02 ต.ค. 2568 | 15:04 น.
KEY
POINTS
“ขมับแม่ง!”
ประโยคจากจักษุแพทย์หน้านิ่งในภาพยนตร์เรื่อง ‘น้ำ ผีนองสนองขวัญ’ ที่ถูกหยิบเอามาให้เป็นมีมในหลาย ๆ สถานการณ์ ทั้งชีวิต สังคม หรือการเมือง
แม้วลีนี้จะแมสมาหลายปี แต่จริง ๆ แล้วคนที่คิดและรับบท ‘จักษุแพทย์’ ที่ต่อบทกับน้าค่อมในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือ ‘แฉะ’ องอาจ เจียมเจริญพรกุล หรือที่หลายคุ้นหน้าคุ้นตาจากการรับบท ‘จ่าปพันธ์’ ในจักรวาลภาพยนตร์ ‘ธี่หยด’
แฉะอยู่ในวงการบันเทิงสายครีเอทีฟและภาพยนตร์มานาน หลังเรียนจบสายจิตรกรรม เขาก็เป็นทั้งนักออกแบบท่าเต้น โปรดิวเซอร์รายการ อาร์ตไดเรกเตอร์ ผู้กำกับ รวมถึงการเป็นนักแสดง
เขาคือคนที่ชอบดูหนัง วิเคราะห์องค์ประกอบหนังเชิงลึก เพราะเชื่อว่า ทุกองค์ประกอบของหนังต่างมีความหมายที่ทีมงานตั้งใจซ่อนไว้
ถึงใครหลายคนจะบอกว่า แค่เห็นหน้าเขาก็การันตีความตลก แต่เขาบอกกับเราว่า เขาไม่ใช่คนตลก แต่คนเพียงหัวเราะกับสิ่งที่เขาคิดไว้แล้วเท่านั้น
นอกจากการเป็นนักแสดงแล้ว อีกบทบาทหนึ่งของ ‘แฉะ องอาจ’ คือ การเป็นคนทำหนังที่เรียกเสียงหัวเราะให้กับคนดู
หนึ่งในผลงานที่หลายคนรู้จักก็คือ ‘น้ำ ผีนองสยองขวัญ’ ภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาคือ ‘หมอตา’ ที่แพ้ในเสียงในหัวจนเผลอไปตบหัวคนไข้ที่ตาบอด ซึ่งรับบทโดยน้าค่อมในจินตนาการ
ถึงคนอื่นอาจจะบอกว่า ทุกอย่างเกิดจากความไม่ตั้งใจ แต่ในฐานะผู้กำกับและคนเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ แฉะบอกว่า ทุกมุกและทุกเสียงหัวเราะเป็นสิ่งที่เขาคิดมาก่อน
“มันคือความครีเอทีฟ มันคือวิธีเล่น คนชอบคิดว่าตลกพวกนี้คิดสด แต่น้าค่อมกับโก๊ะตี๋จะรู้ว่า น้ำ ผีนองสยองขวัญ มันเป็นบทที่ถูกเขียนมาหมด”
หรือหลายคนอาจบอกว่า เขาดูเป็นคนตลก เพราะไม่ว่าเล่นเรื่องไหนก็การันตีความฮา แต่แฉะบอกว่า เขาไม่ใช่คนตลก แต่เป็นคนขี้แกล้ง และรู้จังหวะการเล่น
“เวลาพี่ไปทำตลก ไม่ว่าจะเป็นแสบสนิทหรือเรื่องอื่น แสบสนิทก็ทำตามที่พี่ยอร์ช (ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร ผู้กำกับแสบสนิท) เขียน เขาเอาพี่ไป เพราะพี่เป็นคนแบบนี้ พี่ไม่ได้ตลก แต่มีลิงรอตบหัวพี่อยู่ พี่เป็นตัวขับจังหวะ ยิ่งดุ ตลกยิ่งทำงาน
“ส่วนใหญ่พี่จะเล่นเป็นตัวขับ สังเกตตลกคาเฟ่ มันจะตลกทั้งคู่ เรารู้ว่ามันตลก แต่มันเป็นตับของเขา แต่ในชีวิตจริง เราเจอนักเลงคนหนึ่งในบาร์
“ร้านมึงมีไรน่าแดกบ้าง?”
