‘เชฟอาร์’ ธีรภัทร ตียาสุนทรานนท์ จากนักศึกษาวิทยาลัยดุสิตธานีสู่เชฟอินเตอร์ที่ค้นพบว่า ความสุขอยู่ในครัว

‘เชฟอาร์’ ธีรภัทร ตียาสุนทรานนท์ จากนักศึกษาวิทยาลัยดุสิตธานีสู่เชฟอินเตอร์ที่ค้นพบว่า ความสุขอยู่ในครัว

‘เชฟอาร์’ ธีรภัทร ตียาสุนทรานนท์ เจ้าของแชมป์ The Next Iron Chef Season 2 และศิษย์เก่าวิทยาลัยดุสิตธานี ผู้เชื่อว่า การทำอาหารคือความสุข และสนุกที่ได้เป็นเชฟ

KEY

POINTS

  • ‘เชฟอาร์’ ธีรภัทร ตียาสุนทรานนท์ เริ่มต้นทำอาหารตั้งแต่มัธยม เพราะต้องดูแลอาม่า
  • เขาเริ่มเรียนที่วิทยาลัยดุสิตธานี ฝึกฝนการเป็นเชฟ ก่อนจะไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานที่สหรัฐอเมริกา
  • สูตรลับของชีวิตของเชฟอาร์ คือ การไม่หยุดพัฒนา มีวินัย และตั้งเป้าหมาย

สำหรับการเป็นเชฟ ‘วินัย’ เป็นเรื่องสำคัญ เพราะทุกรายละเอียดสำคัญ ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจส่งผลต่อ ‘คนกิน’

โดยเฉพาะกับ  ‘เชฟอาร์’ ธีรภัทร ตียาสุนทรานนท์ เจ้าของรางวัลชนะเลิศ ‘The Next Iron Chef Season 2’ และศิษย์เก่าของวิทยาลัยดุสิตธานี นักทำอาหารที่เชื่อว่า วินัยเป็นพื้นฐานที่ทำให้คนคนหนึ่งประสบความสำเร็จและพุ่งชนทุกเป้าหมายที่วางไว้ได้

เขาผัดกับข้าวเป็นตั้งแต่เด็ก และเป็นชายผู้ไม่เคยหยุดท้าท้ายตัวเอง เขารักการแข่งขัน เพราะทุกการแข่งขันถือเป็นการเติมไฟให้เขากลับมาพัฒนาตัวเองให้เก่งกว่าเดิม

จริงอยู่ที่เส้นทางการเป็นเชฟของเขาเจอบททดสอบมากมาย แต่วันนี้การทำอาหาร คือ ความสุข และการเป็นเชฟ ทำให้เขามีความสุขที่จะตื่นมาทำงานทุกวัน

บทสัมภาษณ์นี้ เราชวนเชฟอาร์มาคุยถึงวันแรกของการเป็นเชฟจนมาถึงวันนี้ที่เขากลายเป็นเชฟที่หลายคนรู้จัก และยอมรับในความสามารถในการทำอาหารของเขา

‘เชฟอาร์’ ธีรภัทร ตียาสุนทรานนท์ จากนักศึกษาวิทยาลัยดุสิตธานีสู่เชฟอินเตอร์ที่ค้นพบว่า ความสุขอยู่ในครัว  

The People : เชฟเริ่มทำอาหารตั้งแต่อายุเท่าไหร่

ผมเป็นเด็กชอบกิน สนุกสนานเวลาอยู่กับของกิน ก็เลยสนุกกับการทํากับข้าว ลองหั่นนู่นนี่ ทุบนั่น ทุบนี่ กินได้บ้าง ไม่ได้บ้าง การทำกับข้าวเลยเป็นสิ่งที่เราชอบทำ เพราะสนุกดี

แล้วอีกอย่าง ตอนม.2 ผมต้องทำอาหารให้อาม่ากิน เขาป่วยและกินยาก เขาจะกินอาหารที่ผมทำเท่านั้น เพราะผมเป็นหลานคนสุดท้ายที่เขาเลี้ยง ก็เลยต้องมานั่งคิดเมนู คือเรียนทำอาหารเลย นั่งดูรายการทำอาหาร คิดเมนู เปลี่ยนเมนูให้อาม่าทุกวัน เช่น ผัดไทย ต้มจืด อาหารพื้นเมือง แล้วแต่ว่าเราจะทําอะไร 

