14 พ.ย. 2568 | 13:00 น.

KEY
POINTS
ไม่ใช่เรื่องแปลกในเมืองไทย หากนักวิทยาศาสตร์บางคนจะยกมือพนมไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนทำการทดลองทางเคมี หรือคนบ้าผู้ยิ้มให้กับโลกตลอด 24 ชั่วโมง จะนับถืออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยมากกว่าผู้ถือศีลบางคน
เช่นเดียวกับในอดีตที่ผ่านมา มีแพทย์ทหารผู้หนึ่งซึ่งมีความอาชีพและความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ในโลกวิทยาการสมัยใหม่ แต่อีกมุมของชีวิต ท่านกลับมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของสังคมในฐานะนักโหราศาสตร์/หมอดู ผู้มีชื่อเสียง โดยเฉพาะการเป็นหมอดูคู่ใจ ‘จอมพลผ้าขาวม้าแดง’ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 11
ของไทย
ท่านผู้นี้มีชื่อว่า ‘พันเอก (พิเศษ) ประจวบ วัชรปาณ’ หรือที่คนในวงการเมือง วงการทหาร และวงการโหราศาสตร์ไทยเรียกท่านว่า ‘หมอประจวบ’
พันเอก (พิเศษ) ประจวบ วัชรปาณ เกิดเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2455 ที่บ้านท่าแพ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นบุตรของอำมาตย์ตรี หลวงระงับประจันตคาม (โป๊ะ วัชรปาณ) กับคุณแม่เจิม วัชรปาณ
ในวัยเยาว์ ท่านเข้าเรียนเป็นนักเรียนประจำที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน และศึกษาต่อที่โรงเรียนมัธยมวัดเทพศิรินทร เมื่อสำเร็จชั้นมัธยมเข้าศึกษาต่อที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในคณะแพทย์ศาสตร์ และสำเร็จได้รับพระราชทานปริญญาแพทย์ศาสตร์บัณฑิตในปี พ.ศ. 2479
นอกจากเป็นคนเรียนเก่งแล้ว นักศึกษาแพทย์ ประจวบ วัชรปาณ ยังชอบเล่นกีฬาหลายประเภท โดยเฉพาะกีฬาประเภทต่อสู้และใช้พละกำลังอย่าง รักบี้ ยกน้ำหนัก พุ่งเหลน ขว้างจักร ขว้างจาน ทุ่มเหล็ก เพาะกาย ชายงาม ท่านเป็นลูกศิษย์วิชาเพาะกายและมวยปล้ำของ ‘อาจารย์เจือ จักษุรักษ์’ ผู้บุกเบิกฟิตเนสแห่งแรกของเมืองไทย รวมทั้งยังเป็นมือปืนนักล่ารางวัลในการแข่งขันยิงปืนยุคงานฉลองรัฐธรรมนูญ
หากเป็นยุคนี้ ป้าข้างบ้านผู้สอดส่องทุกความเคลื่อนไหวของเพื่อนบ้านราวกับกล้องวงจรปิด คงนิยามท่านว่า “เรียนดี กีฬาเด่น”
นอกจากเป็นนักศึกษาแพทย์ นักกีฬา นักล่ารางวัลแม่นปืน อีกหนึ่งศาสตร์วิชาที่ท่านศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจังก็คือ วิชาโหราศาสตร์
