยังไม่มีตลกตอนแรกอะ ก็ยังเงียบ ๆ เลย เตะกันตอนสี่โมงร้อน ๆ เลยอย่างนี้ แต่ว่าด้วยความที่เหมือนเราก็เป็นคนไทยอะ นี่คือบ้านเรา ก็เข้าใจได้ ว่ามันยังไม่ได้เริ่มอะไรมาตั้งแต่แรกอะไรอย่างนี้


The People : ที่มาเบอร์ 14 ที่ใส่มาตลอด

ลีซอ : เราก็เป็นเด็กที่ซีเกมส์ครั้งนั้นเนี่ย U23 เป็นครั้งแรกที่ปรับมาเป็นรุ่น U23 ซึ่งผมอายุ 16 ตอนนั้นก็ถือว่าเป็นเด็กสุดในรุ่นอยู่แล้ว เพราะมันแบก 6 ปีอะ แบกเยอะกว่าตอน 17 ปีอีก แต่ว่าเราก็ เราก็ทำได้ตอนนั้น เราก็จริง ๆ เราไป เราไม่ได้เป็นแบบไม่ได้เป็นเด็กเลยนะ ผมไปตอนนั้นคือก็ไปฐานะของผู้เล่นตัวหลักของทีมเลยนะ ผมเป็นลงเสร็จตัวแรก 3 นัดแรกที่เป็นรอบแรกเนี่ย ลงตัวจริงทุกนัด แล้วก็ยิงประตูได้ รู้สึกว่า 3 ประตู หรือ 2 ประตูเนี่ยแหละ ก็ถือว่าเป็นแบบมีผลงานจริง ๆ จัง ๆ 

แล้วก็ผลงานที่สร้างชื่อจริง ๆ ก็คือ รอบรอง ตอนนั้นยังเป็นโกลเดนโกลอยู่ก็คือว่า ต่อเวลาเจออินโด เสมอ 1-1 ผมก็ลงไปเป็นตัวสำรอง ไปยิงประตูชัยช่วยให้ทีมชนะ 2-1 อะไรอย่างนี้ ซึ่งก็แบบพาทีมเข้าชิงอะไรแบบนี้ แล้วตอนนั้นก็ถือว่าเป็นทัวร์นาเมนต์ที่สร้างชื่อจริง ๆ จัง ๆ ในแบบ เพราะซีเกมส์คือคนไทยทั้งประเทศดูหมด แล้วก็ทุกคนคาดหวังกับเหรียญทองของฟุตบอลไทย แล้วก็ผมทำให้ทีมเข้าไปชิง แล้วก็ได้แชมป์ ได้เหรียญทองกลับมา ซึ่งก็เป็นแบบ ทัวร์นาเมนต์สร้างชื่อของเราเลยในวงการฟุตบอล ก็เริ่มแบบ 

แล้วก็เป็นที่มาของเลข 14 ด้วย เบอร์ 14 ก็คือ พอใส่ 14 ทัวร์นาเมนต์นั้นก็เราก็ พอใส่เสร็จขึ้นมาทัวร์นาเมนต์นั้น เราก็เลยเลือกที่จะใส่เบอร์ 14 มาตลอดชีวิตเลยอะไรอย่างนี้ แล้วคนที่เลือกเบอร์นั้นให้เราคือ พี่วิฑูรย์ กิจมงคลศักดิ์ ก็คือเป็น อดีตทีมชาติไทย กัปตันทีมด้วย 2014 เขาเป็นโค้ชศูนย์หน้าด้วย ตอนนั้นเนี่ยมันมีการเลือกเสื้อกันเนี่ยในทีมเนี่ย ทุกคนก็เดินเลือกกัน ใครชอบเบอร์ไหนก็เลือกเลย แต่เราเป็นเด็กสุดตอนนั้น เราก็ไม่มีโอกาสเลือก พี่วิฑูรย์ก็ไปหยิบเสื้อเบอร์ 14 มาให้เลย ไปช้อนมาให้เลย อะ เขาก็พูดภาษาเขาก็ มึงเอาตัวนี้ไปเลย รับรองมึงดังแน่ มึงยิงแน่ อะไรอย่างนี้ เราก็ใส่ แล้วก็ประสบความสำเร็จจริง ๆ 

ก็เลยต้องขอบคุณพี่วิฑูรย์ด้วยตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ ก็คือเบอร์ 14 ก็มาจากพี่วิฑูรย์เลย ไม่เคยลืม แล้วเราก็ใส่มาตลอด เป็นตัวเรามาตลอดครับ


The People :  เบลเยียมคือรอบสองแล้วนะที่เราอยากไปพิสูจน์ตัวเองที่ยุโรป

ลีซอ : สโมสรเนี่ยเป็นฟุตบอลอาชีพ เป็นทีมชุดใหญ่ไม่ใช่อะคาเดมี่ละ ก็ต้องไปแข่งขันกันในทีมละอะไรอย่างนี้ ซึ่งมันก็จะต้องเจอปัญหานู่นนี่นั่น ซึ่งเราก็พร้อมเจออยู่แล้ว เพราะเราเคยมีประสบการณ์ที่อังกฤษมาแล้ว ก็ทีนี้ก็ค่อนข้างจะใช้ชีวิตง่ายขึ้น แต่ว่าที่เคลีร์เซเนี่ยอาจจะเป็นเมืองเงียบ ๆ หน่อยอะไรอย่างนี้ แล้วก็เราก็ยังไม่ได้เป็นตัวหลักของทีม ตอนนั้นก็คือเราเล่นริมเส้นฝั่งขวา ก็จะเป็นตำแหน่งก็คือ ก็จะเป็นคนที่สามอะของตัวเลือกในทีมริมเส้นฝั่งขวาอะไรอย่างนี้ ซึ่งเราก็ไม่มีปัญหาเราก็เข้าใจ พึ่งมาด้วย ก็ค่อย ๆ ใช้เวลาพิสูจน์ไป

แต่ก็ได้มีส่วนร่วมกับทีมเกือบทุกเกมนะครับ ได้ลงเล่นเกือบทุกเกมเหมือกัน แล้วก็ยิงได้ด้วย ใช่ครับ แล้วก็มีเกมกับทีมสำรอง แล้วก็พาทีมสำรองคว้าแชมป์ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง แต่ว่าระหว่างทางมันก็มีเรื่องของการ อย่างที่บอกว่ามันมีเรื่องของการเหยียดเชื้อชาตินิดหน่อย หรือการแบบไม่ค่อยได้รับโอกาสที่เต็มที่ เพราะบางทีเราอันดับ 3 ก็จริง แต่ว่า 1 2 เจ็บไปแล้วอะ มันก็ต้องเป็นเราถูกไหมครับ เขาก็ไปเอาคนอื่น ตำแหน่งอื่นมาเล่นอะไรอย่างนี้ ซึ่งมันก็อาจจะมีเรื่องตรงนี้ไป