แต่ที่แน่ ๆ คือ ไม่ว่าเราคิดอะไรออกมา ทําอะไรออกไป อาม่าจะกินหมด ก็เลยเป็นเหตุผลที่ผมต้องทําอาหารทุกวัน ด้วยเมนูสุดสร้างสรรค์ที่ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร แต่อาม่ากิน

The People : ครอบครัวสร้างรากฐานการทำอาหารให้เชฟอย่างไรบ้าง

ผมทําอาหารตั้งแต่เด็กจนโต  ฝึกกระบวนการคิด วิธีดมกลิ่น การใช้ไฟ นี่ไม่ใช่ความรู้ที่หาอ่านได้จากหนังสือ แต่เป็นทักษะที่เกิดจากการฝึกฝนเป็นเวลานาน แล้วบังเอิญเราทำตั้งแต่เล็ก แล้วน่าจะส่งผลมาถึงปัจจุบัน

The People : แต่จริง ๆ ความฝันวัยเด็กของเชฟคืออะไร

เด็กผู้ชายหลายคนก็อยากเป็นทหาร ตำรวจ หรือนักบิน อยากใส่เครื่องแบบ ผมก็เลือกเรียนสายวิทย์ ไปติวสอบเข้าเตรียมทหารตลอด 3 ปี เพราะเขารับตั้งแต่อายุ 16-18 ปี จนปีสุดท้าย ผมสอบข้อเขียนผ่าน ติดทหารเรือ แต่พอสอบภาคปฏิบัติ ผมเป็นตะคริว ทำให้สอบไม่ผ่าน แล้วก็ไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรดี 

สมัยนั้นน่าจะปี 2548 ยุคที่วิศวะตกงาน หมอก็ไม่อยากเป็น ก็เลยบอกคุณพ่อคุณแม่ว่า ไปเรียนทํากับข้าวแล้วกัน  อย่างน้อยก็มีวิชาชีพ เรียนจบไปก็มีงานทําแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ สิ่งที่คิด ก็คือ เรียนจบ เราก็จะต้องไปใส่ชุดขาวกับหมวกสูง ๆ ในโรงแรม

The People : แล้วคุณเข้ามาเรียนเชฟได้อย่างไร

ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีโรงเรียนสอนทำอาหารในประเทศไทย ตอนสอบเตรียมทหารไม่ติด เพื่อน ๆ กําลังเริ่มเอ็นทรานซ์ เข้าหมอ เข้าวิศวะฯ กัน ผมเคว้งอยู่ประมาณ 2 เดือน เพราไม่รู้จะสอบเข้าอะไร แล้วก็ไม่รู้จะทำอะไร แล้วตอนม.6 มีเจ้าหน้าที่ของวิทยาลัยมาแนะแนวในวิชาแนะแนวเพื่อศึกษาต่อบอกว่า พี่เขามาจากวิทยาลัยดุสิตธานี เป็นโรงเรียนการโรงแรม มีครัว และก็การท่องเที่ยว ก็เลยไปเรียนทำอาหาร แล้วก็บอกพ่อแม่ตามที่เขาแนะแนวเลย 

‘เชฟอาร์’ ธีรภัทร ตียาสุนทรานนท์ จากนักศึกษาวิทยาลัยดุสิตธานีสู่เชฟอินเตอร์ที่ค้นพบว่า ความสุขอยู่ในครัว

The People : พอมาเรียนวิทยาลัยดุสิตธานีจริง ๆ เป็นอย่างไร

ตอนที่เข้าไปเรียน ก็รู้สึกว่า ทําไมห้องครัวมันใหญ่จัง ทําไมอุปกรณ์ครัวไม่เหมือนที่บ้านเรา ทําไมทุกอย่างมันดูดี ดูทันสมัย ดูแข็งแรง ดูทําให้เราทํากับข้าวอร่อย ดูมีมาตรฐาน เป็นครัวอีกโลกหนึ่งที่เราไม่เคยเห็น 

