‘ชยพล สท้อนดี’ จากอภิสิทธิ์สู่การตั้งคำถามกับอำนาจ

‘ชยพล สท้อนดี’ จากอภิสิทธิ์สู่การตั้งคำถามกับอำนาจ

‘ชยพล สท้อนดี’ จากเด็กที่นั่งในห้องแอร์ขณะคนอื่นต้องนั่งกลางแจ้ง สู่ สส. ผู้กล้าเปิดเผยเรื่อง IO ของกองทัพกลางสภา

KEY

POINTS

วันที่ ‘ชยพล สท้อนดี’ ไปสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร พ่อของเขาซึ่งเป็นนายพล พาไปส่ง ตามปกติเขาควรจะเดินเข้าแถวรอสอบเหมือนเด็กทั่วไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจจนจดจำไปตลอดชีวิต

“ปรากฏว่าพอมีพ่อไปด้วย ผมก็ได้รับเชิญให้ไปห้องพิเศษ มีอาหาร มีน้ำ นั่งอยู่ในห้องแอร์ ในขณะที่คนอื่นนั่งอยู่กลางแจ้ง นั่งอยู่ในที่ร้อน ๆ” เขาเล่าด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสะท้อนความรู้สึกในวันนั้น

“ผมก็รู้สึกว่ามันน่าอึดอัดใจ กับการที่เราได้รับอะไรพิเศษกว่าคนอื่น รู้สึกถึงความไม่ค่อยเท่ากันสักเท่าไหร่ มันต่างกันเกินไป ผมรู้สึกว่ามันไม่แฟร์ มันไม่โอเคกับจิตใจตัวเองด้วย”

นั่นคือจุดเริ่มต้นของคำถามที่ ‘ชยพล สท้อนดี’ หรือ ‘กู๊ดดี้’ ตั้งขึ้นกับ ‘ระบบสิทธิพิเศษ’ ที่เขาเติบโตมาท่ามกลางมัน คำถามเดียวกันนี้เองที่นำเขาจากเด็กโรงเรียนจิตรลดา นักเรียนเตรียมทหาร นักบิน มาสู่การเป็น สส.กรุงเทพฯ เขต 8 พรรคประชาชน ผู้กล้าขึ้นอภิปรายเปิดเผยเรื่องปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (IO) ของกองทัพ จนกลายเป็นข่าวใหญ่ เมื่อช่วงเดือนมีนาคม 2568 

คล้อยหลังอีกหนึ่งเดือน คือ เดือนเมษายน The People จึงมีโอกาสไปสัมภาษณ์เขา

 เด็กที่ “ไม่มีความเป็นไทย”

ชยพลลืมตาดูโลกในช่วงที่พ่อดำรงตำแหน่งทูตทหารอยู่ที่จีน บินกลับมาคลอดที่ไทย แล้วกลับไปจีนตั้งแต่อายุ 2 - 3 สัปดาห์ หลังจากนั้นชีวิตของเขาก็เต็มไปด้วยการย้ายโรงเรียน ตามพ่อที่ไปประจำการต่างประเทศ จนกระทั่งป.5 ถึงได้เข้าเรียนที่โรงเรียนจิตรลดา

แต่การเติบโตในสภาพแวดล้อมแบบนั้นกลับทำให้เขากลายเป็นเด็กที่ “ชอบตั้งคำถาม” มากกว่าที่จะยอมรับทุกอย่างตามที่ผู้ใหญ่บอก

“บางอย่างเนี่ย แค่เพราะว่าคุณสมประโยชน์ คุณรู้สึกโอเค คุณก็ไม่ได้สนใจหรอกว่ามันถูกหรือผิด คุณทำกันมาตลอด คุณก็เคยชิน แล้วคุณไม่เคยหยุดที่จะตั้งคำถาม กลายเป็นว่าผมเนี่ยคือคนที่ชอบตั้งคำถาม”

การตั้งคำถามนั้นทำให้เขาถูกมองว่า “เป็นเด็กก้าวร้าว เป็นเด็กที่ไม่ว่านอนสอนง่าย เขาเรียกว่าไม่มีความเป็นไทย ไม่มีความเป็นคนไทยเลย คือพูดอะไรแล้วไม่ค่อยเชื่อฟังสักเท่าไหร่ ตั้งคำถามตลอดเวลา”