แล้วก็ด้วยพอเราอยู่ไกล ตอนนั้นเราติดทีมชาติอยู่ ไม่ได้เล่นสม่ำเสมอ มาถึงจุดหนึ่งที่พอ แต่จริง ๆ เราก็ได้การยอมรับจากแฟนบอลจากโค้ชจากอะไรหลาย ๆ คนก็พอสมควรเหมือนกันนะครับ เพราะว่าเราก็เหมือนกับเป็นสีสันให้เขาได้พอสมควรเหมือนกันอะไรอย่างนี้ แล้วก็แต่ว่าสุดท้ายเนี่ยมัน พอถึงช่วงที่มันต้องตัดสินใจแล้ว จบฤดูกาลอย่างนี้ เราก็คิดว่า เรากลับดีกว่า

ลีซอ-ธีรเทพ วิโนทัย : ผมเปลี่ยนคาแรกเตอร์เพื่อคุณไม่ได้ คุณรู้จักผมน้อยเกินไป

The People : มองย้อนไปสิบปีที่แล้วตอนนั้นเราจะเห็น ‘ลีซอ’ ทุกคนก็จะมองว่า คุณมีปัญหาวุฒิภาวะทางอารมณ์ มองกลับไปตอนนั้นรู้สึกยังไง

ลีซอ :  ผมคิดว่าตอนนั้นผม ผมเป็นคนที่เรียกว่าอะไร ไม่ได้มีปัญหาเรื่องการควบคุมอารมณ์อะไรต่าง ๆ แต่ว่า คืออย่างที่ผมเกริ่นไปตอนแรก ช่วงแรก ๆ ที่ผมไปอยู่ที่อังกฤษแล้วตอนแรกสไตล์ผมก็เป็นสไตล์ไทยเนี่ยแหละ แต่โค้ชเขาบอกว่า ถ้ายูยังเล่นสไตล์นี้ยูอยู่ไม่ได้นะ ยูไม่รอดนะ ก็ต้องเปลี่ยนสไตล์ พอมันเริ่มเปลี่ยนสตล์แล้วโค้ชชอบ กองหลังก็เริ่มกลัวเรามากขึ้นอะไรอย่างนี้ เริ่ม เราก็เริ่มดุดันมากขึ้น แล้วก็ประจวบกับมาว่าเราก็ต้องเล่นฟิตเนสเพื่อให้มันแข็งแรงขึ้นอะไรอย่างนี้

ทีนี้เราก็จะเปลี่ยนสไตล์การเข้าปะทะ มันก็ต้อง แล้วโค้ชก็จะบอกเลยว่า 50-50 เนี่ย คุณต้องเอา เพราะสุดท้ายแล้วเนี่ย มันมีผลต่อตำแหน่งของคุณในทีม ต่อการลงเล่นอะไรอย่างนี้ สมมติว่าคุณเอาชนะ 50-50 ตัวต่อตัวไม่ได้เนี่ย โอกาสที่คุณจะไปชนะ ทีมจะชนะเขามันก็ไม่ได้อะไรอย่างนี้ ถ้าคุณ 1-1 กับกองหลังคุณชนะกองหลังได้ หรือคุณสามารถที่จะ เบียดแย่งบอลได้จากเขาเนี่ย คุณก็ถือว่าคุณชนะเขาได้แล้ว มันก็มีโอกาสที่ทีมจะชนะมากขึ้น

คือทุกดีเทลที่นู่นเนี่ย มันสำคัญหมด เพราะฉะนั้นการเข้าสกัดบอล ถ้าจะเอาก็เอาให้อยู่อะไรอย่างนี้ฮะ หรือถ้าจะตัดเกมก็ต้องอะไรอย่างนี้ คือมันไม่ใช่แค่ว่า เขาไม่ได้สอนแค่ว่า เป็นกองหน้าต้องยิงประตูอย่างเดียวนะ มันก็ต้อง aggressive ต้องแข่งขันกันด้วย ลูกกลางอากาศต้องกล้าชน กล้าปะทะ อะไรอย่างนี้ เขาบอกว่าไม่ต้องไปกลัวเลยบอลอาชีพเนี่ย ถ้าคุณเจ็บ คุณไปหาหมอเลย เดี๋ยวคนอื่นแทนได้อะไรอย่างนี้ แต่ว่าถ้าคุณไม่ทุ่มเทเนี่ยมันจะกลายเป็นว่าคุณก็จะสู้คนอื่นเขาไม่ได้อะไรอย่างนี้ ซึ่งมันก็พอนะ ผมก็เลยเปลี่ยนสไตล์การเล่นของตัวเองมาตลอด

แล้วคือฟุตบอลอังกฤษเนี่ย ทุกคนสามารถที่จะพูดได้หมด พูดกับผู้ตัดสิน คุณสามารถที่จะพูดได้ คุยได้หมด คุณก็สามารถด่าได้ เขาสามารถ เขาก็รู้ว่าธรรมชาติของนักกีฬาเป็นแบบนี้อะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเขาก็มีวิธีการพูดกับนักเตะอีกแบบหนึ่ง ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องปกติของที่อังกฤษ เพราะฉะนั้นผมอยู่ที่นั่น 4 ปีอะ พอผมเริ่มปรับตัวได้ ผมก็ไปทางนั้นตลอดอะไรอย่างนี้ เราก็มาดุดันตลอด เราก็ต้องเหมือนกับเพื่อนด้วยอะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นมันก็ทำให้สไตล์นั้นมันกลับมาติดที่เมืองไทย 

ซึ่งเมืองไทย ณ ตอนนั้นมันไม่มีแบบนี้ไง มันก็ทุกคนก็จะแบบอ่อนน้อมถ่อมตน compromise โอเคครับ ดึ๊ด ๆ บอลเชิงนิดนึงอะ แต่เราแบบ เราไม่ได้เกเร 50-50 เขาสอนว่าให้เข้า 50-50 เราก็เข้า แต่บางทีเราอาจจะไม่ได้เข้าเบา เข้าไปเราก็ปั้ง ๆ ๆ อย่างนี้ ทุกคนก็จะมองว่า เหย…เกเรว่ะ เล่นแรงอะไรอย่างนี้ ซึ่งไม่ใช่ แต่เวลาที่คุณดูฟุตบอลอังกฤษ สตีเว่น เจอร์ราร์ด เข้าบอล รอย คีน เข้าบอล พอล สโคลส์ เข้าบอล ปั้ง ๆ คุณบอก โห…นี่มืออาชีพเว้ย แม่งดี

แต่สำหรับ พอคนไทยทำบ้าง คุณบอกว่าเกเร ทั้ง ๆ ที่เข้าบอลลักษณะเดียวกัน เหมือนกันอะไรอย่างนี้ ซึ่งผมก็เลยมองว่า คุณอย่าลืมนะ ตรงนั้นว่าผมมาจากตรงนู้น ๆ นะ แล้วถ้าผมไปเล่นที่อังกฤษแล้วผมไม่ได้สไตล์อังกฤษกลับมา มึงไปทำไมวะ มึงก็อยู่เมืองไทยดิ ผมก็คิดอย่างนั้น ผมก็เลยไม่ได้ซีเรียส คือถ้าผมไม่ทำให้ใครเดือดร้อน หรือว่าผมไม่ได้ไปทำร้ายใครอะ เจตนาผมดีอะ ผมก็ไม่ได้ซีเรียส ผมก็เฉย ๆ อะไรอย่างนี้ ซึ่งผมก็บอกว่า สุดท้ายแล้วอะ เราทำยังไงก็ได้ให้ทีมเราชนะอะไรอย่างนี้ ซึ่งมันก็ทุกอย่าง หรืออะไรที่มันไม่แฟร์ หรืออะไรที่เราเห็นแล้วว่ามันไม่เหมาะสม เราก็สามารถพูดกับผู้ตัดสินได้