แล้วสิ่งที่เราเจอในโรงเรียน มันกลายเป็นของจริงที่ครัวในโรงแรมใช้กัน ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่ในต่างประเทศด้วย ตั้งแต่หม้อใบเล็ก กระทะใบเล็ก ไปจนถึงเตาอบตัวใหญ่ มันกลายเป็นอุปกรณ์ซีรีส์ชนิดเดียวกัน 

ข้อดี คือ เราสามารถเปิดใช้ กดโปรแกรม ทําอะไรได้เลย นี่เป็นจุดเด่นของทางวิทยาลัยเลยที่ทําให้นักศึกษาหรือบุคลากรที่จบออกมาสามารถเข้าไปทํางานได้เลย โดยที่ไม่ต้องผ่านการสอนหรือแนะนําอะไรมากมาย 

The People : เหมือนตอนเรียน เชฟเคยไปแข่งบาร์เทนเดอร์ด้วย

ผมสนใจเรื่องการทำเครื่องดื่ม ผมทำบาร์เทนเดอร์ ตั้งแต่ปี 1 จนปี 4 เทอม 1 เราคลุกคลีอยู่กับมัน ทั้งเรียน ทั้งแข่ง ทั้งซ้อม  ตอนไปแข่ง เราเป็นนักศึกษาคนเดียวที่ไปแข่งในรุ่นมืออาชีพ มันให้ความรู้สึกว่า เราอยากไปยืนอยู่บนนั้น เราอยากจะเก่งเหมือนพี่คนนั้น เราอยากจะทําได้เหมือนพี่คนนี้ มันเกิดพลัง มันปลุกไฟ ที่มีอยู่แล้วให้เรากลับมาพัฒนา ศึกษา ซ้อมให้หนักขึ้น แล้วก็จบด้วยอันดับ 3 ของเอเชีย 

‘เชฟอาร์’ ธีรภัทร ตียาสุนทรานนท์ จากนักศึกษาวิทยาลัยดุสิตธานีสู่เชฟอินเตอร์ที่ค้นพบว่า ความสุขอยู่ในครัว

The People : สิ่งที่เชฟเรียนรู้จากการลงแข่งบ่อย ๆ คืออะไร 

ผมเป็นเด็กชอบ challenge อยู่แล้ว เป็นเด็กที่เรียนไม่ดี แต่ทักษะดี ชอบแข่งอะไรไปเรื่อย แข่งเขียนเรียงความ คัดลายมือ แข่งดนตรีไทย เล่นละครเวที เป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลทีมชาติไทย เป็นคนที่ต้องแข่งอะไรก็ไม่รู้ มีอะไรให้แข่งคืออาจจะต้องแข่งตลอดเวลา เพราะฉะนั้นก็จะทนต่อแรงกดดันในทุกสภาพที่จะต้องแข่งขันได้ดี 

แต่ถ้าขึ้นชื่อว่าการแข่ง สิ่งที่เหมือนกัน ตั้งแต่อนุบาลจนถึงมหา’ลัยปี 4 คือ การฝึกซ้อม ซ้อมคัดลายมือ ซ้อมดนตรี ซ้อมทำอาหาร หรือซ้อมทำสูตรบาร์เท็นเดอร์ มันต้องอาศัยการฝึกฝน การลองผิดลองถูกจนเป็นแนวทางของเรา

ถามว่า ทําไมต้องซ้อมในขณะที่คนอื่นเขาไม่ซ้อม ผมเป็นคนที่มีวินัยสูงมาก เป็นวินัยที่คนธรรมดาเข้าไม่ถึงอย่างตอนเรียน เริ่มเรียน 9.00 น. เลิกคลาส 17.00 น. หลังจากนั้น ผมก็จะเข้าชมรม ซ้อมตั้งแต่ 17.30 - 22.00 น.ทุกวัน ผมว่ามันต้องใช้ความอดทน ต้องขยัน ต้องมีวินัย แต่ต้องเริ่มจากวินัยก่อน  ถ้าไม่มีวินัยคุณจะบังคับตัวเองไม่ได้

The People : แล้วถ้าเป็นการเรียนที่วิทยาลัยดุสิตธานีล่ะ ที่นี่มอบอะไรให้กับเชฟอาร์บ้าง

