31 ต.ค. 2568 | 13:05 น.

KEY
POINTS
การอยู่ในวงการเพลงให้นานและอยู่รอดไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะยุคสมัยเปลี่ยน แนวเพลงที่ถูกใจคนฟังก็เปลี่ยนตาม
ศิลปินหลายคนหมดไฟและล้มหายตายจากกันไประหว่างทาง แต่ ‘แทน ลิปตา’ กลับบอกว่า การเขียนเพลงยังเป็นสิ่งที่เขาสนุกและเติมไฟการทำงานให้เขามาตลอด 20 ปี
เขาคือคนที่อยู่เบื้องหลังเพลงฮิตมากมาย ยกตัวอย่างเช่น ‘ไปอยู่ที่ไหนมา’ ของลิปตา, ดาวหางฮัลเลย์ของ Fellow Fellow, Mr. Everything ของบิวกิ้น , ‘ลบไม่ได้ช่วยให้ลืม’ ‘ฝากใจ’ ของอิ้งค์ วรันธร และมีเพลงอีกจำนวนหนึ่งที่เรายังไม่ได้กล่าวถึง
มากกว่านั้น เขายังเป็นมือคีย์บอร์ดของ ‘ลิปตา’ โปรดิวเซอร์ และเจ้าของค่ายเพลง และที่สำคัญ คือ เขาคือนักแต่งเพลง
แล้วตลอดเวลาบนเส้นทางดนตรี การเป็นนักแต่งเพลงก็ยังคงเป็นโมเมนต์และตัวตนที่ลึกสุดของ ‘แทน ลิปตา’
 
        
แทนรู้จักดนตรีจากการเรียนเปียโนและเติบโตมากับเพลงของ ‘เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย’
ขณะที่เพื่อนรุ่นเดียวกันฟังเพลงแจ๊สหรือสนุกกับเพลงฮิปฮอป แต่เสียงเพลงที่จุดประกายความสนใจในเรื่องดนตรีและอยากเป็นนักแต่งเพลงด้วยผลงานปลายปากกาของ ‘บอย โกสิยพงษ์’ จากอัลบั้ม ‘Rhythm & Boyd’ ที่คุณแม่ชอบเปิดให้ฟัง
“ผมดูอัลบั้มแล้วคิดในใจ อย่างแรก ใครคือบอย โกสิยพงษ์ อย่างที่สอง คนนี้ไม่ได้ร้องเพลง แต่ทำไมมีอัลบั้มของตัวเอง เพราะส่วนใหญ่จะเป็นอัลบั้มของนักร้อง ก็เลยเริ่มฟัง Bakery Music จนพบว่า เขาคือนักเขียนเพลง”
แทนเริ่มจากแปลงเพลง ขยับมาเขียนเพลง ก่อนจะไปเรียนรู้ศาสตร์ด้านดนตรีอย่างจริงจังที่ SAE (School of Audio Engineering) ฝึกฝนตัวเองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะได้เดบิวต์เป็นศิลปินพร้อมกับ ‘คัตโตะ’ ในฐานะมือคีย์บอร์ดของวง ‘ลิปตา’ ศิลปินเบอร์แรก ๆ ของ Loveis Entertainment ที่มีบอย โกสิยพงษ์นั่งแท่นผู้บริหาร
 
        
“ผมเข้าออฟฟิศ Loveis ไป เห็นพี่บอยนั่งคุยกับพี่ป๊อดอยู่ มีพี่นพเดินมา มันเหมือนภาพฝัน นี่คือศิลปินที่เราชอบแต่ละคน เรามาอยู่ใต้ชายคาใกล้ ๆ รู้สึกว่าสนุก แล้วก็เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา หลาย ๆ เพลงของลิปตาที่ ยังคงถูกเปิดซ้ำในเพลย์ลิสต์ของใครหลายคน ในวันที่อยากยิ้ม หรือแม้แต่วันที่หัวใจอ่อนล้า คือ ผลงานที่แทนเขียนขึ้นด้วยความตั้งใจ และกำหนดให้ทุกเพลงมีหน้าที่ของตัวเอง
 