แต่ผู้ตัดสินไทยเนี่ย ณ ตอนนั้นมันก็ด้วยวุฒิภาวะของเขา ความสามารถของเขา การควบคุมอารมณ์มันก็น้อยไง มันก็ไม่เหมือนกับต่างประเทศ

 

The People : ค่านิยมในสนามฟุตบอลไทยมันจะแก้ได้หรอ

ลีซอ : มันก็อาจจะยากหน่อยมันเป็นความคุ้นเคย แต่ว่า เดี๋ยวทุกวันนี้มันก็ไม่ใช่แล้วอะ คือทุกวันนี้ผมก็เชื่อว่ามันเป็นอาชีพมากขึ้น ทุกคนก็สามารถพูดได้แล้ว แล้วก็น้อยคนแล้วที่จะเป็นอาจารย์ แล้วมาเป็นผู้ตัดสิน ผมคิดว่า มันก็มีคนที่เป็นผู้ตัดสินแหละ ส่วนใหญ่เนี่ย ผู้ตัดสินก็จะเป็น ในเมืองไทยก็จะเป็นอาจารย์ที่เรียนพละมาอะไรมาใช่ไหมครับ มันก็เรียกกันติดปาก แต่สุดท้ายทุกวันนี้มันเป็นอาชีพละ คนที่คุณมาตัดสิน คุณก็มีเงินของคุณเหมือนกัน

ผมทุกวันนี้ คน ทีมที่ลงทุนให้ผมก็ลงทุนเยอะเหมือนกัน จ่ายเงินเดือนผมสูง เพราะฉะนั้นคุณก็ต้องแบกรับความกดดันตรงนี้ได้เหมือนกัน คุณไม่ใช่ว่าคุณจะมาตัดสินตามใจตัวเองมันก็ไม่ได้อย่างนี้ ผมว่ามันก็เป็นอะไรที่ก็แฟร์กับทุกคนอะ ทุกคนมันก็ก็ต้องทำหน้าที่ตัวเองอะไรอย่างนี้ครับ


The People : ดราม่าพันทิปเหมือนยิงแมนยู หลังจากนั้นกลายเป็นว่าทุกครั้งที่เราได้บอล คนไทยด้วยกันแท้ ๆ โห่ ตอนนั้นสภาพจิตใจเราในสนามเป็นอย่างไร

ลีซอ : คือตอนนั้นเนี่ย ผมเริ่มแข็งแกร่งละ ผมโดนมาเยอะแล้ว ผมแข็งแกร่งละ ผมคิดว่าถ้าผมอยากเป็นคน ๆ หนึ่งที่มันหลุดออกมาจากกลุ่มคนอื่น ๆ ไม่ใช่นักเตะบอล นักบอล standard เท่าไปอะ อยากจะเป็นคนที่เป็นอาจจะเป็น superstar หรือโด่งดัง ถ้าคุณอยากจะโดดเด่นกว่าคนอื่นอะ คุณก็ต้องรับสภาพตรงนี้ให้ได้ แต่ว่าเราไม่ได้ทำให้ตัวเองโดดเด่นด้วยการที่สร้างคาแรกเตอร์ให้คนมานั่งด่า แต่นี่คือเป็นตัวเราเลย เป็นตัวของเราจริง ๆ อะไรอย่างนี้ แล้วตอนแรกที่ผมให้สัมภาษณ์เรื่องใน อย่างวันนั้นก็คือ

แมนยูคือทีมที่ผมรัก ผมชอบ ผมเชียร์ตั้งแต่เด็ก ผมคิดว่าเออ ถ้าผมยิงเข้าผมจะไม่ดีใจ แต่ว่าด้วยความที่คนไปตีความหมายในสิ่งที่ผมให้สัมภาษณ์อีกแบบหนึ่งว่า ผมเคยอยู่แมนยู ผมก็นั่น ก็เลยคิดว่าเห้ยมึงเป็นใคร มึงเก่งขนาดไหน มึงคิดว่าตัวเองอยู่แมนยู นู่นนี่นั่นอะไรอย่างนี้ คือเขาตีความอีกแบบหนึ่ง เขาก็เลยเหมือนกับ อาจจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ผมให้สัมภาษณ์

ผมก็เลยรู้สึกตั้งแต่ตอนแรกแล้วแหละ ตอนที่เขาประกาศรายชื่อสิบคนแรกของทีมทั้งสองทีม แล้วก็ประกาศกัปตันทีมของทีมสิงห์ ออลสตาร์ ตอนนั้นก็เป็นผม คนแทนที่จะเฮ คนก็แบบมีเสียงฮือ ๆ มานิดหน่อย แบบฮือเริ่มมาละ ผมก็เอ๊ะ ริโอ เฟอร์ดินานด์ กีปตันทีมของทีมแมนเชสเตอร์ คนเฮทั้งสนามเลยครับ

โอเค ได้ ไม่เป็นไร ผมไม่ได้ซีเรียสอะไร แต่พอลงสนามปุ๊บ ผมเริ่มได้บอลครั้งแรก คนเริ่มฮือ ครั้งที่สอง ฮือ ๆ ทีนี้ได้บอลเยอะขึ้นเท่าไหร่ คนก็ยิ่งฮือ เท่านั้น คือ ผมเลยคิดว่า งั้นก็สนุกแล้วทีนี้ ผมก็วิ่งเลยทีนี้ วิ่งไปเอาบอลทุกที่เลยที่อยู่ในสนาม ข้างหลัง ข้างหน้าอะไร ผมวิ่งหมด แล้ววันนั้นเนี่ย ผมว่าวันนั้นเนี่ยเป็นหนึ่งวันที่ผมเล่นดีที่สุดในชีวิตเลย

สภาพทั้งการวิ่ง จ่ายบอล วิ่งไล่บอล เล่นร่วมกับเพื่อน สร้างโอกาสยิงประตู แล้วสุดท้ายผมก็เป็นคนยิงประตูชัยให้ทีมชนะอะไรแบบนี้ มันเหมือนเป็นแรงกระตุ้นแล้วตอนนั้นน่ะ แล้วผมรู้สึกว่า คือผมไม่ได้ผิดอะไร การที่ผมให้สัมภาษณ์ไป แล้วคุณมาตีความในสิ่งที่ผมพูดผิด แล้วคุณจะมาโห่ผมอะหรอ ก็เอาดิ เดี๋ยวทำให้ดูในสนาม ให้ผลงานเป็นตัวพิสูจน์ ผมก็คิดอย่างนั้น