วิทยาลัยให้ วินัย วิธีคิด ให้ทัศนคติ ไม่ต้องพูดถึงในส่วนของพื้นฐานการทำอาหาร (Basic Cooking) ที่แน่นมาก เหมือนเป็นเสาเข็ม พอฐานมันแน่น เราจะต่อชั้นไปตึกสูงเท่าไหร่ก็ได้ แล้วมันคือความภูมิใจที่ได้เรียนที่นี่

โตมาขนาดนี้ ทำงานทุกวัน คือ เหนื่อยมาก แต่รู้สึกว่า 4 ปีในรั้ววิทยาลัยเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดในชีวิต ที่นี่เป็นเหมือนกระถาง เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ เป็นห้องทดลองเพาะเมล็ดพันธุ์ชั้นดีของสังคม 

ไม่รู้คนอื่นเป็นอย่างไร แต่ผมจะให้สัมภาษณ์กับทุกสื่อว่า ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทําให้ผมมีวันนี้เลย ที่ผมเป็นทุกวันนี้ก็มาจากดุสิตธานี

‘เชฟอาร์’ ธีรภัทร ตียาสุนทรานนท์ จากนักศึกษาวิทยาลัยดุสิตธานีสู่เชฟอินเตอร์ที่ค้นพบว่า ความสุขอยู่ในครัว

The People : แต่ถ้าเลือกได้หนึ่งสิ่งที่ดุสิตธานีมอบให้และส่งผลต่อการทำงานของเชฟอาร์จนถึงทุกวันนี้คืออะไร

มันเริ่มต้นแบบนี้ ที่นี่นัดเข้าครัว 7.00 น. ทุกคนต้องมาถึง 6.30 น. เพื่อตรวจอุปกรณ์ว่า ครบตามที่อาจารย์ให้เอาไปหรือเปล่า ตรวจเล็บ เล็บห้ามดํา เล็บห้ามยาว ห้ามมีสี ตรวจผม ตรวจเครื่องเเต่งกาย ถ้ามาสายเกิน 15 นาที คุณก็ไม่มีสิทธิ์เข้าเรียน ตอนนั้นไม่เข้าใจหรอก แต่สุดท้าย มันคือวินัยที่ทําให้เรารู้ว่า เราจะต้องเข้างานก่อนเวลาในชีวิตจริง

รวมไปถึงตอนที่เราเรียนทําอาหาร เขาจะบอกเราเสมอว่า เราเป็นเหมือนหมอที่สามารถทําให้คนหายได้และฆ่าคนได้ ถ้าหมอจ่ายยาผิดคนก็ตาย ถ้าเราทําอาหารผิด อย่างเช่น ของไม่ดี ของไม่สด ของไม่สุก คนกินก็ตายได้ หรือแม้แต่คนแพ้อาหาร มันคือคนไข้แพ้ยา ถ้าหมอไม่ใส่ใจคนไข้ก็ตาย ถ้าคนทำอาหาร เราไม่ใส่ใจ ลูกค้าก็ตาย ก็เป็นการปลูกฝังจรรยาบรรณวิชาชีพมาตั้งแต่เรียน

The People : เมื่อถึงเวลาต้องทำงานจริง ๆ เป็นอย่างไร 

จริง ๆ ไม่ต้องปรับตัว เราเรียนอย่างไร ทำอาหารส่งอาจารย์เพื่อเอาคะแนนอย่างไร เราก็ทำแบบนั้น ข้อดีคือ เราจะเป็นคนที่มีผลงานโดดเด่น ได้รับการยอมรับจากหัวหน้างานไว พอเขาเห็นว่าเราทําได้นะ เราจะมีโอกาสโยกย้ายไปอยู่แผนกนั้นแผนกนี้ ครัวนั้นครัวนี้ หรือ เข้างานกะต่าง ๆ

ผมเข้างานทุกกะ ตั้งแต่เข้า breakfast เช้าคือ เข้างานมาตั้งแต่ 6.00 น. 8.00 น. 10.00 น. แล้วเข้ากะกลางคืน เริ่มตั้งแต่ 20.00 น. 21.00 น. 02.00 น. สามารถเข้างานได้ทุกกะ ทําให้รู้ทั้ง process ของแต่ละช่วงกะเวลาว่าเขาทําอย่างไร  