ฟังดูประวัติชีวิตในวัยเยาวรุ่นแล้ว ป้าข้างบ้านคงต้องวิเคราะห์ต่อมาว่า อาชีพการทำงานของท่านหากไม่เป็นแพทย์หนุ่ม ก็ต้องเป็นนักกีฬา หรือไม่ก็คงเป็นหมอดูผู้มีชื่อเสียง ทว่าที่กล่าวมาล้วนผิดทั้งหมด เพราะอาชีพที่แท้จริงของท่านหลังเรียนจบคือ ‘ทหาร’
หลังเรียนจบแพทย์ศาสตร์บัณฑิต ท่านเข้ารับราชการทหารสังกัดกองเสนารักษ์ มณฑลทหารบกที่ 1 และเข้าสำรองราชการในกองบังคับการ กรมแพทย์ทหารบก โดยปรากฏว่าในช่วงเกิดกรณีพิพาทอินโดจีน ท่านออกปฏิบัติราชการในสมรภูมิรบในฐานะ ผบ.หมวดเสนารักษ์ กองพันทหารราบที่ 28 ต่อเนื่องถึงในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพาหรือสงครามโลกครั้งที่ 2 ในฐานะผู้บังคับกองเสนารักษ์กรมทหารราบที่ 12 กองพันทหารราบที่ 33
กองพันทหารราบที่ 33 มีนายทหารชื่อ
‘พันตรี สฤษดิ์ ธนะรัชต์’
เป็นผู้บังคับกองพัน
ภารกิจของกองพันทหารราบที่ 33 ในสงครามมหาเอเชียบูรพาคือการคุ้มครองเส้นทางลำเลียง ทั้งถนน สะพาน และเส้นทางรถไฟ เป็นกำลังเสริมให้แก่กองทัพทหารญี่ปุ่นทางสหรัฐไทยเดิม (เชียงตุง) ตลอดจนนำกำลังรุกตีข้าศึกเข้าไปถึงแคว้นยูนนาน
พลเอก กฤษณ์ สีวะรา มิตรสหายร่วมรบบันทึกว่า พันเอก (พิเศษ) ประจวบ วัชรปาณ เป็นบุคคลที่หาไม่ได้ง่ายนัก เพราะเส้นทางอาชีพและความสนใจส่วนตัวนั้นมีความขัดแย้งในตัวเอง เนื่องจากเส้นทางชีวิตเป็นแพทย์แผนปัจจุบัน แต่กลับสนใจแพทย์แผนโบราณ วิชาไสยศาสตร์ ภูตผีปีศาจ สิ่งลึกลับดำมืด นิยมชมชอบในการเล่นพระเครื่องและเครื่องรางของคลัง และปรากฏในสมรภูมิรบว่า นอกจากท่านจะทำหน้าที่แพทย์ทหารรักษาพยาบาลเหล่าทหารที่เจ็บป่วยทั้งการจากรบและการเดินทางที่ถูกไข้ป่า (โรคมาลาเรีย) โจมตี ท่านยังใช้วิชาไสยศาสตร์เข้าช่วย อาทิ ทำพิธีตัดไม้ข่มนาม ทำพิธีเส้นสังเวยก่อนออกเดินทัพ
และก่อนออกรบครั้งสำคัญ ๆ ท่านจะจัดพิธีทางไสยศาสตร์พิธีใหญ่ โดยการอาบน้ำชำระร่างกาย นุ่งขาวห่มขาว บริกรรมคาถา พันตรี สฤษดิ์ ธนะรัชต์ (ยศขณะนั้น) ในฐานะผู้บังคับกองพัน ก็จะจัดดอกไม้เจ็ดสีพร้อมธูปเทียนเข้าไปกราบรับการลงกระหม่อมและประพรมน้ำมนต์ ตลอดจนทหารกล้าทุกนายก็จะเรียงกันเข้าไปทำพิธีจนครบทุกคน
‘หมอประจวบ’ ที่เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ เรียกท่าน จึงมิได้หมายความถึงสถานะในการเป็นแพทย์หรือหมอแผนปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการเป็นหมอแผนโบราณ หมอยา หมอเสน่ห์ หมอผี หมอดู หมองู และหมอลงกระหม่อม