และนั่นก็คือเหตุผลที่เขาถูกส่งเข้าโรงเรียนจิตรลดา

“นั่นแหละคือสาเหตุที่ทำไมผมถูกส่งเข้าโรงเรียนจิตรลดา เพราะเขาอยากให้ผมเรียนรู้ความเป็นไทย”

‘ชยพล สท้อนดี’ จากอภิสิทธิ์สู่การตั้งคำถามกับอำนาจ

บนพรมแดงของสิทธิพิเศษ

การเติบโตในครอบครัวทหารชั้นผู้ใหญ่ทำให้ชยพลได้สัมผัสกับโลกของสิทธิพิเศษมาตั้งแต่เด็ก ไปที่ไหนก็มีคนเปิดทาง มีคนเชิญให้นั่งโต๊ะพิเศษ มีบัตรจอดรถที่หาที่จอดได้ง่ายกว่าคนอื่น

“มันรู้สึกแปลกอยู่แล้วในมุมของเด็กคนหนึ่ง ที่ฟีลลิ่งเหมือนกับว่าเราเดินอยู่บนพรมแดง ไปที่ไหนก็มีแต่คนเปิดทางให้ มีเชิญให้นั่งโต๊ะพิเศษ

แต่แทนที่จะรู้สึกพอใจกับสิทธิพิเศษเหล่านั้น เขากลับเริ่มตั้งคำถามว่า ทำไมระบบต้องเป็นแบบนี้

“ตอนที่ผมสอบเข้าเตรียมทหาร ผมเกิดคำถามว่า ทำไมเราถึงไม่มีพื้นที่ที่จะรองรับทุกคนได้อย่างดีและเท่าเทียมพอกัน มีน้ำให้ทุกคน มีที่นั่งให้ทุกคน ที่มันมีอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่ต้องมีห้องแอร์ให้สำหรับคนหยิบมือเดียวก็ได้ แต่แค่มีพื้นที่กว้างสำหรับคนทุกคน มีพัดลมที่ระบายอากาศได้ดีพอสำหรับทุกคน”

นอกจากนี้ เขายังยกตัวอย่างเรื่องที่จอดรถในมหาวิทยาลัย ที่เขาได้รับสิทธิพิเศษจากสติ๊กเกอร์ 

“มันก็รู้สึกดี แต่ ณ จุดหนึ่ง มันก็ต้องถามแหละว่า ทำไมเราเกลี่ยนทรัพยากรให้มันเหมาะสมกับทุกคนมากกว่านี้ไม่ได้ ความจริงคือเราคงไม่ต้องมาแย่งที่จอดรถกันขนาดนี้หรอกมั้ง ถ้าเกิดเรามีขนส่งสาธารณะที่ดี ระบบการเดินทาง ผมก็คงไม่เลือกขับรถมาเพื่อมาแย่งที่จอดกัน”

เขาตั้งคำถามที่ลึกซึ้งกว่านั้นว่า สิทธิพิเศษที่เขา ‘ได้รับ’ แลกกับการที่คนอื่นต้อง ‘ไม่ได้’ อะไรบ้าง

สามปีที่เตรียมทหาร ระหว่าง ‘คำสอน’ กับ ‘ความเป็นจริง’

หลังจากสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้ ชยพลใช้เวลา 3 ปีที่นั่น แต่กลับเป็น 3 ปีที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่าง ‘คำสอน’ ที่สวยหรู กับ ‘การปฏิบัติ’ ที่บิดเบือน

“คำสอนเค้าดี” ชยพลย้ำ “การฝึกความอดทน การเสียสละเพื่อชาติ การทำตามหน้าที่ก่อน ประโยชน์ส่วนตัวไว้ทีหลัง ผมเข้าใจว่ามันมีเวอร์ชันที่ดีของมัน แต่กลายเป็นว่าเค้าใช้ข้ออ้างเหล่านั้นในการบังคับให้รุ่นน้องหรือผู้น้อยทำกิจกรรม ทำงานหลาย ๆ อย่าง เพื่อที่จะเสิร์ฟต่อประโยชน์ของรุ่นพี่หรือของผู้บังคับบัญชา”

ตัวอย่างที่เขายกขึ้นมาคือการ ‘ลงโทษ’  