ตอนเช้าจะ prep (เตรียม) breakfast ตอนเที่ยง prep lunch ตอนบ่ายจะ prep วัตถุดิบที่ต้องใช้ในเช้าอีกวัน แล้วค่อยกลับบ้าน ถ้าเราเข้างานบ่ายเราก็ต้องมา prep ของ dining ถ้าเข้า 6.00 น. เลิก 3.00 น. ก็จะอยู่ room service 24 ชั่วโมง รวมถึงเราก็มีโอกาสได้อยู่ banquet (งานเลี้ยง) ด้วย 

พอเห็นทั้ง process ก็เลือกได้เลยว่า สุดท้ายแล้วคุณจะไปจบที่ตรงไหน อยากไปเป็น Executive Chef ใหญ่ในโรงแรม เป็นเชฟใหญ่ในห้องอาหาร หรือจะไปคุมเชฟใหญ่ อยู่ใน banquet อยากได้แบบไหนก็เลือกเลย แต่ผมได้คําตอบเลยว่า ผมจะไม่ทํางานโรงแรม เพราะใช้เวลานานกว่าจะเจริญก้าวหน้า แล้วก็ไม่มีเวลาส่วนตัว

‘เชฟอาร์’ ธีรภัทร ตียาสุนทรานนท์ จากนักศึกษาวิทยาลัยดุสิตธานีสู่เชฟอินเตอร์ที่ค้นพบว่า ความสุขอยู่ในครัว

The People : หลังจากได้คำตอบ แล้วเป้าหมายต่อไปคืออะไร

จะไปอยู่ร้านอาหาร เริ่มจากเปิดร้านอาหารเองชื่อ ‘Absolute Steak by Chef R’ เอาเงินก้อนตอนไปทำงานที่สหรัฐอเมริกามาลงทุน ทำสเต็ก ซุป ซอส 

แต่ตอนอยู่โรงแรมมีคน 20 คน เราแค่เอาตัวเราเข้าไปอยู่ในทุกอย่างที่มีซัพพอร์ตอยู่ มีของให้ใช้ มีคนเตรียมงานให้ พอเรากลับมาเริ่มต้นธุรกิจเอง เรามีคนเดียว ต้องซื้อของเอง ออกแบบครัวเอง ออกแบบร้านเอง ผมร้องไห้ทุกวันอยู่ 2 เดือนก่อนเปิดร้าน มันเครียด ของยังเตรียมไม่เสร็จ แล้วพรุ่งนี้จะขายยังไง อายุน้อยด้วย 

ชีวิตผมเป็นแบบนี้ทุกวัน ไม่มีวันหยุด นอน 1.00 น. ตื่น 5.00 น. พอ 8.00 น. ไปตลาดซื้อของเพื่อกลับมาเตรียมของแล้วเปิดร้านตอน 10.00 น. ปิดร้านช่วง 22.00 น. เที่ยงคืนปิดงบ ช่วงปิดเทอม พ่อแม่กับพี่สาวไปเที่ยวต่างจังหวัด ผมก็ไม่ได้ไป เพราะต้องอยู่ร้าน

พอได้ทุนคืนก็บอกพ่อกับแม่ว่า ไม่เปิดแล้ว ร้านอาหาร ผมรู้แล้วว่าร้านอาหารมันเปิดยังไง เดี๋ยวผมจะกลับมาเปิดมันอีก เปิดเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วก็เอาตัวเองมาอยู่ในร้านอาหาร

The People : ตอนนั้นไปอยู่ร้านอะไร

มาอยู่ที่ The Water Library ที่กรุงเทพ ครับ ทําเป็นเชฟแล้วก็เรียนปริญญาโทด้วย เรียนไปได้สักปีหนึ่ง cross work มันเริ่มเข้มข้น จากเรียนแค่วันเสาร์กลายเป็นต้องเรียนทั้งวันเสาร์อาทิตย์ ไม่มีเวลาให้ร้าน ก็ขอลาออกจากร้านมาเรียนเต็มตัว ทีนี้ก็ว่าง 5 วัน ไม่รู้จะทําอะไร เลยบอกวิทยาลัยว่าผมขอสอนเป็นคุณครูแล้วกัน 