การได้ออกรบกันอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ถือเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่าง ‘จอมพลผ้าขาวม้าแดง’ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ กับหมอดูคู่ใจ ‘หมอประจวบ’ ประจวบ วัชรปาณ ดังปรากฏว่า แม้สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง จอมพลสฤษดิ์ได้ย้ายไปรับตำแหน่งเป็นผู้บังคับการจังหวัดทหารบกลำปาง หมอประจวบก็ย้ายตามไปทำหน้าที่เป็นผู้บังคับกองเสนารักษ์ที่ลำปาง พร้อมทำหน้าที่นายทหารฝ่ายรักษาความปลอดภัยประจำตัวจอมพลสฤษดิ์
ทว่าความผันผวนทางการเมืองไทยหลังสงครามโลกครั้ง 2 ทำให้ท่านตัดสินใจลาวงการทหารออกจากราชการไปเปิดคลินิกเป็นแพทย์แผนปัจจุบันรักษาผู้คนที่หาดใหญ่ และต่อมาที่ภูเก็ต จากแพทย์ทหารกลางสนามรบ หวนกลับคืนสู่การเป็นหมอรักษาคนไข้ กระนั้น ก็เพื่อนนายแพทย์บางคนแสดงทัศนะว่า
“หมอประจวบมีอาชีพเป็นแพทย์รักษาคนไข้
แต่คนส่วนมากไปหาเกี่ยวกับเรื่องโหราศาสตร์”
ในขณะที่กิจการคลินิกรักษาคนไข้ที่ปักษ์ใต้กำลังไปได้ดี อดีตผู้บังคับบัญชาอย่าง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งตอนนั้นก็กำลังเปล่งรัศมีก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในกองทัพบกจากการเป็นกำลังหลักเมื่อครั้งรัฐประหารปี พ.ศ.2490 ที่มีจอมพลผิน ชุณหะวัณ เป็นหัวหน้าคณะ ต่อมาเนื่องมาถึงการปราบกบฏวังหลวงในปี พ.ศ. 2492 และกบฏแมนฮัตตันในปี พ.ศ.2494 ที่จอมพลสฤษดิ์มีบทบาทสั่งการอย่างสูง
ด้วยอุณหภูมิทางการเมืองที่เดือดร้อนแรงหมื่นฟาเรนไฮต์ จอมพลสฤษดิ์ได้พยายามติดต่อชักชวนหมอประจวบให้กลับมาทำงานด้วยกันหลายครั้ง จนถึงครั้งที่ 4 ในราวปี พ.ศ. 2494 หมอประจวบก็ได้รับโทรเลขด่วนจากกรุงเทพฯ ปลายทางติดต่อคือ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
“ไอ้จวบ! กูไม่มีใครแล้ว มึงมาตายกับกูได้ไหม?”
จอมพลผ้าขาวม้าแดง ไม่พูดพล่ามทําเพลงเมื่อเจอหน้ากัน
ราวกับความตายคือของเด็กเล่น “ถ้าถึงขนาดนั้นละก็เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นละครับผม แต่ถ้ายังไม่ถึงตาย ผมขอข้อเดียวเท่านั้นล่ะครับผม” หมอประจวบตอบ
“อะไรวะ?” เครื่องหมายคำถามบังเกิดในหัวใจจอมพลผ้าขาวม้าแดง
“ขอมีนายเพียงคนเดียว ครับผม”
“ก็กูนี่แหละ จะมีใครอีกละ?”