“การลงโทษกัน ก็เข้าใจว่ามันเป็นการฝึกสมรรถภาพร่างกายให้เข้มแข็ง แต่ ณ จุดหนึ่ง การลงโทษทุกคืนตั้งแต่ 2 ทุ่มถึง 4 ทุ่ม ทุกวัน มันก็เริ่มบ้าบอกันไปแล้วมั้ย ทั้ง ๆ ที่ร่างกายเราโอเคแล้ว ทำไมเราไม่ใช้เวลานี้ไปฝึกสมรรถภาพทางด้านอื่น สกิลทางด้านการออกแบบ สกิลในด้านยุทธวิธี หรือว่าไปฝึกสมองด้านอื่น ไปคิดวิเคราะห์เรื่องสถานการณ์ strategy ต่าง ๆ มันมีอะไรที่เราทำได้อีกเยอะแยะมากมาย แต่กลายเป็นว่าผมก็ต้องวนลูปอยู่กับการถูกลงโทษ 2 ทุ่มถึง 4 ทุ่ม อย่างน้อยทุกคืน 2 ปีกว่า”

“และหลายครั้งมันเริ่มดูเหมือนกับว่าเป็นเครื่องระบายอารมณ์ของรุ่นพี่มากกว่า มันก็เริ่มไม่เมคเซนส์แล้วไง”

นอกจากนั้นยังมีงานพิธีกรรมมากมายที่เขาถูกบอกว่าเป็น ‘ภารกิจสำคัญ’

“ภารกิจของคุณคือมีแต่งานพิธีกรรมนั่นนี่ นั่นใช่ภารกิจของเราจริง ๆ เหรอ แล้วสุดท้ายคือเอาจริง ๆ ทหาร พอจบไปก็มีแต่พิธีการให้ทำเยอะมาก จริง ๆ แล้วเราเสียเวลากับงานพิธีการเยอะมาก โดยที่มันไม่ได้ประโยชน์อะไรกลับมา”

เมื่อเขาลองฟีดแบ็กสิ่งที่รู้สึก คำตอบที่ได้กลับมาคือ “ทนไม่ไหวก็ลาออกไปสิ ระบบมันเป็นอย่างนี้ อย่ามาพูดเยอะ อย่าบ่นเยอะ ก้มหน้าก้มตาทำไป”

และในที่สุด เขาก็เลือกที่จะลาออกจริง

“มันก็เลยจบที่ว่าผมก็ลาออกจริง ๆ เรื่องอะไรต้องทน ถ้าเกิดเราเลือกได้ ผมก็ลาออกดิ แล้วยังไง มาเจอกันอีกทีนึงตรงนี้เนี่ยแหละ” เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม 

‘ชยพล สท้อนดี’ จากอภิสิทธิ์สู่การตั้งคำถามกับอำนาจ

 เส้นทางสู่การเมือง จากนักบินสู่ผู้แทนราษฎร

หลังจากลาออกจากเตรียมทหาร ชยพลสอบเข้าภาควิชาวิศวกรรมอากาศยาน (Aerospace Engineering) ภาคอินเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จบมาทำงานเป็นวิศวกรหนึ่งปี ก่อนจะไปเรียนต่อและเป็นนักบิน 

“ตอนนั้นสอบได้ทุนนักบินของการบินไทยเรียบร้อยแล้ว มันติดสัญญา 10 ปี ก็เลยจะขอทำงานเก็บเงินไปสักระยะหนึ่ง แล้วค่อยออกตอนประมาณ 35 ปี”

แต่ชีวิตไม่ได้เป็นไปตามแผน เมื่อโควิด-19 ระบาด ประเทศปิด สายการบินล้ม ชยพลเลือก ‘สมัครใจลาออก’

“จังหวะว่างที่ไม่ติดสัญญา ไม่ติดธุระอะไรกับใครเลย แล้วมีแรง มีใจพอดี รู้สึกว่าบ้านเมือง ณ ตอนนี้มันดูเละเทะเพราะรุ่นพี่เรา รุ่นพี่เตรียมทหารเราเนี่ยที่สร้างเรื่องไว้เยอะมาก แล้วมันก็เสื่อมเสียต่อชื่อสถาบันที่เราภูมิใจ กับสถาบันของบรรพบุรุษของเราทั้งหมด เลยตัดสินใจว่า เออเข้าการเมืองละกัน”