        
เพลงที่แทนแต่งขึ้น หลาย ๆ เพลงมันกินใจและรู้สึกเหมือนว่าเพลงกำลังพูดสิ่งที่เราคิดอยู่ แต่ไม่กล้าพูดออกมาตรง ๆ
เพราะเทคนิคการแต่งเพลงของชายคนนี้ สั้นและเรียบง่าย คือ การทำให้ง่าย ตรงประเด็น และกำหนดหน้าที่ของเพลงให้ชัดเจน
“หน้าที่มันคือต้องมีอะไรสักอย่าง เช่น เราทำเพลงสนุก คนฟังเพลงนี้ก็ต้องอยากเต้น อยากลุกขึ้นมาตะโกนโวยวาย อยากเต้นในติ๊กต็อก เราทำเพลงเศร้า คนก็ต้องอินกับเพลง ฟังแล้วจะร้องไห้ อยากจะอยู่ในร้านเหล้า เมาคิดถึงแฟนเก่า ‘เพลงมันต้องมีหน้าที่บางอย่างของมัน’ เพราะถ้าไม่มีหน้าที่มันก็จะเป็นเพลงที่ลอยเกินไปสำหรับผม”
แทนยกตัวอย่าง 3 เพลงที่ทำหน้าที่แตกต่างกัน แต่กลับเป็นเพลงที่ทำงานกับใจคนฟังได้ดี เริ่มจาก ‘อยู่ได้แล้ว’ ที่ทำหน้าที่ของการอยู่แบบไม่ลืม รวมถึง ‘ต่อจากนี้เพลงรักทุกเพลงจะเป็นของเธอเท่านั้น’ ที่ทำหน้าที่เทิดทูนความรัก และ ‘ทักครับ’ ที่ทำหน้าที่มอบความสนุก
หรือแม้แต่เพลงที่เขาแต่งให้กับอิ้งค์ วรันธรจนติดหูกันทั้งประเทศอย่าง ‘ลบไม่ได้ช่วยให้ลืม’ ก็เป็นการทำหน้าที่พูดถึงความรักที่ไม่มูฟออนด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายและไม่ต้องตีความอะไรมากมาย
“ตอนนั้นเขียนลบไม่ได้ช่วยให้ลืมกับข้าว (ข้าว Fellow Fellow) ก็รู้สึกว่าต้องตรง ๆ ที่สุด เปิดเพลงมาก็ต้องให้ตรงประเด็นที่สุด คือ อยากจะรู้วิธีลืมใครสักคน ต้องทำอย่างไร ต้องขึ้นมาแล้วตีหัวตั้งแต่ประโยคแรก แล้วอธิบายว่า ฉันทิ้งทุกอย่าง ฉันลบทุกอย่างแล้ว แต่ทำไมไม่ลืมสักที
“ก็เพราะว่า มันไม่มีทางลืมใครสักคน ถ้าหากว่าเรานั้นยังรัก มันก็ไปสรุปเพลงสุดท้ายว่า การลบมันไม่ได้ช่วยให้ลืม มันเป็นความง่ายและตรงที่สุด”
ดังนั้น การแต่งเพลงจึงไม่ใช่เรื่องง่ายหรือยากเกินไป แต่แทนก็ย้ำว่า เพลงมันต้องมีหน้าที่ เพราะสุดท้ายเพลงที่ดีก็คือเพลงที่ดี
 
        
เมื่อเพลงดีแล้ว คนฟัง คอนเสิร์ต และการได้ยอมรับหลังจากนั้นจะตามมาเอง
“เพลงที่ดียังไงก็คือเพลงที่ดี และเพลงที่ดีคือเพลงที่มีหน้าที่ชัดเจน นี่ยังเป็นสิ่งที่ผมสอนน้อง ๆ เสมอว่า ให้ใช้เวลากับการเขียนเพลงให้เยอะที่สุด เพราะถ้าเพลงเขียนได้ดีแล้ว อย่างอื่นมันจะตามมาเอง
“บางทีคนอาจจะไปคิดถึงภาพ ฉันเล่นอิมแพ็ค อารีน่า มีคนดูกรี๊ดให้ฉัน แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญสุดคือ ไอ้ตรงนี้กว่าจะไปถึงตรงนั้นได้ ที่อยู่ในห้องนอนแล้วเขียนเพลง ตรงนี้แหละ ถ้าเราใช้เวลากับมันจริง ๆ ภาพตรงนั้นมันก็ไม่ไกลมาก”
สำหรับแทน ไม่ว่าจะเป็นนักแต่งเพลงหรือศิลปิน สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความสม่ำเสมอในการทำงาน เพราะมันจะทำให้คุณยังคงมีผลงานใหม่ ๆ ได้ต่อเนื่อง
“ในช่วงเวลาที่เราทำเพลงได้ เราควรจะทำเพลงเยอะ ๆ เพราะมันจะมีวันหนึ่งที่เราหมดก๊อก วันหนึ่งที่เราขี้เกียจ วันหนึ่งที่เราแก่ ไม่อยากทำเพลงแล้ว”
“ความสม่ำเสมอ การทำงานหนักในช่วงเวลาหนึ่ง มันสำคัญมาก เพราะวันนั้นอาจจะเป็นช่วงเวลา Golden Hour ของคุณ แล้วในวันหนึ่ง ช่วงเวลาและโอกาสนั้นอาจจะเลยหายไปแล้ว”
แต่แทนบอกว่า เขายังไม่มีวันที่ตัวเองรู้สึกหมดก๊อก เพราะตอนนี้เขาเป็นทั้งนักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ ศิลปิน และประธานค่าย ‘KICKS Record’ เขาเลยต้องมีแรงเพื่อพาทุกคนที่เชื่อในตัวเขาเดินและเติบโต
วันนี้ นอกจากความสุขจากการเป็นศิลปินและเล่นเปียโนอัดเดโม่เพลง แทนยังมีความสุขกับการเห็นศิลปินที่เขาปลุกปั้นค่อย ๆ ฉายแสงของตัวเองออกมา
“ชีวิตผม เหมือนทำวงมา แล้วผมก็ชอบอาชีพโปรดิวเซอร์มาก โปรดิวเซอร์คือคนเบื้องหลังที่ทำเพลงเพื่อคนเบื้องหน้าและเห็นการเจริญเติบโตของเขา ผมก็เลยรู้สึกว่า ทุกวันนี้ ความสุขของผมคือเห็นน้อง ๆ ในค่ายมีงาน เรียนจบมาแล้ว make a living ได้ ดูแลที่บ้านได้ และมีความสุขในการทำเพลง”
 