แล้วก็ผมคิดว่า มันก็เป็นสีสันของฟุตบอลไทย การที่แบบคนมานั่งด่า สมมติอะ ผมคิดว่า เหมือนผมได้ทำบุญโดยที่ผมไม่ต้องไปวัดอะ การที่ผม สมมติเขาต้องการจะมาด่าผม โอเคคุณซื้อบัตรเข้ามาดูฟุตบอลไทยนะ เข้ามานั่งด่าที่สนาม หนึ่งคือคุณช่วยฟุตบอลไทย สนับสนุนบอลไทย สองคือคุณก็ได้มานั่งด่าผม คือคุณด่าผมแล้วคุณมีความสุข ผมได้บุญนะ นึกออกไหมพี่ เราทำให้คนมีความสุขอะ


The People : อะไรที่ทำให้มี attitude อย่างนี้ได้

ลีซอ : เราเลือกไม่ได้ละ เรามาทางนี้แล้ว เราจะไปทำให้คนเขาไปปรับทัศนคติ ไปนั่งอธิบายว่าเห้ย ผมไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะ ผมไม่ได้เป็นอย่างนี้นะ พี่ช่วยอย่าโห่ผมได้ไหม มันไม่ได้แล้วไงพี่ ในเมื่อโห่ไปแล้วอะ แล้วคาแรกเตอร์เราเป็นแบบนี้ เราก็ไม่อยากเปลี่ยนคาแรกเตอร์ เพราะว่านี่คือสิ่งที่คนอื่นไม่มี ถ้าเราไปทำให้เป็นนัก เป็นเหมือนคนอื่น เราก็เป็นนักเตะดาด ๆ ทั่วไป นักเตะที่เป็น standard ทั่วไป เราต้องการที่จะโดดเด่นขึ้นมาจากคนอื่น
ไม่เป็นไร แลกเลย โห่ไป เดี๋ยวผมทำอย่างนั้นในสนามเองอย่างนี้ แล้วทีมอื่นน่ะ ผมว่ามันก็เป็นจุดหนึ่งที่อาจจะช่วยทำให้ทีมเรามันดีขึ้น ก็คือว่ากองเชียร์เขาแทนที่จะมาเชียร์ทีมตัวเอง กลับต้องมารอด่าผม รอโห่ผม ซึ่งมันก็ทำให้เขาไม่สามารถสนับสนุนตัวเองได้ ทีมตัวเองได้เต็มที่

แต่กลายเป็นว่าทีมผมก็อาจจะได้เปรียบไปในตัวด้วย คือพอมันเลือกไม่ได้ ผมก็เลยคิดว่าเหย มองในมุมบวกไปเลย เอาเสียงเนี่ยเป็นแรงผลักดัน ผมไม่เคยคิดว่ามันเป็นแรงกดดัน หรือว่าอะไร เพราะว่าที่ผ่านมาที่ผมทำมาตลอดชีวิตการเป็นนักฟุตบอลเนี่ย ผมอุทิศตนให้กับฟุตบอลแบบนี้ ผมไม่เคยทำตัวเสีย ๆ หาย ๆ ไม่เคยทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน หรือไปทำอะไรที่มันไม่ดี

คุณไม่ชอบผมเพราะคาแรกเตอร์ผม ช่วยไม่ได้ ผมเปลี่ยนคาแรกเตอร์เพื่อคุณไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ ละสิ่งที่ดีคืออะไร คือโค้ชหลาย ๆ คนเนี่ยที่ผมโลดแล่นในฟุตบอลวงการฟุบอลไทยได้จนทุกวันนี้ เพราะเขาชอบคาแรกเตอร์ผมแบบนี้ เพาะฉะนั้นถ้าผมเลือกได้ ผมก็ทำให้โค้ชเขาพอใจกับตัวผมดีกว่า ดีกว่าผมจะต้องไปนั่งแก้เพื่อให้คุณมาพอใจผม

ผมถามว่าคุณแก้ ผมแก้ให้คุณพอใจผม ผมไม่ได้ติดทีม ไม่ได้ติดทีมชาติ ผลงานแย่ลง ผมถามว่ามีประโยชน์อะไร คุณเกลียดผม แต่ผมดังขึ้นดีกว่า ผมมีผลงานมากขึ้นดีกว่า อะไรอย่างนี้ ยิ่ง แล้วหลัง ๆ เนี่ย พอคนพูดถึงมากขึ้น ผมเลยคิดว่าคนที่มันไม่ดังอะ คนมันไม่พูดถึงมึงหรอก คนที่มันดังมึงทำอะไรก็แล้วแต่เป็นข่าวหมด เพราะฉะนั้นผมก็เลยมองว่า โอเค ถ้าคุณอยากโดดเด่น อยากเป็นที่พูดถึง คุณก็ต้องเก่งต้องดังให้เขาพูดถึง ถ้าเขาพูดถึงเราแสดงว่าเราเก่งเราดัง

ผมก็เลยคดว่า เออก็เป็นความสุขของเขาไป แล้วหลาย ๆ คนผมก็เชื่อว่า หลาย ๆ คนอยากเป็นเหมือนผม แต่เป็นไม่ได้เหมือนผม ก็เลยไม่ชอบแบบผมอะไรอย่างนี้ คือมันมีหลายแบบ หรือบางคนก็จะแบบ ฟังคนอื่นมาอีกทีนึง แล้วก็ตัดสินผมโดยที่คุณไม่รู้จักผมอะไรอย่างนี้ ก็ไม่เป็นไร มันไม่ใช่ปัญหาของผมอะ มันปัญหาของคุณที่คุณต้องไปจัดการความคิดของคุณเองว่า คุณไม่ชอบผมเพราะอะไร

หรือคุณทำไมถึงไม่ชอบผม คุณรู้จักผมหรือยังอะไรอย่างนี้ ผมจะต้องมานั่งอธิบายให้ทุกคนฟังหรอ มันไม่ใช่ เหมือนผมก็ อะอย่างนี้ผมก็แชร์ให้น้อง ๆ หลาย ๆ คนฟังเหมือนกัน นักบอลหลาย ๆ คนที่ บางคนก็มีไปตอบโต้กับแฟนบอล ผมก็จะบอกว่ามึงไม่ต้องตอบโต้หรอก ไม่มีประโยชน์ ยังไงมึงไปนั่งอธิบายให้พวกเขาฟัง มันไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะเข้าใจมึง เดี๋ยวถึงเวลาเขาก็ด่ามึงอยู่ดี มึงทำดี โดยเฉพาะคนไทยเนี่ย

ทำดี อยู่เสมอตัว แต่ถ้าเมื่อไหร่ทำไม่ดีเนี่ยเขาด่ามึงแน่นอน แต่ไม่เป็นไรคนไทยลืมง่าย อย่าไปตอบโต้ ยิ่งตอบโต้ยิ่งเข้าตัว ทีนี้เขาก็ยิ่งผูกใจเจ็บเลยว่า มึงด่ากูใช่ไหม มึงโต้กูใช่ไหม เขาก็จะด่าอีก ละยิ่งเมื่อไหร่เราตอบโตเนี่ย แสดงว่าเขาด่าเราแล้วเราตอบโต้ เขาสนุกไง เดี๋ยวเขาจะด่าเราเรื่อย ๆ ให้เราตอบ เราก็เฉย ๆ ก็ยิ้มไป หัวเราะไป คนที่จะสะเทือนใจคือเขาแหละ ด่าไปเรื่อย แล้วเราไม่สะเทือนใจ