‘เชฟอาร์’ ธีรภัทร ตียาสุนทรานนท์ จากนักศึกษาวิทยาลัยดุสิตธานีสู่เชฟอินเตอร์ที่ค้นพบว่า ความสุขอยู่ในครัว

The People : ความท้าทายหรือความยากของการเป็นอาจารย์คืออะไร

หนึ่งเลย เราอายุน้อย ผมมาเป็นคุณครูตอนอายุ 26 ปี เราจะต้องมีวุฒิภาวะ สร้างคาแรกเตอร์ สร้างภาพลักษณ์ให้เรากลายเป็นคุณครู

อย่างที่ 2 วิธีการถ่ายทอด เราจะถ่ายทอดอย่างไรให้นักเรียนที่เขาต้องคิดว่าเขาแบบเริ่มจากสูตรแล้วก็ไม่เคยมีประสบการณ์ ไม่เคยมีความรู้ ไม่เคยจับมีดเลย ทําอย่างไรให้เขามาเรียนแล้วก็เข้าใจและปฏิบัติได้

The People : สำหรับรายการ The Next Iron Chef เชฟเข้ามาเป็นส่วนร่วมของรายการนี้ได้อย่างไร

เป็นคุณครูมาได้สักพัก ก็เริ่มไปแข่งทำอาหาร ในฐานะตัวแทนของวิทยาลัย แข่งอยู่ 3-4 ปี จนเวทีพัทยาประมาณปี 2012 ก็เป็นเชฟทีมชาติ แต่ยังสอนไปด้วย ทำแบบนั้นมาตลอด 8 ปี จนรายการ 'เชฟสุดขั้วครัว 2 โลก' ของช่อง 3 ติดต่อมา ก็เลยไปแข่งแล้วได้แชมป์ ตอนต้นปี 2019  

พอปลายปี Iron Chef ก็ติดต่อมาเป็น The Next Iron Chef ซีซั่น 2 ก็บอกเชฟมาลองคัดดูไหมครับ เพราะว่าเรากําลังเฟ้นหา The Next Iron Chef ซีซัน 2 เนี่ย ก็เลยไปแข่งก็เลยอย่างที่เห็น อันนั้นเป็นจุดเปลี่ยนเปลี่ยนชีวิตเลย

สำหรับผม การแข่งในรายการไม่ได้มีผลกับผมเลย เพียงแต่เราตกผลึกได้เองว่าเชฟที่จะอยู่ในหน้าจอ ไม่ได้หมายถึงว่าคุณจะต้องเป็นคนที่เก่งที่สุด แต่เขากำลังมองหาเชฟที่มีความสามารถและมีคาแรคเตอร์ ต้องมีหลายอย่างประกอบกัน ถึงจะสามารถ success อยู่ในหน้าสื่อได้

‘เชฟอาร์’ ธีรภัทร ตียาสุนทรานนท์ จากนักศึกษาวิทยาลัยดุสิตธานีสู่เชฟอินเตอร์ที่ค้นพบว่า ความสุขอยู่ในครัว

The People : แล้วตอนนี้เชฟทำอะไรอยู่บ้าง

ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาแบรนด์อาหารระดับโลก อย่าง minor gorup แล้วก็ที่ปรึกษาให้โรงแรมหลายแห่ง ทั้งกรุงเทพและพัทยา เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับ แบรนด์ Bangkok Ham หรือ หมูตัวเดียว และเป็นที่ปรึกษาเต็มตัวให้กับทาง Bangkok Ham มี cooking class เล็กๆ ในซีคอนสแคว์ชื่อว่า R kitchen Studio สำหรับ สอน Home cook ที่อยากทำอาหาร มีข้าวมันไก่ ชื่อว่า R มันส์ไก่ และ R ปังแมน ที่เป็นชิโอะปัง สำหรับส่งเฉพาะ delivery ที่กำลังจะเปิดตัวเร็วๆ นี้