“พี่จะทานอะไรครับ?”
“พูดเพราะเหรอ ๆ … มึงตบกูทำไม?”
“ก็เมื่อกี้บอกให้พูดเพราะ…”
“ถ้าพูดเพราะมึงตบกู พูดไม่เพราะก็ตบอีก สมการตลกจึงเกิดตรงนั้น มุกมันเซอร์มาก พี่เป็นครีเอทีฟแบบนั้น แต่ถามว่าพี่ตลกไหม พี่เล่นจริงจัง แต่คนอื่นตลกบริบทหรือสถานการณ์ที่มันเกิดขึ้นมากกว่า”
สิ่งเหล่านี้คงเป็นเหตุผลที่ทำให้วลี ‘ขมับแม่ง’ วรรคทองที่เรียกเสียงฮาในโรงภาพยนตร์จากเรื่องน้ำ ผีนองสยองขวัญ กลายเป็นมีมที่ถูกพูดถึงมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าภาพยนตร์จะออกอากาศจนออกจากโรงไปนานถึง 15 ปีแล้วก็ตาม
“พี่ไม่คิดว่าจะขนาดนั้น พี่คิดว่าคนชอบน้าค่อมกับสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน อย่างเสียงในหัว หรือคนตาบอดที่กวนตีน การไม่ยอมรับตัวเองว่าตาบอด มันก็สมควรจะตบกบาล”
สำหรับแฉะ เขาเรียกกระบวนการทั้งหมดนี้ว่าเป็นการออกแบบ (Production Design) หมายรวมถึง การจัดวางองค์ประกอบทั้งเรื่องราว บท และจังหวะ มาประกอบกันจนเกิดเป็นเสียงหัวเราะที่ไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจ
หนังที่ดีคือหนังที่มีฉากที่เราจดจำได้
“หนังถูกจัดให้เป็นศาสตร์สูง เพราะรวมดนตรี เสียง ภาพ การแสดง บท ฉาก งานภาพ ให้ทุกอย่างทำงานร่วมกัน”
แฉะบอกว่า ยิ่งภาพยนตร์เรื่องไหนมีองค์ประกอบของหนังครบ ก็จะสามารถทำให้หนังเรื่องนั้นปักลงกลางใจ ไม่ใช่แค่เป็นการจดจำหรือรู้สึกประทับใจ
“ยิ่งมีการออกแบบซีนเยอะ คนยิ่งประทับใจ เป็น Money Shot บางคนกลับไปดูซ้ำเพราะซีนนี้ ไม่ได้แปลว่าต้องใช้เงินเยอะ ไม่ใช่อยู่ดี ๆ มันมีขึ้นมา แต่มันคิดมาก่อนแล้ว”
ซึ่งเรื่องราวที่อยู่เบื้องหลังอาจมาจากชีวิตจริงของผู้กำกับหรือการศึกษาค้นคว้าอย่างหนักเพื่อนำมาออกแบบองค์ประกอบหนังให้ดูสมจริงและทัชใจคนดู
“การออกแบบมันสำคัญ สิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยการทำงานหนัก อีกทั้งยังเป็นการบ่งบอกคาแรกเตอร์ของตัวละครและขีดความสามารถของผู้กำกับ
“การใช้ศาสตร์ของหนังครบก็มาจากการทำงานที่หนักหน่วง ใช้เงินเยอะ หรือใช้เงินน้อยแต่ทำงานหนักมาก เราไม่ต้องไปบอกว่าเรื่องนี้ดีหรือไม่ดี เราดูเสร็จ เรารู้เลยว่า อันนี้หนังดี”
เช่นเดียวกับ ‘ธี่หยด 3’ ที่แฉะบอกว่า ครั้งนี้มี Money Shot เป็นหมัดไฟ และการเดินทางที่อาคมไม่สามารถใช้ได้ในแดนที่มีไว้สู้กับผี
“ภาคนี้แอ็กชันเยอะ ผียังเป็นตัวขับ ผีโผล่มาเยอะ ต้องสู้กับผีทุกวิถีทาง อาวุธ อาคม หรือคาถาก็ใช้ไม่ได้ ยากขึ้น แต่สนุก ดีไซน์ซีนให้มีหมัดไฟ เป็น golden shot ให้คนจำ”