        
“ตรรกะของการมอง Artists ของผม ไม่มีอะไรมากเลย คือ ผมแค่ชอบเพลงเขา ผมเป็นแฟนเพลงของ Fellow Fellow ผมเป็นแฟนเพลงของอิ๊ง (วรันธร) แล้วพอเราเป็นแฟนเพลง เราก็รักศิลปิน แล้วก็คิดว่า ศิลปินคนนี้เราชอบ เขาน่าทำเพลงแบบนี้นะ เขาน่าทำรูปลักษณ์แบบนี้”
“สำหรับผมเลยรู้สึกว่ามันเป็นความสุขมาก ๆ ในวัยนี้ เพราะ ‘goal’ ของผม คือ ให้คำว่า KICK Records ใหญ่กว่าทุกอย่าง อันนี้คือความฝันผม”
โดยตั้งแต่วันแรก แทนยังเชื่อว่า การทำงานหนักและการใช้ความทุ่มเทไปกับการเขียนเพลง ความสำเร็จจะเดินมาถึงได้ในสักวันหนึ่ง…
“ศิลปินที่ไม่หยุดทำงาน ยังไงวันหนึ่งมันต้องมา ผมเลยรู้สึกว่า เทรนด์สำคัญ แต่การอยากเอาชนะและการทำงานหนักในทุกวันสำคัญกว่า”
จริงอยู่ที่ช่วงจังหวะเวลาความสำเร็จของแต่ละคนอาจมาไม่พร้อมกัน แต่ทุกคำบอกเล่าของแทน ในฐานะคนที่อยู่เบื้องหลังศิลปินบอกว่า ทุกความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นเพราะบังเอิญ แต่มาจากการลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ และยังคงรักในสิ่งที่ทำทุกวัน
ต้องบอกว่า หนึ่งในคนที่ปลุกพลังความเป็นศิลปิน คือ ‘คุณแม่’
คุณแม่คือคนที่แนะนำและเปิดเพลงให้แทนฟังตั้งแต่เด็ก
และเป็นคุณแม่ที่ยอมปล่อยให้ลูกเป็นนักดนตรีในวัย 19 ปี แม้วันนั้นจะไม่มีอะไรการันตีความสำเร็จของลูกชายก็ตาม
“ผมเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 19 คุณแม่ก็ให้ ทั้ง ๆ ที่คุณแม่เขาบังคับให้ไปเรียนต่อเลยก็ได้ แต่วันนั้น ผมรู้สึกว่าเป็นอะไรที่ใหม่มากในแง่ของคนยุคก่อน ที่จะให้ลูกมาทำงานตรงนี้เลย โดยที่ยังไม่รู้ว่าอนาคตมันจะเลี้ยงดูอาชีพได้ไหม หรือมันจะ success หรือเปล่า มันยิ่งทำให้เราต้องทำโอกาสตรงนี้ให้ดีที่สุด”
 