The People : ในฐานะเชฟ คุณมองว่าวงการไทยจะก้าวสู่เวทีโลกได้อย่างไร

ผมก็แก่แล้วนะ จะอายุ 40 ปีแล้ว ผมว่าเด็ก ๆ เยาวชนรุ่นหลังหรือเชฟที่กําลังจะตามขึ้นมาที่กําลังจะทําอาหารไทย อยากให้เข้าใจในส่วนของความเป็นรากเหง้า ความเป็นไทยแท้ ความดั้งเดิม เอกลักษณ์ อัตลักษณ์  ในส่วนของสมุนไพร เครื่องปรุง รสชาติ  ผมเรียกว่า DNA คุณต้องรักษาไว้ ถ้าเปลี่ยน DNA ไป มันจะเริ่มผิดเพี้ยนไปเรื่อย ๆ 

ทุกคนรู้ว่าอาหารไทยรสชาติเป็นอย่างไร แต่ว่าฝรั่งเขารับรู้ว่า อาหารไทย spicy มีสมุนไพร รสจัด และอาหารไทยเป็นยา นี่คือจุดแข็งที่เราไม่ต้องนำเสนอใหม่ เพียงแค่นำเสนอให้มีความเป็นสากล ให้ฝรั่งหรือคนต่างชาติเข้าใจว่า หน้าตาก็เหมือนอาหารที่ฉันเข้าใจ แต่สอดแทรกความเป็นไทย ไม่ว่าจะเป็นลวดลาย การแกะสลัก ภาชนะ สีสัน รสชาติ วิธีการนําเสนอ

ถ้าเอาอาหารมาเรียง 10 จาน แล้วมีใบมะม่วงแกะสลักหนึ่งใบ เขาจะบอกว่าอันนี้มาจากประเทศไทย คือ ต่างชาติเขารับรู้เอกลักษณ์ของไทย เปลี่ยนแปลงได้ แต่จะต้องสอดแทรกสิ่งที่เยาวชนหรือคนรุ่นหลังจากนี้อยากนำเสนอ

‘เชฟอาร์’ ธีรภัทร ตียาสุนทรานนท์ จากนักศึกษาวิทยาลัยดุสิตธานีสู่เชฟอินเตอร์ที่ค้นพบว่า ความสุขอยู่ในครัว

The People : คุณวางเส้นทางของการเป็นเชฟต่อไปไว้อย่างไร 

โปรเจคต่อไปของผม คือ ผมจะไปเรียนปริญญาเอกสาขาวิทยาศาสตร์การอาหาร เพราะสุดท้ายผมได้คําตอบว่ายังไม่มีนักวิทยาศาสตร์อาหารคนไหนที่เป็นเชฟ แล้วก็ยังไม่มีเชฟมืออาชีพคนไหนที่เป็นนักวิทยาศาสตร์การอาหาร

ขณะที่เทรนด์ต่อไปของธุรกิจ ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตอะไรก็ตาม คนก็ต้องกิน สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ อาหาร ร้านอาหารก็ปิด เชฟก็ตกงาน แต่สิ่งที่จะรันโลกต่อไป คือ โรงงานผลิตอาหารครับ เพราะฉะนั้นเราจะทําโรงงานผลิตอาหารได้ เราจะต้องมีความรู้เรื่องของวิทยาศาสตร์การอาหาร 

แล้วถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากจะทำเรื่องวิทยาศาสตร์การอาหารควบคู่ไปกับทางวิทยาลัยให้เด็ก ๆ ของวิทยาลัยสามารถเป็นนักวิทยาศาสตร์และเชฟได้ในคนเดียวกัน มันจะทําให้พวกเขามีความมั่นคงในอาชีพการงานอย่างถาวรตลอดไป เพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่าเราสามารถรวมทั้งสองอย่างไว้หนึ่งคนได้ วิทยาลัยเราจะแข็งแรง

The People : เคยท้อกับการเป็นเชฟบ้างไหม

ไม่เคยท้อเลย แต่ท้อช่วงที่ทํางานปัจจุบันนี้แหละครับ พอเราเริ่มเป็นที่ปรึกษาให้หลายที่ ก็ต้องมีปัญหาที่เราแก้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นองค์กรที่เขาคาดหวังตัวเรา พอเราแก้ไม่ได้ เราก็กดดัน แก้แล้วแก้อีก แก้มานานแก้จนแก้ไม่ได้ถามว่าท้อไหมก็ท้อ

