อานพ เฉลียวฉลาด : ทลายสิ่งเก่าเพื่อการเกิดใหม่ บทเรียนจากการเดินทาง และคำสอนอิสลาม

อานพ เฉลียวฉลาด : ทลายสิ่งเก่าเพื่อการเกิดใหม่ บทเรียนจากการเดินทาง และคำสอนอิสลาม

บทสัมภาษณ์ ‘เบียร์สด - อานพ เฉลียวฉลาด’ แห่ง Beersos Diary ที่ว่าด้วยบทเรียนที่ได้รับจากการเดินทางและคำสอนจากศาสนาอิสลาม

 

ใครก็ตามที่กล้าเปลี่ยนแปลงตัวเอง
แม่งโคตรเก่งเลย เก่งที่สุดด้วย

 

มองย้อนกลับไปในช่วงปฐมบทของนครแห่งการสร้างสรรค์วิดีโอนามว่า ‘YouTube’ จำนวนของบุคคลผู้ลุกขึ้นมาสร้างสรรค์ในห้วงเวลานั้นคงมีอยู่ไม่มาก และคงจะสามารถนับนิ้วได้ และถ้ากรองให้แคบลงกว่าเดิม ยึดเอาแค่เป็นขวัญใจวัยรุ่นไทยหลายคนที่ผสมผสานความฮาและความห่ามเข้าด้วยกัน ‘เฟ็ดเฟ่’ ก็ถือเป็นตำนานที่สร้างปรากฎการณ์มากมายหลายบท

ในบรรดาพลพรรคร่วมสิบคนของเฟ็ดเฟ่ ‘เบียร์สด’ หรือ ‘อานพ เฉลียวฉลาด’ ก็ถือเป็นคนหนึ่งที่เดินทางผ่านความเปลี่ยนแปลงอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อการรวมตัวของเฟ็ดเฟ่ได้ยุติลงไปแล้ว ใครหลายคนอาจจดจำเขาในวีรกรรมห่าม ๆ ที่เคยร่วมกระทำกับคนอื่น ๆ แต่ภายหลังจากนั้น เบียร์ก็ได้ตัดสินใจว่าหวนกลับไปเติบเต็มจิตวิญญาณและตัวตนเดิมที่ทวงถามเขาตั้งแต่เรียนจบใหม่ ๆ 

 

ความเปลี่ยนแปลงใหญ่ ๆ ของผมเกิดขึ้นสองครั้ง
ครั้งแรกก็คือการได้ทำเฟ็ดเฟ่
อีกครั้งก็คือการได้ลาออกจากเฟ็ดเฟ่

 

การออกเดินทางในนาม ‘Beersos Diary’ นับเป็นหมุดหมายครั้งใหม่ที่สำคัญในชีวิตของเขาที่เริ่มออกเดินทางท้าทายตัวเอง ดื่มด่ำกับทางลูกรังของโลกทั้งใบด้วยจักรยานหนึ่งคัน หรือบางคราวก็แค่ขาเพียงสองข้าง ก่อนจะกลับมาเป็นคนที่แข็งแกร่งและมองโลกด้วยความเข้าใจกว่าเมื่อวาน พร้อมจรดมันเป็นหนังสือ บันทึกการเดินทางและห้วงความคิดที่เก็บเกี่ยวมาได้ระหว่างทาง

ทั้งความกลัวและความไม่กล้าที่สะสมในจิตใจก่อนจะริเริ่ม เบียร์มองว่าไร้ซึ่งทางอื่นใดที่จะสลัดมันออกไป นอกเสียจากประจัญหน้ากับมันโดยตรง การเดินทางครั้งต่าง ๆ ไม่เพียงพาให้เขาได้ทดสอบความกล้าหาญของตัวเอง แต่ยังรวมไปถึงความเชื่อมั่นผ่านการใช้ ‘สติ’ พิจารณาแก้ไขปัญหาที่อาจแวะเวียนมาทักทายระหว่างทาง และเมื่อมีสติเป็นเพื่อนคู่กายเมื่อใดนั้น ไม่ว่าปัญหาใด ๆ ที่ผ่านมาก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่ง — และส่วนสำคัญ — ของการเดินทางไปโดยปริยาย

 

เมื่อผมเดินทาง ผมวางหัวโขนของเชื่อในชุดความคิดของตัวเองออกไป แล้วรู้จักว่าความเชื่อจริง ๆ คืออะไร ผมถึงคนพบว่าอิสลามคือความเชื่อในระดับนั้น

 

ทว่านอกจากการเดินทางที่เบียร์พาตัวเองออกไปจากจุดเดิมในทางกายภาพแล้ว ตัวเขาเองก็ได้พาหัวใจและศรัทธาของตัวเองออกไปพบปะกับสิ่งใหม่ไปพร้อม ๆ กันด้วย ระหว่างที่เดินทางเบียร์ได้เรียนรู้วิถี แนวคิด และความเชื่อของศาสนาอิสลาม ที่เปลี่ยนมุมมองต่อชีวิต ผู้คน และโลกทั้งใบไปอย่างมหาศาล ซึ่งชวนให้เขากลับมาพิจารณาสิ่งเดิมที่ตัวเองเชื่อ พร้อมกับวิถีเดิมที่ตนเองยึดถือว่าเป็นครรลองที่ตัวตนของเขาเชื่อมั่นว่าจะเดินไปจริงหรือเปล่า

ในบทสัมภาษณ์​ครั้งนี้ The People ได้มีโอกาสพูดคุยกับ ‘เบียร์สด - อานพ เฉลียวฉลาด’ ถึงการออกเดินทางทั้งทางกายและจิตใจ พร้อมการเกิดใหม่ไม่รู้จบผ่านกระบวนการที่เรียกว่า ‘การเปลี่ยนแปลง’ ที่ชวนให้ตัวของเขาหวนกลับมาพิจารณาสิ่งที่ทางเดินชีวิตที่ตนเอง คิด เชื่อ และมุ่งหวังอีกครั้ง

 

The People : ในฐานะคนที่ไม่ใช่มุสลิมมาก่อน ชีวิตคุณเปลี่ยนแปลงไปเยอะไหม?

เปลี่ยนไปนะครับ แต่ก็ค่อย ๆ เปลี่ยน แน่นอนแหละ ผมก็มนุษย์คนหนึ่ง มนุษย์เมื่อต้องชนกับความเปลี่ยนแปลง มันจะยากเสมอ มนุษย์จะกลัวความเปลี่ยนแปลง มนุษย์เป็นทาสของความเคยชิน เมื่อเราเคยชินกับอะไร เวลามีทฤษฎีใหม่ มีสิ่งใหม่ที่จะต้องเข้ามาในชีวิต แล้วต้องกระทบความเปลี่ยนแปลงในเส้นชีวิตเดิมของเรา ไม่ว่าจะเป็นทางปฏิบัติหรือแนวคิดอะไรก็ตาม บางทีเราจะกลัว แต่ว่าผมก็ต้องยอมรับมัน แล้วก็ค่อย ๆ เปลี่ยน ในความเป็นอิสลาม เขาก็พยายามให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น ดีจริง ๆ สัจธรรมแห่งความเป็นคนที่ดีขึ้น เพราะฉะนั้น เรายอมรับ โอเค ถ้าเราต้องเปลี่ยนแล้วมันดีขึ้น เราก็บอกตัวเองว่าควรจะต้องเปลี่ยนนะเว้ยเบียร์

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้ามันมีอะไรที่มันยาก เราอาจจะต้องเรียงลำดับมันสักนิดหนึ่ง อะไรที่มันพอง่าย ค่อย ๆ ไล่จากง่ายไปหายาก อะไรที่ดูจะเรายังไม่เข้าใจหรือว่ายังฝืนเยอะ ก็ค่อย ๆ อาจจะเป็นเหมือนเรียนอนุบาล ประถมอะไรประมาณนั้น ก็ค่อย ๆ ไป ถามว่ายากไหม ก็เลยตอบว่าอาจจะไม่ค่อยยากมาก เพราะว่าเราทำความเข้าใจและค่อย ๆ เปลี่ยน แต่ว่าก็จะต้องพยายามให้มันดีขึ้นไปเรื่อย ๆ พยายามยกความเชื่อเดิมของตัวเองทิ้งไป อะไรที่รู้แล้วโอเค มันใช้ไม่ได้ ก็เฮ้ย เอาทิ้งไปเว้ย ประมาณนั้น ไม่ยากเท่าไหร่ มุสลิมไม่ใช่เรื่องยากเลย 

 

The People : มองย้อนกลับไปคิดว่าชีวิตตอนเป็นเฟ็ดเฟ่ให้อะไรกับคุณบ้าง?

ต้องเล่าตั้งแต่อาจจะช่วงจบใหม่ ๆ ผมก็เป็นเด็กคนหนึ่งที่เรียนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง แล้วก็พกความไม่มั่นใจในตัวเองเต็มไปหมดเลย เราไม่มั่นใจว่าความรู้ที่เราได้รับจากมหาวิทยาลัยเนี่ยมันพอหรือยัง มันเอาไปทำงานได้จริงเหรอวะ ใครมันจะจ้างล่ะวะ ไม่มั่นใจ เพราะว่าเรารู้สึกว่าเฮ้ย ทำไมเราเหมือนเรายังไม่รู้อะไรเลย เราจะไปกรอกใบสมัครงานยังไงวะ 

แต่ว่าตัวเองมีความรู้สึกลึก ๆ ว่าเรามีความเป็นศิลปินอยู่ในใจ เรามีความอยากที่จะเขียน ชีวิตของเบียร์สดเริ่มต้นด้วยความอยากเป็นนักเขียน มีความสนใจ 2 ประเภท ก็คือสนใจเรื่องดนตรีและฟุตบอล เรารู้สึกว่าตอนเรียนเราอยากจะจบไปแล้วเป็นคอลัมนิสต์ อยากเขียนอะไรสักอย่างเกี่ยวกับ สองสิ่งนี้ที่เราชอบ ณ ตอนนั้นนะ เราชอบดูบอลมาก เราคลั่งไคล้มาก แล้วเราก็ชอบฟังเพลงมาก เราก็เป็นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่โตมากับรอยสักที่มาจากวัฒนธรรมตะวันตก 

พอจบมาไปสมัครงาน เขาก็ไม่รับ อย่างฟุตบอล ไอ้บ้าจะไปเป็นคอลัมนิสต์ แต่ภาษาอังกฤษมึงก็พูดไม่ได้ จะไปทำแผนกต่างประเทศ ยื่นใบสมัครสยามสปอร์ตไป ผมจำได้ คอลัมนิสต์แผนกต่างประเทศ ภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ก็งงกับตัวเองเหมือนกันนะว่าเป็นมึง มึงรับไหม กูก็ไม่รับนะเว้ย 

นั่นแหละเราก็เป็นเด็กจบใหม่ที่อาจจะคล้าย ๆ กับคนหลาย ๆ รุ่น แม้แต่ gen ตอนนี้ ก็คือมีความไม่มั่นใจแล้วก็กดดัน ทีนี้หลังจากจบมาผมก็ออกไปทำงานเป็นฟรีแลนซ์อะไรบ้าง 1-2-3 เฟ็ดเฟ่มาตอนนี้ มาสักประมาณหลังจากจบใหม่ประมาณสัก 2-3 ปีมั้ง จบมาแล้ว