สิ่งที่ทำให้เขาเริ่มเชื่อว่าการเมืองสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้จริงคือ ‘พรรคอนาคตใหม่’

“ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิด ไม่ได้เชื่อมากขนาดนั้น แต่เค้าพิสูจน์ให้เห็นในระดับสภาว่าเค้าทำได้จริง มันก็ทำให้เราเริ่มซื้อคอนเซ็ปต์ แล้วก็เริ่มคิด และทุกอย่างมันลงล็อกกันพอดี”

และเขาก็ยื่นใบสมัครออนไลน์เข้าพรรคก้าวไกล (ต่อจากพรรคอนาคตใหม่) “โดยที่ไม่รู้จักใครเลย”

กระทั่งได้รับเลือกตั้งเป็น สส.กรุงเทพฯ เขต 8 (จตุจักร-หลักสี่) ในปี 2566 โดยเอาชนะ ‘สุรชาติ เทียนทอง’ จากพรรคเพื่อไทย

ภารกิจปฏิรูปกองทัพ

เมื่อถูกถามว่าคาดหวังอะไรจากการเป็นนักการเมือง ชยพลตอบว่า 

“ผมคาดหวังว่ามันต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นบ้าง ผมคาดหวังแค่จุดประกายไฟให้มันเกิดขึ้นได้ในป่าทึบแห่งนี้ แล้วให้มันเกิดแสงสว่างที่พอนำทางอะไรใครได้บ้าง เพื่อที่จะเข้ามาร่วมขบวนในการผลักดันความเปลี่ยนแปลงด้วยกันต่อ”

“ผมไม่ได้หวังว่าจะต้องเป็นไฟสปอตไลท์ดาวเด่นอยู่คนเดียวท่ามกลางผู้คนอะไรอย่างงี้หรอก ผมสนใจแค่ว่าเราต้องพยายามดึงคนเข้ามาร่วมกันเปลี่ยนแปลง ร่วมกันเดินทางนี้ให้ได้มากที่สุด ส่วนตัวผมก็มีหน้าที่ในการมาช่วยถาง ช่วยทำงานให้ได้มากที่สุด เปลี่ยนการเมืองให้ได้ดีที่สุด ทำเรื่องของการปฏิรูปกองทัพให้ได้ดีที่สุด แล้วส่งไม้ต่อให้คนรุ่นใหม่เขาเข้ามาทำต่อ”

และนั่นนำมาสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2568 ที่เขาเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (Information Operation: IO) ของกองทัพ 

“เรื่องนี้เป็นหนึ่งประเด็นที่ผมตามมาเรื่อย ๆ แล้วมันก็เจอมากขึ้นเรื่อย ๆ ปรากฏว่ามันใหญ่กว่าที่คิดไว้เยอะ แล้วความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเรื่องนี้มันก็ค่อนข้างที่จะหนักหนาสาหัสจริง ๆ”

หลังจากนั้นเขาก็ได้รับ ‘จดหมายน้อย’ และ ‘คำเตือน’ จากหลายฝั่งหลายฝ่ายให้ระมัดระวังตัว 

แต่เขากลับมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องทำ

“มันคือสิ่งที่เราต้องชนกับมันอยู่แล้ว เพราะว่าสิ่งเหล่านี้คือปีศาจหลังม่าน มันอยู่รอดได้เพราะว่ามันทำให้เราหวั่นได้ มันทำให้เรากลัวได้ แล้วผมก็รู้สึกว่าผมก็มีความรับผิดชอบด้วย คนที่มีประวัติแบบเนี้ย เราจะคาดหวังให้คนธรรมดาทั่วไปมากล้าชนกับอำนาจเหล่านี้ก็คงยาก แต่สำหรับผมที่เกิดและโตมาในศูนย์กลาง ใจกลางอำนาจเหล่านี้ คือเราก็ต้องกล้าที่จะชนกับมัน เราต้องกล้าชนกับอำนาจลับ ๆ ทั้งหลายของพวกแก๊งทหารชั้นผู้ใหญ่ เพราะถ้าเกิดไม่ใช่คนที่กล้าชน แล้วหวั่นต่อไปเรื่อย ๆ เขาก็สามารถทำนี้ต่อไปได้เรื่อย ๆ”