เขาก็เลิกด่าไปเอง สุดท้ายเนี่ย ผลงานในสนามก็เป็นตัวพิสูจน์ หรือว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำ มันออกมาให้เห็น เดี๋ยวคุณก็เลิกด่าเองอะไรอย่างนี้ บางทีในเกมผมยิงเข้า เงียบเลย ผมวิ่งไป ไหนอะ เสียงอยู่ในอะ ไม่เห็นด่าเลย เมื่อกี้ด่ากูจัง กูยิงเข้ามึงไม่ด่าอะไรอย่างนี้ คือมันก็เรามีวิธี เขาเรียกวิธีเอาคืนในแบบของเราอะไรอย่างนี้ ครับผม

ลีซอ-ธีรเทพ วิโนทัย : ผมเปลี่ยนคาแรกเตอร์เพื่อคุณไม่ได้ คุณรู้จักผมน้อยเกินไป

The People : ถ้าพูดถึงเรื่องความฟุ้งเฟ้อ มายา ผู้หญิง มันเป็นของแสลงของนักกีฬา พอเจอเรื่องนี้บ้างไหม

ลีซอ : เจอ ๆ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ก็ชอบเรื่องพวกนี้เหมือนกัน ก็บอกเลย แต่ว่าผมจะไม่ คือผมยังโชคดี อย่างที่บอกโชคดีตั้งแต่ผมไปอยู่ที่อังกฤษตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ ผมก็รู้แล้วว่าการที่จะเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่ดีได้เป็นแบบไหน หรือมันก็มีเหมือนกันที่คนที่เป็นนักฟุตบอลอาชีพที่ไม่ดี มีตัวอย่างให้เราเห็น เราก็เห็นว่ามันเป็นแบบไหน แล้วเขาก็จะสอน ที่อังกฤษเขาจะสอนเลยว่าอะไรที่มันดีกับร่างกาย อะไรที่มันไม่ดีกับร่างกาย อะไรที่มันควรทำไม่ควรทำ เขาสอนหมด

มันอยู่ที่ตัวเราอะ ว่าเราจะควบคุมมันยังไง ว่าเราจะเอาแบบไหน อย่างผมเนี่ย ผมเป็นคนที่จะไม่ดื่มอยู่แล้วอะ ไปกับเพื่อนไปอะไรอย่างนี้ เพื่อนทุกคนก็โหย ทำไมไม่ดื่ม ดื่มหน่อยดิ เห้ย อะไรอย่างนี้

 

The People : เขามองว่าลีซอเป็นคนปาร์ตี้

ลีซอ : ผมชอบปาร์ตี้ ผมไป แต่ผมไม่ดื่ม ผมไปก็กินน้ำกินอะไรอย่างนี้ แล้วผมเป็นคนแบบ ผมเมาดิบได้อะ ผมสนุกของผมได้อะ มึงเมามึงสนุกเท่าไหร่ กูก็สนุกกับมึงได้เท่านั้น มึงไม่ต้องกลัวเลยอะไรอย่างนี้ ผมก็จะบอกอย่างนี้ตลอด คือทุกคนก็จะแบบ บางทีแบบ ผมสนุก เหมือนผม คือคนเมาอายผมอะ ผมสนุกกว่า คือมันไม่จำเป็นที่ต้องแบบกินน่ะ บางทีในความรู้สึกผมอะ ก็สนุกได้ กูก็อยู่กับมึงได้ ไม่ใช่ผมไปทำไม่กิน แล้วผมก็ยืนเฉย ๆ ไม่ใช่ กูเต้นเยอะกว่ามึงอีก หรืออะไรอย่างนี้

ซึ่งแบบ ไอการไปเที่ยวอะ ก็ต้องรู้เวลาว่าเวลาไหนควรเที่ยว ไม่ควรเที่ยว หรืออะไรอย่างนี้ มันก็อาจจะมีบ้างบางช่วงเวลาที่ผมไปในช่วงเวลาที่มันไม่ควร แต่อย่างที่บอกว่าเรารู้ตัวเองว่าเราก็ไม่ได้กิน เพราะฉะนั้นเรากลับมานอน ตื่นมาเราก็สดชื่นเหมือนเดิม แต่ถ้าคนมันกินมันก็จะแบบกว่าจะฟื้นตัว กว่าจะอะไรต่าง ๆ มันก็จะลำบากหน่อย อะไรอย่างนี้ ซึ่งเรื่องนี้ผมดูแลตัวเองได้

หลาย ๆ คนก็พูดอะไรอย่างนี้ บอกว่า ผมก็จะบอกกับเหมือนกัน บางคนที่คอมเมนต์กับผมแรง ๆ หรือพูดกับผมแรง ๆ เนี่ย ผมว่าไม่ต้องห่วงผม ห่งวตัวคุณนั่นแหละ ดูแลตัวเองให้ดีก่อน ผมรู้ผมทำอะไรอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำในชีวิตผมนะพี่ ผมรับได้หมดกับผลที่มันจะกลับมากับผม ผมสามารถตอบได้ทุกคำถามว่าทำไมผมถึงทำแบบนี้

แล้วผมยินดีที่จะรับในด้านมืดที่มันจะต้องกลับมาหาผม ผมไม่ซีเรียสเลยอะไรอย่างนี้ อย่างเรื่องแบบผู้หญิงอะไรแบบนี้ผมก็มีข่าวเยอะแยะ ผมก็เป็นนักกีฬาคนหนึ่ง เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่เราก็ชอบผู้หญิงสวย ชอบผู้หญิงที่ดูดีอะไรอย่างนี้ ก็มีช่วงที่เคยเจ้าชู้เคยอะไร ก็มีเหมือนกัน แต่ว่าสุดท้ายแล้วเราก็ประคองตัวเอง ให้มันไม่เสียหายได้อะพี่ นึกออกไหม ให้มันอยู่ในเส้นทางได้หรือว่าไม่ปล่อยตัวให้มันอีเหละเขะขะ หรือแบบไปมั่วซั่วอะไรจนแบบตัวเองพังอะ มันไม่ใช่อย่างนั้น

คือหนึ่งผมก็ให้เกียรติคุณพ่อคุณแม่ด้วย ผมก็ คุณพ่อคุณแม่ก็จะสอนผมตลอด เราเป็นลูกผู้ชายเราต้องให้เกียรติผู้หญิงนู่นนี่นั่น เขาก็สอนตลอด เราก็มีวิธีการดูแลตัวเราเองเหมือนกัน คุณพ่อก็ไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่เรื่องพวกนี้ คือมันก็มีที่ผมเกเร ๆ แต่ว่า เราก็อยู่ในกรอบที่มันพอดี หรือว่าผมแชร์กับน้อง ๆ เนี่ย ผมก็บอกว่า ผมไม่เคยบอกใครนะว่ามึงห้ามเที่ยว 