สิ่งที่เฟ็ดเฟ่ให้ก็คือเราทำงานกับเพื่อน เฮ้ย มาทำตรงนี้ตลาดออนไลน์มันคืออะไรวะ มันดูใหม่มากเลยเว้ย YouTube คืออะไรวะ ตอนนั้นคำว่า YouTuber ยังไม่มีเลย แต่ว่าก็ได้กลิ่นร่วมกันว่าตรงนี้หรือมันอาจจะเป็นอาชีพได้วะ เรามีความฝันเนี่ย ต้า ด็อกเรด มีความฝันว่าอยากเป็นผู้กำกับ แต่ว่าในโลกแห่งความเป็นจริง บางทีมันก็เป็นเรื่องของเส้นสาย บางทีมันก็เป็นเรื่องของการต้องต่อคิวอะไรบางอย่าง ที่กว่าจะได้ไปทำหนังของตัวเองสักเรื่องหนึ่ง 

ทีนี้โลกออนไลน์เนี่ย ตอนนั้นรู้สึกว่ามันฟรี มันไม่ต้องต่อคิว ลงทุนอย่างเดียวก็คือใช้เวลาสัก 10 นาทีในการกรอก YouTube สมัคร แล้วเราก็สามารถทำผลงานออนได้เลย เราทำตรงนั้นกับเพื่อนด้วยอาจเพราะไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่ก็พอเห็นอยู่ว่ามันมีรุ่นพี่เจ้าหนึ่งชื่อว่า VRZO เขาทำอยู่ เขามันก็มีคนดูเว้ย เขาก็เป็นรุ่นพี่ที่รู้สึกว่า เราอาจจะตามรอยเขาได้ในแบบของพวกเรา ในแบบของการโตมาร่วมกันที่มาจาก Jackass ที่มาจากตลกคาเฟ่ แล้วก็มาเมิร์จกัน แล้วเราก็กลายเป็นเฟ็ดเฟ่ 

พอเราก็ออนเฟ็ดเฟ่ไป กับไอ้เบียร์สดที่ก็ยังไม่มั่นใจตัวเอง เราก็แค่อยู่กับเพื่อนแล้วเขาก็ทำอะไรสนุก ๆ มันดันไปได้ เออเว้ย มันมีคนดู แล้วมันก็รู้สึกการได้ทำงานกับเพื่อน เปิดบริษัทกับเพื่อน ผมคิดว่ามันแทบจะเป็นความฝันของเด็กวัยรุ่นแทบจะทั้งนั้นอะ เรียนมาด้วยกัน ทำงานด้วยกัน แล้วมันอยู่รอดได้ พวกเราก็จะฝันกันแบบนั้น 

เฟ็ดเฟ่กลายเป็นจุดที่ทำให้ความมั่นใจในการทำอาชีพของเราหายไป เพราะว่ามันเริ่มอยู่ได้แล้ว มันเริ่มมีคนดูแล้ว และสุดท้ายมันเริ่มมีเงินเข้ามา มันมีลูกค้าเจ้าแรก Pronto เข้ามา มันได้ตังค์ว่ะ ทำไปแล้วได้เงินมันเป็นอาชีพได้ พอทำไปนาน ๆ เข้าด้วยความโชคดีของเฟ็ดเฟ่ตอนนั้นที่มันอาจจะมาก่อนมั้ง อยู่ในจังหวะที่ดี บวกกับกรอบของ YouTube ตอนนั้น มันยังเปิดกว้างอยู่ มันอาจจะไม่ได้ถูกจำกัดมาเหมือนตอนนี้ เราก็ได้อยู่ในจังหวะที่เราสามารถทำอะไรที่บ้า ๆ บอ ๆ ได้กว้าง ๆ มาก เพราะฉะนั้น มันอาจจะทำให้เฟ็ดเฟ่ดังได้จากจุดนั้นแหละ เราทำอะไรได้สุด เราเปิดตูด เราแก้ผ้า เราเอาน้ำอสุจิให้เพื่อนทาน คิดดูมันเป็นเรื่องที่มันทำได้ไงอะ ตอนนี้ยังไงก็ทำไม่ได้ ติดเหลืองติดแดงแบบเละเทะแน่นอน การจะสไลด์บันไดเลื่อน Terminal 21 ในยุคนี้นี่คือดราม่าแหลกลานไปหมด 

 

อานพ เฉลียวฉลาด : ทลายสิ่งเก่าเพื่อการเกิดใหม่ บทเรียนจากการเดินทาง และคำสอนอิสลาม

 

เฟ็ดเฟ่ก็เลยโตขึ้นมาจากจุดนั้น แล้วมันก็ทำให้ไอ้คนที่ไม่มั่นใจในตัวเองอย่างผมเนี่ย มันรู้สึกว่าเฮ้ย กูรอดแล้วเว้ย กูมีงานทำว่ะ อยู่ดี ๆ ทำกับเพื่อน มีรายได้ด้วย มีชื่อเสียงอีกต่างหาก ก็เป็นงานที่ดู บางทีผมก็คิดว่าไร้สาระ บางทีแม่โทรมา เบียร์ทำอะไรอยู่ลูก อ๋อ ทำงานอยู่ฮะ เราก็มาคิด งานกูอะไรวะ งานกูตะกี้กูพึ่งชักว่าวให้เพื่อนแดก งานกูจริงเหรอวะ นี่คืองานประเภทจะเล่าให้แม่ฟังได้ไงว่าคืองานอะไรวะ บางทีแบบไปเต้นอยู่สี่แยกลำสาลี เต้น ๆ อยู่ นี่คืองานกูใช่ไหม แต่มันก็ทำเงินอยู่นะ แต่มันก็สนุกเว้ย ทำอะไรกับเพื่อนก็เป็นช่วงห่าม ๆ ที่เรารู้สึกว่าเราทำอะไรสนุก ๆ เราได้เงินร่วมกับเพื่อน แล้วตอนนั้นก็สนุก 

แล้วมาที่คำถาม เฟ็ดเฟ่ให้อะไรกับเบียร์สด เฟ็ดเฟ่ให้ความเป็นจุดพักพิงแรกที่ทำให้เราสบายใจขึ้น ในวัยที่เราต้องพิสูจน์ว่าเราจะหากินยังไง สิ่งนั้นคือได้มา แล้วก็ทำไป 5 ปี 6 ปี 7 ปี จนแน่นอนมันก็เริ่มรู้สึกเปลี่ยนแปลง มนุษย์คนหนึ่งเรามีชีวิตเดินทางไปวันต่อวันเรื่อย ๆ เราเสพสื่ออะไรมาเรื่อย ๆ ความเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้นอยู่แล้ว เราอยู่กับมันมา 5 ปี 7 ปีเนี่ยถ้าเรายังคิดเหมือนเดิม เรารู้สึกว่ามันคงไม่ใช่หรอก แปลว่าเราอาจจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย ซึ่งคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะรู้สึกเหมือนเดิม 

เราเริ่มมีความอยากทำสิ่งใหม่ ไอ้หมุดหมายแรกที่เราเคยอยากจะเป็น คือการเขียนคอลัมนิสต์ ความ artist ตรงนั้น มันเริ่มทวงกลับมาถามเราแล้ว เราทำงานกับเพื่อนเราอยู่ในสาธารณะ เรามีอะไรเราก็ต้องแชร์กับเพื่อน มันเป็นพื้นที่ส่วนรวม เอาความเป็นตัวเองลงไปอะไรมากไม่ได้ พอทำจนเลี้ยงตัวเองได้ มีความมั่นคงระดับหนึ่ง ตรงนี้มันไม่ใช่ปัญหาแล้ว ปัญหามันอยู่ที่ว่าความเป็น artist ของเราในการที่จะพูดมันเริ่มมาทวงเราแล้ว จึงเป็นสิ่งที่ถามกับตัวเองว่า ได้เวลาไปทำในสิ่งที่อยากทำหรือยัง เพื่อน 7-8 คน มันก็มีความชอบต่าง ๆ กัน เราก็คนหนึ่งเราก็น่าจะชอบต่างกัน รู้ตัวอีกทีหนึ่งเฮ้ย ทำไมเราชอบเดินทางวะ ทำไมรู้ตัวอีกทีเราวันเสาร์-อาทิตย์ ในวันหยุด เรากลับดูรายการท่องเที่ยวของต่างประเทศแล้วรู้สึกไฟมันมา เราก็ชอบตัวเองมากที่รู้สึกแบบนั้น ทำไมเรากลายเป็นไม่ชอบวันจันทร์ได้ไงวะ ทั้งที่ออฟฟิศเฟ็ดเฟ่คือออฟฟิศที่เราสร้างมากับเพื่อน 

ผมรู้สึกว่าความเปลี่ยนแปลงใหญ่ ๆ ของผมเนี่ยเกิดขึ้นสองครั้ง ครั้งแรกก็คือการได้ทำเฟ็ดเฟ่ ครั้งที่ สองก็คือการได้ลาออกจากเฟ็ดเฟ่ มันเหมือนกับเฟ็ดเฟ่คือจุดที่ฟูมฟักพวกเรา ห้รู้ว่าช่องทางในการทำงาน YouTuber มันเป็นยังไง หาเงินแบบไหน แล้วก็บ่มชื่อเสียงเราระดับหนึ่ง แล้วเราก็กล้าที่จะออกไปบินเองข้างนอก นั่นคือสิ่งที่เฟ็ดเฟ่ให้ เฟ็ดเฟ่คือจุดบ่มผมให้มีปีก แล้วก็วันนี้ Beersos Diary มีทุกวันนี้ได้ แน่นอนถ้าไม่มีเฟ็ดเฟ่ อาจจะไม่มี Beersos Diary  พอเราปีกเราแข็ง เรารู้สึกว่าเราอาจจะรู้วิธีการที่จะทำสื่อแบบใดให้เรารอดได้และเป็นตัวเอง เฟ็ดเฟ่ก็มีประโยชน์กับเราทั้งสองอย่าง 

 

The People : แสดงว่าความเป็นศิลปินในตัวเรามันไม่เคยหายไปไหน แต่แค่ถูกฝังไว้?

เชื่อว่ามันอยู่ในแบบนั้น พอนาน ๆ เข้า พออยู่ในองค์รวมในห้องประชุมเฟ็ดเฟ่ เราเหมือนรู้ตัวลึก ๆ ว่าหลาย ๆ อย่างเราไม่ได้เห็นด้วย หลาย ๆ อย่างมันมีความเป็นตัวเอง ที่ถ้าเป็นเรา เราจะทำอีกแบบหนึ่ง แต่มันโยนอยู่ในนี้ไม่ได้ อย่างที่บอกมันเป็นพื้นที่ตรงกลาง ฉะนั้น มันบ่มตรงนี้อยู่ลึก ๆ ว่าเอ๊ะ หรือเราต้องอยู่อีกที่หนึ่งจริง ๆ อะไรอย่างนี้

 

 

 

The People : แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถต้านความต้องการที่อยู่ลึก ๆ ได้?