‘ชยพล สท้อนดี’ จากอภิสิทธิ์สู่การตั้งคำถามกับอำนาจ

‘รัฐธรรมนูญ’ 

เมื่อถูกถามว่าอะไรคือ 3 เรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำ ชยพลตอบทันทีว่า “การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปฏิรูปกองทัพ และนิรโทษกรรม”

“แค่ปฏิรูปกองทัพอย่างเดียวก็ใหญ่โตมโหฬารมากแล้ว ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย ขณะที่เรื่องที่ 3 มีหลายเรื่องมากเลยที่สามารถเป็นเรื่องเร่งด่วนและยิ่งใหญ่ได้ แต่ว่าไอ้ 2 ข้อแรกเป็นเรื่องที่ ถ้าเกิดยังไม่แก้ มันไปไม่ถึงข้อ 3 จริง ๆ มันเป็นสิ่งที่บล็อกหลาย ๆอย่าง”

เขาอธิบายว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันล็อกอำนาจหลายอย่างไว้ให้กองทัพ

“รัฐธรรมนูญฉบับนี้ล็อกอำนาจหลายอย่างไว้ ให้อำนาจพิเศษไว้กับทางกองทัพ ซึ่งมันก็นานแล้ว มันเป็นผลพวงของคณะรัฐประหารเก่า ๆ แต่มันก็ยังอยู่จนถึงปัจจุบัน”

ตัวอย่างเช่น กองทัพมี “หน้าที่ในการพัฒนาประเทศ” ตามรัฐธรรมนูญ

“พอเราคุยกับเค้าถึงสิ่งที่เค้าไม่ควรจะทำ เค้าก็จะอ้างว่าเค้ามีสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญที่จะทำได้ เค้าบอกว่าเค้ามีหน้าที่ในการพัฒนาประเทศ ซึ่งมันก็รวมไปถึงทุกอย่าง จะรวมถึงเรื่องการศึกษา เค้าก็ไปยุ่งเกี่ยวกับคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เข้าไปยุ่งกับบทเรียน หลักสูตร เข้าไปยุ่งในโรงเรียน เข้าไปทำจัดอบรมมากมาย เพราะว่าเค้ามีหน้าที่ในการพัฒนาประเทศ ไปพัฒนาเรื่องแหล่งน้ำ พัฒนาเรื่องของการเกษตร พัฒนาหลายเรื่องมากเลย และเอางบประมาณไปหมดเลย แล้วหน่วยงานที่มันเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง เค้าก็ไม่ได้ไปทำหน้าที่ของเค้า อุปกรณ์ที่เค้าต้องใช้ งบประมาณที่เค้าต้องมี เค้าก็ไม่ได้ เพราะมันไปอยู่ที่ตรงนี้หมดเลย”

นอกจากนั้น ยังมีเรื่องของ พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ที่กำหนด ‘สภากลาโหม’ ขึ้นมา

“ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับนโยบายทางด้านกำลังพล ด้านการเงิน การจัดสรร ระดมพล หรือกฎหมายอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการทหาร ต้องผ่านมติของสภากลาโหม ที่มีคนอยู่ 25 ถึง 28 ที่ และมีผู้แทนจากฝั่งพลเรือนแค่สองคนเท่านั้น แค่ 2 ใน 28 ที่ แต่ส่วนใหญ่จะนั่งอยู่แค่หนึ่งคนเท่านั้น แล้วถ้าเกิดทุกอย่างมันต้องผ่านมติของสภานี้แล้ว รัฐมนตรีมีอำนาจอะไรล่ะ ไม่มีอำนาจอะไรเลย”

“ณ ตอนนี้ กระทรวงกลาโหมไม่ได้อยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือนอยู่แล้ว รัฐมนตรีก็ทำหน้าที่แค่เสมือนโฆษก แค่มาตอบคำถามสื่อ เห็นชัดแล้วว่ากลาโหมไม่เคยอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือนเลย”

แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญกลับเป็นเรื่องที่ยากที่สุด ทั้งที่เป็นฐานแรกสุดของอำนาจหลาย ๆ อย่าง 

วิธีคิดของคนรุ่นใหม่

หลายคนมองว่าปัญหาเหล่านี้ต้องใช้เวลา ต้องรอให้คนรุ่นเก่าที่ได้รับการปลูกฝังมาในระบบเก่าผ่านพ้นไปก่อน