“ถ้างั้น ก็เป็นอันตกลง ครับผม”
เป็นอันว่า หมอประจวบลาแล้วภูเก็ต หอบครอบครัวกลับเข้ากรุงเทพฯ และกลับมารับราชการอีกครั้งในฐานะ ‘นายแพทย์ประจำรองผู้บัญชาการทหารบก’
แม้สารวัตรทหารแห่งวิมานสวาทหลังกองพล 1 จะไม่ได้รายงาน แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าหมอประจวบมิได้เป็นเพียงนายแพทย์ประจำตัวของจอมพลสฤษดิ์เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นทหารรักษาความปลอดภัยส่วนตัว และเป็นหมอดูคู่ใจจอมพลสฤษดิ์
นิยามผู้นำแบบไทย ๆ ที่บางคนมอบให้แก่ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงมิได้หมายถึงแต่เพียงการเป็นผู้มีบุคลิกและนิสัยใจคอที่มีเมตตาจิตต่อเพื่อนฝูงแต่โหดร้ายต่อศัตรู เป็นคนใจนักเลง ชอบบรรยากาศแห่งการได้ร่ำเมรัยสุราและเคล้านารี แต่ยังหมายถึงการเป็นผู้นำที่มีความเชื่อในเรื่องโหราศาสตร์ และการตัดสินใจในชีวิตส่วนตัว ตลอดจนการทหารและการเมืองของจอมพลสฤษดิ์ ก็จะปรากฏว่าจอมพลสฤษดิ์นิยมจะให้ ‘หมอดู’ ตรวจดวงชะตาของตนประกอบการตัดสินใจเสมอ
รายงานข่าวจากหมอดูใต้ต้นมะขามสนามหลวง (ซึ่งไม่มีแล้วในปัจจุบัน) ยืนยันได้ว่า จอมพลสฤษดิ์มี ‘ทีมหมอดู’ ประจำตัว ที่ปรากฏหลักฐานอ้างอิงยืนยันได้มีอยู่ 2 ท่าน คือ อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร และ หมอประจวบ
กระนั้น หมอประจวบน่าจะเป็น ‘หมอดู’ คู่ใจและข้างกายจอมพลสฤษดิ์มากที่สุด เพราะในช่วงที่จอมพลสฤษดิ์เป็นนายทุนทำกิจการหนังสือพิมพ์เพื่อต่อสู้ทางการเมืองช่วงปลายทศวรรษ 2490 หมอประจวบเป็นหนึ่งในนักเขียนประจำที่เขียนบทความวิชาโหราศาสตร์วิเคราะห์ทำนายดวงชะตาบ้านเมืองตลอดจนบุคคลสำคัญ รวมทั้งต่อมา ท่านยังเขียนหนังสือผลิตตำราทางวิชาโหราศาสตร์จำนวนหลายเล่ม โดยใช้ในนามปากกาว่า ‘หมอประจวบ’
มิตรภาพความสัมพันธ์ในการเป็นหมอดูและลูกน้องคู่ใจข้างกาย ปรากฏในค่ำคืนอันสำคัญที่สุดในชีวิตของจอมพลสฤษดิ์ คืนวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 คืนที่รถถังออกมาวิ่งแล่นบนถนนเพื่อประกาศให้คนรู้ว่านายทหารเจ้าของฉายา ‘ขวัญใจประชาชน’ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ลงมือยึดอำนาจรัฐประหารล้มรัฐบาล ‘นายกตลอดกาล’ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ตามเสียงเรียกร้องของประชาชนแล้ว
มีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าการยึดอำนาจภายใต้ชื่อรหัสปฏิบัติการ ‘ฤกษ์ดีธนะรัชต์’ ในคืนวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 เวลา 20.00 น. เป็นฤกษ์ยามที่กำหนดโดย ‘หมอประจวบ’
จากคำบอกเล่าของ พลโทวัลลถ โรจนวิสุทธิ์ เล่าว่า ก่อนเวลาลงมือทำรัฐประหารรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามเพียงไม่กี่นาที จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในฐานะผู้นำคณะทหารและผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร ได้กล่าวแก่คณะนายทหารฝ่ายอำนวยการประจำตัวท่านว่า
“ถ้าทำงานคืนนี้ไม่สำเร็จ ไอ้จวบ.