"พี่ก็รู้สึกว่าภาคสามก็สนุกเหมือนกัน หนังก็ยังคงมาตรฐานของธี่หยดอยู่"
อย่างที่รู้ แฉะทำงานในวงการมาหลายบทบาท ตั้งแต่นักออกแบบท่าเต้น โปรดิวเซอร์รายการโทรทัศน์ อาร์ตไดเรกเตอร์ นักแสดง และผู้กำกับ แต่สิ่งที่เขาอินมากที่สุด คือ ‘การทำหนัง’
แล้วก็ดูเหมือนว่า เขาจะเป็นคนพิถีพิถันกับทุกขั้นตอน ให้ทุกฉากและทุกคำพูดของตัวละครมีความหมาย
ถึงจะไม่มีใครเห็นหรือไม่รู้ว่า ‘แฉะ องอาจ’ คือ คนอยู่เบื้องหลัง แต่ตัวเขารู้ดีที่สุด ขอแค่เขามีความสุข คนดูมีความสุข เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
“มันสอนให้พี่รู้ว่า ตราบใดที่มึงซื่อสัตย์กับตัวเอง มึงจะรู้ มึงไม่ได้ต้องการถ้วยรางวัลอะไรหรอก แต่มึงจะรู้ว่า วันนี้มันยังอยู่ หนังมันเกือบ 20 ปีที่แล้ว มันยังเป็นมีมอยู่เลยเมื่อเช้า แสดงว่ามึงเคยทำอะไรที่เวิร์ก
“เวลาทำหนังตลกแล้วคนดูหัวเราะ ทั้ง ๆ ที่เราเป็นคนตัดต่อ เรารู้สึกโคตรดีเลย แล้วดีใจที่คนมีความสุขกับมีม กับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้จะเป็นแก๊กเล็ก ๆ เราก็ถือว่าอันนั้นเป็นพลพวง ถ้าคนไม่ชอบ มันคงไม่อยู่มาถึงวันนี้หรอก”
มันอาจเป็นเป้าหมายที่เราตั้งไว้ในอดีต แต่เมื่อวันหนึ่งที่เป้าหมายนั้นสำเร็จ คนอื่นอาจมองไม่เห็นหรือไม่เข้าใจ แล้วตัดสินเราไป แต่แฉะก็ยังบอกว่า มันมีแค่เราที่รู้ว่า เรามีคุณค่าและเก่งแค่ไหนที่ทำให้เป้าหมายที่ดูไกลตัวเป็นจริงได้
“เหมือนคิดว่า อีกสิบปีกูจะเปิดหน้าต่างแล้วเห็นพวงมะม่วง กูขอซีนนี้แหละ แต่ข้างบ้านบอกว่า บ้า ชอบยืนดูมะม่วง แต่เรารู้ว่าศักยภาพ คุณค่าของเราคืออะไร แล้วถ้าเราทำได้ เราจะฟินมาก
“ทุกวันนี้ เราดูสื่อออนไลน์บอกว่า มึงอ่ะห่วย! มึงอ่ะห่วย! ไม่ต้องมีใครตัดสินหรอก ตัวมึงเท่านั้นที่รู้ว่า มึงขี้เกียจหรือเปล่า ทำเต็มที่หรือยัง เก่งหรือเปล่า มึงห่วยจริงหรือเปล่า
"แต่พอมองพวงมะม่วงจะรู้เลยว่า เราโคตรเก่งเลย มึงทำพวงมะม่วงให้มาอยู่ตรงหน้าเหมือนที่คิดไว้ได้ มึงเก่ง มุ่งมั่นมาก ไม่ต้องให้ใครเข้าใจหรอก แล้วร่มเงาก็จะอยู่แบบนี้
“คนเดินผ่านมา บ้านนี้สวยจังเลย แค่เปิดหน้าต่างมา หยิบมะม่วงกินได้เลย โคตรเท่ อาจเป็นเรื่องเล็ก ๆ ของคนอื่น แต่มันยิ่งใหญ่สำหรับเรา”
ไม่ต้องให้ใครตัดสิน เหมือนที่แฉะบอก มันจะมีแค่เราที่รู้ และสิ่งที่เราตั้งใจทำจริง ๆ จะยังอยู่ต่อไป แม้คนจะไม่เห็นก็ตาม
ภาพ : จุลดิศ อ่อนละมุน