ในเฟ็ดเฟ่ช่วงท้าย ๆ ก็ยอมรับเป็นช่วงที่เราไม่ชอบตัวเองเลย เราเบื่อไง พอเราเบื่อ แล้วมันซังกะตาย กลายเป็นคนที่เหมือนกับไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย ไม่ชอบวันจันทร์ แล้วความรู้ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยในชีวิต เพราะทุกอย่างมันเป็น routine ไปหมดเลย ทำงาน ประชุม ตอกบัตร เสาร์-อาทิตย์หยุด เสาร์-อาทิตย์เนี่ยก็แทบไม่อยากทำอะไรแล้ว ซักผ้าไปวันหนึ่งแล้ว แล้วก็ตักตวงความสุขตัวเองสักวันหนึ่งก็หมดวัน แล้วก็กลับมาลูปเดิม ๆ 

การเรียนรู้เนี่ยเป็นศูนย์เลย เพราะมันเซฟโซนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น อย่างที่บอกนะ การเรียนรู้แม่งศูนย์อยู่แล้วถ้าอยู่ในเซฟโซนตัวเอง แล้วเรารู้สึกว่ามันเป็นอย่างนี้มา 4-5 ปี แล้วเรารู้สึกทำไมเราไม่เรียนรู้อะไรขึ้นเลยวะ นั่นคือสิ่งที่เรารู้สึกว่าเราแปลก ๆ เหมือนรับไม่ได้อะ เราไม่ชอบตัวเองตอนนั้น หมือนความเบื่อมันคือจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลง มันคือกลิ่นของความเปลี่ยนแปลงเลย 

 

The People : เริ่มรู้สึกสนใจหรือชอบท่องเที่ยวตั้งแต่ตอนไหน?

ถ้าชัด ๆ หน่อยน่าตอนทำรายการ Fedfe Tour ซึ่งเป็นรายการที่พวกเราไปเล่นกันต่างจังหวัด และผมมีหน้าที่หาโลเคชัน ซึ่งต้องไป scout พื้นที่ก่อน สมมติเราจะไปสระบุรี เราเป็นคนไปดูว่ามันมีอะไรทำ มีอะไรเล่นบ้าง บางทีก็ไปกับผู้กำกับ บางทีก็ไปคนเดียว นั่นทำให้เราเป็นคนกำหนดทิศทางว่าเพื่อนจะเล่นอะไร จะทำอะไร เพราะเราเป็นคนไปหา ตรงนี้ชอบเว้ย ตรงนี้เล่นอันนี้ได้ มีเครื่องเล่นเว้ย ตรงนี้มีสวนสนุกเว้ย เราพาเพื่อนมาเล่นตรงนี้ดีกว่า ภูเขาตรงนี้ ชอบว่ะ เดินขึ้นน่าจะสนุกจังเลย โห เดินกับเพื่อนเหนื่อย ๆ ด้วยกัน เออ มันจะเป็นไงวะ เราใส่ความชอบของตัวเองลงไปในงาน Fedfe Tour

ทีนี้เนี่ยหลาย ๆ ครั้งพอมาเห็นผลลัพธ์ เรารู้สึกว่าไอ้ความชอบที่เราเลือก ที่เลือกกับไอ้ผู้กำกับไอ้ต้อมเพื่อนกันเนี่ย เพื่อนก็ไม่ได้ชอบทุกคนนี่หว่า ทำไมไอ้ที่เราทำ เราชอบคิดอะไรแบบเฮ้ย เราพาเพื่อนไปขี่มอเตอร์ไซค์จากเชียงใหม่ไปปายกันไหม เราเดินขึ้นภูกระดึงกันไหม มันกลายเป็นเรื่อง adventure ทั้งนั้นเลย แต่ในขณะที่เพื่อนบางคนไม่ได้รู้สึกแบบนั้น เขาอาจจะรู้สึกว่าเฟ็ดทัวร์มันอาจจะไม่ต้องการอะไรแบบนั้น อาจจะแค่อยู่โรงแรมแล้วก็เล่นกัน ง่าย ๆ สบาย ๆ เพราะบางคนก็ไม่ได้อยากจะบู๊อะไรมาก

จุดเริ่มตรงนั้นมันมีผลอยู่นิดหนึ่งตรงที่แบบเฮ้ย มันคาใจ มันมีความต่างกันแล้วก็เริ่มรู้สึกว่า โห ถ้าเป็นเรานะ เราก็คงแบบไปทำอะไรที่มันโลดโผนกว่านี้ ในสไตล์ที่เราชอบ แต่ก็ต้องทำความเข้าใจแหละว่าส่วนรวมว่ะ สุดท้ายก็อยู่ส่วนรวม ถ้ามึงจะทำก็ควรทำเองปะวะเบียร์ 

พอไปดู YouTube ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ มันก็ดันไปเสพอะไรที่มันแบบโห คนนี้แม่งปั่นจักรยานจากลอนดอนแม่งกลับประเทศไทย เชี่ย… อยากทำอะไรแบบนี้ว่ะ อย่างพี่บอลพาเที่ยว ลาออกจากงานมีเงิน 30,000 บาท ขับเวฟเที่ยวทั่วไทย ทั่วอุทยาน ครบหมด เรา respect ตรงนี้ แล้วเรารู้สึกว่าเราอยากทำอะไรแบบนี้ พอมันไม่ได้ทำกับเฟ็ดเฟ่ มันก็ยิ่งบ่ม อยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าถามว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน 

อีกดอกหนึ่ง อันนี้คือดอกที่ชี้ขาดเลย เฟ็ดเฟ่เนี่ยมันก็จะมีการหยุดยาวในช่วงหนึ่ง ช่วงพักจุดปีใหม่หรืออะไรพวกนี้ มีอยู่ปีหนึ่งผมลาหยุด หรือว่ามันเป็นช่วงหยุดยาวนี่แหละ ผมกับไอ้เจมส์ ตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวกัน เจมส์ 500 มีความคิด ความชอบคล้าย ๆ กัน เรามักจะพูดเรื่องการเดินทางกัน 2 คน เราก็ชวนเจมส์เมื่อเกือบ 10 ปีก่อนนะ ก็คุยกันว่ามันมีที่หนึ่งเว้ยชื่อว่า ‘เลห์ ลาดักห์’ (Leh Ladakh) อยู่อินเดีย โคตรสวยเลย แม่งเป็นแบบสถานที่อย่างกับดาวอังคารเลยมึง แล้วกูอยากไปเห็นมากเลย ไปกับกูไหม เราก็เซ็ตทีมไปกัน กับเจมส์ 500 แล้วก็กับเพื่อนมัธยมที่คนละกลุ่มกัน ไปกัน 5-6 คน

 

อานพ เฉลียวฉลาด : ทลายสิ่งเก่าเพื่อการเกิดใหม่ บทเรียนจากการเดินทาง และคำสอนอิสลาม

 

พอไปถึงบินไปแตะเลห์ ลาดักห์ ปุ๊บ ออกจากสนามบินมา ไอ้ภาพที่เราคิดว่าเราว้าวมาก ๆ แล้วในอินเตอร์เน็ต คราวนี้มันอยู่ในสายตาที่แบบ 360 องศามันสตั๊น แล้วมันรู้สึกว่า เชี่ย ทำไมมันยิ่งใหญ่ขนาดนี้วะ ความรู้สึกมันแบบมันพุ่งชนความว้าวแบบแรงมาก หรือในจุดนั้นผมได้ไปตรงถนน ชางลา พาส (Changla Pass) มั้งที่เขาเคลมว่าสูงที่สุด ผมไปอยู่ในจุดนั้นแล้วผมก็มองทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ผมจะเห็นทิวเขาหิมาลัยที่มันกว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกิน 

ความรู้สึกตอนนั้นคือแบบเฮ้ย หรือเราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้วะ ความรู้สึกนี้ที่เราได้รับอยู่ตอนนี้มันอร่อยมากอะ มันใช่เลยอะ มันแบบจะทำยังไงดีวะที่เราจะรู้สึกแบบนี้ได้อีกบ่อย ๆ และความรู้สึกไม่อยากกลับก็เกิดขึ้น 

จุดนั้นทำให้เราค่อนข้างขีดเส้นใต้กับตัวเองแล้วว่า เฮ้ย เบียร์กูว่ามึงอะชอบเรื่องนี้จริง ๆ มึงทำเรื่องนี้ไหม เอาไงดีวะ ลาออก บอกตัวเองบนยอด ชางลา พาส มองท้องฟ้าทำมุม 45 องศาเท่ ๆ ฉันกลับไปฉันจะลาออก เราก็ยึดมั่นกับตัวเองแบบนี้ แต่มันก็ไม่ได้ลาออกเลยหรอก เราก็ต้องผ่านการวางแผนก่อนว่า ไอ้เบียร์ มึงลาออกไปมึงเอาอะไรแดกวะ เรารับเงินเดือนกับเพื่อนอยู่ประมาณนี้ แล้วค่าใช้จ่าย โอ้โห มึงเลี้ยงตั้งหลายคน น้องมึง แม่มึง จะออกแล้วมันต้องทำไง หาเงินยังไง มันก็ต้องผ่านการวางแผนก่อน เก็บตังค์ก่อน ผ่านการคิดว่าไอ้เบียร์ ถ้าออกไปทำช่องตัวเอง สมมติมึงจะทำอาชีพอะไร  เขียนหนังสือ เขียนหนังสือแล้วมึงควรมีเงินเก็บที่ไม่มีรายได้กี่เดือนวะ ปีหนึ่งไหม เราก็สร้างสายป่านอะไรบางอย่างของเรา จนนั่นแหละในวันที่เราพร้อม เราก็ถึงจะบอกเพื่อนว่าเฮ้ย ปาระเบิดควัน เฮ้ย กูไปแล้วนะ (หัวเราะ) 

ค้นพบ Magic moment นั้นตอนอายุเท่าไร แล้วคิดมาก่อนไหมว่าจะเจอตอนนั้น
ย้อนกลับไป น่าจะแถว ๆ 32 อะไรอย่างนี้ คิดว่าจะเจอแหละ แต่ว่าไม่คิดว่าเจอระดับนั้น คิดว่าคงจะมีความรู้สึกบางอย่างที่พรั่งพรูออกมา แต่ไม่นึกว่าจะขนาดนั้น เคยได้ยินคำว่าสวยจนน้ำตาไหลไหม ผมไม่เชื่อนะ แต่วันนั้นผมน้ำตาไหลจริง ๆ 

คนเราไม่จำเป็นต้องรีบหาตัวตนให้เจอ เพราะทุกคนจะมีจังหวะของตัวเอง เชื่ออย่างนั้นไหม?

เชื่ออย่างนั้นแหละครับ เราคงไม่ควรเปรียบเทียบกับใคร ทุกวันนี้เราก็อยู่ในเครื่องมือแห่งการเปรียบเทียบเต็มไปหมด เราอยู่ในโทรศัพท์ที่เป็นเครื่องมือที่โคตรแห่งการได้เปรียบเทียบเลย เราเป็นมนุษย์ที่อยู่ในยุคสมัยที่ได้เห็นชีวิตของคนอื่นเยอะมาก ๆ แล้วมันก็ปฏิเสธไม่ได้ที่เราก็เอามาเทียบตัวเอง มนุษย์เห็นชีวิตคนอื่นแล้วมันก็มาพารานอยด์เรา ฉะนั้น จังหวะใครจังหวะมัน 

 

The People : การออกเดินทางทริปแรกเป็นเหมือนที่เราคิดไว้ไหม?