มึงไปกับกูสองคน นอกนั้นไม่ต้อง”
ทั้งความสำเร็จและไม่สำเร็จในบางช่วงชีวิตของจอมพลสฤษดิ์จึงมีหมอประจวบ หมอดูคู่ใจประจำกายด้วยเสมอ เช่น ก่อนจอมพลสฤษดิ์จะกลายเป็นผู้นำเผด็จการทหาร ท่านเคยตั้งพรรคการเมืองเพื่อต่อสู้ในระบอบประชาธิปไตยในชื่อ ‘พรรคชาติสังคม’ ซึ่งเป็นไปได้ว่าเป็นพรรคการเมืองดังกล่าวได้กำหนดฤกษ์ยามต่าง ๆ โดยหมอประจวบ ทว่า พรรคการเมืองของจอมพลสฤษดิ์ก็มีอายุอยู่ได้เพียงไม่นาน จอมพลสฤษดิ์ก็ตัดสินใจยึดอำนาจอีกครั้งในคืนวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ.2501 และเป็นไปได้ว่าได้รับการดูฤกษ์ยามโดยหมอประจวบด้วยเช่นกัน
ในยุคประชาธิปไตยแบบไทย ๆ ของจอมพลสฤษดิ์ หัวขโมยหรืออันธพาลบางคนถึงกับตัวสั่นและปัสสาวะเล็ด หากมีนายตำรวจบางคนแกล้งด้วยการมากระซิบข้างหูว่า ‘มาตรา 17 จอมพลสฤษดิ์’ ซึ่งก็สะท้อนอำนาจบารมีของผู้นำที่ชื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
หลังเคียงข้างกายมานานปี ถึงปี พ.ศ. 2504 หมอประจวบก็ขอลาจอมพลสฤษดิ์กลับไปใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวและเขียนหนังสือผลิตตำราโหราศาสตร์อย่างจริงจัง ท่านให้เหตุผลสำคัญในการขอลาออกว่า ดังที่เคยกราบเรียนจอมพลสฤษดิ์ไว้เบื้องต้นเมื่อครั้งหลังที่กลับมารับใช้ว่าขอมีนายเพียงคนเดียว แต่มาบัดนี้ เกิดมีนายหลายคน จึงทนฝืนสู้ในใจไม่ไหว จึงจำใจขอกราบลา
“แต่ถึงอย่างไร กระผมก็ไม่ทิ้งท่าน
เมื่อถึงคราวตาย กระผมจะมาตายด้วย”
หลังจากกันไม่นานปี จอมพลสฤษดิ์ ก็ถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2506 ขณะที่หมอประจวบหลังออกจากราชการในตำแหน่งสูงสุดเป็น ‘นายแพทย์สำนักผู้บัญชาการทหารสูงสุด’ และมียศทหารสูงสุดคือ ‘พันเอก พิเศษ’ ท่านได้เขียนบทความวิชาโหราศาสตร์และผลิตตำราโหราศาสตร์ (ทั้งของตนเองและร่วมกับเพื่อนโหร/หมอดู) อีกจำนวนหลายเล่ม เช่น ดาวราหู และ ดาวจันทร์, โหรา ภารตะ, ชุมนุมโหร ทำนาย ชาตาเมือง ชาตาโลก, วันพระพุทธเจ้า และ ‘ราหูก็มีหัวใจ’ ดาวฉิมเดือน ข้อสังเกตเกี่ยวกับโหราศาสตร์
จวบจนท่านถึงแก่อนิจกรรมอย่างสงบในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2514 ก็ถึงแก่กาลเวลาแห่งการปิดดวงชะตาหมอดูคู่ใจจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
หมอประจวบ – พันเอก (พิเศษ) ประจวบ วัชรปาณ.
อ้างอิง
ทักษ์ เฉลิมเตียรณ, การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ, พิมพ์ครั้งที่ 3 , (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2552).
อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พ.อ. (พิเศษ) ประจวบ วัชรปาณ พ.บ. ณ วัดมกุฏกษัตริยาราม 19 พฤศจิกายน 2514, (โรงพิมพ์วิทยากร, 2515).
อิทธิเดช พระเพ็ชร, “จอมพลสฤษดิ์ โหราศาสตร์และประวัติศาสตร์การเมืองไทย”, ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 42 ฉบับ 2 (ธันวาคม 2563), 85 – 99.