แต่เที่ยวให้รู้เวลา ห้ามกิน ผมไม่เคยบอกว่าห้ามกิน จากประสบการณ์ของผมอะมันกินได้ แต่กินให้รู้เวลา กินให้มันรู้ปริมาณ ไม่ใช่กินจนหมดสติอะ อะไรอย่างนี้มันก็ไม่ได้ ซึ่งคือบางคนน่ะ ขยันพูดเรื่องมืออาชีพ เรื่องอะไร คุณรู้หรอมืออาชีพคืออะไร คุณรู้หรอพวกมืออาชีพเขาทำตัวกันยังไง เขาใช้ชีวิตกันยังไง ไม่ต้องไปบอกเขา บางคนชอบคอมเมนต์ แม้กระทั่งคนที่อยู่ในวงการฟุตบอลนี่แหละ ผู้หลักผู้ใหญ่ ตัวเองไม่รู้หรอกว่ามืออาชีพคืออะไร แต่ขยันพูด ขยันที่จะแนะนำที่จะพูดแบบ แล้วก็แบบต่อว่าชาวบ้านเขาอย่างนี้ ๆ 

ไม่ต้องพูดถ้ายังไม่รู้จริง ไม่ต้องพูด ผมอยู่ที่อังกฤษมาเนี่ย ผมก็เห็นนักฟุตบอลดัง ๆ หลาย ๆ คนเนี่ย เขาก็ใช้ชีวิตของเขาได้ แต่เขาก็รู้ไงว่าเขาต้องทำแบบไหน เพราะฉะนั้นเนี่ย ผมบางทีผมก็อยากจะบอกว่า บางคนที่จะคอมเมนต์อะไรอะ เอาให้ตัวเองรู้ให้จริงก่อน แล้วค่อยคอมเมนต์คนอื่น เพราะถ้าโดนแบบสวนกลับหรือตอกกลับเนี่ย มันจะหน้าหงาย แล้วจะมองหน้ากันไม่ติดเหมือนกันอะไรอย่างนี้

ก็อยากจะบอกแบบนั้น เพราะว่าเราเคยเจอมา ถึงบอก อย่างน้อง ๆ เนี่ย เห้ยมันกินได้มันเที่ยวได้ แต่ก็อยู่ในเวลาที่เหมาะ พอเหมาะ สมควร ปริมาณที่กินก็กินให้พอดี ๆ ให้มันรู้ระยะเวลา เห้ยจะแข่งวันไหน อะไรยังไง สุดท้ายเนี่ยมันไม่มีใครไปคุมได้หรอก ถามว่าคุณพูดกับเขาไปเยอะ ๆ อะ ไอคนที่คอมเมนต์อะ รู้ บอกว่าตัวเองรู้อะ พูดไปอะ สุดท้ายอะ คุณถามว่าพูดไปอะ แล้วเขารับฟังไหมอะ ถ้าเขาไม่ฟังสิ่งที่พูดไปก็ไม่มีประโยชน์

แบบพูดให้มันเป็นเรื่องเป็นราวเป็นเหตุเป็นผลดีกว่า บอกเขาสุดท้ายแล้วเขาต้องดูแลตัวเขาเอง อย่างที่ผมพูดกับน้อง ๆ ไป แชร์ไป คุณไม่ทำก็เรื่องของคุณ นั่นชีวิตคุณ แต่ชีวิตผม ผมทุกวันนี้ผมมาอยู่ตรงนี้ได้อะ เพราะผมก็ดูแลตัวเองดีนะ เออ ไม่ต้องห่วงผม ผมอาจจะแบบ มุมผม คาแรกเตอร์ผม หรือสไตล์ผมอะ มันอาจจะดูเหมือนคนเกเร แบดบอย แต่ไม่ต้องห่วง อีกด้านหนึ่งอะ โห เป๊ะ อะไรอย่างนี้ ก็อยากจะบอกอย่างนั้น

 

The People : สภาพอายุ ร่างกาย ไปตามกาลเวลา ปัจจัยอะไรที่ทำให้ลีซอตอนนี้ไม่เกี่ยงหน้าที่ในการอยู่ในสนาม

ลีซอ : ผมว่าผม ฟุตบอลเนี่ยมันเป็น คือสิ่งที่ผมรักผมชอบ ผมยังไงก็ได้ให้ผมได้ลงเล่นอะไรอย่างนี้ คือ เมื่อก่อนเนี่ยโอเค ตำแหน่งผมมันชัดเจนคือ ศูนย์หน้า ช่วงที่มันพีค ๆ เนี่ย มันก็ทุกคนก็อยากให้ผมยิงประตู ใช้ความเร็วไปเอาชนะคู่แข่งอะไรอย่างนี้ แต่พออายุมันมากขึ้น อย่างฟุตบอลไทยสมัยนี้เนี่ย ศูนย์หน้าก็จะต้องเป็นต่างชาติอะไรอย่างนี้ เราก็ต้องดรอปมาเป็นด้านข้างบ้าง หรือเป็นอะไรแบบนี้บ้าง

เราก็ไม่เป็นไร มันก็ คือเราต้องเข้าใจวัฏจักรของฟุตบอลหรือช่วงเวลาของตัวเราเองด้วยเหมือนกันว่า ทุกวันนี้สถานการณ์ของลีกไทยมันเป็นแบบนี้ ตัวเราเองก็ต้องปรับตัวให้มันได้ เพื่อที่จะอยู่ได้นานที่สุด ถ้าสมมติผมบอกไม่ได้ ผมจะเล่นศูนย์หน้า ที่ไหนจะให้มึงเล่นทุกวันนี้ (หัวเราะ) เขามีแต่ศูนย์หน้ายักษ์ ๆ เร็ว ๆ ต่างชาติทั้งนั้นอะไรอย่างนี้ คุณก็เล่นไม่ได้

คุณก็ต้องปรับตัวเองลงมาอะไรอย่างนี้ ซึ่งผมคิดว่ามันไม่เกี่ยง แล้วเราด้วยประสบการณ์ด้วย เราเองก็เคยเห็นมาเยอะ เราก็พอเข้าใจว่า แต่ละตำแหน่งเนี่ยมันมี เราเป็นนักฟุตบอลเราจะรู้อยู่แล้วว่า หน้าที่ของแต่ละตำแหน่งมันคืออะไร เพราะฉะนั้นเนี่ยเราเอาตรงนั้นเป็นหลัก สมมติเราต้องไปเล่นด้านข้าง ด้านข้างคือ ทีนี้เราอาจจะไม่ได้ยิงประตูเป็นหลักละ จะต้องแบบ ไปผ่านบอลให้เพื่อนละ ก็พยายามหาจังหวะผ่านบอลให้เพื่อนให้มากขึ้น หรือไปรับบอลจากกองหลังให้มากขึ้นอะไรอย่างนี้