กลับมาสู่การกระจอกใหม่แล้ว ตอนอยู่เฟ็ดเฟ่เราพิงเพื่อนหาเงินกับเพื่อน ให้ตายยังไงเรามีเพื่อนช่วยกันคิด แล้วเราก็กุมมือกันหาเงินมาเกือบ 10 ปี แต่พอออกมาเดี่ยว ๆมันมาชนกับความไม่มั่นใจตัวเองอีกรอบ แต่ก็ต้องลองดู มึงจะทำอะไร มึงจะเดินทางใช่ไหม หาเงินยังไง เท่าที่ข้อมูลเรามี เราเห็นไอดอลเราเขียนหนังสือ แล้วเราก็อยากเขียน จำได้ไหมเบียร์ เราอยากเป็นคอลัมนิสต์ เราเขียนเป็นหนังสือไหมเกี่ยวกับการท่องเที่ยว หารายได้โดยการเขียนหนังสือ แต่ว่าเบียร์ คุยกับตัวเองนะ มึงเคยออกเดินทางคนเดียวหรือยัง มึงเคยไปต่างประเทศคนเดียวหรือยัง ไม่เคยว่ะ แล้วถ้ามึงจะทำเรื่องพวกนี้ ต้องออกเดินทางคนเดียวต่างประเทศไม่เป็นไม่ได้นะ มึงต้องหัดทำให้ได้ ไม่งั้นมึงก็รอคนอื่นอยู่วันยังค่ำ มึงก็พิงเพื่อน ตัดต่อเองไม่เป็น ก็ต้องไปถามเพื่อนในเฟ็ดเฟ่ เด็กฝึกงานเอามาช่วยกับตัดต่อกับกูไหม มันก็คนอื่นอีก 

ก็รู้สึกว่า ถ้าออกมาแล้วเนี่ยผมอยากที่จะเป็นตัวเองแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ อยากที่จะทำผลงานทุกอย่างเป็นแฮนด์เมดมาก มีความ pure ในมันมาก ๆ อะไรที่เป็นบทเรียนในตอนทำเฟ็ดเฟ่ เช่น การไม่ได้เป็นตัวเอง การต้องพูดบางอย่างที่เราไม่ได้อยากจะพูด เราก็จะพยายามหลีกเลี่ยง เพราะฉะนั้น ผมมาทำ Beersos Diary ด้วยการทำทุกอย่าง เริ่มต้นใหม่ ผมถ่ายวิดีโอไม่เป็นเลย ตัดต่อไม่เป็น 

แล้วที่สำคัญที่สุด มึงต้องยืนด้วยขาตัวเองให้ได้ในทุกอย่าง รวมไปถึงการออกเดินทาง ภาษาอังกฤษไม่ได้ใช่ไหม ช่างมัน ก็ต้องทำอะ มนุษย์ไม่อยากรู้สึกโง่อยู่แล้ว ไปพูดภาษาอังกฤษกับคนอื่น คนอื่นจะมองว่าเราโง่ไหม ซึ่งเราโง่จริง ๆ แล้วต่างประเทศคนเดียว ถ้าเราเจอปัญหานั้นปัญหานี้เราจะแก้ยังไง เรามองอะไรไม่เห็นเลยอะ แต่ก็ช่างมัน ถ้ากลัวอะไร ก็โยนตัวเองลงไปในนั้นเลย ความกลัวมันไม่มีทางหายจากการคิดเลย คิดยังไงความกลัวก็อยู่ ความกลัวหายจากการทำอย่างเดียว อย่างเดียวเท่านั้น

ก็เลยตัดสินใจว่าจะไปไหนดี ไปสักเดือนหนึ่งก็นั่งลิสต์ ๆ ว่าเราอยากเห็นอะไรวะ สุดท้ายก็มาจบที่อยากเห็นภูเขาไฟ เพราะไม่เคยเห็นภูเขาไฟ ประเทศอินโดนีเซียมีชื่อเสียงเรื่องภูเขาไฟสวย ๆ หลายที่ ก็เลยลงทะเบียนกับตัวเองว่า ทริปแรกมึงไปอินโดนีเซียสักเดือนหนึ่งคนเดียวสุดท้ายก็จบทริปอินโดนีเซียได้ กลายเป็นอีกคนหนึ่งอย่างสิ้นเชิงแล้วผมเสพติดเรื่องนี้เลย

ผมเคยได้ยินคำป๊อป ๆ คำหนึ่งที่ฟังแล้วก็ดูเป็นคำได้ยินบ่อย ดูเชย ๆ เป็นคำตอบของคำถามว่า “การเดินทางคืออะไร?” อ๋อ การเดินทางคือการเรียนรู้ ได้ยินแบบนี้คำนี้มานานแล้ว แต่ว่ามันหนีคำนี้ไม่ได้เลย การเดินทางคือการเรียนรู้จริง ๆ แล้วก็อาจจะเพิ่มเติมในส่วนตรงนี้ ก็คือการเดินทางคือการเรียนรู้และการฝึกฝนตัวเองให้แกร่งขึ้น พอเราไม่เหลือใครเลย เราไปอยู่ในที่ ๆ รอบตัวเนี่ยมันไม่มีเพื่อน ไม่มีครอบครัว มีแต่คนที่พูดในภาษาที่เราก็ฟังไม่เข้าใจ เราแม่งเหลือแต่ตัวเองล้วน ๆ กับเงินในกระเป๋าจำนวนหนึ่ง เราตกอยู่ในภาวะแบบนั้น และเวลาเราเจอปัญหา เราได้ครุ่นคิด ผมได้ครุ่นคิด ผมได้ใช้สติในการเจอกับปัญหาต่าง ๆ 

อาทิเช่น รถยางแตกช่วงเวลา 4 โมงเย็น ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราอาจจะกลัวกับเรื่องนี้ แต่พอมันยางแตกจริง ๆ แล้วเนี่ย สิ่งที่ผมเจอในตัวเองก็คือ โอเค ไอ้เบียร์ ยางแม่งแตกว่ะ มึงมีอะไรบ้างวะตอนนี้ มึงมีเงินเท่านี้ ตอนนี้เวลากี่โมงแล้ว 4 โมง เหลืออีก 2 ชั่วโมงก่อนฟ้ามืด  มึงข้างหน้าเหลืออีกกี่กิโลเมตร ค่อย ๆ ไปหรือจะไปข้างหลัง ข้างหลังที่ผ่านมาตะกี้นี้ ชั่วโมงหนึ่งมันเหมือนมีร้านเปล่าวะ ตรงนี้มันอันตรายไหม มีไฟไหม หรือจะไปโรงแรมก่อนดี แล้วว่ากันพรุ่งนี้ ก็ทบทวนมันเข้าไปใน ‘ห้องการพิจารณา’ อะไรบางอย่าง มันคือสตินั่นแหละ พอมันทบทวนแล้วมันแก้ได้ ความมั่นใจมันมา เราจะมั่นใจในตัวเองมากขึ้น

หรืออย่างอีกกรณีหนึ่ง ผมอยากไปเดินป่าที่เนปาล ผมไปในรูทที่ไม่ค่อยฮิตเท่าไหร่ ชื่อว่า Annapurna Circuit เพราะว่ามันเป็นรูทที่มันเดินเป็นวงกลมระยะยาว ส่วนใหญ่ก็จะเดินกันแบบ 20 วันถึงเดือนหนึ่งเพราะมันหลัก 200 กม. แล้วก็พอมันเดินไกลมันเลยไม่ค่อยฮิตเท่าไหร่ เพราะผู้คนอาจจะไม่ได้มีเวลาขนาดนั้น ผู้คนก็อาจจะไปฮิตไป ABC (Annapurna Base Camp) ไป EBC (Everest Base Camp) ที่ใช้เวลาประมาณสัก 9 วันถึง 2 อาทิตย์อะไรอย่างนี้ มันก็เลยฮิตกัน แต่จุดนี้ผมรู้สึกว่ามันแปลกดี ก็เลยไป แต่ในช่วงเดินไม่มีคนเลย 7 วันแรกที่ผมเดินนะ ผมเจอนักท่องเที่ยวที่เดินเหมือนกันคนหนึ่ง 

ผมจะยกตัวอย่าง มันอาจจะไม่ได้วิกฤตมาก แต่มันเป็นการยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ผมเดินออกมาจากเมืองหนึ่ง ในดินแดนที่มันเป็นภูเขาหิน ช่วงนั้นมันความสูงสักแบบ 3,000 แล้ว สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าต้นไม้อาจจะเริ่มเบาบางลง เพราะเขาเริ่มอยู่ไม่ได้แล้ว ผมก็เดินคนเดียว พอ 3 โมงเย็น เดินมาเจอทาง 5 แยกสตั๊น 1-2-3-4 รวมทางกลับเป็น 5 ต้องไปทางไหนวะ มองซ้ายมองขวา ป้ายไม่มีเลย คนแถวนี้ก็ไม่มีเลย กูจะรอดจากเรื่องนี้ยังไง คือมันอาจจะหลงไปได้เลย หลงไปไหนก็ไม่รู้ 

ผมทำเหมือนเดิม กลับมาเช็กตัวเอง โอเค มึงมีอะไรบ้าง ก็เข้าเหมือนเดิมเลย ตอนนี้มึงกี่โมงแล้ว รอคนไหม ลองรอคนแล้วถามไหม เพราะถ้ามึงเดินมั่ว มันอาจจะบานปลายไปไกลนะ แล้วอาจจะมืดก่อน มืดก่อนแล้วอาจจะฉิบหายกว่านี้นะ ถ้าจะรอคน รอได้เท่าไหร่ สักครึ่งชั่วโมงไหม ถ้าครึ่งชั่วโมงยังไม่มีคนมา เราจะสุ่มเดินไปเลย หรือเราต้องดูเข็มทิศ อ่านแกะจากแผนที่ หรือนั่งรอก่อน มีน้ำ มึงเหลือน้ำเท่าไหร่ ถ้ามึงเดินไปมึงกินแรงเท่าไหร่ น้ำหมดนี่แย่หนักกว่าเก่าเลยนะ แปลว่าเราใช้แรงได้ไม่เยอะ สุดท้ายก็เลือกวิธีการหนึ่ง เดินไปหา เดินสุ่ม แล้วก็ไปเจอชาวบ้านเฉยเลย แล้วก็รอดจากเหตุการณ์นั้นมาได้ มันรู้สึกว่าในห้องพิจารณานั้นมันเหมือนเดิม พอเราทำมันบ่อย ๆ มันใช้ได้กับทุกเรื่องในชีวิตเลย 

คำว่าความกล้ากับความกลัว บางทีมันต่างกันตรงนี้เอง สมมติว่าบางคนบอกว่า ผมไม่กล้าไป คุณกล้าไปได้ยังไง ไปคนเดียว มันต่างตรงที่ว่า ถ้าเกิดปัญหาเขาไม่เชื่อว่าเขาจะแก้ได้ เวลาผมไปเที่ยว ผมนั่งคุยกับฝรั่งหลายคน เท่าที่จับใจความได้นะ เขาไม่เข้าใจหรอกว่าเรากลัวอะไร ถ้าเราเล่าให้เขาฟังว่า คนเอเชียอย่างผมมาเที่ยวเป็นเดือนนี่เป็นเรื่องที่ว้าวมาก เขาก็จะบอกว่า เหรอ กลัวอะไรอะ มันต่างกันตรงนี้ คือฝรั่งหรือนักเดินทางเวลาเจอปัญหา เขามั่นใจว่าเขาจะแก้ได้ ฉะนั้นพอเราบ่มเรื่องพวกนี้อยู่ในตัวเรื่อย ๆ มันทำให้เราพกสกิลนี้ไปใช้ได้หลายมิติมาก เจออะไร อยู่กับตัวเรา เราแก้ได้ เพราะเราเคยแก้มาแล้ว ถึงแม้มันจะไม่เกี่ยวกันเลยก็ตาม 

 

อานพ เฉลียวฉลาด : ทลายสิ่งเก่าเพื่อการเกิดใหม่ บทเรียนจากการเดินทาง และคำสอนอิสลาม

 