เราจัดการกับมันอย่างไร พอเราจมปลัก เรามุ่งไปหาสิ่งนั้นมาก ๆ ลงลึกไปเรื่อย ๆ จากที่เราเคยมองภาพกว้าง ๆ มันก็จะเริ่มแคบลง เหลือแค่เส้นทางเดียว เลยดูเหมือนไม่มีทางออก  เพราะฉะนั้นเวลาเราแก้ปัญหาไม่ได้ เวลาท้อ ผมจะถอยหลังกลับมาก้าวหนึ่ง มันจะทําให้ผมเห็นภาพกว้างว่าสุดท้ายเราจะไปทางไหนดี แล้วก็ไปหาวิธีแก้แบบอื่น 

มันก็ท้อตรงที่เราแก้ไม่ได้นะ เพียงแต่ผมไม่ยอมไง ถ้าไม่ได้มันก็ต้องได้ จะใช้เวลาเท่าไหร่ก็ต้องได้ 

‘เชฟอาร์’ ธีรภัทร ตียาสุนทรานนท์ จากนักศึกษาวิทยาลัยดุสิตธานีสู่เชฟอินเตอร์ที่ค้นพบว่า ความสุขอยู่ในครัว

The People : เหตุผลที่ทำให้เชฟยังเป็นเชฟมาถึงวันนี้คืออะไร 

ผมน่าจะเป็นเชฟคนหนึ่งที่ทําหลายอย่าง เป็นคนแก้ปัญหาให้กับหลาย ๆ องค์กร ทำ พาร์ท Reseach Development ด้วย เพราะฉะนั้นความสนุกก็คือผมทํา 5 องค์กร จะมีปัญหา 5 อย่าง แล้ววิธีการแก้ปัญหา วิธีการทํางานก็จะต่างกัน 

เพราะฉะนั้นผมมีความสนุกตลอดเวลา วันนี้จะแก้ปัญหานี้ให้แบรนด์ไหน ทําโปรดักส์อะไรบ้างให้กับใคร เป็นแบบนี้ตลอดประมาณ 3 ปี ผนวกกับเรามีชื่อเสียงในหน้าสื่อ การออกอีเวนต์ในแต่ละแบรนด์ แต่ละงาน แต่ละสถานที่ จะเจอผู้คนหรือเจอแฟนคลับก็เป็นอีกสื่อสารหนึ่งที่ทําให้เราสนุกเหมือนกัน 

ถามว่าทําไมยังทําอาชีพตรงนี้อยู่ได้ ก็เพราะว่าผมเป็นเชฟนี่แหละ เพราะคําว่าเชฟทําให้ผมสนุกกับทุกเช้าที่ตื่นมา

‘เชฟอาร์’ ธีรภัทร ตียาสุนทรานนท์ จากนักศึกษาวิทยาลัยดุสิตธานีสู่เชฟอินเตอร์ที่ค้นพบว่า ความสุขอยู่ในครัว

The People : ถ้านิยามได้ 1 คำ วันนี้การทำอาหารสำหรับเชฟคืออะไร 

การทําอาหารของผมคือความสุขที่ออกจากตัวเราที่ส่งต่อให้เขา แล้วมารอลุ้นว่า ตอนที่เขาตักอาหารเข้าปาก เขาคนนั้นจะมีความสุขเหมือนกับที่เราต้องการหรือเปล่า  ถ้าเขายิ้ม รู้สึกถูกปาก ถูกใจ กลับบ้านไปพร้อมความสุข อันนี้คือความสุขของเราที่ได้รับกลับมาจากคนกิน

The People : ถ้านิยามเป็นก็คือคำว่าความสุขได้เลยไหม

คือความสุขของผมครับ จริง ๆ เลย

The People : คุณเพิ่งได้รับรางวัล ‘ศิษย์เก่าดีเด่น’ จากวิทยาลัยดุสิตธานี คุณรู้สึกอย่างไร

เพิ่งทราบว่านี่เป็นครั้งแรกที่วิทยาลัยมอบรางวัล ‘ศิษย์เก่าดีเด่น’ และผมได้รับเป็นคนแรกก็ยิ่งภูมิใจเข้าไปอีก สิ่งที่เราจะทํา คือทําให้มันดีขึ้นกว่าเดิม สร้างประโยชน์ให้สังคม สถาบันการศึกษาและวงการอาหารเห็นมากกว่าเดิม