แต่ชยพลไม่เห็นด้วย

“ผมไม่อยากจะรอสิ่งเหล่านั้น รอให้คนหนึ่งเจเนอเรชันผ่านไป ถ้าเราไม่ช่วยเขาให้อยู่ในร่องในรอย หรือว่าช่วยแนะนำเขา มันจะทิ้งความเสียหายไว้เยอะขนาดไหน แล้วเราจะพลาดโอกาส เสียโอกาสต่าง ๆ อีกมากมาย”

‘ชยพล สท้อนดี’ จากอภิสิทธิ์สู่การตั้งคำถามกับอำนาจ

เมื่อถูกถามว่ามองตัวเองอีก 10 ปีข้างหน้ายังไง ชยพลตอบด้วยรอยยิ้ม 

ถ้าเอาใน Best case scenario เลย คือ 10 ปีข้างหน้าผมสามารถที่จะเป็นพ่อบ้าน อยู่บ้านได้  โดยที่ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ผมมีความฝันว่าอยากจะเป็นพ่อบ้าน ทำอาหารให้แฟนกิน เตรียมข้าวกล่องให้เค้าทุกเช้าให้เขาไปทำงาน แล้วผมก็อยู่ดูแลบ้าน เลี้ยงหมาเลี้ยงแมว ปลูกต้นไม้ ทำงานอดิเรกต่าง ๆ ผมชอบทำอาหาร อยากเป็นเจ้าของร้านอาหารด้วย ร้านอาหารเล็ก ๆ”

“ถ้านี่คือ Best case scenario คือ 10 ปี ผมจะสามารถทำงานที่ผมอยากทำได้ แล้วก็ใช้ชีวิตในรูปแบบที่ผมอยากทำได้ โดยที่ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมากเกินไป นั่นแปลว่าการเมืองเราดีขึ้นแล้วไงครับ การเมืองที่โอบอ้อมอารี และสร้างประเทศที่ดีสำหรับทุกคน”

“แต่ Worse case scenario คือผมยังอยู่ในการเมืองอยู่ แล้วก็ยังต้องทำหน้าที่ในการเปลี่ยนแปลงการเมืองต่อไป เพราะว่างานยังไม่จบสักที แล้วก็ยังไม่สามารถดึงคนรุ่นใหม่ที่เข้ามารับคบเพลิงต่อไปได้ กลายเป็นว่าผมยังต้องทำต่อไปเรื่อย ๆ แต่ก็หวังว่ามันจะไม่เป็นอย่างนั้น”

สิ่งที่อยากให้จดจำ

“ความจริงก็ไม่ต้องจำอะไรผมได้ขนาดนั้นหรอก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผมอยากให้คนจำได้มากกว่าว่า หลังจากที่ผมออกไปจากวงการการเมือง กองทัพเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นยังไงบ้าง ไม่เห็นต้องจำได้เลยว่าผมเป็นใคร ในโลกที่มันกว้างใหญ่ขนาดนี้ มันไม่ได้มีเหตุผลอะไร หรือมีความจำเป็นอะไรที่คุณจะต้องมาจำผมได้”

“ผมอยากให้ทุกคนโฟกัสกับงานมากกว่า และโฟกัสกับภาพความเป็นไปได้ของสิ่งที่มันดีขึ้น ประเทศนี้ที่มันดีขึ้นกว่าเดิม ในมุมทุกคนมันเป็นยังไง แล้วแต่ก่อนเราเคยเป็นยังไง ทุกวันนี้เราอยู่ที่ไหน เราเดินทางมาไกลกันขนาดไหน และข้างหน้าต้องไปยังไงต่อ นั่นคือสิ่งที่ผมอยากให้ทุกคนจำอยู่ในใจ”

 

หมายเหตุ: บทสัมภาษณ์นี้ดำเนินการก่อนเหตุการณ์ปัจจุบันที่ ‘ชยพล สท้อนดี’ กำลังเป็นข่าวจากการพยายามติดต่อ ‘กัน จอมพลัง’ ให้เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการทหารเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

 

สัมภาษณ์: เสาวลักษณ์ สวัสดิ์กว้าน 

เรียบเรียง: พาฝัน ศรีเริงหล้า

ถ่ายภาพ: ดำรงค์ฤทธิ์ สถิตดำรงธรรม