นั่นคือสิ่งที่ได้มาจากการเดินทาง ทำให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น เข้าใจคนอื่นด้วย ได้ไปแลกเปลี่ยนกับคนอื่น ผมออกเดินทางผมชอบมากกับการไปนั่งคุยกับคนต่างที่ต่างทาง นั่งคุยกับนักมวย ก็คุยเรื่องมวย นั่งคุยกับอาชีพไหนก็คุยเรื่องอาชีพนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเอามาทำไม แต่ผมเชื่อว่ามันจะมีเมล็ดพันธุ์บางอย่างอยู่ในตัวเรา วันหนึ่งข้อมูลนั้นอาจจะเอามาใช้ได้ เพราะเรามีข้อมูลเยอะในหัว ผมเชื่อว่ามันทำให้เราเชื่อมโยงได้เก่งกว่า สิ่งพวกนี้อาจไม่ได้อยู่ที่สติปัญญา แต่มาจากประสบการณ์ชีวิต มาจาก connection จาก data ที่อยู่ในตัวเรา

ฉะนั้นผมเลยเป็นคนที่มักจะผลักดันให้คนออกเดินทาง เชื่อเถอะ การเดินทางแม่งไม่ต่างจากห้องเรียนเลย มันเป็นการเรียนรู้ที่ได้มากกว่า สัมผัสได้ touch ได้ ทุกหลักสูตรที่คุณเรียนมา ในการเดินทางมีหมด คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ สังคมศาสตร์ ปรัชญา จิตวิทยา ประวัติศาสตร์ แต่มันเป็นการได้มาจริง ๆ 

สมมติเราไปประเทศหนึ่ง เราได้ยินว่าขี้ขโมย เอาเปรียบนักท่องเที่ยว ชอบชาร์จ พอเราไปเจอขโมย เราก็จะคิดว่าที่นี่ขี้ขโมย แล้วเอาไปบอกต่อ แต่ถ้าเราอยู่กับเขานานพอ เราอาจจะเห็นว่าสาเหตุที่เขาเป็นแบบนั้นมันมาจากอะไร เศรษฐกิจ ชีวิต ความจำเป็น บางทีมันทำให้เราเข้าใจคนมากขึ้น

ล่าสุดผมปั่นจักรยานไปพัทยา ผ่านเส้นบางนา-ตราด ระหว่างปั่นมันเป็นถนนเลนใหญ่ มอเตอร์ไซค์วิ่งสวนเยอะมาก ผิดกฎหมาย อันตราย เราก็คิดว่าทำไมคนที่นี่มักง่ายจัง เราปั่นจักรยานต้องดูทั้งข้างหลัง ทั้งข้างหน้า รถใหญ่ก็มา ข้างหน้าก็มีมอเตอร์ไซค์สวน ถ้าลองเปลี่ยนเป็นเขา สมมติว่าอยู่เส้นนี้ ต้องไปกลับรถอีก 3 กิโล แล้ววนกลับมาอีก 3 กิโล เพื่อจะมาซื้อของที่อยู่ย้อนศรแค่ 300 เมตร บางทีถ้าเราอยู่ตรงนั้น เราอาจจะรู้ตัวว่า เออ กูไม่ใช่คนดีขนาดนั้นเหมือนกันนะ กูก็อาจจะทำนะ

การเดินทางที่ผมพูดถึงคือมันทำให้เราเข้าใจคนอื่นมากขึ้น เชื่อมโยงกับคนอื่นมากขึ้น รู้ว่าควรพูดกับเขายังไง ไข่มันมีไข่ขาว ไข่แดง โปรตีนเหมือนกัน การเดินทางมันทำให้เรารู้ว่าใครควรกินไข่เจียว ใครกินไข่ต้ม ใครไข่ตุ๋น ใครไข่ยัดไส้ ใครต้องไข่ดาว แต่สุดท้ายทุกคนได้โปรตีนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการออกล่าข้อมูลจากการเดินทาง มันช่วยเราได้ในหลายมิติมาก

 

The People : สิ่งที่เราได้รับระหว่างทางก็ดีไม่แพ้กับปลายทางเลย คิดอย่างนั้นไหม?

เรื่องของการเดินทางจริง ๆ ผมว่ามีคนอยู่สองประเภท คือนักท่องเที่ยวกับนักเดินทาง หลายคนสงสัยว่าต่างกันยังไง จากที่ผมลองสัมผัสนะ ต่างกันตรงที่ว่านักเดินทางจะไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าคืนนี้จะนอนตรงไหน ไม่รู้ว่าข้างหน้าคืออะไร แต่นักท่องเที่ยวจำเป็นต้องรู้ว่าข้างหน้าจะเจออะไร ต่างกันตรงนี้เลย นักท่องไม่ผิด เขาก็ต้องแพลน อยากเจอตัวเองที่นั่นกี่โมง นอนที่ไหน ไปอะไรยังไง เขาไปเอาปลายทาง ไปพักผ่อนหย่อนใจ แต่นักเดินทางจะอีกแบบหนึ่ง จะเสพติดระหว่างทาง เจออะไรก็เจอ พร้อมรับข้อมูล พร้อมเจอปัญหา

ผมคิดว่าระหว่างทาง เราคงได้ยินกันมาเยอะแล้วว่ามันให้อะไรมากกว่าปลายทาง ซึ่งมันก็จริง ยิ่งระหว่างทางมันต้องต่อสู้ อะไรก็ตามที่ต้องต่อสู้มันก็แกร่งขึ้น เก่งขึ้น เวลาอย่างมีน้อง ๆ แชทมาถามพี่เบียร์ อยากออกเดินทางแบบพี่ เจอปัญหาความกลัว ความไม่มั่นใจ พี่มีทริคแนะนำไหม ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแนะนำดีหรือเปล่า แต่ผมจะบอกว่า ทริปไหนก็ตามที่ยังกลัวอยู่ ยังไม่มั่นใจ ยังหาคำตอบไม่ได้ ทริปนั้นควรไป เพราะมันการันตีว่ามึงได้อะไรแน่นอน ถ้าทุกอย่างเซฟหมด เพอร์เฟกต์หมด โอกาสเรียนรู้มันน้อยมาก บางทีเราวางแผนละเอียด วางทุกอย่างเป็นขั้นตอน ไม่มีช่องว่างเลย มันไม่ผิดนะ แต่พอไม่มีพื้นที่ให้ความผิดพลาด การเรียนรู้มันไม่เกิด

ฉะนั้นทริปที่มันส่งเดชบ้าง บางทีมันเหมือนขนมล่อกระดอดักปัญหาให้เกิดกับตัวเรา ให้ได้ไตร่ตรอง ให้ได้สู้ ให้ได้กลัวบ้าง กลัวบ้างเถอะ บางคนไม่ทำอะไรเลยเพราะกลัว เราหนีอารมณ์นี้ตลอด มึงไม่อยากชนะมันบ้างเหรอวะ ความกลัวมันน่ารำคาญนะ มันกลายเป็นข้อจำกัดใหญ่ ทำให้ไม่ได้ไปเห็นโอกาสดี ๆ กลัวบ้างก็ได้ ความกลัวมันทำให้เรารู้สึกว่ามีชีวิตอยู่ ได้ใช้ทุกอารมณ์ กลัว วิตก ดีใจ เศร้า รู้สึกให้ครบ ๆ บ้างก็ได้

แล้วถ้าอยากกล้า ความกล้ามันมาหลังความกลัวนะ ก่อนจะกล้า ก็ต้องกลัวก่อน กลัวผีใช่ไหม นี่แหละคือโอกาสเดียวที่มึงจะกล้า มึงไปนอนคนเดียวสิ มึงก็จะกล้า ความกลัวมันคือโอกาสเดียวที่เราจะได้ความกล้า เพราะฉะนั้นก็อยากให้เดินทาง ระหว่างทางรู้เท่าที่จำเป็นก็พอ ถ้าสไตล์ผมนะ ไม่ต้องรู้เยอะ รู้เรื่องสำคัญ เอกสาร วีซ่า การขออนุญาต อะไรแบบนี้พอ ระหว่างทางก็ลองไปด้น ๆ ดู เข็นอะไรบางอย่างในตัวเองหน่อย แล้วเชื่อเหอะ มันมีประโยชน์


The People : อุปสรรคระหว่างการเดินทางครั้งไหนที่ใหญ่ที่สุด?

การเดินทางที่ผ่านมาของผมมันบ่มผมให้มีความคิดแบบหนึ่ง แล้วความคิดแบบนี้มันทำให้ผมตอบคำถามนี้ชัด ๆ ไม่ได้ เพราะทุกปัญหาที่เจอ ผมไม่รู้สึกว่ามันเป็นปัญหาเลย ถ้าออกเดินทางแล้วไม่เจอปัญหาสิแปลก ถามว่าราบรื่นดีไหม มันก็ดีแหละ แต่ถ้าไม่ราบรื่นมันก็ดีเหมือนกัน เวลาไปเจอปัญหา ผมถูกสอนให้คิดว่ามันมีประโยชน์อะไรอยู่ในนั้น อย่างเช่นตอนที่ผมไปล่าฝันที่ปากีสถาน ผมปั่นจักรยานในรูทในฝันของผม แล้วผมแขนหัก อันนั้นน่าจะใหญ่สุดแล้ว บางคนอาจจะตีโพยตีพาย ผมก็มีอารมณ์วูบหนึ่งเหมือนกัน เชี่ย แขนหักว่ะ ฝันสลายแล้ว ปั่นจักรยานมาได้สิบวัน รถล้ม ยังไงวะเนี่ย ทั้งที่ฝันนี้มันบ่มอยู่ในใจมานานมาก

แน่นอนว่ามันเสียใจ มันเศร้ามากที่ต้องกลับบ้าน เพื่อนอีกสามคนต้องไปต่อโดยไม่มีเรา มันทั้งเสียดาย เสียใจ ผิดหวัง ปนกันหมด แล้วก็ถามตัวเองว่าได้อะไรจากเรื่องนี้วะ ดีนะที่ไม่ตาย ถ้าหัวฟาดตายไปแล้วล่ะ ก็คิดแบบนี้ ดีนะที่ใช้โควตารถล้มแค่แขนหัก สิ่งที่ได้คือครั้งหน้าเราจะเดินทางโดยใส่หมวก ครั้งหน้าเราจะระวังเรื่องอะไร มันพยายามมองให้เป็นบวกว่าเรื่องนี้กำลังสอนอะไรเราอยู่ เพราะฉะนั้นอย่างที่บอก พอเราเจอปัญหาเยอะ เดินทางเยอะ เราเลยตอบคำถามนี้แบบชัด ๆ ไม่ได้ เพราะทุกปัญหาเราพร้อม เราเลยมองว่ามันไม่ได้เป็นปัญหาขนาดนั้น

 

The People : เพราะการเดินทางด้วยไหมที่ทำให้เริ่มสนใจศาสนาอิสลาม

เกี่ยวมาก มันคือการเดินทางโดยรวมเลย คำถามนี้ คำตอบมันยาวนะ

การเดินทางของผมถึงวันนี้ประมาณ 4 ปี ความสำเร็จที่ปลายยอดที่สุดคือการทำให้ผมรู้จักตัวเองมากขึ้น ว่าอะไรคือสัจธรรม อะไรคือความอยากจะเชื่อ สัจธรรมคือความจริง ซึ่งผมว่ามนุษย์ทุกคนรวมถึงผมเอง ยังแยกไม่ออกหรอกว่าอะไรคือความเชื่อ อะไรคือความอยากจะเชื่อ บางทีมันเป็นภาพลวงตาว่ามนุษย์เป็นแบบนี้ เท่าที่ผมเข้าใจจากการเดินทางนะ มนุษย์เกิดมาต่างกัน พ่อแม่ต่างกัน การเลี้ยงดูต่างกัน ศาสนาต่างกัน อาชีพต่างกัน การเรียน เพื่อน ทุกอย่างต่างกัน ไม่มีทางที่คนจะเหมือนกันได้ ต่อให้พ่อแม่เดียวกัน คลอดมาพร้อมกัน นิสัยยังไม่เหมือนกันเลย เพราะฉะนั้นมนุษย์มันมีความคิดเป็นอนันต์อยู่แล้ว