มันก็จะมีดีเทลที่เราอาจจะต้องพยายามปรับ เพื่อ ตรงนี้ผมว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักกีฬาไทยเหมือนกัน อย่ายึดติดมากกับสิ่งที่ตัวเองถนัด เพราะฉะนั้นเนี่ยคุณจะอยู่ได้แป๊บเดียว สมมติว่าคุณเป็นคนที่เล่นแต่ตามใจตัวเอง สุดท้าย โค้ชที่ไหนก็แล้วแต่เขาไม่ใช้หรอก คนที่เล่นตามใจตัวเองอะ

ทุกวันนี้ ฟุตบอลมันพัฒนาไปมากขึ้น มันเป็นเรื่องของ tactic ระบบ วิธีการเล่นที่มันจะต้องเล่นร่วมกันทั้งหมด เพราะฉะนั้นถ้าคุณเล่นตามใจตัวเอง จะเห็นเลยว่าคุณคนเดียวแหละที่ผิดพลาด มันจะโดดเด่นออกมา ทีนี้คุณจะไม่ได้เล่นละ เพราะฉะนั้นก็พยายามปรับตัวให้ได้ เล่นตำแหน่งไหนก็เล่นหมดอะไรอย่างนี้ คือจริง ๆ อะ โอเคมันอาจจะลดศักยภาพของเราไปบ้าง แต่ว่าสุดท้ายแล้วอะ เราพูดได้ว่าเนื้องานตรงนั้นน่ะ โค้ชเป็นคนสั่งให้เราทำ 

มันมีคนบอกว่าโห ลีซอ หลัง ๆ ไม่ยิงประตูเลย ตอนนี้หน้าที่ผมไม่ได้ยิงประตูแล้ว หน้าที่ผมต้องไปปั้นเพื่อนแล้ว ก็เราก็พูดได้ เรา ณ ตอนนี้ โค้ชทีมนี้ อย่างอะสมมติผมพูดว่า ตอนนี้อยู่โปลิศ เทโร พี่อ้น รังสรรค์คือโค้ชผม เพราะฉะนั้นคนที่ผมต้องฟังมากที่สุดคือในทีมคือ พี่อ้น รังสรรค์

เขาสั่งอะไรผมลงมา ผมต้องทำตามนั้น สุดท้ายแล้วเนี่ย ใครจะพูดยังไงก็แล้วแต่ ผมก็สามารถบอกได้ว่านี่คือหน้าที่โค้ชที่เขามอบหมายให้ผม เพราะฉะนั้นเนี่ย ผมต้องทำตามที่เขาบอก อะไรอย่างนี้ ซึ่งมันก็อันนี้เป็นเรื่องที่ผมว่ามัน นักฟุตบอลทุกคนก็ไม่ควรเกี่ยง ในความคิดผมนะ โอเคคุณจะมาบอกว่าคุณเล่นตรงนี้ไม่ได้ งั้นคุณก็ไม่ได้เล่น คุณเลือกเอาว่าคุณจะเล่น หรือคุณจะไม่เล่น เท่านั้นแหละครับ

 

The People :  100 ประตูที่ตั้งไว้ ตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว คิดว่าอีกไกลไหม

ลีซอ : ก็คิดว่าน่าจะไม่ไกล แต่ก็ไม่ได้กดดันตัวเองว่า จะต้องปีนี้ หรือเมื่อไหร่ เพราะผมยังไม่ได้คิดจะเลิกอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นปีหน้าก็ยังมีเวลา ปีต่อไปก็ยังมีเวลา อยู่ที่ว่าผมรักษาตัวเองให้สุขภาพร่างกายดีขนาดไหน แล้วก็รักษามาตรฐานในการลงเล่นสม่ำเสมอให้ได้นานที่สุดอะไรอย่างนี้ เพราะว่าสุดท้ายมันเป็นเรื่องของทีมด้วย

ผมเป็นคนที่ ถ้าผมเล่นฟุตบอลด้วยตัวผมเอง หรือว่าเอาตัวเองเป็นหลัก เป็นผู้เล่นที่เห็นแก่ตัว selfish แบบศูนย์หน้าที่ทั่วไปที่อะไร ป่านนี้ผมก็ครบร้อยไปนานละ แต่ความ แต่ผมอยู่ทีมไหนก็คงทีมคงไม่ประสบความสำเร็จ ถ้าผมยิงอย่างนั้น คือเราเน้นทีมก่อน หน้าที่ของเราเป็นหลักในการช่วยทีมให้ทีมประสบความสำเร็จ สุดท้ายแล้วเนี่ย เราไม่ยิงก็ได้ แต่ทีมชนะได้ 3 แต้ม อันนี้คือเป็นสิ่งที่สำคัญ

ฟุตบอลมันต้องเล่นเป็นทีมก่อน เราอย่าเอาตัวเองเป็นหลัก ต้องเอาทีมก่อนอะไรอย่างนี้ พอทีมมันไปได้ดี ผมเชื่อว่าพอทีมมันดีอะ ทีมมันชนะ ทุกคนมันก็สดใส มันก็สนุกขึ้น แล้วเดี๋ยวเรื่องของยิงประตูเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที โอเค เราก็ต้องพยายามสร้างสรรค์โอกาสในการยิงประตูให้ตัวเองนี่แหละ แต่ว่าถ้าสุดท้ายแล้วมันมีเพื่อนโอกาสดีกว่า ก็ให้เพื่อนก่อน หรือบางทีเนี่ย ก็มีคนพูดว่าทำไมจุดโทษไม่ยิงเอง ทำไมให้คนอื่นยิง อันนี้คือเป็นทีมเหมือนอัน นี้ก็เรื่องของทีม สปิริตทีม เขาเซ็ตมาแล้วว่าคนนี้ยิง เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นคนนี้ยิง

ไม่ใช่อยู่ ผม เห้ย กูจะครบร้อยแล้ว เอามาให้กูยิงก่อน ผมไม่ได้ต้องการตรงนั้นเท่าไหร่ โอเคมันยังไม่ถึงปีนี้ ก็ปีหน้าก็ได้ ให้มันมาแบบสวย ๆ ไม่ใช่พอถึงเวลายิงเยอะ ๆ ก็คนก็บอก ก็แม่งยิงแต่จุดโทษ อะ เป็นงั้นไปอีก เห็นไหม ก็จะเป็นอย่างนั้นไปอีก ก็เลยไม่เอาดีกว่า ก็อะ ให้ทีมก่อน เอาทีมเป็นหลัก เพื่อนยิงปุ๊บ สปิริตทีมยังดีอยู่อะ ไม่ใช่แบบ ขอแล้วก็ทะเลาะกันอย่างนี้ ไม่เอาดีกว่า

แล้วผมค่อยไปหาจังหวะยิงในสนาม ในเกมของตัวเองอะไรอย่างนี้ ทีมได้ 3 แต้มผมแฮปปี้กว่าเยอะเลยพี่ มันสนุกว่า แล้วยิ่งอยู่โปลิศ เทโรเนี่ย เป้าหมายตอนนี้ปีนี้ก็คือพยายามลุ้นไม่ให้ตกชั้นอะไรอย่างนี้ ซึ่งถ้ามันรอด ตกชั้นได้ ทุกคนแฮปปี้มีความสุข เราก็เหมือนเป็น เหมือนผลงานเราด้วยที่เรามาช่วยเขาในเลกที่ 2 แล้วผลงานทีมเขาดีขึ้นอะไรอย่างนี้ มันก็เป็นผลงานของเราด้วยอะไรอย่างนี้