        
คุณแม่จึงเป็นครอบครัวของแทนเสมอและตลอดมา จนมาถึงวันนี้ วันที่เขากำลังจะมีครอบครัวเป็นของตัวเอง
วันที่ 22 มีนาคม 2568 เมื่อคอนเสิร์ต Lipta 20 ปี คอนใหญ่ไฟกะพริบ จบลง แทนตัดสินใจขอ ‘พราว อรณิชา’ คนรักของเขาแต่งงาน หลังคบหากันมานานกว่า 10 ปี จนกระทั่งรู้ว่า นี่คือความพอดีและเป็นความธรรมดาที่แสนพิเศษ
“ผมกับพราวเหมือนมันถึงจุดเวลาที่พอดีกันมาเจอกัน และมันก็ใช้เวลาในการ grow แล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรหวือหวา แต่เราพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดในแบบที่เราทำได้ ผมว่ามันเป็น ‘ธรรมดาที่พิเศษ’อาจจะไม่ได้พิเศษ เป็นความพอดีของผมกับเขาที่สุด”
ส่วนภาพครอบครัวในฝัน แทนไม่ได้มองไกล แต่มองถึงปัจจุบัน ทำทุกวันให้ดีที่สุด และสร้างสภาพแวดล้อมให้ลูกเติบโตมาเป็นในแบบที่เขาอยากเป็น
“ผมไม่อยากจะพยากรณ์อนาคตไว้ไกลมาก เพราะคิดว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ แต่รู้สึกว่า ทำวันนี้ให้ดีที่สุด”
ลิปตาปล่อยอัลบั้มแรกเมื่อปี 2548
ผ่านมา 20 ปี ชื่อของลิปตาก็ยังเป็นวงที่วัยรุ่นยุคนี้ยังคงคุ้นหู นี่คงเป็นผลลัพธ์ของการไม่หยุดที่จะเปลี่ยนตัวเองไปตามยุคสมัย
“เราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองตลอดเวลาให้ได้ ถ้าเราไม่เปลี่ยน เราก็ไม่สามารถอยู่ตรงนี้ได้ครับ แล้วการเปลี่ยนตัวเองตลอดเวลา มันทำให้เราฆ่าตัวเองได้ตลอดเวลา” แทนบอกเราไว้แบบนั้น
เพราะเขาเองก็อยากเป็นคนที่แก่อย่างมีคุณภาพ ยังสนุกกับการเพลง และไม่คิดเยอะเหมือนตอนที่เขายังเป็นวัยรุ่นและเริ่มเขียนเพลง ‘ฝืน’ เพลงแรก ๆ ที่ทำให้หลายคนรู้จักลิปตา
“ผมจะไม่ยอมแก่แบบไม่มีคุณภาพ ผมจะแก่แบบยังทำงานอยู่ อยากแก่แบบวัยรุ่น เพราะการเป็นวัยรุ่นบางทีมันไม่ต้องคิดอะไรเยอะ แล้วก็ทำออกมาได้ดี รู้สึกว่าเราอาจต้องลองคิดให้น้อยลงนิดนึง”
“ผมอิจฉาตัวเองตอนอายุ 18–19 มาก ตอนเขียน ‘ฝืน’ เพราะเรายังไม่เคยได้ทำ เราเลยไม่ต้องคิดเยอะ แต่วันนี้กว่า จะเขียนเพลงคิดแล้วคิดอีก ผมอิจฉาตัวเองตอนนั้นมาก เพราะมันคือความเป็นวัยรุ่นที่ไม่ได้คิดอะไรมาก ผมเลยพยายามบอกตัวเองเสมอว่า คิด แต่อย่าเยอะมาก”
แต่ถึงโลกจะหมุนไปนานเท่าไหร่ สำหรับแทน การแต่งเพลงก็ยังคงเป็นตัวตนของเขาเสมอมา
“แก่นของผมเสมอมาคือ ทำเพลงให้เพราะ เพลงเร็วก็ต้องเพราะ เพลงช้าก็ต้องเพราะ แก่นของผม always come back to songwriting
“ก่อนทำ MV ก่อนทำดนตรี ก่อน ‘ร้องให้ดี’ ก่อน ‘เล่นคอนเสิร์ต’ มาที่ ‘songwriting’ ก่อน สำคัญที่สุดสำหรับผม ตั้งแต่วันแรกจนวันนี้ก็เป็นอย่างนั้นอยู่ สิ่งที่สำคัญที่สุด ตัวตนลึกที่สุดคือ การเป็นนักเขียนเพลงเสมอมา”
 
        
ถึงจะสวมหมวกหน้าที่ต่าง ๆ มามากแค่ไหนก็ตาม แต่ภาพที่สวยงามที่สุดในชีวิตของ ‘แทน ลิปตา’ ก็ยังคงเป็นโมเมนต์ที่เขาเขียนเพลงมาตลอด
“เพราะว่ามันยังเป็นซีนที่สนุกที่สุดของผม เล่นคอนเสิร์ตก็สนุก ทำ Music Director ก็สนุก แต่การเขียนเพลง มันมีโมเมนต์มหัศจรรย์ที่พิเศษอยู่หลายครั้ง ช็อตที่เราคิดบางอย่างได้ มันก็ไม่สามารถย้อนกลับมาได้
“และยังอยากให้ความรู้สึกตัวเองเกิดขึ้นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่อยากให้เราจำความรู้สึกนี้ไม่ได้แล้ว”
ภาพ : ดำรงฤทธิ์ สถิตดำรงธรรม