ผมเองก็โตมาอีกแบบหนึ่ง โตมาในสังคมที่มีทั้งพุทธ ทั้งคริสต์ เจอเพื่อนแบบที่เราเลือกไม่ได้ แน่นอนมนุษย์แต่ละคนจะมีหลักสูตรชีวิตของตัวเอง อย่างผมบังเอิญไปเจอเพื่อนมัธยมที่เล่นดนตรี วัยรุ่นมันก็หาความเป็นตัวตน เพื่อนบางคนไปฟุตบอล บางคนศิลปะ ของผมไปทางดนตรี ชอบดนตรีตะวันตก วงอเมริกา อังกฤษ อยากเป็นนักดนตรี มันก็จะเกิด mindset หนึ่งขึ้นมา เรื่องเสรีภาพ ชีวิตเดียว ใช้ให้คุ้ม ขอแค่ไม่ไปเดือดร้อนใคร อยากเป็นอะไรก็เป็น ทำตามฝันตัวเอง มันเป็นชุดความคิดแบบนั้น

พอมนุษย์มีชุดความคิดแล้ว เขาก็จะบริหารชีวิตให้สอดคล้องกับสิ่งที่ตัวเองเลือก ทีนี้ทฤษฎีอื่น ๆ ที่เข้ามา ถ้ามันไม่สอดคล้องกับธรรมชาติที่เราสร้างมา มันจะต้าน สมมติผมเลือก direction เรื่องเสรีภาพ แล้วมีอีกทฤษฎีหนึ่งบอกว่าโลกนี้ไม่ได้บังเอิญ มีผู้สร้าง มนุษย์ถูกทดสอบ ไม่ได้อิสระ ความรู้สึกมันค้านทันที เราไม่สนใจด้วยซ้ำว่านี่จริงหรือไม่จริง เราแค่ไม่อยากเชื่อ เพราะมันไม่ friendly กับรอบตัวเรา มนุษย์มันเป็นแบบนี้ มันอยากรู้สึกว่าตัวเองถูก mindset ที่เราครองอยู่มันเหมาะกับเราที่สุด

บางทีเราเจอเรื่องศาสนา เราอยากเถียงมาก ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจริงไม่จริง อย่างเมื่อก่อนผมไปฟัง สตีเฟน ฮอว์กิง (Stephen Hawking) พูดเรื่องจักรวาลไม่มีผู้สร้าง ผมก็อยากจะเชื่ออันนี้ มันคือความอยากจะเชื่อ ไม่ใช่สัจธรรม เราเห็นด้วยเพราะมันง่าย มัน friendly กับชีวิตเรา สาระมันไม่ได้อยู่ที่ความจริง แต่อยู่ที่ว่ามันเข้ากับเราหรือเปล่า

สมมติมีคนบอกว่าห้ามดื่มเหล้า เหล้าเป็นบาป ผมก็จะไปหาวิธีคิดเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเปลี่ยน เช่น กินได้แหละ แต่อย่ากินเยอะ หรือบางคนเถียงกับเมีย เมียบอกเลิกเหล้า ก็จะหาเหตุผลมารองรับว่ากูทำงานหนัก เลี้ยงครอบครัว กินหน่อยจะเป็นไร มันคือการหาข้ออ้างเพื่อไม่ให้ตัวเองเปลี่ยน มนุษย์เกลียดการเปลี่ยนแปลง มนุษย์เป็นทาสของความเคยชิน

เรื่องนี้มันลุกลามไปทุกมิติ ไม่ว่าจะการเมือง ศาสนา วิธีคิด เราเลือกสิ่งที่สอดคล้องกับสิ่งที่เราเซ็ตไว้ ทั้งที่เรายังไม่รู้เลยว่าสัจธรรมคืออะไร ความเชื่อกับความอยากจะเชื่อยังแยกไม่ออกเลย อย่างเมื่อก่อนผมไม่อยากเปลี่ยนมาอิสลาม เพราะศาสนาที่ผมถืออยู่มันง่าย ไม่ต้องทำอะไรเยอะ จะไปหรือไม่ไปก็ได้ รู้สึกไม่โดนคุกคาม มัน friendly กับผม เราโอบอุ้มสิ่งที่เข้ากับตัวเรา แล้วก็เรียกมันว่าความเชื่อ ทั้งที่จริง ๆ ตัวเองเป็นศูนย์กลาง

พอผมออกเดินทาง เจอคนเยอะ ผมพยายามวางความอยากจะเชื่อของตัวเองออก ลองเปิดใจจริง ๆ ว่าสัจธรรมคืออะไร ความเชื่อจริง ๆ คือสิ่งที่มันเป็นอย่างนั้นแน่นอน ไม่ใช่น่าจะเป็น เช่น ผมเชื่อว่ารัสเซียหนาวกว่าไทย ผมเชื่อว่าถ้าอยากไปไทม์สแควร์ต้องไปนิวยอร์ก ผมเชื่อว่านี่คือแก้วน้ำ เพราะมันเป็นความจริงที่เป็นอย่างอื่นไม่ได้ แต่เมื่อก่อนผมจะเชื่อสิ่งใดก็ต่อเมื่อมัน friendly กับผม ถ้าไม่ตอบโจทย์ชีวิต มันอาจจะไม่จริงก็ได้ในความคิดผม

การเดินทางทำให้ผมถอดหัวโขนความอยากจะเชื่อออก ผมปั่นจักรยานกับน้องมุสลิม เบตง-แม่สาย สองพันกิโล สองเดือน คุยกันตลอด แลกเปลี่ยน ได้เรียนรู้อิสลาม ผ่านการอยู่ ผ่านการนอนบ้านเขา ผ่านการคุยกับคนที่เราเคยคิดว่าเป็นแบบนั้นแบบนี้ พอเอาหัวโขนออก ผมถึงเข้าใจว่าความเชื่อจริง ๆ คืออะไร ความอยากจะเชื่อคืออะไร แล้วผมค้นพบว่าอิสลามคือความเชื่อในระดับที่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ ในระดับเดียวกับที่เรารู้ว่านี่คือแก้วน้ำ เชื่อว่ามนุษย์ถูกสร้างขึ้นมา ผ่านการคิด การศึกษา การตรวจสอบ จนมันเป็นอย่างอื่นไม่ได้

 

อานพ เฉลียวฉลาด : ทลายสิ่งเก่าเพื่อการเกิดใหม่ บทเรียนจากการเดินทาง และคำสอนอิสลาม

 

ทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ เพราะบางทีสิ่งที่กั้นเราออกจากความจริงก็คือความอยากจะเชื่อของเราเอง เราเลือกเฉพาะสิ่งที่สอดคล้องกับชีวิตเรา เช่น อยากสูบกัญชา ก็หนุนแนวคิดที่ทำให้กัญชาถูกกฎหมาย ชอบดูหนังโป๊ ก็หนุนให้มันถูกต้อง เพราะมัน relate กับเรา เราอยากจะเชื่อในสิ่งที่ทำให้เราไม่ต้องเปลี่ยน นั่นแหละคือสิ่งที่การเดินทางทำให้ผมเห็นชัดมากขึ้น

ในขณะเดียวกัน ไปไม่ถึงสัจธรรม เช่น เราอยากเห็นคนขายตัว จริง ๆ เหรอ ถ้าเรามีลูก เราอยากให้ลูกทำแบบนั้นไหม ถ้าไม่อยากให้ลูกเราทำ ทำไมเราทำกับคนอื่นล่ะ หรือจริง ๆ แล้วเราไม่รู้หรอกว่าไอ้เสรีภาพคืออะไร แต่ว่ากูแค่อยากดูของชาวบ้านเขา แล้วดูสิ่งที่มันเกิดขึ้นหลังจากนั้น พอมันเสรีกันมากขึ้น มันก็เละเทะ

ยุคนี้เราบอกว่า โห ศาสนาคือเรื่องล้าหลัง ยุควิทยาศาสตร์มันไปไหนต่อไหนแล้ว ทำไมยังโบราณอยู่เลย ทำไมศาสนาไม่ปรับตัวเข้ากับยุคสมัย คือถ้าเรากล้าพูดว่า ยุคนี้คือยุคที่ดีกว่า เป็นยุคแห่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มนุษย์ต้องดีขึ้นสิ กล้าพูดไหมว่าทุกวันนี้มนุษย์ดีขึ้น มนุษย์ไม่ได้ดีขึ้นเลย อาชญากรรม ยาเสพติด ฆ่าตัวตาย ข่มขืน ฆ่า คอร์รัปชัน ยึดดินแดน ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ มันน้อยลงไหมกับยุคที่พวกเราพยายามที่จะบอกว่ามันยุคเสรี

 เสรีมันดีจริงเปล่า เราต้องมาถามมันดีจริงหรือเปล่า หรือว่ามันแค่อยากจะเชื่อ เพราะว่าเรื่องเดิมมันสบาย มันดีจริงเหรอวะ ในขณะที่ ขอโทษนะ ถ้าเสรีภาพสุดโต่งมันดีจริง ๆ เทคโนโลยีในทุกมิติมันก้าวล้ำจริง ๆ ไม่ปฏิเสธ แต่ถ้าเทคโนโลยีทุกอย่างออกมาเพื่อแก้ปัญหา มันเรียกว่ามันคือเรื่องที่พัฒนาจริงเหรอวะ นึกออกไหม ถ้าสมมติ ยิ่งยุคเทคโนโลยีแล้ว แต่ออกมาเพื่อแก้ทุกอย่างที่ เราเสรี มันไม่ใช่อะ มันไม่ใช่การพัฒนานะเว้ย

ผมจะให้มองอย่างนี้ ศาสนาน่ะสัจธรรม และศาสนาอิสลาม ผมเปรียบได้ดั่งกับสี่แยกไฟแดง ศาสนาคือเสาสัญญาณไฟ มีไฟเขียว ไฟแดง ไฟเหลือง บอกชัดเจนว่าอันนี้อนุญาต อันนี้ให้ระวัง อันนี้ห้ามเด็ดขาด ห้ามทำ เหมือนสี่แยกไฟแดงเลย เมื่อเราไปอยู่สี่แยกไฟแดง ไฟแดงปุ๊บ เราต้องหยุด เราหยุดเพราะถูกห้าม เรื่องนี้ทำไม่ได้ ถ้าทำไปเนี่ยเราฝ่าไฟแดง โอกาสฉิบหายกับเรานี่สูง เราไม่ชนคนอื่น คนอื่นชนเรา เราไม่เจ็บ คนอื่นก็เจ็บ เราไม่ตายเขาก็ตาย เราเสียทรัพย์ ต้องไปซ่อม ต้องอะไรก็ตามแต่ หยุดตั้งแต่แรก แล้วปัญหาจะไม่เกิดขึ้น