ลีซอ-ธีรเทพ วิโนทัย : ผมเปลี่ยนคาแรกเตอร์เพื่อคุณไม่ได้ คุณรู้จักผมน้อยเกินไป

The People : อีกประมาณ 10 ปีข้างหน้าหรืออนาคตจะเห็นนายกสมาคมฟุตบอลชื่อ ‘ธีรเทพ วิโนทัย’

ลีซอ : อันนี้ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมก็ตั้งเป้าไว้เหมือนกัน คือ มันไม่ได้เกี่ยวว่าใครทำดีไม่ดีนะ เดี๋ยวจะมีดราม่าคนดึงไป แต่ว่า ผมก็คิดว่าด้วยประสบการณ์ของเรา หรือผมมองอย่างเช่นแบบ โมเดลอย่างฟุตบอลเยอรมันอย่างนี้ มันจะมีแบบอดีตนักฟุตบอลทีมชาติเข้าไปอยู่ในสมาคมฟุตบอล ไปช่วยกันแบบ แชร์ประสบการณ์ ร่วมกันทำงานอะไรอย่างนี้ ซึ่งผมว่ามันควรจะต้องเป็นอย่างนั้น

คนที่มันรู้จังหวะจะโคนฟุตบอลจริง ๆ คนที่มันรู้ว่าอะไรเหมาะสมไม่เหมาะสมกับนักกีฬา กับนักผุตบอลไทยจริง ๆ อย่างนี้ เนื้องานจริง ๆ มันต้องเป็นคนที่รู้จริง ๆ ผมเลยคิดว่าถ้าเราเข้าไป แล้วด้วยประสบการณ์เราที่เราทำงานในวงการฟุตบอลด้วย วงการบันเทิงด้วย มันอาจจะช่วยให้ ฟุตบอลไทย หรือวงการฟุตบอลไทยเนี่ยมันโตขึ้นกว่าเดิมก็ได้อะไรอย่างนี้

คือทุกวันนี้มันก็เรื่องของมีเดีย ก็มีส่วนสูงที่ต้องมาช่วยกันพัฒนา การโฆษณาโปรโมทอะไรอย่างนี้ พวกนักกีฬาฟุตบอลก็เหมือนสินค้าอะ ที่มันถามว่าที่จะสร้างกระแสได้อะไรได้เหมือนยุคนึงที่พี่ซิกโก้เขาทำเนี่ย ก็ถือว่าดีมากอะไรแบบนี้ ก็เราก็อยากจะแบบ เออไปเป็นเฮดตรงนั้น แล้วก็เอาคนที่มีความสามารถ เราพอจะรู้จักหลาย ๆ คนที่มีความสามารถในเรื่องของฟุตบอลเนี่ย เอาเข้ามาทำ คือผมไม่ได้แบบคิดว่าตัวเองเก่งอะแล้วจะมาทำนะ แต่ผมคิดว่าผมมีคนที่มีความสามารถหลายคนที่ผมคิดว่า เขาช่วยทางนี้ได้ ช่วยตรงนี้ได้ ช่วยตรงนี้ได้อะไรอย่างนี้ เราจะไม่แบบไม่ทำงานคนเดียวอะไรอย่างนี้

 แต่มันก็ต้องใช้เวลา เพราะว่าสุดท้ายแล้วมันก็มีเรื่องของหลาย ๆ อย่าง อย่างที่พวกเราเข้าใจเรื่องของแบ็กอัพ เรื่องของอะไรต่าง ๆ โอ๊ย มันเยอะ มันไม่ใช่แค่ว่าเราจะแบบทุกจะอยากให้เรามาทำแล้วเราไม่นี่ เราก็ต้องหลาย ๆ เรื่อง ก็หวังว่าจะมีโอกาสรับใช้องค์กรฟุตบอลของบ้านเราที่ เราเองก็ผ่านมานาน และมีประสบการณ์อะไรอย่างนี้ ก็ถ้ามีวันนึง ถ้ามันเป็นไปได้ก็อยากให้มันเป็น

ณ จากวันที่ผมเลิกเล่นเนี่ย วันนั้นนับเวลาไปอีกสัก 15 ปี สมมติ ผมตั้งไว้เนี่ย ตัวเลข 15 ปี จากวันที่ผมเลิกนะ ก็รอดูว่ามันจะเป็นไปได้ไหมอะไรอย่างนี้ อยากให้มันมีวันนั้น

 

The People :  ส่งต่อให้เด็กไทยที่แบบยังมีความฝันที่อยากจะโลดแล่น คือจริง ๆ เขาอยากจะเป็นแบบลีซอ หรือเจ หรืออุ้ม หรืออะไรอย่างนี้

ลีซอ : ก็จริง ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างเนี่ย ทุกสิ่งทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวเราก่อนนะครับ อันดับแรกเลย อย่างเช่นที่พูดไปทั้งหมดถ้าลองได้ฟังดูเนี่ย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเรา เรื่องของการปรับทัศนคติของตัวเรา กับสิ่งรอบข้างในวงการฟุตบอล เสียงโห่ เสียงฮา หรือการดูแลตัวเองทั้งในและนอกสนามนะครับ

ผมว่ามันอยู่กับตัวเรา ถ้าเรามีเป้าหมาย อันดับแรกที่ดีที่สุดคือ เซ็ตเป้าหมายไว้ก่อนครับ เซ็ตโกลไว้ เราจะได้รู้ว่าทิศทางที่เราจะไปเนี่ย เราจะไปทางไหน ถึงแม้ว่าเราอาจจะแบบมีหลุดไปซ้ายไปขวาบ้าง ออกนอกเส้นทางบ้าง แต่สุดท้ายเราจะรู้แล้วว่า ถ้าเราอยากไปตรงนี้ เราจะดึงตัวเองกลับมาในเส้นทางนี้ได้ยังไง

เพราะฉะนั้นต้องมีเป้าหมายก่อนอันดับแรกนะครับ สองก็คืออยากให้มีความมุ่งมั่นแล้วก็มีความแน่วแน่กับสิ่งที่ตัวเองตั้งใจนะครับ มุ่งมั่นคืออะไร อย่างเช่นในเรื่องของการฝึกซ้อม การอดทนต่อความเหนื่อยยาก ความลำบาก หรือการฝึกซ้อมที่หนัก หรือว่าการที่ต้องเสียสละตัวเอง อาจจะไม่ได้ทำกิจกรรมเหมือนคนอื่น ๆ เขาทั่วไป เพื่อน ๆ หรือว่าอะไรอย่างนี้ อาจจะไม่ได้สนุกเหมือนคนอื่น

 

ชมคลิปสัมภาษณ์เต็ม ๆ ลีซอ-ธีรเทพ วิโนทัย ผู้ใช้ฝีเท้ากลบเสียงวิจารณ์และบอกเล่าว่าตัวเองเป็นใคร?