ยุคสมัยนี้ผมเปรียบเทียบนะว่า ไอ้ไฟแดงนี้คือสิ่งที่ล้าหลัง ยุคสมัยนี้คือยุคที่เมื่อเราเจอไฟแดง เราจะบอกว่าทำไมห้ามอะ นี่มันยุคไหนแล้ว เราไปข้างหน้าได้ เราต้องหยุดทำไมอะ เออ มันชีวิตเรา เราก็ค่อย ๆ ขับสิ หรือว่าอะไรก็ตามแต่ หรือผมเปรียบเทียบนะ โห ยุคสมัยไหนแล้ว เทคโนโลยีเนี่ย การแพทย์เนี่ยนะ เขาคิดค้นมาแล้วว่าเวลาชนเนี่ยมันสามารถเปลี่ยนกะโหลกได้ ผมเปรียบเทียบนะ โอ๊ย มันเจริญขนาดนั้นแล้ว คุณไม่ต้องกลัวแล้ว คือเทคโนโลยีมันพัฒนา หรือมาแค่แก้ปัญหาที่เราก่อเฉย ๆ กันแน่

ที่บอกว่ามันล้าหลัง ศาสนาคือสัจธรรมจากผู้สร้างที่บอกว่าอะไรควรทำ อย่าทำ และฉันทดสอบเจ้าอยู่ ถ้าไม่ทำตั้งแต่แรก ปัญหาไม่เกิด เชื่อฉันแล้วความจำเริญจะมาสู่ตัวเจ้า มันคือไฟแดง ไฟเหลือง ไฟเขียว เราทำตามนั้น ศาสนาอิสลามไม่มีวัวหายแล้วล้อมคอก เทคโนโลยีที่ออกมามันคือวัวหายแล้วล้อมคอกหมดเลย ทั้งหลายทั้งปวง มันคือนี่ไงสัจธรรมจริง ๆ เราไปให้ถึงตรงนั้น ว่าเราแม่งเกิดมาทำไมวะ อะไรคือสิ่งที่มันดีกับเราจริง ๆ กับแค่ความอยากจะเชื่อ

อีกสักดอกหนึ่ง อิสลามเนี่ย ถูกพูดว่าล้าหลังกดขี่ผู้หญิง อาทิเช่น ผู้หญิงออกจากบ้านแต่งตัวเป็นตัวเองไม่ได้ ต้องคลุมฮิญาบ นี่คือความล้าหลังคือการกดขี่ ในมุมมองของมุสลิมนะ ถ้าคุณมีลูก คุณรักลูกตัวเองไหม คุณให้เกียรติลูกตัวเองไหม คุณต้องให้เกียรติลูกตัวเอง คุณอยากได้ผู้ชายที่รักลูกของคุณ และให้เกียรติลูกคุณไหม ต้องอยากได้ แล้วคุณให้เกียรติลูกตัวเอง รักลูกตัวเอง ด้วยการบอกลูกตัวเองออกจากบ้านคลุมฮิญาบ ไม่ให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้ง ไม่ให้เห็นว่าเป็นใคร การไม่เห็นส่วนเว้าส่วนโค้ง มันก็ตัดวงจรของผู้ชายไปได้ระดับหนึ่ง นี่คือเกียรติที่ฉันให้ลูกฉัน ลูกฉันออกจากบ้านด้วยการถูก protect จากสายตาของผู้ชายที่เราก็ไม่รู้ว่ามันจะอะไรบ้าง

แต่ในขณะเดียวกัน เราสนับสนุนให้แต่งตัวโป๊อะไรก็ได้ ยุคสมัยนี้เหลือแค่ปิดจุกแล้ว ออกไปข้างนอก แล้วนั่นคือความเจริญ เราบอกว่านั่นคือความเจริญ แล้วสิ่งที่มันเกิดขึ้น หายนะหรือความเสียหาย มันก็จะทยอยเกิดขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่ห้ามพวกเราไว้ให้ไม่ทำ ตอนนี้มันแค่เรื่องกฎหมายอย่างเดียว แล้วตะแกรงร่อนทางกฎหมายนับวันมันถ่างออกเรื่อย ๆ ไอ้จากที่ผิดกลายเป็นถูกเรื่อย ๆ แล้วมันจะถูกกว่านี้ ตะแกรงร่อนของมันที่จะกรองเนี่ย มันจะขยายเรื่อย ๆ ในขณะที่อิสลามอยู่กับผู้สร้างเชื่อฟังและทำตาม และไม่วัวหายแล้วล้อมคอก protect ทุกอย่าง ละหมาดทุกครั้ง เข้าเฝ้าเหมือนสวดมนต์ตั้งสติวันละ 5 เวลา 

เพราะฉะนั้น บางทีเราหนุนเรื่องเสรีภาพจนสุดโต่ง เราไม่รู้ด้วยซ้ำมันดีจริงหรือเปล่า แค่มันแค่ตามใจกิเลสเรา อีกฝั่งหนึ่งเขาแค่ เขาก็พยายามสร้างทฤษฎี สร้างแนวคิดเพื่อที่จะยิ่งให้มนุษย์เป็นปัจเจก ให้มนุษย์เราสำคัญที่สุด ฝั่งหนึ่งจะเป็นแบบนั้น มนุษย์จะสำคัญที่สุด เราเป็นตัวเองเลย explode ตัวเองออกไปเต็มที่ เป็นตัวเอง หนังเรื่องหนึ่งพูดดีมาก เป็นหนังไทยผมชอบมาก ผมจำเรื่องไม่ได้แล้ว เขาพูดเรื่องการเป็นตัวเอง เขาขมวดดีมากผมชอบมากเลย เขาพูดว่าบางทีการเป็นตัวของตัวเอง เป็นข้ออ้างของการทำไม่มีมารยาทกับคนอื่น ข้ออ้างในการไปทำเรื่องอะไรก็ไม่รู้กับสังคม แล้วเราก็มี message เก๋ ๆ ที่ค้ำชู แล้วเราก็ยึดไว้ เพราะมันสะดวก ก็คือยุคเสรี เราจะทำอะไรก็ได้ เราแต่งตัวอะไรก็ได้ คนอื่นมันก็ต้องจัดการตัวเองสิ เราเป็นแบบนี้ 

หนังเรื่องนี้ขมวดว่า คุณอะ เป็นคนอื่น เป็นใครก็ได้ในโลกนี้ดีกว่าไหม ไม่ต้องเป็นตัวเองหรอกถ้ามันดีขึ้นน่ะ สมมติว่าแดกเหล้าแล้วเป็นชีวิตแบบกูเป็นตัวเอง กูเนี่ยแต่งตัวซม ๆ มาแล้ว เป็นตัวเอง อะไรแบบนั้น เราต้องยอมรับเรื่องพวกนี้แล้ว การเดินทางทำให้ผมเจอสัจธรรมว่าตัวเองคืออะไร ความจริงคืออะไร

 

The People : แล้วนิยามความสุขที่เรานิยามตอนนี้ เหมือนกับความสุขในอดีตไหม?

พอเราเปลี่ยนแล้ว พอมาเรื่องศาสนาเนี่ยแน่นอน คอนเซ็ปต์มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง อะไรที่เราถือครองอยู่ เป็นหางเสือของเราในการใช้ชีวิตมันใช้ไม่ได้เลย ผมก็จำเป็นต้องค่อย ๆ เปลี่ยน เพราะผมเห็นแล้วว่านี่คือสัจธรรม พอมีความเป็นอิสลาม เรามีความเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าเรามีผู้ที่สร้างทุกสิ่ง เพราะฉะนั้น ความสุข ความคิด ความเศร้า ความโศกอะไรก็ตาม ผมคิดว่ามันเปลี่ยนใหม่หมดเลย มันไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป ความสุขไม่มีอยู่จริง ความสุขเป็นเพียงแค่ความรู้สึกดี ที่พัดมาหาเราเป็นแวบ ๆ สักครู่หนึ่งแค่นั้นเอง

มุสลิมอย่างผมหรือทั่วไป อาจจะไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อหาความสุขแล้ว เพราะว่ามันคนละอย่างกัน เราอยู่ในห้องสอบ เพราะฉะนั้น ในห้องสอบไม่จำเป็นต้องสนุก ไม่จำเป็นต้องมีความสุข เพราะว่าพระเจ้าบอกจริง ๆ ว่านี่คือห้องสอบ เราลองไปจินตนาการดูก็ได้ ตอนที่เราผ่านชีวิตมานะ เราสอบ ไม่ว่าจะสอบอะไรก็ตามแต่ มันสนุกไหมตอนสอบ ไม่มีใครสนุก สอบต้องตั้งใจทำ ถ้าพูดให้เห็นภาพมันจะมีคนสอบ และที่รู้สึกว่าแข็งขันเคร่งเครียด แต่ก็จะมีกลุ่มคนหนึ่งที่ไม่ทำข้อสอบ แล้วก็เฮฮาอยู่ข้างหลังห้อง แล้วก็พอปีใหม่ก็จะเฮฮากัน แล้วก็รู้สึกว่า countdown กับเวลาห้องสอบที่กำลังจะหมดไปเรื่อย ๆ

ในห้องสอบเราต้องการแก่นอะไรจากคนที่สอบอยู่ ต้องการให้เขาผ่าน หรือต้องการให้เขาเข้าใจ ต้องการให้เขาเข้าใจ ต้องการให้เขาฝ่าอะไรให้ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อเรารู้แล้วว่านี่คือห้องสอบ เราจะยอมรับทุกปัญหาชีวิตเลยว่า มันคือบททดสอบ มันคือข้อสอบ มันจะไม่ง่าย ไม่จำเป็นต้องง่าย 

 

อานพ เฉลียวฉลาด : ทลายสิ่งเก่าเพื่อการเกิดใหม่ บทเรียนจากการเดินทาง และคำสอนอิสลาม

 

The People : พอแนวคิดเปลี่ยนไป ทำให้การใช้ชีวิตเปลี่ยนไปไหม

เปลี่ยนไปหมด แล้วก็ง่ายขึ้น มันง่ายขึ้น เราจะรู้เลยว่าอ๋อ ชีวิตมันแค่นี้เอง เราถูกมาทดสอบ เราเจออะไร เราบอกอัลลอฮ์ เราขออัลลอฮ์ เราทำให้ดี ละหมาด 5 เวลา อะไรที่อัลลอฮ์ห้าม สั่งห้าม สั่งใช้ สั่งให้ทำ เราก็ทำ มีโรดแมปที่ง่ายมาก อยู่ที่ว่าเราสู้กับตัวเองได้เปล่า อยู่ที่ว่าเราจะเปลี่ยนแปลงได้เปล่า อัลลอฮ์จะโยน สมมติเราแพ้เรื่องผู้หญิง เจอผู้หญิงเนี่ย โห ความใคร่มันมาเนอะ อัลลอฮ์รู้ อัลลอฮ์โยนให้เลย บางทีเดินมาคนหนึ่ง 2 คน เดินมาแล้วรู้สึกยังไง แพ้มันไหม สมมติสู้ไม่ได้ โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว ไปซื้อกินดีกว่าเว้ย อันนั้นคือเราก็ต้องสอบใหม่ ทุกอย่างอัลลอฮ์ก็จะโยนลงมา ด้วยอะไรต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับเรา เราก็ต้องสอบ แล้วก็หวังว่าเราจะเสียชีวิตอย่างผู้ชนะ 

 

The People : คิดว่าความเปลี่ยนแปลงสำคัญต่อมนุษย์คนหนึ่งมากน้อยแค่ไหน?

ผมว่าน่าจะเป็นชัยชนะที่สุดอย่างหนึ่งที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้เลย ถ้าถามว่าความสำเร็จในชีวิตคืออะไร สำหรับผมตอนนี้ ใครก็ตามที่กล้าเปลี่ยนแปลงตัวเอง แม่งโคตรเก่งเลย เก่งที่สุดด้วย สมมติว่า วันหนึ่งใครสักคนต้องงไปเจอกับพระธรรมหรือความจริงอะไรบางอย่าง มันต้านแน่นอน 

ผมเองพูดตรง ๆ หลายเรื่องผมก็ยังทำไม่ได้ ผมยังอ่อนแอกับหลายเรื่อง เรื่องผู้หญิง เรื่องเงิน เรื่องอีโก้ของตัวเอง ยิ่งทำงานสื่อ ทำโซเชียล มันยิ่งมีตัวตนอยู่ในนั้น ยอดวิว ยอดไลก์ ยอดอะไรแบบนี้ เราก็ต้องพยายามจัดการมันให้ได้ อย่างเช่น เราอยากรวย เราสร้างทุกอย่างให้ชีวิตเราร่ำรวยได้ แต่ถ้าเรารู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งจำเป็น แล้วเราต้องเปลี่ยนจริง ๆ เราต้องไปคุยกับลูก คุยกับครอบครัว คุยกับทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยน มันยากมาก

มันไม่ง่ายนะเว้ย มันยากมาก ผมถึงบอกว่ามนุษย์คือทาสแห่งความเคยชิน และเป็นศัตรูกับการเปลี่ยนแปลง อะไรที่เปลี่ยนเราเยอะ ๆ เราจะต้านทันที เพราะฉะนั้นมันต้องค่อย ๆ แทรกซึม อย่างผมเองอยากทำงานศาสนาในอนาคต ผมก็ต้องคิดว่าจะพูดยังไงให้เขาไม่รู้สึกว่าต้องเปลี่ยนชีวิตทั้งก้อนทันที ไม่ใช่พูดแบบมึงนรก มึงสวรรค์ มึงต้องเปลี่ยน มึงห้ามนู่นนี่นั่น

สุดท้ายหน้าที่ผมอาจจะไม่ได้เปลี่ยนใคร หรือให้ความรู้ใครจริง ๆ ด้วยซ้ำ เพราะความรู้เราให้กันไม่ได้ ถ้าเขาไม่ได้อยากรู้ เราทำได้แค่จุดประกายความอยากรู้ ทุกวันนี้ความรู้อยู่เต็มไปหมด แค่ไถ Facebook ก็เจอแล้ว แต่ถ้าไม่ได้อยากรู้ มันก็ไม่กด เพราะมันไม่เกี่ยวกับชีวิตเขา ต่อให้เอาอิสลามไปยัดใส่ ถ้าเขาไม่สงสัย ไม่เอ๊ะ มันก็ไปไม่ถึง สุดท้ายเขาก็เลือกดูในสิ่งที่เชื่อมโยงกับเขา สิ่งที่เขาชอบ สิ่งที่มัน relate กับชีวิตเขาอยู่ดี

 

The People : อยากให้คนบนโลกนี้จดจำเราอย่างไรหลังเราจากไปแล้ว?

คำถามมันค้านกับผมมากเลย เพราะผมตอนนี้พยายามที่จะเรียนรู้เหลือเกินเพื่อจะปลดความมีตัวเองทิ้ง แต่มันก็ยังทำยาก ยังทำไม่ได้ มันยังมีตัวเองอยู่ในนี้ ยังอยู่ในห้องสอบอยู่ แต่ว่าการไม่มีตัวเองมันดีฉิบหายเลย ไม่ต้องให้ใครมาจำเราก็ได้ ง่าย ๆ สบาย ๆ อย่าสำคัญตัวเองขนาดนั้น ผมคิดว่าการมีชีวิตแบบ low profile มันเซฟมากเลยนะ มันปลอดภัยมากเลย ความต้องการมันน้อย ถ้าตอบคำถามคม ๆ ผมก็คงคิดว่า ไม่ต้องจำผมก็ได้ ผมก็เป็นแค่คนหนึ่ง เพราะไม่งั้นถ้าผมอยากให้คุณจำผมแบบไหน นั่นหมายความว่าผมต้องการมีตัวเองอย่างสูงมากเลย นั่นแหละการมีตัวเอง เราเห็นได้ชัดแล้วว่าในโซเชียล ใน Facebook ต่าง ๆ มันนำมาซึ่งอะไรก็ไม่รู้

บางคนมีฝันที่มันสูงมากเลย ยุคสมัยนี้การไม่มีฝันมันดู loser นะ ทำอะไรต้องมี passion เราถูกสอนว่ามึงต้องมีฝัน มีตัวเองอยู่ในนั้น แล้วต้องออกไปทำ คนไม่มีฝันอย่างผมเนี่ย ทำไมเขามี passion กันหมดเลยวะ กูแม่งแย่ว่ะ กูแม่ง… คนนั้นก็ไปทำเรื่องนี้ คนนี้ก็ไปทำเรื่องนั้น ในขณะเดียวกัน ผมผ่านมาแล้ว ผมเป็นคนมีฝัน ผมออกเดินทาง ผมรู้สึกว่าฝันมันไม่ต่างกับกิเลสเลย มันเป็นต้นทุนอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่า ทำไมกูเหนื่อยกับแม่งจังเลยวะ เหนื่อยว่ะ เออ ทำไมกูต้องไปเดินทางรอบโลกเพื่อให้รู้สึกว่ากูต้อง prove ตัวเองบางอย่างกับใครก็ตาม กูแม่งเจ๋งเว้ย กูแม่งออกเดินทาง กูนี่อยู่ในทุกที่ กูแม่งสำเร็จนะ เนี่ย มันมีตัวเองหมดเลย

ถ้าเกิดว่ามัน low profile มันไม่ต้องเป็นใครเลย บางทีไม่ต้องมีฝันเลย บางทีออกเดินทางไปอยู่ปากีสถานอย่างนี้ ที่เจอผู้คน บางคนเขาไม่มีฝันเลย เป็นลูกน้องเขาด้วยซ้ำ เลิกงานมา กินข้าว ดูทีวีกับครอบครัวแล้วยิ้มได้ แต่ขณะเดียวกัน อีกคนหนึ่งต้องหาแบบสองแสนต่อเดือนกว่าจะรู้สึกแบบนั้น เราให้ค่ากับสิ่งนี้ แต่มาลองทวนดูดี ๆ ทำไมมันง่ายจัง แล้วพอผมปลดออก ช่างแม่ง กูไม่ต้องไปก็ได้ตรงนู้นน่ะ เชี่ย… เบา ชีวิตแม่งเบาเลยอะ 

กลายเป็นว่า เดี๋ยวก่อนนะ ไอ้ปัญหาที่กูดิ้นพล่านมา ไอ้ห่ามึงนี่เองเหรอ มึงนั่นเอง ความคาดหวังของมึงเองนี่หว่า ไม่ใช่ใคร คือมึงเอง

เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่มีอะไร แล้วผู้คนเขาไม่ได้สนใจเราขนาดนั้น เราชอบคิดไปเองว่าคนจะสนใจเรา เหมือนตอนเด็ก ๆ ที่ต้องไปพรีเซนต์หน้าห้อง เราประหม่า เรากลัว เรากลัวว่าเราจะพูดอะไรไม่ดี เก้อ ๆ เขิน ๆ เป๋อ ๆ แล้วเพื่อนแม่งจะล้อเราจนตาย เราก็จะรู้สึกว่า เฮ้ย ไม่กล้าว่ะ ลองมองย้อนกลับไปดิ ใครก็ตามที่ไปทำเป๋อ ๆ หน้าห้อง มึงจำเขาไหม ไม่ได้จำเลย มึงอะสำคัญตัวเอง สำคัญตัวเองมาตลอดว่าคนเขาต้องคิดกับมึง โฟกัสกับมึง แต่จริง ๆ เขามีเรื่องที่ต้องโฟกัสในตัวเขาทุกคน เขาไม่สนใจมึงด้วยซ้ำ อาจจะล้อมึงครึ่งวัน จบแล้ว เขาไม่มานั่งดูมึงหรอก

เพราะฉะนั้น คนในโซเชียล บางทีเราบอกว่าเราเล่นโซเชียลเป็นพื้นที่ส่วนตัว แต่ลองกดเข้าไปในความรู้สึกจริง ๆ ดิ บางทีการเล่นโซเชียลมันมาจากการเป็นทาสความรู้สึกคนอื่น เราอยากคอนโทรลความคิดคนอื่นให้มองเราในสิ่งที่เรากำหนดไว้ เป็นทาสความคิด เราต้องอยู่ตรงนั้น อยู่ตรงนี้ แต่งตัวแบบนั้นแบบนี้ อยู่ทะเลนะ อันนี้มาสตาร์บัคอีกแล้วนะ อะไรแบบนั้น ตลก มันเป็นเรื่องเปลือก ๆ ที่เราก็ขวนขวายกันมาก

เพราะฉะนั้น ผมตอบคำถามยาว ๆ ในคำถามสั้น ๆ ว่า ไม่ต้องมีตัวเองก็ได้ ผมเชื่อว่ามันเป็นทางที่ลัดที่สุดในการไปสู่ความสงบ ความสุขไม่มี ความสงบแม่งที่สุดแล้ว ความสงบราคาแพงกว่าความสุข สุดท้ายแล้วเราหาเงินให้ตายยังไง ต้องการเงินแค่ไหน ปลายยอดของมันคืออยากรู้สึกว่าตัวเองสงบเว้ย แค่อยากรู้สึกว่า กูมีเงินขนาดนี้ โอเค พอแล้ว ปลายทางที่สุดคือความสงบ เรารู้สึกไม่ต้องแคร์ ไม่ต้องเครียด ปล่อยวางอะไรได้ มันคือความสงบ ความสงบราคาแพงที่สุด เพราะฉะนั้น เราไปได้เลย วันนี้เราไปได้เลย

ผมออกไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ อนุบาล 3 ปี ประถม 6 ปี มัธยม 6 ปี ต่อมหาลัย 4 ปี เกือบ 20 ปีที่เราลงทุนไปกับการเรียนรู้ สุดท้ายเราก็ทำงาน พอทำงานมาก็มาซื้อข้าวกิน ถ้าย้อนเวลากลับไป ที่บ้านผมมันมีคลอง มีน้ำอยู่ ผมแค่เดินตามพ่อไป บอกว่าจับปลาช่อนยังไง แม่งจบแล้ว สิ่งที่ผมทำ สิ่งที่เราทำ มันอ้อมฉิบหายเลย เพื่อที่จะได้มีข้าวกิน แม่เอาปลาย่างมา แล้วมันย่างยังไง มันจบแล้วนะ แล้วความสงบมันเกิดขึ้นได้เลย จริง ๆ ทุกวันนี้เราสงบยากเพราะมีเปลือก เราต้องมีเปลือกดีด้วย เปลือกคือปัจจัย 5 ปัจจัย 6 ไปแล้ว เป็นสิ่งจำเป็นไปแล้ว เราต้องมีการพิสูจน์ตัวเองให้คนอื่นเห็นด้วย แล้วเราก็เครียดกับเรื่องนี้กันทั้งโลก

 

อานพ เฉลียวฉลาด : ทลายสิ่งเก่าเพื่อการเกิดใหม่ บทเรียนจากการเดินทาง และคำสอนอิสลาม